“จ่าจำปา” เหยื่อคลิปข่าวผู้ว่าฯ ตรัง ได้กลับไปดูแลแม่ กองทัพภาคที่ 4 สั่งลดโทษจำขังจาก 45 วัน เหลือ 7 วัน ออกจากเรือนจำ มทบ.43 วันนี้ อ้างไม่ใช่กระแสสังคมกดดัน ระบุเหตุผล ถึงผิดวินัยทหารแต่เจตนาต้องไปดูแลแม่ที่ป่วยหนัก และสำนึกผิดจริง ประกอบกับไม่เคยทำผิดวินัยร้ายแรงมาก่อน
จากกรณีที่ จ.ส.อ.พีรศักดิ์ จำปา หรือ “จ่าจำปา” ทหารประจำหมวดกองร้อยลาดตระเวนระยะไกลที่ 5 กองพลทหารราบที่ 5 ค่ายเทพสตรีศรีสุนทร ต.กะปาง อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ถูกสั่งลงทัณฑ์โดยการจำขัง 45 วัน ณ เรือนจำมณฑลทหารบกที่ 43 และส่งไปฝึกที่ศูนย์ฝึกธำรงวินัย กองทัพภาคที่ 4 พร้อมสั่งงดบำเหน็จประจำปี 2563 (ครึ่งปีหลัง) หลังมีข่าวปรากฏในสื่อมวลชนและสื่อสังคมออนไลน์ กล่าวหาโต้เถียงกับนายลือชัย เจริญทรัพย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ที่ด่านตรวจบนถนนแห่งหนึ่ง หมู่ 9 ต.หนองบัว อ.รัษฎา จ.ตรัง แม้ จ.ส.อ.พีรศักดิ์ ยอมกลับไปใช้เส้นทางหลักเพื่อไปจังหวัดตรัง แต่กลับมีคลิปที่สื่อมวลชนเผยแพร่ตัดต่อเฉพาะขณะที่ จ.ส.อ.พีรศักดิ์ แสดงกิริยาไม่เหมาะสมเท่านั้น ก่อให้เกิดความไม่พอใจในโซเชียลมีเดีย ตั้งคำถามว่าลงโทษรุนแรงเกินไปหรือไม่ ขณะที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ยืนยันว่าในการลงทัณฑ์ถือว่าปฏิบัติถูกต้องแล้ว แต่ขอให้ พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 และ พล.ต.ศานติ ศกุนตนาค ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 5 ลงไปช่วยกำกับดูแลและให้การช่วยเหลือตามสมควร
วันนี้ (23 เม.ย.) พล.ต.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ เสนาธิการกองทัพภาคที่ 4 ในฐานะโฆษกกองทัพภาคที่ 4 เปิดเผยว่า ตามที่กองทัพภาคที่ 4 ได้ชี้แจงเหตุผลในการลงโทษกำลังพลพร้อมกำชับดูแลครอบครัว กวดขันวินัยและตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมอย่างรอบด้านเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย คณะกรรมการของกองทัพภาคที่ 4 ได้เข้าทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยการสอบสวนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องซึ่งประกอบตัวย ผู้ถูกสั่งลงโทษ ผู้บังคับบัญชาโดยตรง เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ ณ ด่านตรวจในวันเกิดเหตุ พยานบุคคลและพยานแวดล้อมอื่นๆ อย่างรอบด้าน สรุปได้ว่าถึงแม้พฤติกรรมและการแสดงออกของ จ.ส.อ.พีรศักดิ์ จะเข้าข่ายกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.วินัยทหาร ฐานใช้กิริยาวาจาไม่สมควร และไม่ปฏิบัติตามนโยบายและคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่ได้สั่งการให้ทหารทุกคนปฏิบัติให้เป็นแบบอย่างที่ดี ประพฤติและปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดต่างๆ ตามที่ได้ออกประกาศไว้แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติตามมาตการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ตามนโยบายรัฐบาลและส่วนราชการในพื้นที่อย่างเคร่งครัด หากผู้ใดฝ่าฝืนก็จะมีโทษสถานหนัก แต่เมื่อพิจารณาถึงเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องไปดูแลมารดาซึ่งป่วยหนัก และต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ประกอบกับ จ.ส.อ.พีรศักดิ์ได้สำนึกผิดว่าได้กระทำผิดวินัยทหารจริง
ที่ผ่านมาได้เป็นผู้ที่ปฏิบัติงานด้วยความทุ่มเทเสียสละ ส่งผลดีต่อทางราชการ และไม่เคยกระทำความผิดวินัยร้ายแรงมาก่อน จึงเป็นเหตุอันควรให้ลดโทษจำขังจากเดิม 45 วัน เป็นกำหนด 7 วัน ตั้งแต่ 17-23 เม.ย. 2563 การทบทวนการสั่งลงโทษในครั้งนี้ไม่ใช่เป็นเพราะกระแสสังคมมากำหนด แต่เป็นไปตามขั้นตอนของการปกครองบังคับบัญชาตามลำดับชั้นของหน่วยทหารที่จะต้องดำเนินการอย่างรอบด้าน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่กำลังพลทุกระดับอย่างเท่าเทียมกัน เพราะวินัยทหารใช้บังคับกับกำลังพลทุกระดับโดยไม่มีข้อยกเว้น กรณีที่เกิดขึ้นผู้บังคับบัญชาได้ใช้ดุลพินิจอย่างเหมาะสมแล้วว่ามีเหตุผลสมควรต่อการลดโทษ สำหรับการดูแลมารดาที่เจ็บป่วยยังคงให้ทีมแพทย์ของหน่วยทหารเข้าดำเนินการอย่างต่อเนื่อง พร้อมอำนวยความสะดวกด้านการรักษาพยาบาลตามห้วงเวลาให้ดีที่สุด โดยได้เน้นย้ำให้ผู้บังคับหน่วยทุกระดับ กวดขันวินัยกำลังพลอย่างเข้มงวด พร้อมทั้งให้ปฏิบัติตามมาตรการ นโยบาย ระเบียบและคำสั่งที่เกี่ยวข้องของรัฐบาล ส่วนราชการและกองทัพบก ในเรื่องการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างเคร่งครัด จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติ