เมืองไทย 360 องศา
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ที่ผ่านมา นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความประจำศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์เฟซบุ๊กเปิดคำแถลงข่าวว่า ในฐานะทนายความของผู้ต้องขังทางการเมือง 4 คน ประกอบด้วย นายอานนท์ นำภา นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ และ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน ได้เข้าเยี่ยมพวกเขาทั้งสี่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และได้รับการร้องขอจากพวกเขาทั้งสี่ ให้แจ้งข้อความดังต่อไปนี้ ให้แก่พ่อแม่ ญาติพี่น้อง และบรรดามิตรสหายเพื่อนฝูงรวมทั้งสื่อมวลชนให้ทราบว่า
1. ภายหลังจากที่ผู้บริหารของศาลอาญาได้มีมติไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว (ประกันตัว) พวกเขาในระหว่างการพิจารณาคดีตามคำร้องขอของทนายความ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2564 นั้น พวกเขาเห็นว่าเหตุผลของศาลอาญา ไม่ชอบด้วยหลักกฎหมาย หลักยุติธรรม และไม่เป็นไปตามกติการะหว่างประเทศที่ไทยได้ให้สัตยาบันรับรองไว้
พวกเขาทั้งสี่ เชื่อว่า การไม่อนุญาตให้เขาได้รับการประกันตัวไปสู้คดีอย่างเต็มที่นั้น เป็นการปิดโอกาสที่เขาจะสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขา และเป็นการพิพากษาเสียล่วงหน้าแล้วว่าพวกเขาเป็นผู้กระทำความผิด
ด้วยเหตุผลข้างต้น พวกเขาทั้งสี่จึงขอประกาศว่า นับจากนี้พวกเขาจะไม่ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว (ประกันตัว) ในระหว่างพิจารณาคดีต่อศาลอาญาอีก และจะไม่อนุญาตให้ทนายความ และบุคคลใดไปดำเนินการดังกล่าวทั้งสิ้น
2. การตัดสินใจของพวกเขาทั้งสี่ไม่ผูกพันบรรดาผู้ต้องขังและนักโทษการเมืองที่ยังถูกจับกุมคุมขังและไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวคนอื่นแต่อย่างใด
3. พวกเขาทั้งสี่ ยังยืนยันที่จะต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศให้ไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง และยังยืนยันที่จะเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศนี้ตามแนวทางที่ได้ร่วมต่อสู้มาโดยตลอด โดยไม่หยุดยั้งไม่ว่าจะถูกคุมขังอยู่หรือไม่ก็ตาม
4. พวกเขาทั้งสี่ ขอร่วมกันเรียกร้องให้มวลหมู่มิตรสหายที่ได้ร่วมต่อสู้ด้วยกันตลอดมาจงยืนหยัดในข้อเรียกร้องทั้งสามประการ และต่อสู้ต่อไปตามแนวทางประชาธิปไตยโดยสงบ สันติวิธี
นั่นเป็นคำแถลงของแกนนำม็อบสามนิ้ว ดังกล่าวที่ฝากทนายความออกมาเผยแพร่ ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนต้นคิดในเรื่องแบบนี้ แต่ก็ต้องชมว่า “เท่ดี” มีการใช้ถ้อยคำแบบพวกนักต่อสู้ในอุดมคติ ไม่ว่าจะเป็นพวก “ฝ่ายซ้าย” การต่อสู้แบ่งแยกชนชั้น อะไรประมาณนั้น
แต่เมื่อหันมามองความเป็นจริงและผลสะท้อนที่กลับมามัน “ไม่คุ้มค่า” และยิ่งเมื่อพิจารณาตามสถานการณ์ความเป็นจริง และบรรยากาศการต่อสู้แล้วถือว่า “มีแต่เสียประโยชน์” แต่ถึงอย่างไรก็ถือว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล และแนวทางเฉพาะตัวของแต่ละคนที่ตกเป็นจำเลย
ที่ต้องบอกว่าการแสดงท่าทียืนยันว่า พวกเขาที่ตกเป็นจำเลยจะไม่ขอยื่นการประกันตัวหรือการปล่อยตัวชั่วคราวอีกต่อไป เป็นการปิดทางตัวเอง และทำให้ตัวเองต้องถูก “คุมขัง” ระหว่างรอการพิจารณาคดี จนคดีถึงที่สุดเป็นระยะเวลา “ยาวนานหลายปี” เนื่องจากแต่ละคนมีคดีติดตัวหลายสิบคดี
ขณะเดียวกัน การอ้างว่า ตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม และยังเห็นว่าการพิจารณาของศาลไม่เป็นธรรม และปิดกั้นโอกาสการต่อสู้คดี เหมือนกับการพิพากษาล่วงหน้าว่าพวกเขามีความผิด นั้นก็น่าจะเป็นการ “บิดเบือน” และเหมือนกับว่าพูด “ในมุมมองของตัวเองฝ่ายเดียว”
เพราะในความเป็นจริงแล้ว ที่ผ่านมาศาลเคยอนุญาตให้มีการประกันตัว เพียงแต่ว่า “แกนนำม็อบสามนิ้ว” พวกนี้ไม่เคยหยุดการเคลื่อนไหวในลักษณะเดิม กระทำผิดเงื่อนไขที่ให้ไว้กับศาลก่อนการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวออกมา เช่น ประเด็นสำคัญคือการ “จาบจ้วง” หรือกระทำการที่เป็นการเข้าลักษณะ “ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ และสถาบันฯ” อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นการเพิ่มคดีที่ถูกฟ้องในลักษณะเดิม และการที่อ้างว่า “ตราบใดที่ศาลยังไม่มีการพิพากษาออกมาถือว่าตัวเองยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ต้องได้รับการประกันตัวออกมา” ก็อาจจะจริง แต่ไม่ครบถ้วนทั้งหมด
เพราะเหมือนกับว่าหากใครสักคนที่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีสักคดี ระหว่างนั้นก็ยื่นคำร้องขอประกันตัวออกมา ก็จะมีเงื่อนไข หรือไม่มีก็แล้วแต่ แต่ระหว่างนั้นต้องไม่ไปกระทำในลักษณะที่ทำให้ต้องถูกดำเนินคดีหรือ “กระทำซ้ำอีก” หากยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เคยถูกดำเนินคดีฐานไป “ลบหลู่ใคร” เอาไว้ แต่เมื่อได้รับการประกันตัวออกมาแล้ว กลับยัง “ด่าไม่เลิก” กฎหมายก็ย่อมมีสิทธิ์ที่จะคุ้มครองตรงนี้ จะมาอ้างว่าเป็นสิทธิ์ หรือคดียังไม่ตัดสินถึงที่สุดไม่ได้ เป็นต้น ซึ่งเชื่อว่าสังคมเริ่มเข้าใจขั้นตอนทางกฎหมายแบบนี้มากขึ้น
และที่สำคัญ บรรดาแกนนำม็อบสามนิ้วพวกนี้ รวมไปถึงการชุมนุมที่ผ่านมามีเป้าหมายพุ่งตรงไปที่ “พระมหากษัตริย์” และสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือเป็น “องค์พระประมุขของชาติ” ซึ่งมีการชี้ชัดออกมาแล้วว่า “มีเจตนาล้มล้าง” ทำลายความมั่นคง และที่ผ่านมาศาลก็เคยให้ประกันตัวออกมา แต่เมื่อมีการทำผิดเงื่อนไข นั่นคือ ยังมีการเคลื่อนไหวในลักษณะเดิม นั่นคือ ยังมีการเคลื่อนไหวจนทำให้เกิดการถูกดำเนินคดีในลักษณะเดิม ความผิดตาม มาตรา 112 ซึ่งแต่ละคนมีมากกว่า 10 คดี
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากคดีติดตัวที่แต่ละคนสะสมยาวเป็นหางว่าวแบบนี้ หากมีการประกาศว่าไม่ขอรับการประกันตัวออกไปแล้วก็ต้องถือว่าพวกเขา “ปิดทางตัวเอง” ต่อไปก็จะถูกคุมขังในเรือนจำระหว่างการพิจารณาคดียาวนานหลายปี เพราะแต่ละคดีก็ใช้เวลานานเป็นปี หากมีนับสิบคดี ก็ลองนึกดูแล้วกันว่า จะใช้เวลานานเท่าไหร่
แน่นอนว่า การประกาศแบบนี้ (ไม่ขอประกันตัว) ฟังดูแล้วเร้าใจตามแบบนักสู้เพื่ออุดมคติ แต่คำถามก็คือ มันอยู่บนเงื่อนไขและบรรยากาศที่มีมวลชนเป็นแนวร่วมมากน้อยแค่ไหน เพราะเมื่อมองจากบรรยากาศที่เป็นจริงข้างนอก มันก็มีแต่พวก “อีแอบ” ที่คอยแอบอยู่ข้างหลัง ยุแยง ให้ทำในสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องเสี่ยงคุกเท่านั้นเอง ขณะเดียวกันเมื่อมองถึง “เงื่อนไข” ที่เป็นอยู่ก็ไม่ได้สุกงอม หรือเป็นกระแสที่ต้องออกมาต่อสู้กันแบบ “พลิกฟ้าคว่ำดิน” อย่างแน่นอน
ถึงได้บอกว่าการประกาศไม่ขอประกันตัวของพวกแกนนำพวกนี้ อีกด้านหนึ่งมันก็ไม่ต่างกับการ “ตายประชดป่าช้า” ที่ไม่เกิดประโยชน์อะไร ตรงกันข้ามมีแต่สร้างผลกระทบให้กับตัวเอง และอย่างที่บอกเอาไว้ว่า มันไม่มีเงื่อนไข นานไปก็มีแต่ “จืดจาง” ลงไปเรื่อยๆ เหมือนกับเวลานี้ อีกทั้งเมื่อประกาศท่าทีแบบนี้ต่อไปก็จะส่งผลทำให้กิจกรรมการชุมนุม “ปล่อยเพื่อนเรา” หรือ กิจกรรม “ยืน 112 นาที” ที่พวกแนวร่วมทำกันมาก็ต้องยุติลงหรือไม่ เพราะ “เพื่อนเรา” ไม่ต้องการออกมาแล้ว !!