เมื่อราว ๔๕ ปีก่อน มีโจรคนหนึ่งโด่งดังในภาคใต้ มีสมญาว่า “ไข่หมูก” ถูกบันทึกเข้าทำเนียบโจรด้วยผลงานปล้น ฆ่า จับคนเรียกค่าไถ่ และแหกคุกได้เป็นว่าเล่น เป็นที่หวาดกลัวของเศรษฐีในภาคใต้ไปตามกัน ทั้งพี่น้องของเขาซึ่งมีอยู่หลายคน ต่างก็มีคดีติดตัวกันทั้งนั้น จนกล่าวกันว่าเป็นโจรกันทั้งตระกูล
“ไข่หมูก” มีชื่อจริงว่า เจิม เส้งเอียด มีชื่อเล่นว่า “ไข่” และมีเอกลักษณ์ที่มีจมูกใหญ่เป็นพิเศษ เพื่อนพ้องน้องพี่จึงเรียกกันว่า “ไข่หมูก” มาตั้งแต่เด็ก
เจิมมีพี่น้องถึง ๑๒ คน เป็นชาย ๘ หญิง ๔ ฝ่ายชายถูกผลักให้เข้าสู่เส้นทางโจรทั้งหมดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในราวปี ๒๕๑๗ เมื่อ จิต เส้งเอียด พี่ชายคนที่ ๒ มีเรื่องกับนักเลงต่างถิ่นแล้วถูกฆ่าตาย คดีก็ไม่ได้รับความสนใจและไม่คืบหน้าแต่อย่างใด
ต่อมาอีก ๒ ปี ดำ เส้งเอียด น้องชายคนที่ ๘ ก็ถูกนักเลงต่างถิ่นฆ่าตายอีกคน คดีก็เป็นเช่นเดิม สร้างความคับแค้นใจให้พี่น้องไปตามกันที่ไม่สามารถเรียกหาความยุติธรรมได้ เจิม เส้งเอียด ลูกชายคนที่ ๔ จึงตัดสินใจพิพากษาเอง รวบรวมสมัครพรรคพวกไปชำระแค้นคู่อริได้สำเร็จ จากนั้นก็หลบเข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ที่ส้องสุมกองกำลังต่อต้านอำนาจรัฐอยู่ในภาคใต้ เพื่อให้พ้นมือของกฎหมาย ต่อมา เอียด สมชัย และโพธิ์ เส้งเอียด น้องๆก็ตามเข้าไปสมทบกับไข่หมูก
เส้นทางโจรของไข่หมูกเกิดขึ้นครั้งแรกในปี ๒๕๑๘ ขณะที่เขาอายุเพียง ๒๕ ปี เมื่อถูกข้อหาว่าจับตัวเศรษฐีตลาดปากคลอง ต.มะกอกเหนือ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ไปเรียกค่าไถ่ ถูกศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แต่ได้รับการลดโทษ ติดเพียง ๑๑ ปี ๓ เดือนก็พ้นโทษออกมาในปี ๒๕๒๖
ไข่หมูกได้เปิดเผยเรื่องนี้ในภายหลังว่า ความจริงคนที่ไปจับเรียกค่าไถ่ก็คือญาติของเขา และเอาเงินมาให้เขา ๗,๐๐๐ บาทเป็นค่าให้ที่พักพิง เมื่อมีคนมาเตือนว่าไม่ควรรับจะเดือดร้อน เขาจึงไม่รับและไปแจ้งเรื่องให้ตำรวจและผู้ใหญ่บ้านรู้ แต่แล้วคนที่เกี่ยวข้องเรื่องนี้ก็ถูกกวาดจับทั้งหมด และเขาถูกคนที่ลงมือ ซัดทอดว่าร่วมมือด้วย เพราะโกรธที่ไปแจ้งตำรวจ จึงถูกศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิตเพราะสู้คดี แต่คนที่ลงมือถูกตัดสินจำคุก ๒๕ ปี เพราะรับสารภาพ
เรื่องนี้ไข่หมูกพุ่งความแค้นไปที่ผู้พิพากษา เมื่อพ้นโทษออกมาไม่นาน เจิมจึงระบายแค้นด้วยการใช้ปืนจี้ผู้พิพากษาในขณะลงจากบัลลังก์ศาลจังหวัดสงขลา ทำให้เขาต้องกลับไปเข้าคุกอีกครั้ง
ด้วยเหตุที่เป็นนักโทษชั้นดี ในปี ๒๕๓๑ เจิมจึงได้รับสิทธิพิเศษสามารถออกมานอกเรือนจำได้ เขาจึงออกอุบายบอกผู้คุมขอไปเยี่ยมญาติที่บ้าน แล้วนัดแนะ เอียด น้องชายให้มาชิงตัวไปได้โดยไม่ได้ทำร้ายผู้คุม ทำให้ชื่อเสียงเขากระฉ่อน
จากนั้นเจิมกับเอียดก็ร่วมกันจับคนเรียกค่าไถ่ในหลายพื้นที่ ได้เงินไปจำนวนไม่น้อย และหลบตำรวจอยู่ได้ ๓ ปี ในวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๓๔ เขาก็ต้องกลับเข้าไปนอนในคุกอีกครั้ง แต่แล้วในวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๓๗ เขากับ จรัญ เส้งเอียด น้องชาย และเพื่อนร่วมห้องอีก ๒ คนก็แหกคุกได้ พร้อมกับทิ้งจดหมายใส่คำคมไว้ว่า
“เป็นเสืออยู่ในป่า ดีกว่าเป็นราชาอยู่ในคุก อิสรภาพไม่มีพรมแดน ไม่มีใครอยากติดคุกแม้แต่วันเดียว”
กล่าวกันว่า ไข่หมูกแหกคุกครั้งนี้เพราะต้องการออกมาล้างแค้นให้ โพธิ์ เส้งเอียด น้องชายที่ถูกตำรวจจับตาย เพราะลูกน้องหักหลังเป็นสายให้ตำรวจ
ไข่หมูกใช้ชีวิตหลบๆซ่อนๆช่วงนี้อยู่ได้ไม่กี่เดือน เสือก็เกิดเบื่อป่า ติดต่อขอมอบตัวกับผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ด้วยเหตุผลไม่อยากให้ญาติพี่น้องต้องตรอมใจที่เป็นห่วง และที่ร้ายไปกว่านั้นคือ มีคนอ้างชื่อเขาไปเรียกค่าคุ้มครองโดยเขาไม่รู้เรื่องด้วยเลย “ล้วนแต่เป็นเด็กนายทั้งนั้น” เชาบอก
เที่ยวนี้ไข่หมูกติดคุกอยู่เพียงปีเดียวก็ได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระ และหลังจากนั้นไม่นานก็ตัดสินใจบวชเป็นพระที่วัดในเตา อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง เป็นเวลา ๑ ปีก็สึกออกมา
ในช่วงเวลาที่เจิม เส้งเอียดอยู่ภายนอกคุกช่วงนี้ ก็ยังมีการจับคนเรียกค่าไถ่และมีจดหมายเรียกค่าคุ้มครองจากเจ้าของสวนยางอยู่เสมอในชื่อของไข่หมูก แต่เจิมก็ไม่กล้าไปแสดงตัวกับตำรวจ ด้วยเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงถูกตำรวจกดดันอย่างหนัก ในที่สุดเจิมก็ตัดสินใจเข้ามอบตัวกับ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รอง ผบ.ตร.ในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๒ ในขณะที่เขามีอายุ ๕๙ ปี ครั้งนี้เจิมถูกตั้งข้อหาตามหมายจับถึง ๗ คดีใน ๕ จังหวัด ต้องกลับเข้าไปนอนในคุกอีกครั้ง แต่ได้รับการพระราชทานอภัยโทษหลายครั้งจนออกมาสู่อิสรภาพได้ในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๙ และประกาศว่า จากนี้ไปเขาจะไม่กลับไปเข้าคุกอีกแล้ว
ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษมาหลายครั้ง จนมีโอกาสออกมาใช้ชีวิตนอกคุก ในวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เจิม เส้งเอียดในวัย ๖๗ ปี ได้ออกเดินเท้าจากอำเภอป่าพยอม จังหวัดพัทลุง มีเป้าหมายจะให้ถึงสนามหลวง ระยะทาง ๑,๐๐๐ กม.ในวันที่ ๕ ธันวาคม เพื่อถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ต่อมา เจิม เส้งเอียด อดีต “จอมโจรไข่หมูก” และ เอียด เส้งเอียด น้องชาย ก็เป็นข่าวอีกครั้งหนึ่ง ในฐานะ “กลุ่มจิตอาสาพิทักษ์ป่าเทือกเขาบรรทัด” ตามคำชวนของ นายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ตัดสินสินใจที่ร่วมปกป้องผืนป่าภาคใต้ ไม่ให้มีการลักลอบเข้าไปตัดไม้ทำลายป่า และนำช้างเข้าไปชักลากไม้โดยเด็ดขาด โดยลั่นวาจาว่าจะปกป้องผืนป่าบนเทือกเขาบรรทัดอันเป็นบ้านเกิดของเขาด้วยชีวิต
นี่ก็เป็นเส้นทางชีวิตของพี่น้องกลุ่มหนึ่งที่ตามหาความยุติธรรม จนถูกผลักดันให้ต้องเดินในเส้นทางโจรมาจนเกือบตลอดชีวิต แต่ก็ยังดีที่กลับตัวออกจากเส้นทางเก่า มาเดินในเส้นทางใหม่ที่ทำคุณประโยชน์ให้แผ่นดินเกิดได้ในช่วงปลายชีวิต