1.อำมหิตผิดมนุษย์! โจรใต้ยิงถล่มป้อม ชรบ.ยะลา ดับ 15 เจ็บ 5 ด้าน กอ.รมน.ต่ออายุ พ.ร.บ.มั่นคง 4 จังหวัดใต้อีก 1 ปี!
เมื่อคืนวันที่ 5 พ.ย. เวลาประมาณ 23.20 น. คนร้ายไม่ทราบจำนวนได้บุกก่อเหตุยิงถล่มป้อมจุดตรวจชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) หมู่ 5 บ้านทางลุ่ม ต.ลำพะยา อ.เมือง จ.ยะลา ส่งผลให้ชาวบ้านและ ชรบ.ที่อยู่เวรยามประจำจุดตรวจถูกยิงเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 14 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 6 คน ต่อมามีผู้บาดเจ็บเสียชีวิตเพิ่มเติมอีก 1 คน รวมเป็น 15 คน และบาดเจ็บ 5 คน
สำหรับผู้เสียชีวิต ประกอบด้วย 1.นายเนตร จอมทอง (ชรบ.) 2.นายบรรจบ ทองกลิ่น (ชรบ.) 3.นายธวัชชัย สุพงษ์ (อรบ.) 4.นายพูลสวัส พูลแก้ว (แพทย์ประจำตำบล) 5.นายฉลอง ทองงาม (อดีตกำนัน/อรบ.) 6.นายสุนทร ยอดแก้ว (ชรบ./อรบ.) 7.นางรัชนก ยอดแก้ว (อรบ.) 8.นายวิรัตน์ เพ็ชรปล่อง (ผช.ผรส.) 9.นางนัยนา โพธิ์เตียเที่ยม (ชรบ./อรบ.) 10.นายซัมซามี สามะ (ราษฎร) 11.ร.ต.อ.พยุง คินขุนทด (ตำรวจ สภ.ลำใหม่) 12.น.ส.กมลวรรณ อุทัยธรรม (ราษฎร) 13.นายสุพจน์ จันทร์วิมาน (ราษฎร) 14.นางพีอ๊ะ กาปานาตู (ราษฎร) 15.นายธนารักษ์ ไชยปัญญา (ราษฎร)
ส่วนผู้บาดเจ็บ 5 ราย ประกอบด้วย นายนรงค์ฤทธิ์ สิทธิพันธ์ (อรบ.) 2.นายเนาวรัตน์ รัตนเสถียร สมาชิก (อบต.ชรบ.) 3.นายมะรอซี มะแซ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 4.นางสายัณห์ ปานทอง (ราษฎร) 5.นายอาหาหมัด รัตนตัญญู (ราษฎร)
หลังก่อเหตุ คนร้ายได้จุดไฟเผายางรถยนต์และโปรยตะปูเรือใบตามเส้นทางที่หลบหนี เพื่อสกัดกั้นการติดตามของเจ้าหน้าที่ และเพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ก่อนหลบหนี คนร้ายยังได้นำอาวุธปืนของ ชรบ.ไปด้วย 8 กระบอก
หลังเกิดเหตุ พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้ยกเลิกภารกิจประชุมที่กองทัพบก กรุงเทพฯ และรีบบินด่วนกลับ จ.ยะลา ในช่วงเช้าวันที่ 6 พ.ย.ทันที เพื่อบัญชาการคุมพื้นที่ให้อยู่ในภาวะปกติ และสั่งการให้ปิดล้อมพื้นที่เพื่อไล่ล่าคนร้ายและดูแลความปลอดภัยทุกหน่วยทุกด่านทั้ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ประชาชน
ทั้งนี้ พล.ท.พรศักดิ์ ได้แสดงความเสียใจกับครอบครัวของพี่น้อง ชรบ.ที่เสียชีวิตทุกคน และว่า ชรบ.คือพี่น้องประชาชนที่เสียสละ ประกอบด้วยผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านที่ว่างจากการทำงานมาช่วยกันดูแลพื้นที่ และว่า ที่ผ่านมา หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านสีขาว ไม่มีการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม ถึงเวลาแล้วที่พี่น้องประชาชนต้องออกมาต่อต้านกลุ่มบุคคลภายนอกประเทศและภายในประเทศที่ก่อเหตุรุนแรงทำร้ายผู้บริสุทธิ์
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยว่า ได้สั่งการให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายภาคใต้ (ศอ.บต.) ดูแลเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ พร้อมขอให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนเพิ่มความระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น ส่วนการแสวงหาความร่วมมือในการแก้ปัญหาไฟใต้นั้น ยืนยันว่า ได้มีการพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียไปเรียบร้อยแล้วในหลายเรื่อง นายกฯ มาเลเซียยินดีจะร่วมมือกันในหลายด้าน ในฐานะที่เป็นผู้อำนวยความสะดวก
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า “จากเหตุความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดยะลา ผมขอประณามผู้ก่อเหตุ และแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้สูญเสีย ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรีบให้ความช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้ได้รับผลกระทบทุกราย ผมยืนยันว่า เราจะเร่งนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายให้ถึงที่สุดครับ”
ขณะที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้กล่าวระหว่างเป็นประธานการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก โดยแสดงความเสียใจกับครอบครัวของ ชรบ.ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมเผยว่า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใย พร้อมให้แนวทางดูแลเรื่องดังกล่าวแล้ว
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายชัยสิทธิ์ พาณิชพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา เชิญแจกันดอกไม้ ตะกร้าสิ่งของพระราชทาน เยี่ยมราษฎร 5 ราย ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว ที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา
ด้านนายอาหาหมัด รัตนตัญญู 1 ในผู้บาดเจ็บ เล่าเหตุการณ์วันเกิดเหตุว่า กลุ่มชายฉกรรจ์แต่งกายคล้ายชุด อส.ออกมาจากป่า ซึ่งเป็นสุสานทางด้านหลัง สังเกตเห็นว่า คนร้ายมากันประมาณ 16 คน บุกเข้ามาแล้วยิงไฟ ยิงไปทั่ว และยิงเด็กวัย 17 ปีเสียชีวิตคารถ ตนหลบอยู่ใต้รถกระบะ อยู่นอกป้อม เลยรอด น้องสาวเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ หลังจากคนร้ายยิงเสร็จ ได้ยินเขาพูดเป็นภาษายาวี แปลว่า ตายหมดแล้ว จากนั้นก็เงียบ อีกประมาณ 20 นาที เจ้าหน้าที่ก็มา
ขณะที่นายณรงค์ฤทธิ์ สิทธิพันธ์ อดีตสมาชิก อบต.ลำพะยา ผู้บาดเจ็บอีกราย เล่าว่า ช่วงเกิดเหตุ ได้ยินแต่เสียงปืนที่คนร้ายยิงเข้ามารอบทิศทาง ทุกคนในป้อม ชรบ.ใช้อาวุธยิงต่อสู้กับกลุ่มคนร้ายที่อยู่ภายนอก จนกระสุนปืนทุกกระบอกหมด คนร้ายก็ยังระดมยิงและปาระเบิด รวมทั้งยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่จนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก แต่คนร้ายก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ก่อนจะพากันหลบหนีไป
ล่าสุด 8 พ.ย. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 18 แห่ง พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการหรืองดเว้นการปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อช่วยเหลือหรือสนับสนุนการดําเนินการในอำนาจหน้าที่ของกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และพนักงานเจ้าหน้าที่ กอ.รมน.และห้ามบุคคลใดเข้าหรือให้บุคคลใดต้องออกจากบริเวณพื้นที่อาคารหรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.ภายในระยะเวลา การปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน. เว้นแต่เป็นบุคคลที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
โดยระบุเพิ่มเติมว่า "ห้ามบุคคลใดออกนอกเคหสถานในเวลาที่กําหนด ตามที่ผู้อำนวยการ กอ.รมน.หรือผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการประกาศกำหนด และห้ามนำอาวุธออกนอกเคหะสถาน รวมถึงห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ และให้บุคคลปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดอันเกี่ยวกับเครื่องมือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตามชนิด ประเภท ลักษณะการใช้ เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดแก่ชีวิต ร่างกายหรือทรัพย์สินของประชาชน โดยให้มีผลใช้บังคับในเขตพื้นที่ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี อ.จะนะ อ.นาทวี อ.เทพา และ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา อ.เบตง จ.ยะลา และ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส และในเขตพื้นที่ อ.สุคิริน จ.นราธิวาส ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ระหว่างวันที่ 1 ธ.ค.2562 ถึงวันที่ 30 พ.ย.2563”
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศดังกล่าว บางฝ่ายเข้าใจว่า นั่นคือการประกาสเคอร์ฟิวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของสงขลา ซึ่ง พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง โฆษก กอ.รมน. ได้ออกมาชี้แจง โดยยืนยันว่า ประกาศดังกล่าว ไม่ใช่การประกาศเคอร์ฟิวแต่อย่างใด เป็นการประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ตามมติ ครม. ที่เห็นชอบเมื่อวันที่ 6 พ.ย. ที่ผ่านมา หรือพูดง่ายๆ คือการต่ออายุการใช้กฎหมายนี้ตามวงรอบออกไปอีก 1 ปีเท่านั้น
พล.ต.ธนาธิป เผยถึงการติดตามคนร้ายเมื่อวันที่ 7 พ.ย.ด้วยว่า เบื้องต้นจับกุมผู้ต้องสงสัยได้แล้ว 1 คน โดยเจ้าหน้าที่กำลังขยายผล ส่วนผลการตรวจพิสูจน์หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์นั้นพบว่า ปลอกกระสุนปืนของคนร้ายที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ มีผลยืนยันว่า ตรงกับอาวุธปืนที่เคยใช้ก่อเหตุในหลายพื้นที่ เช่น ยิง อส.ที่บ้านปะกาฮารัง อ.เมือง จ.ปัตตานี, คดีปล้นตู้เอทีเอ็ม ที่บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยฟาตอนี, คดีปล้นร้านทองที่ อ.นาทวี จ.สงขลา
ล่าสุด วันนี้ (9 พ.ย.) พล.ต.ต.จิระวัฒน์ พยุงธรรม ผบก.ภ.จ.ปัตตานี เผยว่า จากการขยายผล เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ 9 ราย พบว่าไม่เกี่ยวข้อง 3 ราย จึงปล่อยตัว ส่วนอีก 6 ราย ได้ส่งตัวไปยังหน่วยซักถาม ค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ทั้งนี้ จากการตรวจสอบจากแฟ้มประวัติคดีความมั่นคง พบว่า ผู้ต้องสงสัยดังกล่าว บางรายมีหมายจับ และมีหมาย พ.ร.ก. ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบให้แน่ชัดอีกครั้ง
2.“บิ๊กตู่” ไม่อนุญาตให้ “สม รังสี” อดีตผู้นำฝ่ายค้านกัมพูชา ใช้ไทยเป็นทางผ่านกลับประเทศ!
เมื่อวันที่ 6 พ.ย. นายสม รังสี อดีตผู้นำฝ่ายค้านกัมพูชา ผู้ก่อตั้งพรรคกู้ชาติแห่งชาติกัมพูชา (ซีเอ็นอาร์พี) ซึ่งลี้ภัยอยู่ต่างแดน ได้ออกมาเผยว่า จะเดินทางกลับประเทศกัมพูชาในวันที่ 9 พ.ย. ซึ่งเป็นวันประกาศอิสรภาพของกัมพูชา แม้ว่าจะเสี่ยงต่อการถูกจับกุมที่บ้านเกิดก็ตาม
ทั้งนี้ นายสม รังสี ผู้นำในการประท้วงขับไล่ระบบปกครองโดยพรรคเดียวของสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประกาศมาตลอดว่า จะเดินทางกลับกัมพูชาในวันที่ 9 พ.ย. แม้สมเด็จฯ ฮุน เซน จะประกาศว่า จะจับทุกคนที่ให้การสนับสนุนความพยายามในการก่อรัฐประหารก็ตาม
โดยนายสม รังสี ได้ทวีตข้อความพร้อมภาพตั๋วเครื่องบิน ระบุว่า จะออกจากกรุงปารีสในวันที่ 7 พ.ย. และจะเดินทางถึงกรุงเทพฯ วันที่ 8 พ.ย. และพร้อมที่จะเดินทางเข้าไปในกัมพูชาวันที่ 9 พ.ย. โดยการเดินทางไปกัมพูชาจะเป็นการเดินทางข้ามผ่านทางชายแดน เนื่องจากสมเด็จฯ ฮุน เซน ได้สั่งให้เที่ยวบินต่างๆ ที่จะบินเข้ากรุงพนมเปญของกัมพูชา ห้ามให้นายสม รังสี ขึ้นเครื่องอย่างเด็ดขาด
มีรายงานว่า นายสม รังสี ได้ส่งจดหมายผ่านสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อขอเดินทางมายังไทยในวันที่ 8 พ.ย.
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีที่นายสม รังสี จะเดินทางเข้าไทย เพื่อเดินทางต่อไปยังกัมพูชาว่า เรื่องผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศเพื่อนบ้านขอเข้าไทย ตนได้ดำเนินการอยู่แล้ว ถ้าดำเนินการตามมติของอาเซียน เราจะไม่ยุ่งกิจการภายในซึ่งกันและกัน และจะไม่ยอมให้ผู้ต่อต้านรัฐบาลมาใช้พื้นที่ไทยเป็นพื้นที่ในการเคลื่อนไหว ซึ่งได้สั่งการไปแล้ว คงไม่ได้เข้ามา
ผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องทำหนังสือถึงนายสม รังสี หรือไม่ว่า ไม่อนุญาตให้ใช้เป็นทางผ่าน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จะต้องไปแจ้งเขาทำไม ไม่จำเป็นต้องถึงเขา ตนคุยแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล เขาไม่ได้เป็นรัฐบาล จะไปคุยกับใครได้
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 พ.ย. นายสม รังสี ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ โดยยืนยันว่า จะไม่ล้มเลิกความพยายามที่จะเดินทางกลับกัมพูชาเพื่อยืนเคียงข้างประชาชน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แม้ทางการไทยจะระบุชัดเจนแล้วว่า จะไม่ให้ใช้ดินแดนไทยเป็นจุดพักเพื่อเดินทางต่อไปยังกัมพูชา ก็อาจเปลี่ยนเส้นทางไปยังกัวลาลัมเปอร์ จาการ์ตา หรือสิงคโปร์ หรืออาจจะเป็นที่ใดก็ได้ที่ไปได้ “สำหรับผม ขณะนี้เวลาในชีวิตเหลืออยู่ไม่มาก ผมต้องการให้คนหนุ่มสาวได้มีชีวิตที่ดีกว่า และตั้งใจจะเสียสละอิสรภาพและชีวิตของผมเพื่อประชาธิปไตย”
มีรายงานว่า นายสม รังสี ไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นเครื่องบินของสายการบินไทย ซึ่งมีกำหนดจะออกจากสนามบินชาร์ลส์ เดอโกล เมื่อวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งนายสม รังสี ให้สัมภาษณ์หลังถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเครื่องบินว่า “สายการบินไทยไม่ยอมให้ผมขึ้นเครื่อง โดยระบุว่า เป็นคำสั่งจากระดับสูง ทำให้ผมรู้สึกช็อกและผิดหวังอย่างมาก ผมต้องการกลับประเทศ เพราะประชาชนชาวกัมพูชากำลังรอผมอยู่” และว่า จะพยายามหาเที่ยวบินของสายการบินอื่นๆ เพื่อเดินทางไปยังประเทศไทย
ล่าสุด มีรายงานว่า วันนี้ (9 พ.ย.) นายสม รังสี ได้เดินทางไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ นครหลวงของมาเลเซีย โดยขณะอยู่บนเครื่องบิน ผู้สื่อข่าวต่างประเทศถามเขาว่า คิดว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างไรจากมาเลเซีย นายสม รังสี กล่าวว่า ยังไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเป็นการปูพรมแดงต้อนรับอย่างดี หรืออาจจะเจอกับกุญแจมือก็ได้
3.ลุ้นใครจะได้นั่งประธาน กมธ.แก้ รธน. หลัง ปชป.มีมติส่ง “อภิสิทธิ์” ขณะที่ พปชร.ส่ง “สุชาติ ตันเจริญ”!
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเด็นหนึ่งที่ได้รับความสนใจคือ การตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาปัญหาและแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ สภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะตัวประธาน กมธ. ที่บางพรรคพยายามสรรหาบุคคลที่เหมาะสมเพื่อเสนอให้ดำรงตำแหน่ง เช่น พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่มีการประชุม ส.ส.ของพรรค เมื่อวันที่ 5 พ.ย.
หลังประชุม นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษก ปชป.แถลงว่า ที่ประชุมมีมติสนับสนุนให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้า ปชป.เป็นประธาน กมธ.ดังกล่าว เนื่องจากนายอภิสิทธิ์เคยเป็นนายกฯ เป็นผู้ใช้รัฐธรรมนูญมาแล้วหลายฉบับ รวมทั้งเป็นผู้มีความสามารถผลักดันและดำเนินการให้เป็นผลสำเร็จได้ โดยที่ประชุมมอบหมายให้นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช ในฐานะประธานวิป ปชป.ไปพูดคุยทำความเข้าใจกับคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) พรรคร่วมรัฐบาล และพรรคการเมืองอื่นๆ เพื่อให้ทุกพรรคเห็นพ้องต้องกัน เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องสำคัญ และต้องได้รับความเห็นชอบจากทุกฝ่ายด้วย
วันต่อมา 6 พ.ย. นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรค ปชป.กล่าวถึงกรณีที่พรรคมีมติสนับสนุนให้นายอภิสิทธิ์เป็นประธาน กมธ.ศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า นายอภิสิทธิ์ได้รับทราบมติดังกล่าวแล้ว และพร้อมจะทำหน้าที่ตามที่พรรคมอบหมาย เพียงแต่ขอให้เป็นความเห็นพ้องของทุกฝ่าย และไม่เป็นการสร้างความขัดแย้งใดๆ เพิ่มขึ้นอีก เพราะการเข้ามาทำหน้าที่ประธาน กมธ.แก้รัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ก็เพื่อสร้างความปรองดอง แสวงหาความร่วมมือ สร้างฉันทามติในการหาทางออกให้กับประเทศชาติ
อย่างไรก็ตาม วันเดียวกัน (6 พ.ย.) นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณีที่พรรค ปชป.มีมติเสนอนายอภิสิทธิ์ เป็นประธาน กมธ.แก้รัฐธรรมนูญว่า ในส่วนของพรรค พปชร.ยังไม่สรุปว่าจะส่งชื่อใคร แต่สำหรับตนยืนยันในหลักการว่า ประธาน กมธ.ควรมาจากพรรคที่มีเสียงข้างมากในพรรคร่วมรัฐบาล คือ พปชร. และไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไรกับพรรค ปชป. เชื่อว่า สามารถพูดคุยกันได้ว่า ความเหมาะสมน่าจะเป็นพรรค พปชร.
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในส่วนพรรค พปชร.จะเสนอชื่อนายสุชาติ ตันเจริญ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พปชร. และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 เป็นประธาน กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเมื่อวันที่ 7 พ.ย. นายสุชาติ กล่าวถึงกระแสข่าวดังกล่าวว่า ยังไม่ทราบว่า พปชร.จะเสนอชื่อตนเป็นประธาน เพราะไม่เคยเข้าประชุมพรรค และไม่ได้เสนอตัวทำหน้าที่นี้ แล้วแต่พรรคจะพิจารณา ถ้ามีคนที่คิดว่าทำหน้าที่ได้ดี ก็ต้องให้เลือกกันไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากนายสุชาติเป็นประธาน กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ จะซ้ำซ้อนกับตำแหน่งรองประธานสภาฯ หรือไม่ นายสุชาติ ยืนยันว่า ไม่มีข้อห้ามเรื่องความซ้ำซ้อนว่า รองประธานสภาฯ จะปฏิบัติหน้าที่ปราน กมธ.ไม่ได้ แต่ยอมรับว่า อาจทำให้ภาระงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากตำแหน่งรองประธานสภาฯ มีภาระงานอยู่พอสมควร ส่วนที่มีข้อสังเกตว่า หากประธาน กมธ.มาจาก พปชร.อาจมีธงนำหรือใบสั่งจากรัฐบาลนั้น นายสุชาติ กล่าวว่า ขอให้ดูการทำหน้าที่ที่ผ่านมาว่าไม่มีใครสามารถสั่งได้ ขอยืนยันว่า ขณะนี้ไม่มีบุคคลใดโทรมาและไม่มีใบสั่ง ไม่มีใครมาชี้นำได้ เพราะเป็นเรื่องของส่วนรวมทุกพรรคการเมือง ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน
ล่าสุด (8 พ.ย.) มีรายงานว่า ได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีวงเล็ก ซึ่งที่ประชุมเห็นด้วยที่จะเลือกนายสุชาติ เป็นประธาน กมธ. ซึ่งนายสุชาติไม่ขัดข้อง
4.3 ผู้ต้องหาคดียาเสพติด ทั้งไทย-ต่างชาติ ใช้มีดแทง ตร. ก่อนแหกห้องขังศาลพัทยา สุดท้ายจนมุม ยิงภรรยาก่อนยิงตัวเอง!
เมื่อวันที่ 4 พ.ย. เวลา 15.30 น. ได้เกิดเหตุผู้ต้องหาคดียาเสพติด 3 คน เป็นชาย 2 หญิง 1 แหกห้องขังของศาลจังหวัดพัทยา โดยใช้อาวุธมีดทำร้ายตำรวจประจำศาล จนได้รับบาดเจ็บ ก่อนหลบหนีไป สำหรับผู้ต้องหาทั้งสาม ประกอบด้วย 1.นายหน่อย นิลเทศ หรือต้น อายุ 40 ปี ผู้ต้องหาคดีร่วมกันมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนอีก 2 คน เป็นสามีภรรยา คือ นายบาร์ต อาเลน เฮลมัส อายุ 39 ปี สัญชาติอเมริกัน และ น.ส.สิรินภา วิเศษฤทธิ์ อายุ 30 ปี ถูกจับในคดีครอบครองยาเสพติดและครอบครองอาวุธปืน แต่เป็นคนละคดีกับนายหน่อย ซึ่งโทษในคดีของบุคคลทั้งสาม สูงถึงขั้นประหารชีวิต
นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวว่า ได้รับรายงานจากรักษาการผู้อำนวยการศาลจังหวัดพัทยาว่า ผู้ต้องหาทั้งสาม ซึ่งถูกควบคุมตัวมาขึ้นศาล ได้ใช้อาวุธมีดทำร้าย ร.ต.อ.ธนะเมศฐ์ โพธิพันธ์ รอง สว.ป.สภ.สัตหีบ ช่วยราชการศาลจังหวัดพัทยา ที่ทำหน้าที่ดูแลพื้นที่บริเวณศาลพัทยา ได้รับบาดเจ็บ ก่อนใช้ปืนยิงเปิดทางและหลบหนีขึ้นรถกระบะยี่ห้ออีซูซุหลบหนีไป
วันต่อมา 5 พ.ย. พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยความคืบหน้าการติดตามตัวผู้ต้องหาทั้งสามรายว่า เจ้าหน้าที่ได้ตั้งข้อหารวม 6 ข้อหา ได้แก่ 1.ร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงานฯ โดยไตร่ตรองไว้ก่อน 2.ร่วมกันหลบหนีไประหว่างที่ถูกคุมขังตามอำนาจศาล โดยใช้กำลังประทุษร้ายฯ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป 3.ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต 4.พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร 5.ยิงปืนโดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชุมชน โดยไม่มีเหตุอันควร และ 6.ร่วมกันพาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร
พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวอีกว่า “สำหรับข้อบกพร่องที่เกิดขึ้น ภ.จว.ชลบุรีมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ จ.ชลบุรี และตามแนวเขตชายแดนตั้งจุดตรวจ จุดสกัดทุกเส้นทางการหลบหนี รวมทั้งการตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามเส้นทางที่คาดว่าคนร้ายจะใช้หลบหนี”
ต่อมา เจ้าหน้าที่ทราบว่า ผู้ต้องหาทั้ง 3 รายได้หลบหนีไปยัง จ.สระแก้ว เมื่อวันที่ 6 พ.ย. พล.ต.ท.ศตวรรษ หิรัญบูรณะ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้นำทีมตำรวจเข้าควบคุมตัวนายหน่อย พร้อมแฟนสาว และญาติรวม 3 คน ที่บริเวณป่าอ้อย ต.ท่าเกวียน อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว โดยนายหน่อยอยู่ในสภาพอ่อนล้า จากการสอบปากคำทราบว่า นายหน่อยเพิ่งแยกกันหลบหนีกับ น.ส.สิรินภา และนายบาร์ต ซึ่งคาดว่าอยู่บริเวณใกล้เคียง
ก่อนหน้านั้น เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากชาวบ้าน ต.ท่าเกวียน ว่าพบบุคคลต้องสงสัย 2 คน หลบซ่อนอยู่ข้างทาง ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 200 นาย จึงเข้าปิดล้อมบริเวณป่าอ้อย หลังบ้านเขาจาน ต.วัฒนานคร กระทั่งพบ น.ส.สิรินภา และนายบาร์ต อยู่ห่างจากจุดที่พบนายหน่อยประมาณ 1 กม. เจ้าหน้าที่ใช้เวลาเจรจานานกว่า 3 ชม.เพื่อให้มอบตัว แต่ไม่เป็นผล กระทั่งนายบาร์ตพยายามฆ่าตัวตายด้วยการยิงภรรยาและยิงตัวเอง
ด้าน พล.ต.ท.ศตวรรษ หิรัญบูรณะ ผู้ช่วย ผบ.ตร. นำทีมแถลงการจับกุมผู้ต้องหาแหกห้องขังทั้ง 3 รายเมื่อวันที่ 7 พ.ย.ว่า เจ้าหน้าที่จับกุมผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด 13 คน เป็นผู้ต้องหา 3 คน และผู้ให้การช่วยเหลือ 10 คน โดยนายหน่อยทนความกดดันไม่ไหว จึงยอมมอบตัว “แต่นายบาร์ตไม่ยอมให้จับกุมแต่โดยดี และจับ น.ส.สิรินภา แฟนสาว เป็นตัวประกัน ก่อนจะใช้อาวุธปืนพกสั้นยิงศีรษะ น.ส.สิรินภา เพื่อหวังให้เสียชีวิตหนีความผิด แต่กระสุนเฉี่ยว ทำให้ได้รับบาดเจ็บ และใช้อาวุธปืนกระบอกเดียวกันจ่อยิงศีรษะตัวเองได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าหน้าที่จึงนำตัวนายบาร์ตและ น.ส.สิรินภา ส่งโรงพยาบาลยุพราชสระแก้ว”
ทั้งนี้ วันเดียวกัน 7 พ.ย. นพ.นพดล กิตติวัฒนสาร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยุพราชสระแก้ว เผยว่า นายบาร์ตอาการยังโคม่า ไม่รู้สึกตัว ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและยากระตุ้นหัวใจ ส่วนกระสุนไม่เห็น น่าจะทะลุออก การตอบสนองไม่ดี “ส่วนที่มีข่าวว่า เมียของนายบาร์ตตั้งท้องนั้น ไม่จริง เจ้าตัวบอกว่าไม่ท้อง ทางโรงพยาบาลตรวจแล้วไม่พบว่าท้อง ตอนนี้รักษาตัวอยู่เช่นกัน โดยมีกระสุนฝังอยู่และกะโหลกศีรษะยุบร้าว มีเลือดคั่งในสมองบางส่วน หมอผ่าตัดเอากระสุนออก เอาเลือดที่คั่งในสมองออก คนไข้รู้สึกตัวดี ถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อน คนไข้น่าจะฟื้นตัวเร็วขึ้น”
5.เด้งฟ้าผ่า "พ.ต.อ.คเชนทร์" ผกก.สภ.เมืองโคราช คาด เซ่นแก๊งล่อซื้อจับกระทงการ์ตูนลิขสิทธิ์รีดทรัพย์เหยื่อ!
สัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องที่กระแสโซเชียลให้ความสนใจอย่างมาก ก็คือ กรณีเด็กหญิงวัย 15 ปีคนหนึ่ง ถูกบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นตัวแทนลิขสิทธิ์บริษัทการ์ตูนแห่งหนึ่ง ล่อซื้อจับกุมสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ พร้อมเรียกเงินค่าปรับหลายหมื่นบาท เพื่อแลกกับการไม่ต้องถูกดำเนินคดี
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา โดยน้องบี (นามสมมติ) วัย 15 ปี นักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคแห่งหนึ่งใน จ.นครราชสีมา ต้องการหารายได้พิเศษโดยการประดิษฐ์กระทงลายดอกไม้-การ์ตูนจำหน่าย ประกาศขายผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว แต่ต่อมาถูกล่อซื้อโดยกลุ่มคนที่อ้างตัวว่าเป็นตัวแทนบริษัทลิขสิทธิ์ เรียกเงินค่าปรับสูงถึง 50,000 บาท แลกกับการถอนแจ้งความ และข่มขู่ว่าหากไม่จ่ายจะถูกจำคุก 2 ปี สุดท้ายเจ้าหน้าที่ได้คุยไกล่เกลี่ยให้น้องบีเสียค่าปรับไปจำนวน 5,000 บาท
ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทางโซเชียลมีเดียอย่างกว้างขวาง ถึงพฤติกรรมการล่อซื้อเพื่อเอาผิดเยาวชน และมีการตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการกระทำของแก๊งตบทรัพย์หรือไม่ หลังจากมีผู้ถูกล่อซื้อในลักษณะเดียวกับน้องบีอีกจำนวนมาก
ด้านนายประจักษ์ โพธิผล ซึ่งอ้างว่าเป็นตัวแทนลิขสิทธิ์บริษัทการ์ตูนแห่งหนึ่ง ชี้แจงโดยยืนยันว่า เด็กมีการทำซ้ำและดัดแปลงลวดลายการ์ตูน โพสต์รูปกระทงที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. และมีคนสั่งซื้อก่อนที่ทีมงานจะเห็น จึงติดต่อไปช่วงต้นเดือน พ.ย. จากนั้นเมื่อตำรวจเชิญตัวเด็กมาโรงพักเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยความเสียหายแล้ว ตนในฐานะผู้รับมอบอำนาจลิขสิทธิ์ในการตัดสินใจทางคดี และเห็นแก่เด็ก จึงถอนแจ้งความ ส่วนเงิน 5,000 บาท ถือเป็นค่าเสียหายที่ต้องส่งให้กับบริษัทตามสิทธิ โดยตนมีรางวัลนำจับมูลค่าต่ำกว่า 50% พร้อมยืนยันว่า ตนไม่ใช่คนที่สั่งจองกระทงกับเด็กเพื่อให้มาถูกจับกุม และหากทางครอบครัวหรือบุคคลใดจะแจ้งความกลับ เนื่องจากมองว่า เป็นแก๊งตบทรัพย์ ก็ยินดี เพราะบริสุทธิ์ใจและมีหลักฐาน
ขณะที่บริษัท ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะตัวแทนลิขสิทธิ์ลายการ์ตูนรีลัคคุมะ ได้โพสต์ข้อความชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กว่า ไม่ได้มอบหมายให้ผู้ใดทำการจับลิขสิทธิ์ผิดกฎหมาย โดยได้ปรึกษาฝ่ายกฎหมายและมอบหมายให้ทนายความดำเนินการสืบหาความจริงกรณีที่เกิดขึ้น เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ด้าน พ.ต.อ.คเชนทร์ เสตะปุตตะ ผกก.สภ.เมืองนครราชสีมา เผยว่า ผู้ร้องทุกข์ได้ถอนแจ้งความไปแล้วตั้งแต่วันเกิดเหตุ แต่ขณะนี้เกิดประเด็นที่ว่า บริษัทลิขสิทธิ์ดังกล่าวไม่เคยมอบอำนาจให้ใคร ซึ่งเรื่องนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบ ต้องเช็กเอกสารให้ละเอียดอีกครั้ง หากตรวจสอบแล้วพบว่า ผู้ที่มาแจ้งความ มีการปลอมแปลงเอกสาร ต้องโดนดำเนินคดีปลอมแปลงเอกสารและแจ้งความเท็จ โดยขอเวลารวบรวมหลักฐานให้เร็วที่สุด และว่า น้องบียังคงมีโอกาสที่จะได้เงิน 5,000 บาทคืนเช่นกัน
ทั้งนี้ ได้มีกลุ่มผู้เสียหายจากการถูกตัวแทนลิขสิทธิ์ล่อซื้อจับกุมและเสียค่าปรับสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ที่ จ.นครราชสีมาหลายสิบราย รวมทั้งน้องบี ได้เข้าแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับตัวแทนลิขสิทธิ์แล้ว โดย พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยว่า หากมีหลักฐานเพียงพอตำรวจก็จะขอศาลออกหมายจับทันที ซึ่งเบื้องต้นคาดว่ากลุ่มตัวแทนลิขสิทธิ์ที่จะถูกดำเนินคดีมีจำนวน 3 ราย ขณะที่ยอดผู้เสียหายจากตัวแทนลิขสิทธิ์ขณะนี้มีรวม 38 รายแล้ว มูลค่าเงินที่ถูกเรียกไปเป็นค่าปรับลิขสิทธิ์จำนวนกว่า 700,000 บาท
พล.ต.อ.วิระชัย เผยด้วยว่า ขณะนี้ตำรวจกำลังเร่งตรวจสอบหลักฐานใบอนุญาตต่างๆ ของตัวแทนลิขสิทธิ์ว่าได้รับมอบอำนาจจริงและถูกต้องหรือไม่ หากได้รับมอบอำนาจถูกต้อง ก็ต้องตรวจสอบดูว่าตัวแทนลิขสิทธิ์ดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของผู้มอบอำนาจมาหรือไม่ โดยในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนแล้วว่า มีใครเกี่ยวข้องหรือมีส่วนสนับสนุนกับกลุ่มตัวแทนลิขสิทธิ์หรือไม่ หากพบว่าตำรวจนายใดมีส่วนเกี่ยวข้อง ก็ต้องถูกดำเนินการอย่างเด็ดขาด
ล่าสุด เมื่อวันที่ 8 พ.ย. มีรายงานว่า พล.ต.ท พูนทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ได้ลงนามคำสั่งให้ พ.ต.อ. คเชนทร์ เสตะปุตตะ ผู้กำกับการ สภ.เมือง นครราชสีมา ไปปฏิบัติหน้าที่ที่ศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า กองบัญชาตำรวจภูธรภาค 3 เป็นเวลา 30 วัน และให้ พ.ต.อ สนธยา แต่แดงเพชร รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด นครราชสีมา รักษาการในตำแหน่ง ผกก.สภ.เมืองนครราชสีมา คาดว่ามีมูลเหตุมาจากคดีแก๊งล่อซื้อกระทงลายการ์ตูนและสินค้าลายการ์ตูนละเมิดลิขสิทธิ์เรียกค่าเสียหาย ซึ่งมีเยาวชนและประชาชนตกเป็นเหยื่อได้รับความเดือดร้อนเสียหายจำนวนมาก