ปี 2564 กำลังจะผ่านพ้นไปพร้อมกับการเผชิญโรคภัยที่รุนแรงของมวลมนุษยชาติ และมันยังคงอยู่กับเราไปอีกนานเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ ชีวิตของมนุษย์ทุกคนถูกจำกัดกรอบการมีชีวิตไม่ให้สามารถโลดแล่นไปได้ดังใจปรารถนา และมันคงพิสูจน์ศักยภาพของมนุษย์บนโลกนี้ว่าจะสามารถเอาชนะอสุรกายที่มองไม่เห็นนี้ไหม
ในขณะที่ประเทศไทยนอกจากต้องเผชิญกับโรคร้ายแล้ว ยังต้องเผชิญกับการเมืองที่ผันแปร ภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ การประท้วง การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการสืบทอดอำนาจของ คสช.ในภาวะที่คนส่วนหนึ่งเริ่มเบื่อกับการอยู่ใต้อำนาจของนายกรัฐมนตรีที่มาจากกองทัพ แต่ความขัดแย้งในสังคมไทยที่ก่อตัวมากว่าทศวรรษ และทำให้คนแบ่งแยกเป็นสองฝ่าย ทำให้สองขั้วความขัดแย้งต่างยังมีมวลชนที่ใช้อ้างอิงเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองอยู่
ขณะที่ประชาชนซึ่งพากันถือหางเชียร์ฝั่งการเมืองของตัวเอง ไม่รู้ตัวว่ากลายเป็นเครื่องมือในท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง เพราะความขัดแย้งที่กลายสภาพเป็นเหมือนกับแบ่งแยกและปกครองที่เป็นความต้องการของผู้มีอำนาจทางการเมืองนั่นเอง ไม่ว่าฝ่ายไหนจะขึ้นมามีอำนาจก็จะมีประชาชนอีกฝ่ายขึ้นมาต่อต้าน และอีกฝ่ายขึ้นมาปกป้องจนเข้าทางผู้มีอำนาจเหมือนกัน
ปี 2565 ที่กำลังมาถึงก็คงไม่ต่างไปจากเดิม แม้ว่าฝ่ายที่ถืออำนาจจะยังคงรักษาอำนาจของตัวเองเอาไว้ได้ แต่ก็จะต้องเผชิญกับการชุมนุมต่อต้านที่จะยิ่งเพิ่มดีกรีความรุนแรงมากขึ้น ยิ่งฝ่ายรัฐจะใช้ความเข้มข้นทางกฎหมายเข้าจัดการเมื่อไหร่ก็ยิ่งทำให้ฝ่ายต่อต้านบุกตะลุยไปข้างหน้า เพราะรู้ว่าความพ่ายแพ้ก็คือชะตากรรมที่จะถูกอำนาจรัฐลงทัณฑ์
คนหนุ่มสาวหลายคนต่างมีคดีความกันคนละหลายคดี และถ้าติดตามข้อกล่าวหาที่พวกเขาต่างโดนคดีตามมาตรา 112 และได้ฟังถ้อยคำที่พวกเขาหยิบขึ้นมาใช้โจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ก็ดูเหมือนจะหลุดรอดเงื่อนงำของกฎหมายไปได้ยาก
ในขณะที่พวกผู้ใหญ่ที่ดันหลังเด็กออกมาสู้ ก็พากันชื่นชมเพื่อให้คนเหล่านี้มีความฮึกเหิมมากขึ้นว่า การแสดงออกของพวกเขาเป็นการทลายเพดานของสังคมไทยที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นคือ การนำเอาสถาบันพระมหากษัตริย์ และตัวพระมหากษัตริย์ที่พวกเขาเอ่ยนามอย่างไม่ให้เกียรติมาวิพากษ์ด่าทอเสียดแทงบนท้องถนน
ประสานไปกับการเคลื่อนไหวของพรรคก้าวไกลพรรคขวัญใจของคนรุ่นใหม่ในสภาฯ ที่ใช้เวทีสภาฯ เป็นเครื่องมือในการอภิปรายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเผ็ดร้อน ราวกับว่านี่คือฉากทัศน์ของประเทศในอนาคตที่ไม่ไกลเกินไป ที่คนในชาติส่วนหนึ่งต้องการการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
เมื่อความคิดของคนหนุ่มสาวไม่เพียงแต่เรียกร้องประชาธิปไตยและต่อต้านรัฐบาลที่พวกเขาชิงชัง แต่เพิ่มดีกรีเป็นการต่อต้านระบอบของรัฐ ต่อต้านระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จนศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าพวกเขามีจุดมุ่งหมายที่จะล้มล้าง ซึ่งจะกลายเป็นเงื่อนไขผูกมัดในการต่อสู้คดีของพวกเขาให้ดิ้นหลุดรอดได้ยากยิ่งขึ้น
แม้นักกฎหมายฝ่ายที่หนุนช่วยพวกคนหนุ่มสาวที่ออกมาเคลื่อนไหวจะพากันดิสเครดิตวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ได้ช่วยให้หลุดรอดคดีไปได้ แต่ก็ยิ่งทำให้พวกเขาฮึกเหิมว่า ตัวเองมีความชอบธรรมที่จะต่อสู้และยิ่งเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นตามแรงยุว่าที่ทำอยู่นั้นถูกต้องแล้ว
คนหนุ่มสาวเหล่านั้นก็พากันเอาหัวพุ่งชนกำแพงต่อไป ในขณะที่ปิยบุตร แสงกนกกุล ซึ่งแอบดันหลังเด็กอยู่ก่อนหน้านี้เพิ่งออกมาบอกให้พวกเขาเปลี่ยนวิธีการต่อสู้ เหมือนกับรู้ว่าสู้ไปแบบนี้ไม่มีวันที่จะชนะได้
ชะตากรรมที่เหลือของพวกเขาก็คือการเดินขึ้นโรงขึ้นศาลเพื่อต่อสู้คดี ที่นับว่ายิ่งจะเหน็ดเหนื่อย เพราะผู้คนข้างกายจะทยอยหายไปตามกาลเวลา และกว่าจะรู้ตัวว่าต้องต่อสู้ตามลำพัง เวลาของชีวิตก็สูญหายไปมากแล้ว
ที่สำคัญพวกเขาไม่ได้สู้กับอำนาจรัฐเท่านั้น แต่ต้องต่อสู้กับคนในสังคมไทยอีกมากที่ยังเชื่อมั่นว่าชาติไทยยังต้องอยู่บน 3 เสาหลักคือชาติ ศาสน์ กษัตริย์
ไม่รู้เลยว่าความคิดของคนสองฝั่งสองขั้วที่ขัดแย้งกันรุนแรงในทางความคิดจะปะทุเป็นความขัดแย้งและรุนแรงทางกายภาพจนเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นในชาติเมื่อไหร่ และมีเพียงเส้นด้ายบอบบางเท่านั้นที่ยังกีดขวางเอาไว้ไม่ให้คนไทยปะทะกันแบบที่เคยเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นมาแล้วในวันที่ 6 ตุลาคม 2519
ดูเหมือนระบอบประชาธิปไตยที่ว่ากำลังถดถอยทั่วโลก ก็ไม่ใช่เครื่องมือที่จะมาตัดสินเพื่อยุติความขัดแย้ง เพราะไม่ว่าฝ่ายไหนชนะอีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับการปกครอง และไม่รู้ว่าภาวะแบบนี้จะดำเนินไปนานเท่าไหร่ จะยุติลงได้อย่างไร ต่อให้คนรุ่นหนึ่งล้มหายตายจากไปแล้วคนรุ่นใหม่ขึ้นมาก็ไม่แน่ว่าความขัดแย้งแบบนี้จะหมดลงไปไหม
บ้านเมืองของเราจึงอยู่ในภาพที่ไม่มีทางออก นอกจากจะยอมรับว่าความขัดแย้งแบบนี้มันจะต้องมีอยู่และทนยอมรับกันไป หลังจากเราเคยชินกันมาแล้วเกือบสองทศวรรษ
ถ้าเราสังเกตตอนนี้คนในชาติแทบจะไม่มีเรื่องอะไรที่เป็นฉันทมติร่วมกันเลย แม้องค์การอนามัยโลกบอกว่า เราจะรับมือกับการจัดการโควิดได้ดี แต่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลก็โจมตีว่ารัฐบาลจัดการได้แย่กว่าชาติอื่น แม้คนกลุ่มหนึ่งจะบอกว่า รัฐบาลบริหารประเทศแบบเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุน แต่ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลก็ชื่นชอบแนวทางการบริหารแบบนี้
ภาวะที่คนในชาติแตกแยกทางความคิดแบบนี้ ก็ย่อมไม่มีผลดีต่อชาติ ไม่มีผลดีต่อส่วนรวม ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อประชาชนแบบเราทุกคน คนที่ได้ประโยชน์คือคู่ขัดแย้งของฝ่ายที่ช่วงชิงอำนาจกันที่ใช้เราเป็นเครื่องมือในการเป็นทัพหน้าให้กับพวกเขา
วันนี้เราคงต้องหันมาทบทวนว่าเราเป็นพลเมืองของชาติที่มีผลประโยชน์ร่วมกันหรือเป็นเครื่องมือของฝักฝ่ายที่พร้อมจะห้ำหั่นกันให้ตายกันไปข้างหนึ่ง ไม่มีการชุมนุมไหนที่ผู้นำตายมีแต่มวลชนเท่านั้นที่กลายเป็นเหยื่อของโศกนาฏกรรม และทิ้งความสูญเสียไว้ให้กับญาติมิตรและครอบครัวที่อยู่ด้านหลัง
วันนี้เรายึดมั่นประยุทธ์ วันนี้เรายึดมั่นทักษิณ วันนี้เรายึดมั่นธนาธรก็เพื่ออยากให้คนที่เรายึดมั่นขึ้นมามีอำนาจ แต่ถามว่าสิ่งเหล่านั้นได้นำพาชะตากรรมของเราไปสู่ชีวิตที่ดีไหม คำตอบคือไม่มีหรอก นอกเหนือจากเราจะต้องร่วมมือกันให้ใครก็ตามที่มีอำนาจต้องรับใช้ประชาชน และร่วมกันต่อต้านนักการเมืองที่ฉ้อฉลด้วยหัวใจที่เป็นหนึ่งเดียวกัน ในฐานะเจ้าของอำนาจที่แท้จริง
ในขณะที่ตัวผมเองก็เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง จนมีคดีความติดตัว คิดว่าเกือบสองทศวรรษมานี้เราน่าจะมีบทเรียนแล้วว่า การเป็นเครื่องมือของนักการเมืองนั้นประโยชน์ตกอยู่กับนักการเมืองไม่ใช่ประชาชน แต่ถ้าเรายังผ่านบทเรียนนี้ไปไม่ได้ความขัดแย้งที่เรากลายเป็นเครื่องมือของนักการเมืองก็ยังคงอยู่ตลอดไป และมันคืออาหารอันโอชะของผู้แสวงหาอำนาจ
ข้อเขียนนี้เขียนเพื่อทุกคนรวมถึงตัวเอง และหวังให้ทุกคนเผชิญกับทางออกที่ดีกว่าในปีใหม่ที่จะมาถึงนี้ สวัสดีปีใหม่ครับ
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan