xs
xsm
sm
md
lg

ประเทศที่มองไม่เห็นทางออก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ



ประชาชนส่วนหนึ่งในชาติถูกอีกฝ่ายเรียกว่าสลิ่มด้วยความหมายที่เหยียดหยามว่าไม่มีความคิดและสมองกว่าพวกตัวเอง แต่สลิ่มก็มองอีกฝ่ายว่าไม่มีความคิดและสมองเช่นเดียวกัน ทุกวันนี้ความขัดแย้งทางการเมืองทำให้เราเกลียดกันจนแทบไม่สามารถจะอยู่ร่วมกันได้ จนการเข้าร่วมกันในสังคมทุกวันนี้ มีข้อห้ามอย่างหนึ่งคือ ห้ามพูดเรื่องการเมือง

เพราะถ้าพูดเรื่องการเมืองเมื่อไหร่ก็จะทะเลาะกัน

สองฝ่ายต่างมองกันว่าอีกฝ่ายเป็นตัวถ่วงความเจริญในชาติ มองฝ่ายตัวเองดีฝ่ายตรงข้ามเลวเหมือนกันทั้งสองฝ่าย ราวกับว่า ผ้าผืนเดียวกันแต่มองเห็นเป็นคนละสีฝ่ายหนึ่งว่าขาวฝ่ายหนึ่งว่าดำ ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริง

เราแทบจะไม่มีพื้นที่เหลืออยู่เลยสำหรับความเชื่อว่าต่างฝ่ายต่างก็เป็นคนไทยที่ย่อมต้องมีความหวังดีต่อชาติของตัวเองเหมือนกัน

มวลชนแต่ละฝ่ายจะรับแต่ข้อมูลข่าวสารจากสื่อเลือกข้างที่เป็นฝ่ายเดียวกับตน และไม่เสพสื่ออีกฝั่ง เหมือนอยู่ในห้องเสียงสะท้อน (echo chamber) ห้องที่มีการสะท้อนเสียงกลับไปมา ข้อมูล ความคิด ความเชื่อหนึ่งๆ ถูกขยายหรือถูกสนับสนุนผ่านการสื่อสารและการทำซ้ำๆ ภายใน เชื่อโดยไม่มีการตั้งคำถามต่อข้อมูลและแหล่งที่มา มุมมองที่แตกต่างหรือท้าทายต่อข้อมูลเดิมมักถูกปิดกั้น หรือถูกนำเสนอน้อยกว่าข้อมูลที่สอดคล้องกัน

แม้ทุกวันนี้ทุกคนจะมีเครื่องมือในการสื่อสารของตัวเองที่เรียกว่าโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรืออื่นๆ เราก็พากันขังตัวเองไว้ในห้องที่มีคนที่มีความคิดเหมือนกับเรา และมองว่าความเห็นความคิดหรือการกระทำใดก็ตามของฝ่ายตรงข้ามเราเป็นสิ่งที่ผิด แม้เขาจะทำอย่างที่ฝ่ายที่เราชื่นชอบเคยทำ และถ้าฝ่ายที่เราชอบทำเราก็บอกว่าถูกต้อง แม้เราเคยบอกว่าฝ่ายตรงข้ามที่ทำแบบเดียวกันว่าไม่ถูกต้องก็ตาม

และทุกวันนี้อัลกอริทึ่มของโซเชียลมีเดียยังแสนรู้ เมื่อรู้ว่าเราชอบแบบไหน มีความคิดเห็นไปในทางไหนก็จะส่งให้เรารับรู้รับฟังแต่ในข้อมูลที่เราชอบ ด้วยการจารกรรมความคิดของตัวเรา ถ้าเราคุยโทรศัพท์เรื่องไหนกับเพื่อน หลังจากนั้นเฟซบุ๊กก็ป้อนโฆษณาและข้อมูลในเรื่องที่เราพูดมาตามหน้าไทม์ไลน์เต็มไปหมด

ดังนั้นปัจจัยเหล่านี้ แม้จะมีประโยชน์มหาศาลแต่มันกลายเป็นเครื่องมือที่กดทับความขัดแย้งแบ่งฝ่ายของเราให้จมปลักต่อไป

ความไม่มีเอกภาพของคนในชาติ ย่อมจะไม่มีผลดีต่อชาติ แต่กลายเป็นเครื่องมือโจมตีกันทางการเมือง จนกระทั่งยอมใช้ต่างชาติเป็นเครื่องมือเพื่อทำลายฝั่งตรงกันข้าม ซึ่งเราเห็นได้จากการเอาเรื่องในชาติของตัวเองไปฟ้องชาติอื่นเพื่อดึงให้เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในประเทศของตัวเอง เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าคนในชาติสามัคคีกัน

นอกจากสื่อต่างเลือกข้างความเชื่อของตัวเอง เป็นเครื่องมือปกป้องฝ่ายเดียวกันและโจมตีฝ่ายตรงข้าม นักวิชาการปัญญาชนก็ต่างเลือกข้างเช่นเดียวกัน ต่างออกมาสนับสนุนความคิดฝ่ายตัวเองว่าถูก และโจมตีความคิดฝ่ายตรงข้ามว่าผิดเหมือนกันทั้งสองฝ่าย จนแทบจะไม่สามารถหาสิ่งที่เห็นชอบร่วมกันได้

นักการเมืองก็ได้ประโยชน์จากความแตกแยก เพราะแม้จะถูกโจมตีจากอีกฝ่าย ก็จะมีอีกฝ่ายออกมาสนับสนุนและหาเหตุผลเข้าข้างอยู่เสมอ เพราะต่างฝ่ายต่างเชื่อว่ามีมวลชนของตัวเองที่พร้อมรับฟังและพร้อมจะเชื่ออยู่ในห้องสะท้อนเสียง

ถ้าประชาชนไม่แตกแยกกันและพิจารณาเรื่องต่างๆ ด้วยเหตุผลมากกว่าความเชื่อแบบเลือกข้าง การเสนอนโยบายและการแสดงความคิดของนักการเมืองก็จะต้องใช้ความใคร่ครวญมากกว่าที่เป็นอยู่

คนกลุ่มหนึ่งเชื่อว่า รัฐบาลประยุทธ์ดีฝั่งตรงข้ามเป็นคนเลว คนส่วนหนึ่งเชื่อว่าทักษิณดีและรัฐบาลที่ครองอำนาจอยู่เป็นคนเลวที่ทำให้ชาติบ้านเมืองเสียหาย ต่างสามารถหาเหตุผลมาอธิบายเพื่อสนับสนุนความเชื่อของตัวเอง และหาเหตุผลมาโจมตีฝ่ายตรงข้ามได้ทั้งสองฝ่าย

ถามว่าจะมีวันที่ประชาชนกลับมามีความสามัคคีและต่างถอดสีเสื้อการเมืองออกได้หรือไม่ ตอบได้เลยว่า ความสมานฉันท์ของประชาชนไม่มีวันจะกลับมาอีกแล้ว เพราะต่างฝ่ายต่างเชื่อว่าตัวเองถูกและอีกฝ่ายผิด ดังนั้นเมื่อเชื่อว่าตัวเองถูกก็ไม่จำเป็นต้องทบทวนความคิดทางการเมืองของตัวเอง

เราอาจจะบอกว่าความเห็นที่แตกต่างกันเป็นเรื่องที่ดีในระบอบประชาธิปไตย แต่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันไปไกลกว่านั้น เพราะความแตกต่างกันจะเป็นเรื่องที่ดีได้ ทั้งสองฝ่ายต้องเคารพความคิดของกันและกัน แต่ที่เป็นอยู่ต่างฝ่ายต่างมองว่าความคิดความเชื่อของอีกฝ่ายนั้นเป็นเรื่องชั่วร้ายที่เป็นตัวทำลายชาติบ้านเมือง ดังนั้นต้องทำลายล้างกันให้สิ้นซากเท่านั้น

ทุกวันนี้ความชิงชังระหว่างกันไปไกลถึงการมองว่าชีวิตของอีกฝ่ายไม่มีค่า เราสะใจเมื่ออีกฝ่ายดับขัยถูกเข่นฆ่าและทำลาย ความรักและความเมตตาซึ่งเป็นคุณสมบัติของมนุษย์แทบจะหายไปถ้าไม่ใช่ฝ่ายเดียวกัน

นักการเมืองสองฝ่ายต่างได้ประโยชน์จากความขัดแย้งแตกแยกของคนในชาติแบบนี้ เพราะไม่ว่าทำอะไรจะดีหรือเลวก็มีมวลชนฝ่ายตัวเองให้ความสนับสนุนเสมอ ไม่มีความคิดที่ว่าประชาชนต้องเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อตรวจสอบผู้มีอำนาจ และผู้มีอำนาจก็ไม่ต้องใช้ความระมัดระวังในการออกนโยบายเพราะอย่างไรเสียมวลชนที่สนับสนุนฝั่งตัวเองก็จะสนับสนุนเสมอ ไม่ว่าฝ่ายไหนจะมีอำนาจก็เป็นอย่างนี้ทั้งสองฟากฝั่ง

ความขัดแย้งแตกแยกจึงกลายเป็นเหยื่ออันโอชะของนักการเมืองที่ไม่ต้องทำอะไรที่เอาใจและเรียกร้องฉันทมติจากประชาชนทั้งชาติ เพราะไม่ว่าทำอะไรก็มีประชาชนอีกฝ่ายเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้เสมอ และไม่ต้องสนใจประชาชนที่เป็นมวลชนของอีกฝ่าย

ลองทบทวนกันดูสิว่าความขัดแย้งยาวนานของประชาชนกว่าสองทศวรรษนั้นมันสามารถขับเคลื่อนบ้านเมืองให้ไปสู่หนทางที่ก้าวหน้าที่เห็นพ้องต้องกันได้ไหม นอกจากฝ่ายหนึ่งบอกว่าที่เป็นอยู่ดีแล้วและอีกฝ่ายมองว่าถดถอยและย่ำแย่เกินกว่าจะยอมรับได้ และไม่ว่าฝ่ายไหนจะขึ้นครองอำนาจก็จะถูกต่อต้านคัดค้านบนท้องถนนไม่ต่างกัน

สภาวะความเป็นเอกภาพในชาติที่เป็นเครื่องมือที่ดีในการขับเคลื่อนบ้านเมืองเพื่อการแข่งขันบนโลกใบนี้ไม่มีวันจะเกิดขึ้นได้เลย

ความขัดแย้งในชาติจากการแบ่งฝ่ายทางการเมืองกำลังถูกถ่ายทอดไปเป็นความขัดแย้งของคนต่างรุ่นที่ลุกลามขึ้นเรื่อยๆ คนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งมีความคิดว่าบ้านเมืองที่เป็นอยู่นั้นต้องการการเปลี่ยนแปลงที่ฉับพลันแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน จนกลายเป็นเครื่องมือของบางฝ่ายที่ต้องการช่วงชิงอำนาจทางการเมืองจนพร้อมจะทำลายความรักและศรัทธาของคนในชาติจำนวนหนึ่ง

และความเชื่อที่แตกต่างกันนั้นไม่ได้มุ่งมั่นที่จะชนะกันด้วยเหตุผลความชอบธรรมเพื่อแสวงหาทางออกที่ถูกฝ่ายยอมรับด้วยกันเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อชาติบ้านเมือง แต่มุ่งเน้นกันที่ความเกลียดชังและมองเห็นฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรูที่ต้องทำลายให้สิ้นซาก

ใครมีทางออกไหมว่าเราจะทำให้คนในชาติสองฝั่งความคิดกลับมาเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น