ข่าวจับบ่อนกลางกรุงกำลังเป็นเรื่องฉาวโฉ่ ขนาดเปิดโร่ใหญ่โตขนาดนั้นก็ยังไม่มีใครรู้ จนกระทั่งเกิดยิงกันตายถึง ๔ ศพ ซ้ำคนถูกยิงยังเป็นนายตำรวจเสียด้วย แต่กระนั้น ตร.ก็ยังไม่กล้าเข้าไป คงจะกลัวว่ามีการวางกับระเบิดไว้ ต้องรอให้เคลียร์เรียบร้อยเสียก่อนจึงเข้าไป เลยเป็นข่าวขำขันปนสลดใจสนั่นเมือง
ความจริง “ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” อย่างที่ท่านอดีตอธิบดีกรมตำรวจผู้สร้างกรมตำรวจจนเป็นกองทัพได้กล่าวไว้ ขนาดบ่อนเหมาเรือเดินสมุทรไปลอยน้ำเล่นกันอยู่กลางทะเลห่างฝั่งลิบลับ หากตำรวจเอาเรือออกไปจับก็จะรู้ตัวได้แต่ไกล มีเวลาเคลียร์ให้หาหลักฐานไม่ได้ แต่ตำรวจไทยกลับเอา ฮ.ไปโรยตัวลงจับ เงินเป็นกองยังเก็บไม่ทัน ลากเอาตัวมาขึ้นศาลได้ทั้งหมด แสดงว่าไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยจะทำไม่ได้ ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า “จะทำอะไรเท่านั้น”
ในยุคนั้นเป็นยุคแรกๆที่บ่อนคาร์สิโนใหญ่เปิดกันเป็นดอกเห็ดอยู่ที่ฝั่งปอยเปต กัมพูชา ติดชายแดนไทยด้านจังหวัดสระแก้ว ดูดเงินไทยไปมหาศาลจากคนที่หลงใหลการพนัน ทางการไทยจึงเข้มงวดกวดขันการเข้าออกทางด่านนี้เป็นพิเศษ ทำให้นักพนันไทยไปบ่อนไม่ค่อยสะดวก คงเพราะทางบ่อนยังไม่มีการเคลียร์ นักธุรกิจบ่อนในปอยเปตจึงหาวีธีใหม่ เช่าเรือสำราญขนาดใหญ่เปิดบริการนำเที่ยวบังหน้า แต่เจตนาก็คือเปิดบ่อนกลางทะเล อ้างกับนักพนันว่าจะเปิดให้เล่นเมื่อเรือออกนอกเขตน่านน้ำไทย กฎหมายเอื้อมมือไปไม่ถึง ให้นักการพนันมั่นใจว่าปลอดภัยแน่นอน มีการนำพาสปอร์ตไปตีตราออกนอกประเทศเรียบร้อย แต่ความจริงไม่แล่นออกไปให้เสียน้ำมัน วนเวียนอยู่ในอ่าวไทย บางรายการบอกจะไปเกาะกง ก็วนอยู่แค่เกาะในเขตภาคตะวันออก เป็นการตบตาตำรวจไทย ยุทธการสายฟ้าแลบจึงเกิดขึ้น
ก่อนปฏิบัติการครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้รับการร้องเรียนว่ามีการใช้เรือสำราญเปิดบ่อนกันกลางอ่าวไทย เล่นได้เสียไม่ต่ำกว่าวันละ ๑๐๐ ล้านบาท จึงให้เลขานุการนายกรัฐมนตรีประสานไปยัง พล.ต.ท.วงกต มณีรินทร์ ผบช.ก ตรวจสอบ
จากการประชุมเพื่อปฏิบัติการครั้งนี้ ซึ่งประกอบด้วย พล.ต.ต.ภานุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร ผู้ช่วย ผบก.ช. พล.ต.ต.โกสินทร์ หินเธาว์ ผบก.ป. พล.ต.ต.ธวัชชัย เทียมทัน ผบก.รน. และ พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น ผบก.ทท.จึงสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาส่งชุดสืบสวนออกหาข่าวทันที
การหาข่าวดำเนินไป ๓ วัน ชุดสืบสวนได้ข้อมูลตรงกันว่า เรือสำราญชื่อ “โอเวีย” สัญชาติยูเครน เป็นเรือท่องเที่ยวระวางขับน้ำ ๑๖,๐๐๐ ตัน สูง ๙ ชั้น ความยาว ๑๖๐ เมตร กว้าง ๒๕ เมตร ให้บริการนำเที่ยวชมเกาะแก่งในอ่าวไทย แต่ชั้นที่ ๗ ของเรือมีการเปิดเป็นบ่อนใหญ่ ภายใต้การบริหารของนักธุรกิจใหญ่ เจ้าของฉายา “ตือ คอสโม” ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจค้าน้ำมันเครื่อง แต่เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงการพนัน และเป็นเจ้าของบ่อนการพนันที่ปอยเปตด้วย
ก่อนวันปฏิบัติการ แผนจู่โจมถูกกำหนดอย่างรัดกุม โดยหน่วยคอมมานโดจากกองปราบ ๒๐ นาย รับคำสั่งจาก พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รอง ผบก.ป. และ พ.ต.อ.พงษ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ ผบก.๒ ป.จะใช้เฮลิคอปเตอร์ของกองบิน ตร. ๒ ลำ บุกจู่โจมจากด้านบน โรยตัวลงบนดาดฟ้าเรือ ขณะที่กำลังอีกส่วนหนึ่งใช้เรือตรวจการณ์ ๒ ลำของ ตร.น้ำ และของเจ้าท่าอีก ๑ ลำ เข้าประกบซ้ายขวา
แผนปฏิบัติการครั้งนี้เป็นความลับสุดยอด ผู้ปฏิบัติการณ์ทุกคนรวมทั้งผู้บังคับบัญชาถูกสั่งให้ปิดมือถือและวิทยุสื่อสารทั้งหมด งดการติดต่อกับบุคคลอื่นจนกว่าจะปฏิบัติการลุล่วง
เวลา ๐๔.๐๐ น.ของวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๔๖ กำลัง ตร.ทุกนายพร้อมกัน ณ จุดนัดหมาย ทุกอย่างเตรียมพร้อม รออย่างเดียวเพียงคำสั่งจาก พล.ต.ท.วงกต มณีรินทร์เท่านั้น แต่สภาพอากาศเกิดไม่อำนวย ทัศนวิสัยในอ่าวไทยในเช้ามืดวันนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค เรดาร์ไม่สามารถหาพิกัดเรือสำราญได้ แผนการจึงต้องชะลอไว้
จนกระทั่ง ๐๙.๐๐ น. ท้องฟ้าเริ่มเปิด สัญญาณบนจอเรดาร์ปรากฏเป้าหมายอยู่ห่างจากฝั่งออกไป ๒๐ ไมล์ทะเล บริเวณเกาะสาก อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ความตื่นตัวกลับมาสู่ชุดปฏิบัติการอีกครั้ง หน่วยคอมมานโดทั้ง ๒๐ วิ่งขึ้น ฮ.ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เวลาเดียวกับที่เรือตรวจการณ์ทั้ง ๓ ลำทะยานออกทะเล
เรือสำราญที่เป็นบ่อนลอยน้ำลอยลำอยู่เห็นได้ชัดขึ้นทุกทีขณะที่เฮลิคอปเตอร์และเรือตรวจการณ์พุ่งเข้าสู่เป้าหมาย พอได้จังหวะคอมมานโดจากเฮลิคอปเตอร์ก็โรยตัวจากเชือกลงสู่ดาดฟ้าเรือ แล้วบุกขึ้นไปที่ชั้น ๗ ซึ่งเป็นบ่อน ขณะที่อีกส่วนหนึ่งลงไปที่ท้องเรือ เปิดประตูให้ ตร.จากเรือตรวจการณ์ เข้าควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ทั้งหมด
ผู้โดยสารในเรือต่างตกใจไม่รู้สาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น บางคนก็คิดว่าถูกผู้ก่อการร้ายยึดเรือ แต่เหล่าพนันเดาออก จึงรีบวิ่งเข้าห้องล็อคประตูอ้างว่าเป็นนักท่องเที่ยว แต่นักท่องเที่ยวจริงหรือนักท่องเที่ยวปลอม ตร.ตรวจได้ไม่ยาก เพราะทางบ่อนเองติดโทรทัศน์วงจรปิดไว้ เป็นหลักฐานให้ตำรวจได้อย่างดี
ขั้นแรก ตร.จับกุมนักพนันไว้ได้ ๕๘ คน พร้อมกับเงินสดของกลางเกือบ ๑๐ ล้านบาท และชิพแลกเงินอีก ๒,๐๐๐ ล้านบาท
บ่อนลอยน้ำแห่งนี้ร่วมกับบริษัทนำเที่ยว จัดนักท่องเที่ยวไปชมเกาะแก่งในอ่าวไทย โดยมีเรือเล็กรับจากท่าเรือ บี.เอ็ม.ถนนสุขสวัสดิ์ ตำบลบางปลากด อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ ในวันพฤหัสและศุกร์ในเวลา ๒๐.๐๐ น. ไปขึ้นเรือใหญ่อีกทีหนึ่ง เที่ยวนี้ออกเดินทางไปตั้งแต่วันที่ ๒๑ ตุลาคม กลับวันที่ ๒๓ ตุลาคม มีโปรแกรมพาไปชมเกาะสมุย เกาะพงัน ทางภาคใต้ แล้ววกมาเกาะกูดภาคตะวันออก แต่แจ้งกับ ตม.ว่าจะไปเกาะกงในกัมพูชา และออกเดินทางแบบนี้มา ๔๗ เที่ยวแล้ว
อัตราค่าเดินทางสำหรับนักท่องเที่ยว ๒๐,๐๐๐-๑๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนนักพนันไม่เสียเงิน แต่จะต้องแลกชิพ ๕๐,๐๐๐ บาทสำหรับเล่นการพนัน
นักท่องเที่ยวจะต้องประทับตราหนังสือเดินทางที่ทางบ่อนจะจัดให้ โดยประทับตราขาออกที่ด่าน ตม.พระสมุทรเจดีย์ และไปประทับตราขาเข้าที่ ตม.แหลมงอบ จังหวัดตราด แต่ความจริงไม่ได้ออกจากน่านน้ำไทยไปไหนเลย
สภาพในเรือเหมือนโรงแรม ๕ ดาว มีทั้งห้องอาหารและห้องคาราโอเกะ เรือสำราญประเภทนี้ส่วนใหญ่จะมีห้องกาสิโนอยู่ด้วย แต่ก็เป็นเพียงห้องเล็กๆสำหรับบริการแขกที่ชอบเสี่ยงโชค แต่ห้องกาสิโนของ “โอเวีย” เปิดเป็นห้องใหญ่มโหฬาร มีโต๊ะพนัน ๑๘ โต๊ะ เป็นโต๊ะบัคคาร่า ๑๖ โต๊ะ และโต๊ะรูเล็ตกับโต๊ะแบรคแจ๊คอย่าง ๑โต๊ะ
“เรือลำนี้ดำเนินการโดยคนไทย ลูกเรือเป็นชาวยูเครน ผู้ต้องหาก็เป็นคนไทย ที่น่าเกลียดที่สุดก็คือมีเด็กๆตามพ่อแม่มาเที่ยวด้วย อายุประมาณ ๑๐ ขวบก็เห็นตัวอย่างที่ไม่ดีแล้ว” พล.ต.ท.วงกต มณีรินทร์ ผบช.ก.บอกนักข่าว
ตร.ได้นำเรือไปเทียบท่าที่สมุทรปราการ เพื่อสอบสวนดำเนินคดีต่อไป รวมทั้งหาหลักฐานจากกล้องวงจรปิดของเรือว่าใครที่เล่นการพนันบ้าง และได้ยึดพาสปอร์ตของทุกคนในเรือกว่า ๔๐๐ เล่ม เพื่อตรวจดูการเข้าออกประเทศของคนกลุ่มนี้ และให้ ตร.น้ำกับ ตร.ท่องเที่ยวหาหลักฐานว่าใครเป็นคนเช่าเรือลำนี้มาดำเนินการ เพื่อออกหมายจับคนที่เช่าเรือต่อไป
พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ผบ.ตร. กล่าวว่า ก่อนการจับกุมได้สอบสวนจนมั่นใจแล้วว่ามีการกระทำความผิดในน่านน้ำไทยจริง จึงอนุมัติให้จับ ในกรณีนี้มีตำรวจขึ้นไปเป็นสายอยู่ในเรือจึงทราบความเคลื่อนไหวทั้งหมด ต่อไปจะต้องกวดขันการกระทำความผิดในลักษณะเดียวกัน เพื่อให้เป็นมาตรฐาน ตามปกติการเล่นการพนันนอกน่านน้ำไทยสามารถทำได้ แต่นี่เล่นในน่านน้ำไทย”
ผู้ต้องหาทั้ง ๕๘ คนรับสารภาพ พนักงานสอบสวนจึงสอบปากคำไว้เป็นหลักฐาน แล้วให้ประกันตัวไปคนละ ๑๐,๐๐๐ บาท ส่วนกลุ่มผู้จัดคนละ ๒๐,๐๐๐ บาท นัดมาพบในเช้าวันที่ ๒๕ ตุลาคมในเวลา ๐๘.๓๐ น.เพื่อนำตัวไปฟ้องที่ศาลแขวงพระนครเหนือ โดยแบ่งผู้ต้องหาเป็น ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มผู้กระทำความผิดฐานลักลอบเล่นการพนัน เป็นชาย ๒๔ คน อายุ ๓๐-๖๘ ปี เป็นหญิง ๑๙ คน อายุ ๒๘-๖๕ ปี ส่วนกลุ่มที่ ๒ คือกลุ่มที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนัน มีจำนวน ๑๕ คน เป็นคนแจกไพ่และคนให้แลกชิพ
ศาลพิเคราะห์เห็นว่าจำเลยกระทำความผิดจริง จึงพิพากษาให้จำคุกนายชูศักดิ์ ๒ กระทง ฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนัน เป็นเวลา ๓ เดือน และเป็นเจ้ามืออีก ๓ เดือน รวม ๖ เดือน โดยไม่มีการรอลงอาญา ซึ่งศาลให้เหตุผลที่ไม่รอลงอาญาหรือลดโทษให้ ก็เพราะถูกจับขณะเล่นการพนัน พร้อมเงินสดและอุปกรณ์จำนวนมาก
พนักงานแจกไพ่และพนักงานแลกชิพ รวม ๑๓ คน ให้จำคุกคนละ ๒ ปี แต่โทษจำให้เปลี่ยนเป็นกักขังแทน
ส่วนนักพนัน ๔๔ คน ให้จำคุกคนละ ๒ เดือน ปรับคนละ ๒,๐๐๐ บาท โทษจำให้รอลงอาญา ๑ ปี ริบของกลาง
ส่วนเรือ “โอเวีย” ไม่สามารถยึดได้ เพราะเป็นเรือต่างชาติที่เจ้าของให้เช่าโดยชอบ
ความจริงการจับบ่อนการพนันครั้งนี้ ก็เป็นเพียงการจับบ่อนการพนันครั้งหนึ่งเท่านั้น แต่วิธีการเปิดบ่อนก้าวหน้ากว่าบ่อนทั่วไป และภาพที่หน่วยคอมมานโดโรยตัวจากเฮลิคอปเตอร์ลงมาที่ดาดฟ้าเรือ เป็นภาพตื่นตาตื่นใจที่ปรากฏอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์เช้าวันรุ่งขึ้นให้พูดถึงกันทั้งเมือง และจะเป็นภาพที่จารึกไปอีกนาน ในประวัติการปราบปรามบ่อนการพนันของตำรวจไทย