ย้อนแย้งกันไปใหญ่! “ทอน” ด้อยค่า “แอสตร้าเซนเนก้า” แต่กลับแอบฉีดก่อนใคร “เพจดัง” ชวนคิด ตั้งคำถามที่ต้องตอบคนไทย เผยข้อมูลวัคซีนของจริง กูรูชี้ 7 ตัวแปรการเมืองปี 65 จับตา “จำคุกธนาธร-ยุบก้าวไกล” เดือด!
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (7 ม.ค. 65) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น เพจดัง กางเอกสาร-ไขรหัสวัคซีนชัด ก่อนตั้งคำถามที่ “ธนาธร” ต้องตอบคนไทย!
โดยระบุว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 3 ม.ค. 65 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า ตนเองนั้นติดโควิด-19 หลังจากที่กลับมาจากต่างประเทศ ซึ่งในขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการกักตัว
ต่อมา ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีรายละเอียดว่า
ได้ข้อมูลการฉีดวัคซีนของ ไอ้ตี๋ ซึ่งก็คาดว่าจะเป็นการหมายถึง นายธนาธร ซึ่งข้อมูลนี้เป็นการนำมาจากสมาชิกครอบครัวของ นายธนาธร เอง
แต่เมื่อได้สังเกตประวัติการได้รับวัคซีนของ นายธนาธร ตามที่ ดร.อานนท์ ได้รับมานั้น เป็นการฉีด 2 เข็ม โดยเข็มที่ 1 เป็น แอสตร้าเซนเนก้า โดยฉีดในวันที่ 1 ก.ค. 64 เวลา 19.15 น. ที่ โรงพยาบาลพระสมุทรเจดีย์ และได้ฉีดเข็ม 2 ในวันที่ 22 ธ.ค. 64 เวลา 10.42 น. ที่โรงพยาบาลรามคำแหง
อย่างไรก็ตาม ทางเพจ Street Hero V3 ได้โพสต์ข้อความชวนตั้งคำถาม ถึงกรณีประวัติการฉีดวัควีนของนายธนาธร โดยระบุว่า ถ้าเป็นข้อมูลฉีดวัคซีนของธนาธรจริง คำถามคือ
1. วัคซีน AZ Lotที่ A10062 ถูกผลิตที่โรงงานสยามไบโอฯ เป็นลอตแรกๆ ที่ใช้ในไทย และ ใช้ฉีดให้ในวันที่ 1 ก.ค. 64
2. ฉีด 1 ก.ค. 64 ต้องเป็นคนที่ลงทะเบียนในหมอพร้อม ตั้งแต่ 1 พ.ค. 64 โดยสิทธิเฉพาะอายุ 60 ปีขึ้นไป หรือ 7 โรคเรื้อรังเท่านั้น ใช้สิทธิ์ไหน
3. ฉีด รพ. รัฐ เวลา 19.15 น. ในช่วงนั้นวัคซีนแต่ละที่มีจำนวนจำกัด ส่วนใหญ่จะฉีดหมดตั้งแต่เวลาราชการตามนัดเท่านั้น ทำไมได้ฉีดนอกเวลา เราเลยเชื่อได้ว่าธนาธรอาจใช้สิทธิพิเศษเหนือคนอื่นมาฉีดในขณะที่คนอื่นต้องทำตามระบบ
ทั้งนี้ เอกสารการฉีดวัคซีนของนายธนาธร ก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า เป็นเอกสารจริงหรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไปว่า ทางโรงพยาบาลที่ทำการฉีดวัคซีนให้นายธนาธรจะออกมาชี้แจงหรือไม่ รวมไปถึงตัวของนายธนาธรเองจะออกมาชี้แจงถึงคำถามดังกล่าวอย่างไร หรือไม่
ทั้งนี้ วันนี้ (7 ม.ค. 65) สำนักข่าว The Truth ได้สอบถามไปยังแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถืออีกครั้ง โดยได้ตรวจสอบรายละเอียดแล้ว พบว่า ประวัติการฉีดวัคซีน ที่ ดร.อานนท์ นำมาเปิดเผยนั้น เป็นของ นายธนาธร จริงหรือไม่ ซึ่งได้รับคำตอบว่า “เป็นความจริง”
โดย นายธนาธร เข้าไปฉีดวัคซีน “แอสตร้าเซนเนก้า” ซึ่งผลิตโดย บจก.สยามไบโอไซเอนซ์ ในวันและเวลาดังกล่าวจริง โดยที่ไม่มีการลงทะเบียนล่วงหน้าแต่อย่างใด แต่เป็นการวอล์คอิน เข้าไปฉีด
ซึ่งทางทีมข่าวก็ได้ทำการซักถามต่อถึง เหตุใด นายธนาธร จึงได้เข้าไปฉีดได้ในเวลาดังกล่าว ทางแหล่งข่าวก็ได้เปิดเผยว่า ในวันดังกล่าวนั้นมีวัคซีนเหลืออยู่จากการฉีดภาคสนาม จึงได้เปิดให้คนในพื้นที่ หรือคนที่ต้องการฉีด สามารถเข้ามาฉีดได้ โดยที่ไม่ต้องมีการลงทะเบียนล่วงหน้าแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ได้มีการประกาศออกไปอย่างเป็นทางการ จะเป็นการบอกต่อๆ กันของบุคลากรภายในเท่านั้น
ทำให้ทีมข่าวเกิดความสงสัยเข้าไปใหญ่ว่า แล้วเหตุใด นายธนาธร จึงได้ทราบข่าว หรือว่ามีบุคคลภายในแจ้งให้ทราบ หรือมีการพูดคุยกันก่อนหน้านั้น ทางแหล่งข่าวก็ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลตรงนี้ได้ ถึงอย่างไรก็ตามทางทีมข่าว The Truth ก็จะพยายามสืบหาความจริงเรื่องนี้ต่อไปอย่างใกล้ชิดว่า การฉีดวัคซีน ของ นายธนาธร เป็นไปตามปกติ หรือมีอะไรซ่อนอยู่หรือไม่
ขณะเดียวกัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น “อดีตรองอธิการ มธ.” เผยชัด 7 ตัวแปรสำคัญ ชี้ชะตาการเมืองปี 65 จับตาก้าวไกลโดนยุบ ประธานคณะก้าวหน้าถูกจำคุก?
เนื้อหาระบุว่า หลังจากที่มีโหรดังหลายคนออกมาทำนายชะตาดวงการเมืองในปี 2565 ว่า พร้อมเดือดแน่นอน และมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้น ให้จับตาดูอย่างใกล้ชิด
และล่าสุด รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า การเมืองปี 2565 ยังไม่มีอะไรแน่นอน มีตัวแปรหลายตัวที่จะทำให้ political scenario หรือสถานการณ์การเมืองเปลี่ยนไป
ตัวแปรแรกคือ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะสามารถเป็นายกรัฐมนตรีต่อไปจนครบวาระหรือไม่ เนื่องจากมาตรา 258 ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน กำหนดให้บุคคลสามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นระยะเวลารวมกันได้ไม่เกิน 8 ปี คำถามจึงอยู่ที่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกาศใช้ในปี 2560 ดังนั้น จะนับรวมเวลาที่ พลเอก ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก่อนที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกาศใช้หรือไม่ ฝ่ายที่เชียร์พลเอก ประยุทธ์ เชื่อว่า ไม่รวม แต่ฝ่ายตรงข้ามบอกว่ารวม ดังนั้น ต้องรอให้ศาลรัฐธรรนูญวินิจฉัยเมื่อใกล้ๆ กำหนดเวลา นั่นคือประมาณเดือนพฤษภาคม 2565
ตัวแปรที่ 2 คือ ความขัดแย้งในพรรคพลังประชารัฐ จะมีผลทำให้ถึงกับพรรคแตกหรือไม่ หรือทำให้พลเอก ประยุทธ์ กับ พลเอก ประวิตร ต้องแยกทางกันเดินหรือไม่ แม้จะยืนยันว่า ความตายเท่านั้นที่จะทำให้แยกจากกันก็ตาม
ตัวแปรที่ 3 คือ การเปลี่ยนแปลงของพรรคเพื่อไทยจะมีมากน้อยเพียงใด หัวหน้าพรรคยังจะเป็นคนเดิมหรือไม่ บทบาทของทายาทคุณทักษิณในพรรคจะเพิ่มมากขึ้นอย่างไรหรือไม่ และจะมีการประกาศตัว แคนดิเคตนายกรัฐมนตรีของพรรคหรือไม่ ถ้ามี มีชื่อใครเป็นแคนดิเดตบ้าง และในที่สุดพรรคเพื่อไทยจะถูกยุบหรือไม่
ตัวแปรที่ 4 พรรคก้าวไกลจะถูกยุบหรือไม่ จากการให้การสนับสนุนผู้ที่มีเจตนาล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ตัวแปรที่ 5 ขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ จะอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ หรือจะกลับฟื้นคืนชีพกลับมามีพลังอีกครั้ง
ตัวแปรที่ 6 ประธานคณะก้าวหน้าจะถูกตัดสินจำคุกในคดีใดคดีหนึ่งหรือไม่ ทั้งคดีที่สมัครลงเลือกตั้งโดยที่รู้ว่าตัวเองถือหุ้นบริษัทวีลัคมีเดียอยู่ และคดีวัคซีนพระราชทาน ตามมาตรา 112
ตัวแปรที่ 7 พรรคที่ตั้งใหม่และกำลังจะตั้งใหม่ เช่น พรรคไทยภักดี พรรคกล้า พรรคของ 4 กุมาร และอาจมีพรรคอื่นๆ อีก จะทำให้ประชาชนมีความหวังที่จะได้พรรคการเมืองยุคใหม่ที่ปราศจากนักการเมืองน้ำเน่าได้อย่างแท้จริงหรือไม่
ทุกตัวแปรล้วนมีผลต่อสถานการณ์การเมืองไทยไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หากพลเอกประยุทธ์ไม่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีเกินกว่า 8 ปี จะต้องมีการเลือกนายกรัฐมนตรีกันใหม่ พรรคพลังประชารัฐจะเสนอชื่อใคร หรือจะยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ โดยให้พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการจนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ ทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ หรือหากศาลรัฐธรรมนูญให้พลเอก ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปได้ แต่รอยร้าวระหว่างพลเอก ประยุทธ์ และ พลเอก ประวิตร ไม่สามารถประสานกันได้ การเมืองก็จะเป็นอีกแบบ
หากพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ถูกยุบ และประธานคณะก้าวหน้าถูกศาลตัดสินจำคุก ก็จะมีคนสร้างความวุ่นวายด้วยการลงถนนประท้วง เหตุการณ์มีโอกาสบานปลายจนคาดไม่ได้ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร แต่จะไม่เป็นผลดีต่อประเทศแน่นอน
ดังนั้น สถานการณ์การเมืองจะเป็นอย่างไรจึงขึ้นอยู่กับตัวแปรเหล่านี้ว่าจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ผลการเลือกตั้งซ่อมในเดือนนี้ รวมทั้งผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จะเป็นตัวบ่งชี้ได้ส่วนหนึ่งว่าพรรคการเมืองใดในปัจจุบันได้รับความนิยมมากกว่ากัน อย่างน้อยก็ในจังหวัดที่มีการเลือกตั้งซ่อม และมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ไม่ว่าตัวแปรแต่ละตัวแปรจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ หวังว่า ตัวแปรที่ 7 จะเปลี่ยนไปในทางที่เป็นคุณแก่บ้านเมือง กล่าวคือ ในบรรดาพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นใหม่ และที่กำลังจะตั้งขึ้น หวังว่า จะมีสักพรรคหนึ่งหรือสองพรรค ที่ประกอบด้วย นักการเมืองเลือดใหม่ พันธุ์ใหม่ ที่มีความรู้สูง ไม่มีประวัติด่างพร้อย ไร้นักการเมืองน้ำเน่าเขี้ยวลากดิน และจะต้องแสดงเจตนาที่ชัดเจนว่า ต้องการที่จะคงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์สืบไป จะให้ดียิ่งกว่านั้น คือมีจำนวนพรรคมากพอที่จะทำให้สามารถจับขั้วใหม่ทางการเมืองได้ ประชาชนจะได้มีทางเลือกมากขึ้น
หากมีพรรคการเมืองเช่นนี้เกิดขึ้นจริง ผมจะลงคะแนนให้อย่างไม่ลังเล และหวังว่า ให้ประชาชนทุกคนทำแบบเดียวกัน เพื่อทำลายความเชื่อที่อาจเป็นความจริงที่ว่า พรรคการเมืองในประเทศไทย จะได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรมากน้อยแค่ไหนอยู่ที่เงินเพียงอย่างเดียว อย่าลืมว่า อนาคตของชาติอยู่ในมือของประชาชนทุกคน
แน่นอน, ทั้งสองเรื่อง มีเหตุผลที่น่ารับฟังอย่างยิ่ง นับแต่เรื่อง วัคซีนของ “ธนาธร” ที่ล่าสุดได้รับคำยืนยันจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ว่า เอกสารที่ถูกนำมาแฉการฉีดวัคซีนของนายธนาธร เป็นของจริง
ประเด็นต่อมา ที่เพจดัง ชวนคิดและตั้งคำถามก็คือ วัคซีน AZ Lotที่ A10062 (ตามเอกสาร) ถูกผลิตที่โรงงานสยามไบโอ เป็นลอตแรกๆที่ใช้ในไทย และ ใช้ฉีดให้ในวันที่ 1 ก.ค. 64
กรณีนี้ อย่าลืมว่า นายธนาธร ฉีดวัคซีนที่ตัวเองวิพากษ์วิจารณ์ โจมตี ด้อยค่า พาดพิงสถาบันฯ จนถูกฟ้องคดี ม.112
ประการต่อมา ฉีด 1 ก.ค. 64 ต้องเป็นคนที่ลงทะเบียนในหมอพร้อมตั้งแต่ 1 พ.ค. 64 โดยสิทธิเฉพาะอายุ 60 ปีขึ้นไป หรือ 7 โรคเรื้อรังเท่านั้น ใช้สิทธิไหน (นายธนาธร ต้องเป็น 1 ใน 7 โรคเรื้อรังเท่านั้น นี่ถ้าว่ากันตามวุฒิภาวะที่รับผิดชอบต่อสังคม และคนไทย)
ประการสุดท้าย ฉีด รพ. รัฐ เวลา 19.15 น. ในช่วงนั้นวัคซีนแต่ละที่มีจำนวนจำกัด ส่วนใหญ่จะฉีดหมดตั้งแต่เวลาราชการตามนัดเท่านั้น
นี่คือ สิ่งที่พิสูจน์ได้แล้วว่า คนอย่างนายธนาธร เห็นแก่ตัวหรือไม่ มีความเป็นผู้นำ หัวก้าวหน้า อย่างที่พวกสามนิ้วยกย่องหรือไม่ โดยไม่ต้องรอให้เจ้าตัวออกมาแก้ตัวก็ได้
เรื่อง สถานการณ์การเมือง ปี 65 เห็นด้วย ทั้ง 7 ประเด็น ที่อดีตรองอธิการบดี มธ.ออกมาชี้ชัด และเห็นด้วยอย่างยิ่งว่า สถานการณ์ร้อนแรงแห่งปี ก็คือ ตัวแปรที่ นายธนาธร จะถูกจำคุกหรือไม่ และพรรคก้าวไกล จะถูกยุบหรือไม่ ต่อให้ทำผิดจริงก็ตาม
ประเด็นก็คือ ขบวนการ 3 นิ้ว ไม่เชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรมไทย ถ้าผลคำตัดสินของศาลไม่เป็น “บวก” กับพวกตัวเอง ดังนั้น จับตาเอาไว้ได้เลย ถ้านายธนาธร ถูกตัดสินว่า ผิด และต้องติดคุก และพรรคก้าวไกล ถูกวินิจฉัยยุบพรรค ขบวนการ 3 นิ้ว ทั้งในและนอกประเทศ จะประโคมโหมกระแส ว่า เผด็จการตามล้างตามเช็ด นายธนาธร และพรรคก้าวไกล นี่คือ สูตรสำเร็จของพวกเขา
เหนืออื่นใด คนที่ต้องรับเคราะห์ และเดือดร้อนไม่รู้จบ ก็คือ คนไทย อนาถใจแท้ ทำไมถึงหนีไม่พ้นเสียที!?