xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 20-26 ต.ค.2562

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

1.โปรดเกล้าฯ ถอดฐานันดรศักดิ์-ยศทหาร เรียกคืนเครื่องราชฯ “เจ้าคุณพระสินีนาฏ” ทำผิดราชสวัสดิ์-ไม่จงรักภักดี!

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่พระบรมราชโองการ ความว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหารพ้นจากตำแหน่ง ถอดฐานันดรศักดิ์ และยศทหาร ตลอดจนเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชั้นตรา เนื่องจากกระทำความผิดราชสวัสดิ์ และไม่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์

เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี ประพฤติตนต่อต้านงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในการสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี หลังจากที่ได้ทรงประกอบพิธีราชาภิเษกสมรส เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2562 โดยได้แสดงตนต่อต้านและกดดันทุกวิถีทาง เพื่อจะไม่ให้มีการสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ขึ้นทรงดำรงตำแหน่ง แต่จะให้โปรดเกล้าฯ ตนเองขึ้นดำรงตำแหน่งแทน ตามที่ได้ตั้งความหวังไว้ แต่การณ์ไม่เป็นไปตามที่มุ่งหวัง หลังจากพระราชพิธีผ่านพ้นไปแล้ว ด้วยความทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง จึงได้พยายามหาหนทางในการดำเนินการด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งการสถาปนาตำแหน่งของตนเอง นอกจากนี้เจ้าคุณพระสินีนาฏฯ ยังได้ล่วงละเมิดพระราชอำนาจ สั่งการในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี

ด้วยเหตุนี้ เพื่อเป็นการลดปัญหา หรือการกระทำใดๆ ที่ไม่เหมาะสม อันมีผลกระทบต่อสถาบันและส่วนรวมของประเทศชาติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาให้ขึ้นเป็นเจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี ด้วยทรงหวังพระราชหฤทัยว่า จะลดแรงกดดัน และปัญหาอันอาจจะเกิดขึ้นที่จะส่งผลกระทบต่อสถาบัน

หลังจากนั้น ได้ทรงเฝ้าติดตามความประพฤติและการปฏิบัติของเจ้าคุณพระสินีนาฏฯ มาอย่างต่อเนื่อง จึงได้ทรงทราบว่า เจ้าคุณพระสินีนาฏฯ มิได้มีความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และประพฤติตนให้เหมาะสมกับตำแหน่ง อีกทั้งยังไม่พอใจในตำแหน่งที่ได้รับพระราชทาน ยังกระทำการทุกประการที่จะเทียบเท่าสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ไม่มีความเข้าใจในขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของราชสำนัก แสดงความกระด้างกระเดื่องต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี

ตลอดจนใช้ประโยชน์จากตำแหน่งในการดำเนินการสั่งการ แอบอ้างพระราชกระแส ไปกระทำการ หรือสั่งการให้บุคคลต่างๆ ปฏิบัติตามคำสั่งของตนเองโดยตนเองไม่ต้องรับผิดชอบ อ้างว่าได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำเนินการแทนพระองค์ ทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดในฐานะตำแหน่งของตนเอง ถือได้ว่าการกระทำดังกล่าว เป็นการเอื้อประโยชน์ส่วนตนโดยตรง ให้เกิดความนิยมชมชอบ อันนำไปสู่สิ่งที่ตนคาดหวังไว้ มิใช่เพื่อส่วนรวมโดยแท้จริง เพราะมุ่งหวังที่จะให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสถาปนาตนเองให้สูงขึ้น เทียบเท่าสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี

การกระทำของเจ้าคุณพระสินีนาฏฯ ดังกล่าวถือได้ว่า ไม่ถวายพระเกียรติ ขาดความกตัญญู ไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และสร้างความแตกแยกในหมู่ข้าราชบริพาร ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชน ถือเป็นการบ่อนทำลายประเทศชาติและสถาบัน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี พ้นจากตำแหน่งข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร ถอดฐานันดรศักดิ์และยศทหาร ตลอดจนเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชั้นตรา

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 9 มาตรา 15 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ประกอบมาตรา 4 และมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ ในพระองค์ พ.ศ. 2560 และมาตรา 10 มาตรา 13 และมาตรา 15 แห่งพระราชกฤษฎีกา จัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ พ.ศ. 2560 และมาตรา 12 ของพระราชบัญญัติยศทหาร พ.ศ. 2479 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม พุทธศักราช 2562 ประกาศ ณ วันที่ 21 ตุลาคม พุทธศักราช 2562 เป็นปีที่ 4 ในรัชกาลปัจจุบัน

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ เว็บไซต์สำนักพระราชวังได้เผยแพร่ประวัติอดีตเจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี ซึ่งได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2562 ว่า เดิมดำรงยศ พลตรีหญิง ท่านผู้หญิงสินีนาฏ วงศ์วชิราภักดิ์ เกิดวันที่ 26 มกราคม 2528 จ.น่าน สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี พยาบาลศาสตรบัณฑิต วิทยาลัยพยาบาล กองทัพบก รุ่นที่ 41 เมื่อปี 2551

2.หนุ่มซีวิคหัวร้อนเฉี่ยวชนกระบะ ก่อนด่ากราด-อวดรวย ดูถูกประเทศ-คนไทย ด้านพ่อแม่อ้าง ลูกป่วยทางจิต!
ภาพและข้อความที่หนุ่มขับรถกระบะโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กหลังถูกหนุ่มขับรถซีวิค คู่กรณีด่ากราดและดูถูก
เมื่อวันที่ 23 ต.ค. ได้เกิดเหตุหนุ่มขับรถฮอนด้า ซีวิค ป้ายแดง พร้อมแฟนสาว เฉี่ยวชนกับรถกระบะส่งของ บริเวณจุดกลับรถด้านหน้าพุทธมณฑล ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม โดยโซเชียลมีเดียได้มีการเผยแพร่คลิปเหตุการณ์ที่เจ้าของรถซีวิคไม่พอใจคนขับรถกระบะ พร้อมด่าทอคู่กรณีอย่างรุนแรงและหยาบคาย แถมด่าลามในลักษณะดูถูกคนไทยและประเทศไทยด้วย เช่น “ขยะสังคม มึงมีปัญญาซื้อรถกูไหม มีปัญญาซื้อไหม มีเงินแสนเท่าไหร่ มีกี่ล้าน ผมมีออมสิน 1 ล้านบาท กูให้มึงดูเลย คนขับกระบะแย่ทุกคัน กูไม่เคยแคร์คนไทย ดูถูกคนไทยชั้นต่ำทั้งนั้น มึงจำกูไว้ กูหมิ่นทุกคนแม้กระทั่งนายกฯ”

หนุ่มขับซีวิคยังพูดอีกว่า “เดี๋ยวกูจัดให้ มึงอยู่บ้านอะไร มีแลนด์แอนด์เฮ้าส์อยู่เปล่าแค่ 5 ล้านเอง ลูกเศรษฐีคุณรู้จักเปล่า ขับรถป้ายแดงคันละล้านสอง” หนุ่มขับซีวิคยังถามคู่กรณีด้วยว่าอายุเท่าไหร่ ได้รับคำตอบว่า อายุ 20 กว่าๆ หนุ่มขับซีวิคจึงพูดต่อว่า “ผมอายุ 24 ปีกว่า ผมขับรถราคาล้านสอง มีทุกอย่างที่คุณไม่มี” หนุ่มขับรถกระบะจึงบอกว่า “พี่ไม่ควรดูถูกผม” ด้านหนุ่มขับซีวิคพูดต่อว่า “ผมดูถูกด้วยความเต็มใจ ผมกล้าด้วย ส่วนตำรวจไม่แคร์ ฉันมีนายตำรวจอยู่ข้างหลัง” จากนั้นยังกล่าวอีกว่า ตนเรียนต่างประเทศมา 10 ปี ไม่แคร์คนไทยที่การศึกษาต่ำ พร้อมต่อว่าคู่กรณีอย่างรุนแรง โดยแฟนสาวของหนุ่มขับซีวิคพยายามห้ามปรามตลอดเวลา

ทั้งนี้ โซเชียลมีเดียมีการแชร์ภาพเฟซบุ๊กของหนุ่มขับซีวิค ซึ่งโปรไฟล์ในเฟซบุ๊กเขียนว่า เป็นอดีตผู้ประสานงานฝ่ายสนับสนุนด้านธุรกิจของสภาหอการค้าฝรั่งเศส-ไทย เรียนที่ ISEE Business School สถานที่ตั้งอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส รวมทั้งเคยศึกษาที่โรงเรียนนานาชาติฝรั่งเศส กรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังเป็นแอดมินเพจการสอนภาษาฝรั่งเศสและรับสอนภาษาฝรั่งเศสด้วย

หลังโซเชียลมีเดียแชร์คลิปเหตุการณ์ที่คนขับกระบะเป็นผู้โพสต์ ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมและคำพูดของหนุ่มขับซีวิคอย่างหนัก ต่อมา บริษัท กาซ่า ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่หนุ่มขับซีวิคทำงานอยู่ ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า “บริษัทได้จัดตั้งในประเทศไทยและดำเนินกิจการตามกฎหมายไทยตลอดมา บริษัทฯ เคารพและเชิดชูในสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์อย่างสูงสุด จากเหตุการณ์ตามคลิปที่โพสต์ลงสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ ซึ่งมีพนักงานของบริษัทฯ ใช้คำพูดและแสดงกิริยาก้าวร้าวรุนแรง รวมถึงหมิ่นประเทศไทยและสถาบัน ทางบริษัทฯ ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าว และมีมติเป็นเอกฉันท์ให้พนักงานดังกล่าวพ้นสภาพการเป็นพนักงาน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค.2562 เป็นต้นไป”

ขณะที่พ่อของหนุ่มขับซีวิค ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ลูกอยู่เมืองนอกมานาน และเมืองนอกมีวินัยในการขับรถ แต่คนไทยขับรถไม่ค่อยมีวินัย เมื่อลูกมาอยู่เมืองไทยจะบ่นกับตัวเองเป็นประจำว่า ทำไมคนไทยไม่มีน้ำใจและไม่มีวินัย ซึ่งลูกก็เครียดของเขา และว่า “ตอนนี้ลูกป่วยทางจิตมีประวัติรักษา เหตุที่เกิดขึ้น ลูกโกรธที่รถเพิ่งซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรง แต่โดนชน จึงควบคุมตัวเองไม่อยู่ ขอโทษสังคม ขอโทษทุกๆ เรื่องที่ไม่เหมาะสม พร้อมยืนยันไม่ได้รวยขนาดนั้น”

ด้านหนุ่มซีวิคได้โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กยอมรับผิด และขอโทษที่ดูหมิ่นเหยียดหยาม พร้อมขอให้ทุกคนอย่าเอาภรรยาตนเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น และว่า “ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัวแล้ว ผมจะจากประเทศนี้ไปก็ได้ครับ ตอนนี้ผมถูกเชิญออกจากงานแล้ว ผมหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ผมขอโทษครับ”

ด้าน พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร.เผยว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า คู่กรณีทั้งสองฝ่ายได้ใช้สิทธิบริษัทประกันภัยตกลงไกล่เกลี่ยและชดใช้ค่าเสียหายซ่อมรถที่เฉี่ยวชนให้แก่กัน ส่วนการด่าว่าหรือดูหมิ่นนั้น ต้องตรวจสอบว่า เป็นความผิดต่อส่วนตัวหรือความผิดต่ออาญาแผ่นดิน ถ้าผิดต่อส่วนตัว ฝ่ายที่เสียหายต้องมาร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนก่อน จึงจะดำเนินคดีได้ แต่ถ้าผิดต่ออาญาแผ่นดิน เจ้าหน้าที่รัฐสามารถกล่าวโทษเองเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 24 ต.ค. ได้มีผู้ไปแจ้งความดำเนินคดีหนุ่มขับซีวิคดังกล่าวแล้วที่กองปราบฯ โดยนายราเชน ตระกูลเวียง ประธานสหพันธ์คนไทยปกป้องสถาบัน เผยว่า ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีนายรชฎ หวังกิจเจริญสุข หรือ ตี๋แว่น เจ้าของรถยนต์ซีวิคเลือดร้อน ในข้อหาตามมาตรา 112 ฐานหมิ่นสถาบันเบื้องสูง และหมิ่นประมาทคนไทยทั้งประเทศ โดยนำหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอและภาพถ่ายจากเฟซบุ๊กรวมทั้งข้อความคำพูดของนายรชฎที่มีการกล่าวจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง และด่าคนไทยทั้งประเทศ มามอบให้พนักงานสอบสวนใช้เป็นหลักฐาน เพื่อดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด เพื่อป้องปรามไม่ให้บุคคลอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

นายราเชน กล่าวด้วยว่า ตนคิดว่าอุบัติเหตุเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ แต่หลังจากเกิดเรื่องขึ้น ไม่ควรที่จะมาดูถูกด่าทอคนไทยทั้งประเทศแบบนี้ ส่วนเรื่องที่ญาติออกมาระบุว่านายรชฏป่วยเป็นโรคซึมเศร้านั้น หากป่วยจริงก็ต้องมีใบรับรองจากแพทย์มายืนยัน และควรเพิกถอนใบอนุญาตการขับขี่ด้วย เพราะพอเกิดปัญหาแบบนี้จะมาอ้างว่าป่วย ก็คงไม่น่าจะใช่

3.คกก.วัตถุอันตราย มีมติแบน 3 สารพิษ มีผล 1 ธ.ค. ด้านกลุ่มต้าน จ่อร้องศาลปกครอง 28 ต.ค.!
(บน) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำทีมรณรงค์ยกเลิก 3 สารอันตราย (ล่าง) เกษตรกรที่คัดค้านการยกเลิกการใช้ 3 สาร พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส
เมื่อวันที่ 22 ต.ค. ได้มีการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย เพื่อพิจารณาเรื่องที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอให้ปรับวัตถุอันตรายพาราควอต ไกลโฟเซต คลอร์ไพริฟอส จากวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 เป็นชนิดที่ 4 ซึ่งห้ามผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ครอบครอง

หลังประชุม นายภานุวัฒน์ ตรียางกูรศรี รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย แถลงว่า มีผู้เข้าร่วมประชุม 26 คน จาก 29 คน เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรฯ เสนอให้มีการปรับวัตถุอันตรายพาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต จากวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.2562 และให้กรมวิชาการเกษตรไปยกร่างประกาศกระทรวงเกษตรฯ ว่าด้วยบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นแล้วเสนอคณะกรรมการฯ เพื่อเสนอให้ความเห็นในการประชุมครั้งต่อไปในเดือน พ.ย.นี้

นายภานุวัฒน์ เผยด้วยว่า การลงมติเป็นไปอย่างเปิดเผยเช่นเดียวกับทุกครั้งที่มีการลงมติ พร้อมยืนยัน ไม่มีการเมืองใดๆ มากดดัน โดยผลการลงมติ มีดังนี้ พาราควอต ลงมติให้ยกเลิกการใช้ภายในวันที่ 1 ธ.ค.2562 จำนวน 20 คน ยกเลิกการใช้ในวันที่ 1 ธ.ค. 2564 จำนวน 1 คน จำกัดการใช้จำนวน 5 คน, สารไกลโฟเซต ลงมติให้ยกเลิกการใช้ 19 คน จำกัดการใช้จำนวน 7 คน, สารคลอร์ไพริฟอส ลงมติให้ยกเลิกการใช้จำนวน 22 คน จำกัดการใช้ 4 คน

ด้านนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เผยว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางไปราชการที่ประเทศจีน ห่วงใยภาคเกษตรกร จึงโทรศัพท์มาสั่งการให้กระทรวงอุตสาหกรรมตั้งคณะทำงานศึกษาผลกระทบจากการยกเลิก 3 สารดังกล่าว โดยมอบให้อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมเป็นประธาน เพื่อหาทางเยียวยาภาคเกษตรกรต่อไป

หลังคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติยกเลิกการใช้ 3 สารดังกล่าว ได้สร้างความผิดหวังให้ฝ่ายคัดค้านที่มาติดตามผลการประชุมอยู่ที่ด้านหน้าสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมอย่างมาก โดย น.ส.อัญชุลี ลักษณ์อำนวยพร ประธานเครือข่ายอาสาคนรักแม่กลอง ตัวแทนภาคเกษตรกร กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังกับมติดังกล่าว แต่ก็ทำใจมาแล้ว และว่า หลังจากนี้กลุ่มเกษตรกรจะเดินทางไปศาลปกครองในวันที่ 28 ต.ค.นี้ เพื่อขอคุ้มครองชั่วคราวต่อมติดังกล่าว รวมถึงการยื่นถอดถอนมติกระทรวงสาธารณสุข ที่เป็นต้นเหตุของการแบน 3 สารดังกล่าว เพราะมีการใช้ข้อมูลอันเป็นเท็จ และจะยื่นฟ้องเอาผิดตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งหมด

ด้านนายสุกรรณ์ สังข์วรรณะ เลขาธิการสมาพันธ์เกษตรปลอดภัย กล่าวว่า หลังคณะกรรมการวัตถุอันตรายประกาศแบนสารเคมีกำจัดวัชพืช พาราควอตและไกลโฟเซต ซึ่งเป็นปัจจัยหลักการผลิตสำคัญที่ทำให้เกษตรอุตสาหกรรมของประเทศเจริญเติบโตได้ทุกวันนี้ ภาครัฐจะต้องเตรียมรับมือกับมูลค่าความเสียหายทั้งในแง่รายได้เกษตรกร 2.5 แสนล้านบาท และมูลค่าการส่งออก 5.7 แสนล้านบาท รวมแล้วภาครัฐจะต้องสูญเสียรายได้กว่า 8.2 แสนล้านบาท ขณะเดียวกัน ภาคเกษตรกรจำเป็นต้องใช้สิ่งทดแทนที่ไม่ใช้สารเคมี เนื่องจากกังวลด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม จึงขอให้รัฐจ่ายเงินค่าชดเชยส่วนต่างค่าแรงงาน 1.2 ล้านล้านบาทต่อปี พร้อมหาแรงงานคนมาช่วยถอนหญ้า หากหาไม่ได้ ขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ มาถอนหญ้าให้เกษตรกร 60 ล้านไร่ให้เสร็จภายใน 30 วัน รวมทั้งยกเลิกหนี้สินปัจจุบันของครอบครัวเกษตรกรทุกคนที่อยู่ในระบบของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อสร้างหนี้ใหม่กู้เงินมาซื้อเครื่องจักร และรัฐออกค่าใช้จ่ายส่วนต่างของเครื่องจักรทั้งหมดให้เกษตรกรเมื่อเทียบกับค่าสารเคมีพาราควอต

นายสุกรรณ์ กล่าวอีกว่า การแบน 3 สารดังกล่าว ยังขาดความชัดเจนในหลายด้าน เป็นเพียงนโยบายกระดาษ ขาดความสามารถในการปฏิบัติจริง และขอประกาศให้วันที่ 22 ต.ค. เป็นวันกลียุคเกษตรกรรมไทย เกษตรกรรมไทยล่มสลายด้วยระบบการบริหารเอื้อนายทุนสารเคมีกลุ่มใหม่ ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดระหว่างนักการเมืองและเอ็นจีโอ พร้อมกันนี้ ขอประกาศแบนพรรคการเมืองสมคบคิด และขอ “เผาผี” กลุ่มบุคคลดังกล่าวที่ตั้งใจทำร้ายเกษตรกร อ้างทำเพื่อสุขภาพประชาชน และเตรียมพาพี่น้องเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบไปเรียกร้องค่าชดเชยต่อไป

ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติยกเลิกการใช้ 3 สารอันตรายดังกล่าวว่า ดีใจที่ได้เห็นว่าประเทศไทยยังมีข้าราชการและนักวิชาการที่มีคุณธรรม มีสำนึกต่อความปลอดภัยของประชาชน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นภารกิจของรัฐมนตรีที่ดูแลกระทรวงสาธารณสุขที่ต้องมีความรับผิดชอบต่อสุขภาพของประชาชน และการแบน 3 สารเคมีไม่ได้อยู่ในนโยบายหาเสียงของพรรคภูมิใจไทย แต่เป็นภารกิจที่จำเป็นต้องทำ จึงมีความภาคภูมิใจที่อธิบดีทั้ง 3 กรม ของกระทรวงฯ ต่างพร้อมใจไปโหวตอย่างเปิดเผย และทำให้บรรลุเป้าหมายของกระทรวง

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า สำหรับขั้นตอนการทำลาย 3 สารที่ตกค้างอยู่ภายในประเทศนั้น เมื่อเป็นสารต้องห้ามแล้วสามารถใช้ได้จนถึงวันที่ 1 ธ.ค.นี้ หลังจากนั้นจะกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ต้องเป็นไปทีละขั้น หากใครครอบครองสิ่งที่ผิดกฎหมายมีขั้นตอนจัดการ ซึ่งคาดว่าจะมีช่วงเวลาผ่อนผัน 1 เดือนกว่า ส่วนการเยียวยาหาสารทดแทนนั้นต้องดูว่ากระทรวงไหนมีหน้าที่อะไร ขณะเดียวกันกระทรวงสาธารณสุขจะต้องเตรียมยารักษาคนที่โดนสารพิษเหล่านี้ด้วย

4.“เผดิมชัย” คว้าชัยเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 5 นครปฐม ด้าน “ธนาธร” ผิดหวัง ขณะที่ “ปิยบุตร” อ้าง แพ้เพราะเลือกตั้งวันพุธ!
นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ผู้สมัครจากพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.)
เมื่อวันที่ 23 ต.ค. คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้จัดให้มีการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 5 นครปฐม แทนนางจุมพิตา จันทรขจร อดีต ส.ส.เขตนี้ของพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ที่ลาออก

ทั้งนี้ หลังปิดหีบเลือกตั้ง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค อนค.ให้สัมภาษณ์ว่า ตนและทีมงานพรรค อนค.ใจจดใจจ่อกับผลการเลือกตั้งซ่อมในเขตนี้ และมั่นใจมาก เพราะทำงานกันอย่างหนัก ใช้เวลาเดินเคาะประตูบ้าน พบปะประชาชนในสามพรานสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างเดียวเลยเป็นเวลา 6-7 วันเลยทีเดียว พรรคให้ความสำคัญมาก ดังนั้นจึงมั่นใจ

อย่างไรก็ตาม หลังเห็นว่าช่วงต้นของการนับคะแนน นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ผู้สมัครจากพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) นำผู้สมัครของพรรค อนค.อยู่จำนวนมาก ทำให้นายธนาธรถึงกับมีสีหน้าเคร่งเครียด

ด้านนายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ซึ่งเดินทางไปให้กำลังใจผู้สมัครของพรรคในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ครั้งนี้ ปรากฏว่า หลังการนับคะแนนรายหน่วยผ่านไปได้ครึ่งทาง และเห็นว่านายเผดิมชัยมีคะแนนนำ นายอลงกรณ์จึงได้ให้สัมภาษณ์แสดงความยินดีกับผู้ชนะเลือกตั้ง พร้อมขอบคุณทุกคะแนนเสียงที่ลงให้กับนายสุรชัย อนุตธโต ผู้สมัครของพรรค

และหลังจากการนับคะแนนผ่านไปร้อยละ 80 ทางนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ผู้สมัครจากพรรค ชทพ. ซึ่งมีคะแนนทิ้งห่างคู่แข่งจากพรรคต่างๆ ได้ออกมาขอบคุณทุกฝ่าย ทั้งครอบครัวของตนเอง พรรค ชทพ.ชาวนครปฐมที่ตระกูลสะสมทรัพย์ได้รับใช้พี่น้องชาวนครปฐมมากว่า 30 ปี รวมทั้งขอบคุณนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค อนค.ที่โทรมาแสดงความยินดี พร้อมคาดหวังว่าจะได้ไปทำงานร่วมกันในสภาผู้แทนราษฎร

ต่อมา ช่วงค่ำ นายปิยบุตร เลขาธิการพรรค อนค.พร้อมด้วย ส.ส.หลายคนของพรรค ได้แถลงข่าวขอบคุณทุกคะแนนเสียงที่เลือกพรรค อนค.พร้อมเชื่อว่า เหตุที่ผู้สมัครของพรรคพ่ายแพ้ครั้งนี้ เพราะเลือกตั้งวันพุธ (23 ต.ค.วันปิยมหาราช) ไม่ใช่วันอาทิตย์ ทำให้ฐานคะแนนของพรรค อนค.คือ ผู้ใช้แรงงาน ไม่ได้หยุดงานเพื่อมาเลือกตั้ง

สำหรับผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 5 นครปฐม พบว่า นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ จากพรรค ชทพ.ได้ 37,675 คะแนน, นายไพรัฏฐโชติก์ จันทรขจร พรรค อนค.ได้ 28,216 คะแนน, นายสุรชัย อนุตธโต พรรค ปชป.ได้ 18,425 คะแนน ฯลฯ ด้าน กกต. ยืนยันว่า จะประกาศผลการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แต่ไม่เกิน 60 วัน นับตั้งแต่วันที่มีการเลือกตั้ง

ขณะที่นายธนาธร จึงรุ่งเรือง หัวหน้าพรรค อนค.กล่าวถึงผลเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 5 นครปฐม หลังผู้สมัครของพรรคพ่ายแพ้ให้กับพรรค ชทพ.ว่า ยังไม่ได้สรุปว่า ความพ่ายแพ้เกิดขึ้นจากอะไร แต่ผิดหวังกับผลที่ออกมา พร้อมภูมิใจว่า ยังมีประชาชนยืนอยู่กับพรรค อนค.กว่า 28,000 คน จึงไม่กังวลใจอะไร และว่า สถานการณ์และกาลเวลาเหมือนไฟ จะต่อสู้กับเผด็จการหรืออำนาจที่ไม่เป็นธรรม ดาบนั้นก็ต้องมีสนิมบ้าง เมื่อผ่านสถานการณ์ผ่านเวลา ไฟเหล่านั้นจะเอาสนิมออกจากดาบเอง

ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ผ่านมา แคมเปญการเลือกตั้งซ่อมนครปฐม เป็นโดมิโนจะล้มเสียงรัฐบาลปริ่มน้ำ ผ่านคำพูดที่ว่า ทนลุงไม่ไหวให้เลือกอนาคตใหม่ แต่ผลออกมาแพ้ นายธนาธร กล่าวว่า เราพ่ายแพ้เรายอมรับ ส่วนจะสะท้อนถึงความนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ขึ้นมาหรือไม่นั้น นายธนาธร กล่าวว่า วันนี้ถ้าลองไปเดินตลาดเช็กความนิยมของประชาชน คงตอบได้ไม่ยาก

เมื่อถามว่า ถือว่าเป็นขาลงของพรรค อนค.หรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า ยังมองไม่เห็นว่า เป็นขาลงอย่างไร อย่าลืมว่าพรรคเข้ามาด้วยเวลาที่สั้นขนาดนี้ ทำให้เราไม่สามารถคัดกรองบุคลากรที่มีความคิดความฝันเหมือนกับพรรค ดังนั้นเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ คนที่จะเดินไปต่อกับพรรค ถือเป็นเหล็กเนื้อดีที่ไม่มีสนิม ต่อให้เขาซื้อคนพวกเราทั้งหมด แต่เขาซื้อนายปิยบุตรกับซื้อคนชื่อธนาธรไม่ได้ แม้ว่าเราจะเหลือแค่เราสองคน เราก็จะเดินหน้าต่อ และทำงานการเมืองเพื่อให้ได้สังคมตามที่เราฝันไว้

5.ตำรวจหอบสำนวนพร้อมหลักฐาน 4 ลัง ให้อัยการสั่งฟ้อง 21 ผู้ต้องหาคดีบึ้มกรุง ยังหลบหนี 18!

เมื่อวันที่ 24 ต.ค. คณะพนักงานสอบสวนคดีระเบิดหน้าป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ป้ายสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ และพื้นที่ กทม.-อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2562 ได้แถลงข่าวหลังส่งมอบสำนวนการสอบสวนให้อัยการ พร้อมหลักฐานจำนวน 4 ลัง เอกสารกว่า 13,000 หน้า พยานกว่า 250 ปาก พร้อมความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา 21 คน ข้อหาอั้งยี่-ซ่องโจร, ร่วมกันก่อการร้าย และข้อหาอื่นๆ ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 รวม 11 ข้อหา

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า เรื่องนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 2 เดือน เจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 100 นาย ร่วมกันสืบสวนสอบสวน ซึ่งสำนวนนี้มีผู้ต้องหาทั้งหมด 21 คน แต่มี 18 คน หลบหนีออกนอกประเทศ

ผู้สื่อข่าวถามว่า คดีนี้เกี่ยวข้องกับด้านความมั่นคงเรื่องแบ่งแยกดินแดนของกลุ่มก่อความไม่สงบรายใด หรือเป็นกลุ่มการเมือง พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ขอให้มั่นใจในการรวบรวมพยานหลักฐาน เราจะทำทุกช่องทางเท่าที่ทำได้ ส่วนจะเกี่ยวพันกับด้านความมั่นคงหรือการเมืองอย่างไรนั้น อาจพูดไม่ได้ชัดนัก เพราะเป็นประเด็นที่จะต้องต่อสู้กันในชั้นศาล จึงขอสงวนการตอบเรื่องนี้ก่อน

ขณะที่นายสิงห์ชัย ทนินซ้อน อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา กล่าวว่า คดีนี้มีการกระทำความผิดในพื้นที่นอกราชอาณาจักรด้วย ดังนั้นขั้นตอนในการสั่งคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 ให้อำนาจอัยการสูงสุดเป็นผู้สั่งคดี เมื่อวันนี้ (24 ต.ค.) ได้รับมอบสำนวนแล้ว ก็จะส่งให้อัยการสูงสุดผ่านทางสำนักงานคดีอัยการสูงสุดต่อไป โดยในส่วนของสำนักงานคดีอาญา ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมา 6 คน โดยมีนายพรชัย ชลวาณิชกุล รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา เป็นหัวหน้าคณะทำงาน เพื่อดูแลการร่างคำฟ้อง หากอัยการสูงสุดมีความเห็นทางคดีออกมาว่าสั่งฟ้อง

ด้านนายพรชัย รองอธิบดีอัยการคดีอาญา กล่าวว่า แม้ว่าระยะเวลาการควบคุมผู้ต้องหาจะมีเวลาการฝากขังในส่วนของผู้ต้องหา 3 คน จาก 21 ราย เหลืออีกเพียง 12 วัน แต่ก็มั่นใจว่า จะพิจารณาสำนวนทั้งหมดได้ทันตามกรอบเวลา

ขณะที่ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. เผยว่า ผู้ต้องหาอีก 18 คนที่อยู่ระหว่างการหลบหนี คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนได้ประกาศสืบจับในสารบบทั่วราชอาณาจักร และประสานงานผ่านไปยังช่องทางตำรวจสากล (INTERPOL) ออกหมายแดงไว้แล้ว ประกอบกับแจ้งประเทศสมาชิกทั้ง 194 ประเทศ ตรวจสอบแหล่งที่อยู่ผู้ต้องหา และแจ้งความเคลื่อนไหวของผู้ต้องหา พร้อมประสานสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเฝ้าระวังการเดินทางเข้า-ออก เพื่อจับกุมตัวและส่งกลับมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 21 คนในคดีนี้ มี 3 คน ที่อยู่ระหว่างการฝากขังของศาล ที่เรือนจำชั่วคราวแขวงทุ่งสองห้อง คือ นายลูไอ แซแง, นายวิลดัน มาหะ และนายมูฮัมมัดอิลฮัม สะอิ

ส่วนผู้ต้องหาอีก 18 คน ที่หลบหนีออกนอกประเทศ ซึ่งศาลอาญาได้ออกหมายจับแล้ว ตั้งแต่วันที่ 17-18 ก.ย.2562 ซึ่งคดีมีอายุความในการติดตามตัวมาฟ้องคดี 20 ปี เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งหมดมีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย นายอุสมัน ลาเตะ, นายฮาซัน อาแว, นายนัสรู มะประสิทธิ์, นายฮาแซ แบเล๊าะ, นายมะยูโซะ หะยีสามะ, นายฮากีม ปุนยัง, นายอัสมี อาบูวะ, นายอุสมาน เปาะลอ, นายอัมรี มะมิง, นายศรัทธา อาแว, นายอุสมาน เจ๊ะเต๊ะ, นายสุกรี ดือรามัน, นายมะยากี มะลาชิง, นายมะนูเด็น สามะ, นายมูฮำมัดอาดีลัน สาและ, นายอารีฟ มะเซ็ง, นายซุลกิฟลี มะสาแมง และนายรอแปะอิง อุเซ็ง