เมืองไทย 360 องศา
แม้ว่าก่อนหน้านี้ในช่วงปลายปีแกนนำม็อบสามนิ้ว ประกาศว่า ตั้งแต่ปีใหม่ 2565 จะมีการเคลื่อนไหวทุกรูปแบบเพื่อให้การต่อสู้ของพวกเขาได้รับชัยชนะ หรือทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงตามข้อเรียกร้องให้ได้ ท่ามกลางความแปลกใจว่ามันจะเป็นไปได้แค่ไหน เพราะในความเป็นจริงแล้วกลุ่มม็อบพวกนี้ “พลัง” กำลังอ่อนล้าเต็มที
ส่วนสำคัญไม่ใช่เพราะบรรดาแกนนำต่างต้องทยอยเข้าคุก และไม่ได้รับการประกันตัวออกมาระหว่างการพิจารณาคดีเหมือนกับจำเลย หรือผู้ต้องหารายอื่นๆ ส่วนใหญ่ในประเทศนี้ แต่ที่ว่าพลังเริ่มถดถอยลงไปทุกทีนั้น เป็นเพราะแนวทางการเคลื่อนไหว หรือเป้าหมายของพวกเขาต่างหากที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากคนไทยส่วนใหญ่
คนไทยจำนวนมากในสัดส่วนที่คาดว่าเกินร้อยละ 90 ไม่เอาด้วยกับการเคลื่อนไหวโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ และเป้าหมายสูงสุด คือ การ “ล้มล้าง” แม้ว่าจะอ้างว่าเป็นการปฏิรูป แต่เมื่อผลจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า นั่นคือความเคลื่อนไหวที่มีเป้าหมายเป็นการ “ล้มล้างการปกครองฯ” และให้หยุดพฤติกรรมนั้นเสียทันที
มันก็ยิ่งทำให้หนทางของพวกเขาที่เคยตีบตันอยู่แล้ว จากการที่สังคมส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย ต้องถดถอยลงมาในแบบอัตราเร่งเพิ่มขึ้นอีก อีกทั้งยังมีรายละเอียดเพิ่มเติมจากการที่บรรดา “แกนนำม็อบ” หลายคนต่างทยอยเข้าคุก จากการไม่ได้รับการประกันตัว เช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ นายอานนท์ นำภา นายจตุรภัทร์ บุญภัทรรักษา นายภาณุพงศ์ จาดนอก และ น.ส.เบนจา อะปัน เป็นต้น รวมไปถึง น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ที่ต้องลุ้นกันว่าจะต้องกลับเข้าคุกอีกหรือไม่ หลังจากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจากคำร้องที่อ้างเรื่องการสอบ ซึ่งเหลืออีกไม่กี่วันก็จะครบกำหนดแล้ว
แต่ในช่วงปลายปี นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ นายอานนท์ นำภา นายจตุรภัทร์ บุญภัทรรักษา และ นายภาณุพงศ์ จาดนอก ประกาศจะไม่ยื่นขอประกันตัวอีกแล้ว มันก็ยิ่งตัดสิทธิ์ของตัวเองไปโดยปริยาย
นั่นคือ มีแนวโน้มที่ต้องอยู่ในคุกไปตลอดระหว่างที่การพิจารณาคดีที่มีติดตัวยาวเป็นหางว่าว โดย นายพริษฐ์ บอกว่า จะขอเป็น “เมนเดลา” นักต่อสู้ในตำนานของประเทศแอฟริกาใต้ ทั้งที่บริบทการเคลื่อนไหว และการต่อสู้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งมาถึงวันนี้ก็ไม่มีใครพูดถึงแล้ว
เพราะสังคมกำลังพูดถึงและวิพากษ์วิจารณ์ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานกลุ่มก้าวหน้า ที่ก่อนหน้านี้ มีภาพเป็นนักต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคม ต่อต้านการเอารัดเอาเปรียบ เชิดชูในความเสมอภาคทางสังคมมานาน แม้ว่าตัวเองจะเป็นทายาทของกลุ่มทุนก็ตาม
แต่พลันที่มีข้อมูลเรื่อง “ลัดคิวฉีดวัคซีนเจ้า” เข้ามากระหน่ำ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในช่วงสามสี่วันที่ผ่านมา ทำให้เครดิต และภาพของนักสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคมที่เพียรสร้างมา มลายไปในพริบตา เพราะจากข้อมูลดังกล่าวมันทำให้กลายเป็นภาพของ “อภิสิทธิ์ชน” เข้ามาแทน เป็นภาพตรงข้าม และยังทำให้หลายกรณีในอดีตถูกตามขุดมาหลอกหลอนในแบบที่ “พูดไม่ออก”
เช่น กรณีการเลิกจ้างพนักงานสหภาพแรงงานบริษัท ซัมมิท เมื่อหลายปีก่อน ที่เคยถูก นายใจ อึ๊งภากรณ์ นักเคลื่อนไหวทางสังคมตั้งคำถาม กรณีกล่าวหาพี่ชายมีเรื่องอื้อฉาวเรื่อง “จ่ายเงินใต้โต๊ะ” กับเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อแลกกับการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินผืนงามย่านใจกลางธุรกิจ กรณีการบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่กระทบกับภาพลักษณ์ของนักต่อสู้ที่ถูกสร้างขึ้นมาให้ “เสียเครดิต” แบบป่นปี้
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นกระแสที่เคยเป็น “แรงส่งในทางบวก” หรือในทางลบเหมือนกับในเวลานี้ ก็ล้วนมาจาก “โซเชียลฯ” ที่ช่วยกันโหมกระพือทั้งสิ้น เพราะจะว่าไปแล้วกรณีที่กำลังเกิดขึ้นกับนายธนาธร ในเวลานี้ ก็ล้วนมาจาก “ข้อมูลในโซเชียลฯ” ที่มีการ “ขุด” กันขึ้นมาเปิดโปงทั้งสิ้น และยังขุดขึ้นมาเปิดโปงแบบต่อเนื่องเรื่อยๆ
และที่ผ่านมา เขาก็ได้ฉายา “นายกฯโซเชียล” ที่ได้รับการโหวตให้ไปไกลถึงขั้นเป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคต แต่เมื่อมาในวันนี้ วันที่เขากำลังถูกกระหน่ำเยาะเย้ยจากฝ่ายตรงข้าม มีการขุดหลักฐานออกมาอ้างอิงเพิ่มขึ้นทุกวัน และที่ผ่านมา ตัวนายธนาธร เองยังไม่ออกมาชี้แจง มีเพียงการเฉไฉไปพูดถึงเรื่องการทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในหลายกรณีทั่วโลก โดยไม่ออกมาชี้แจงข้อสงสัย และคำถามในเรื่อง “อภิสิทธิ์ชน” แซงคิว “ฉีดวัคซีนเจ้า” มีเพียงให้คนสนิท อย่าง น.ส.พรรณิการ์ วานิช สมาชิกคณะก้าวหน้า ที่ย้ำว่า ไม่ได้แซงคิว รวมไปถึงยืนยันว่า ไม่เคยโจมตีวัคซีนเจ้า
การออกมาของ น.ส.พรรณิการ์ ดังกล่าว ก็ถูกตั้งคำถามอีกว่า มาชี้แจงในฐานะโฆษกของครอบครัวนายธนาธร หรืออย่างไร เพราะงานนี้ได้เข้าไปฉีดวัคซีนนอกเวลาราชการดังกล่าวนั้น มีการอ้างข้อมูลว่า “ไปฉีดกันเกือบทั้งครอบครัว” แบบข้ามเขต ในช่วงเวลาที่กำลังรณรงค์เร่งฉีดให้กับผู้สูงอายุ และผู้ป่วยเรื้อรัง 7 ประเภท รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ก่อน
เอาเป็นว่างานนี้ไม่ว่าออกมาในรูปไหน นั่นคือชี้แจงก็เข้าตัว ขณะเดียวกัน หากนิ่งเฉยก็ถูกสังคมเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เป็นภาพลบทั้งขึ้นทั้งล่อง
ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 มกราคม ที่ผ่านมา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ชี้แจงโดยอ้างว่าไม่ได้ “แซงคิว” หรือ “แย่งคนแก่” ฉีดวัคซีน โดยอ้างอิงช่วงเวลาดังกล่าวว่าเป็นช่วงที่มีการเปิดโอกาสให้กับคนทั่วไปได้ลงทะเบียนฉีดวัคซีนอยู่แล้ว และที่ไปฉีดที่โรงพยาบาลในจังหวัดสมุทรปราการนั้น เนื่องจากตัวเองและครอบครัวพำนักอาศัยอยู่ในเขตรอยต่อกับจังหวัดสมุทรปราการ เพียงเดินข้ามถนนก็ข้ามจังหวัดแล้ว อีกทั้งยังย้ำว่า ไม่เคยต่อต้านการฉีดวัคซีน ตรงกันข้ามเป็นคนสนับสนับสนุนให้ฉีดวัคซีน เพียงแต่พูดถึงเรื่องการ “แทงม้าตัวเดียว” เท่านั้น และยังอ้างว่า การไปฉีดวัคซีนนอกเวลาราชการนั้น เป็นการฉีดวัคซีนที่เหลือจากการฉีด และเพื่อไม่ให้สูญเปล่าที่มีการฉีดให้กับคนที่แจ้งวัตถุประสงค์เอาไว้ล่วงหน้า ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนปกติ
ทั้งนี้ นายธนาธร ยังประกาศฟ้องผู้ที่นำข้อมูลส่วนตัวที่เขาระบุว่าเป็นพวกสนับสนุนเผด็จการมาเปิดเผยโจมตี รวมไปถึงองค์กรรัฐที่เกี่ยวข้อง ยังอ้างไปถึง “ไอโอ” หรือการปฏิบัติด้านข่าวสารของกองทัพและหน่วยงานรัฐอยู่เบื้องหลัง เพื่อสร้างกระแสความเกลียดชัง
อย่างไรก็ดี การประกาศฟ้องในครั้งนี้ ก็มีความเห็นตอบโต้กลับไปทันควันเหมือนกัน เมื่อไปเปรียบเทียบกับการเรียกร้องให้ยกเลิก “มาตรา 112 “ ที่มีไว้เพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และไม่ให้ดำเนินคดีกับการโจมตีสถาบันฯ แต่ทีตัวเองกลับประกาศฟ้องดำเนินคดีเพื่อปกป้องตัวเอง อะไรประมาณนี้
ดังนั้น ทั้งกรณีของบรรดาแกนนำม็อบสามนิ้วที่ในวันนี้ส่วนใหญ่กำลังอยู่ในคุกระหว่างถูกดำเนินคดียาวเป็นหางว่าวในท่ามกลางกระแสที่ติดลบ หมดแรงส่งเพราะเคลื่อนไหวในสิ่งที่สังคมส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย
ขณะที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็กำลังถูกกระหน่ำทำลายภาพลักษณ์ จากข้อสงสัยเรื่อง “ลัดคิวแย่งวัคซีนคนแก่” เป็นภาพของ “อภิสิทธิ์ชน” ที่ย้อนแย้งนักต่อสู้เพื่อเสรีภาพ ภราดรภาพ และเสมอภาค เสียป่นปี้ ซึ่งทุกอย่างทั้งบวกและลบ ส่วนใหญ่ล้วนมาจากโซเชียลฯ ทั้งสิ้น !!