“รสนา” ส่งหนังสือถึงนายกฯ ระงับรับมอบ ATK 7 ก.ย. นี้ ชำแหละส่อทุจริต ตั้งแต่การที่ อภ.ควรสั่งซื้อโดยตรงจากต่างประเทศ กลับผ่านพ่อค้าคนกลางทำให้ได้ราคาแพงกว่า อีกทั้งตอนเสนอราคาเป็นบริษัทออสแลนด์ แต่พอจะทำสัญญากลับเป็นบริษัทเวิลด์ เมดิคอลฯ ที่อ้างว่าเป็นกิจการร่วมค้า ชี้หากขืนตรวจรับ-จ่ายเงิน อาจผิดกฎหมายทั้งแพ่ง-อาญา
วันที่ 6 ก.ย. 2564 น.ส. รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว. กทม. โพสต์เฟซบุ๊กว่า ...
รสนาส่งหนังสือเรียนนายกฯให้กำกับดูแล การจัดซื้อATK ให้ถูกต้องตามกฎหมาย
วันนี้ (6 กันยายน) ดิฉันส่งหนังสือลงทะเบียนตอบรับถึงนายกรัฐมนตรี รายงานข้อเท็จจริงการจัดซื้อ ATK ที่ส่อว่าทุจริต และไม่ทำตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ 2560 และข้อบังคับขององค์การเภสัชกรรมว่าด้วยการพัสดุเพื่อการผลิตและจำหน่าย 2561 เพื่อให้ท่านนายกรัฐมนตรีสั่งการระงับการรับมอบ ATK จนกว่าจะตรวจสอบข้อกฎหมายแล้วเสร็จ และได้ส่งสำเนา น/ส กราบเรียนนายกรัฐมนตรีถึง รมว.สาธารณสุข, ปลัด ก.สธ., ผอ.องค์การเภสัชกรรม และเลขาธิการ สปสช.โดยมีเนื้อหาในหนังสือดังนี้
ตามที่ องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ได้รับมอบหมายจากโรงพยาบาลราชวิถี ให้ดำเนินการจัดหาชุดตรวจโควิด-19 แบบตรวจหาแอนติเจนด้วยตนเอง (COVID-19 Antigen self-test Test Kits : ATK) จำนวน 8.5 ล้านชุด เป็นการเร่งด่วน ตามโครงการพิเศษของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำหรับให้ประชาชนใช้ตรวจคัดกรองเชิงรุก และในวันที่ 10 สิงหาคม 2564 อภ.ได้ให้บริษัทผู้จำหน่าย ATK จำนวน 19 บริษัท (จากที่เชิญไป 24 บริษัท) เข้าร่วมเสนอราคา คณะกรรมการพิจารณาในขั้นต้นแล้วพบว่ามีบริษัทที่มีคุณสมบัติเป็นไปตามข้อกำหนด และสามารถส่งมอบได้ตามกำหนด 16 บริษัท จึงได้ทำการเปิดซองราคา ปรากฏว่า บริษัท ออสท์แลนด์ แคปปิตอล จำกัด เป็นผู้ที่เสนอราคาต่ำสุด
ต่อมาเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม องค์การเภสัชกรรมทำสัญญากับบริษัท เวิลด์ เมดิคอล อัลไลแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ทั้งที่ไม่ใช่ผู้ที่ได้รับหนังสือเชิญเข้าเสนอราคาและผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ แต่องค์การเภสัชกรรมชี้แจงยืนยันว่าผู้ยื่นซองราคา ATK 8.5 ล้านชุด คือ บริษัท เวิลด์ เมดิคอลฯ โดยได้รับการแต่งตั้งจากบริษัท ออสท์แลนด์ฯ เป็นผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
ข้าพเจ้าเห็นว่ากระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ATK ขององค์การเภสัชกรรมน่าจะไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุ ภาครัฐ พ.ศ 2560 และกฎหมายกับระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องซึ่งอาจทำให้รัฐเกิดความเสียหายในอนาคต
ข้าพเจ้ามีข้อสังเกตถึงความไม่สุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง ATK ดังนี้
1. การจัดซื้อจัดจ้างขององค์การเภสัชกรรมต้องปฏิบัติตาม “ข้อบังคับว่าด้วยการพัสดุเพื่อการผลิตและจำหน่าย พ.ศ.2561 “ ซึ่งตามข้อ 23(4) หากเป็นพัสดุที่ต้องซื้อโดยตรงจากต่างประเทศ ต้องเสนอผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรมเพื่อติดต่อสั่งซื้อโดยตรงจากต่างประเทศ จะจัดซื้อโดยวิธีอื่นไม่ได้ แต่การจัดซื้อ ATK ไม่ได้ใช้วิธีการสั่งซื้อโดยตรงจากต่างประเทศ ซึ่งได้ราคาถูกกว่า แต่กลับใช้วิธีคัดเลือก ซึ่งทำให้ได้ราคาสูง เพราะต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง จึงเป็นการจัดซื้อที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
2. ตามข้อ 11(1) การจัดซื้อโดยวิธีคัดเลือกต้องเป็นการจัดซื้อจากผู้ขายซึ่งผ่านการคัดเลือกและขึ้นบัญชีไว้กับองค์การเภสัชกรรม และตามข้อ 16 การคัดเลือกผู้ขายเพื่อขึ้นบัญชีไว้ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อ 16(1) ถึง (4) ด้วย โดยเฉพาะตามข้อ 16(2)(ค) ผู้ที่จะได้รับการพิจารณาคัดเลือกเพื่อขึ้นบัญชีผู้ขายสินค้าให้องค์การเภสัชกรรม ต้องมีคุณสมบัติตามที่”คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือก”ขององค์การเภสัชกรรมกำหนดไว้เมื่อบริษัทออสแลนด์ฯเป็นผู้ผ่านการคัดเลือกและขึ้นบัญชีผู้ขายไว้กับองค์การเภสัชกรรม และกรรมการพิจารณาคัดเลือกได้ส่งหนังสือเชิญให้บริษัทออสแลนด์ฯเข้าเสนอราคา และบริษัทออสแลนด์ฯได้ยื่นซองเสนอราคาและได้รับการคัดเลือกโดยมีคะแนนสูงสุด องค์การเภสัชกรรมจึงต้องทำสัญญากับบริษัทออสแลนด์ฯการทำสัญญากับบริษิษัทเวิลด์ เมดิคอลฯจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
3. สรุปแล้วการจัดซื้อครั้งนี้ฝ่าฝืนกฎหมายคือ
3.1) ข้อบังคับฯ ข้อ 23(4) คือองค์การเภสัชกรรมไม่สั่งซื้อโดยตรงจากผู้ขายในต่างประเทศซึ่งทำให้ได้ราคาถูกกว่าการสั่งซื้อโดยวิธีคัดเลือก 3.2) การจัดซื้อโดยวิธีคัดเลือกไม่สามารถทำได้ เพราะต้องสั่งซื้อโดยตรงจากต่างประเทศตามข้อ 23
(4)ดังกล่าวมาแล้วเท่านั้น แต่เมื่อมีการจัดซื้อโดยวิธีคัดเลือกก็เป็นการจัดซื้อที่ขัดต่อข้อ 16 เพราะในที่สุดองค์การเภสัชกรรมไม่ได้ทำสัญญากับบริษัท ออสท์แลนด์ฯ ซึ่งเป็นบริษัทที่องค์การเภสัชกรรมได้ขึ้นบัญชีผู้ขายไว้และเป็นผู้ชนะการคัดเลือก ข้ออ้างที่ว่าบริษัท เวิลด์ เมดิคอลฯ เป็นผู้แทนจำหน่ายของบริษัท ออสท์แลนด์ฯ ตาม Certification of Authorized Distributor ไม่ทำให้บริษัท เวิลด์ เมดิคอลฯ มีอำนาจทำสัญญากับองค์การเภสัชกรรม เพราะหนังสือดังกล่าวเป็นเพียงให้สิทธิ บริษัท เวิลด์ เมดิคอลฯ จำหน่าย ATK ให้ผู้ซื้อทั่วไป
แต่การจำหน่ายให้องค์การเภสัชกรรมนั้น ผู้ขายต้องเป็นบริษัทที่องค์การเภสัชกรรมได้พิจารณาคัดเลือกและขึ้นบัญชีไว้ตามข้อบังคับฯ ข้อ 16 เมื่อบริษัท เวิลด์ เมดิคอลฯ ไม่ใช่บริษัทที่องค์การเภสัชกรรมได้ขึ้นบัญชีผู้ขายไว้และมิได้เป็นผู้ชนะการคัดเลือก จึงไม่อาจเป็นคู่สัญญากับองค์การเภสัชกรรมได้ และข้ออ้างที่ว่าบริษัท เวิลด์ เมดิคอลฯ เป็น Joint Venture กับบริษัท ออสท์แลนด์ฯ ก็ไม่มีการนำหลักฐานการจดทะเบียนเป็นกิจการร่วมค้า (Joint Venture) ต่อกรมสรรพากรและบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีที่กรมสรรพากรออกให้มาแสดงแต่อย่างใด
ประการสำคัญ ไม่มีการขอขึ้นบัญชีผู้ขายต่อองค์การเภสัชกรรมในนามของ “กิจการร่วมค้าออสท์แลนด์ฯ และ เวิลด์ เมดิคอลฯ” ซึ่งเป็นหน่วยภาษี (Tax Entity) แยกต่างหากจากบริษัทออสแลนด์ฯหรือบริษัท เวิลด์ เมดิคอลฯ ตามกฎหมาย
4. เมื่อการทำสัญญาซื้อขาย ATK ระหว่างบริษัท เวิลด์ เมดิคอลฯ กับองค์การเภสัชกรรมไม่ชอบด้วยกฎหมาย บริษัท เวิลด์ เมดิคอลฯ จึงมิได้เป็นคู่สัญญากับองค์การเภสัชกรรม ทั้งไม่อาจมีการรับมอบ ATK และ สปสช.ไม่อาจจ่ายเงินค่าสินค้าให้แก่บริษัทเวิลด์ เมดิคอลฯได้ ขืนตรวจรับและจ่ายเงินไปย่อมเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและมีความรับผิดทางแพ่งเกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งผู้ต้องรับผิดทางอาญามีทั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรมและผู้เกี่ยวข้อง ใช่หรือไม่
การที่ข้อบังคับฯ ข้อ 23(4) กำหนดให้การจัดซื้อโดยตรงจากต่างประเทศ องค์การเภสัชกรรมต้องเป็นผู้จัดซื้อเอง ซึ่งสามารถต่อรองราคาได้ ทำให้ได้ราคาถูกกว่า เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ แต่ฝ่าฝืนไม่จัดซื้อตามวิธีนี้ กลับไปใช้วิธีคัดเลือกซึ่งทำให้ต้องซื้อในราคาที่สูงกว่ามาก เพราะต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง ทำให้รัฐต้องจ่ายเงินมากกว่าที่ควรจ่าย ย่อมเป็นพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่าการสั่งซื้อ ATK ครั้งนี้ไม่สุจริต ไม่โปร่งใส มีผลประโยชน์แอบแฝง ใช่หรือไม่
ข้าพเจ้าได้ร้องเรียนให้องค์กรภายในคืออธิบดีกรมบัญชีกลาง และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ซึ่งเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญในการตรวจสอบ แต่เนื่องจากจะมีการเดินหน้าส่งมอบสินค้า ATK ภายในวันที่ 7 กันยายนนี้ตามคำสัมภาษณ์ขององค์การเภสัชกรรมที่สื่อมวลชนได้รายงาน
ข้าพเจ้าเห็นว่าเรื่องนี้จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อเงินของแผ่นดิน จึงขอร้องเรียนมาถึง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ผู้บังคับบัญชาข้าราชการในทุกหน่วยงานได้รับทราบข้อเท็จจริงดังกล่าว และเพื่อพิจารณาให้ยุติการรับมอบสินค้าและจ่ายเงินค่าสินค้าดังกล่าว ไม่ให้เกิดความเสียหายต่อเงินแผ่นดินในท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดที่ส่งผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดินมหาศาล จึงไม่ควรมีการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินอย่างไม่โปร่งใส ไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ
จึงกราบเรียนมาเพื่อสั่งการโดยเร่งด่วน
รสนา โตสิตระกูล
6 กันยายน 2564