คลิกที่นี่เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.ปปป.ส่งสำนวนเงินทอนวัดล็อต 3 อีก 7 วัดให้ ป.ป.ช.แล้ว ด้านชาวพุทธพลังแผ่นดินป้อง 5 พระผู้ใหญ่-จี้ปลด “พงศ์พร” ขณะที่องค์กรต้านคอร์รัปชั่นฯ ค้าน!
ความคืบหน้าคดีทุจริตเงินทอนวัดที่ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อตำรวจกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ(บก.ปปป.) ให้ดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องในคดีทุจริตเงินทอนวัดล็อตที่ 3 ซึ่งมีชื่อพระชั้นผู้ใหญ่ใน กทม.เกี่ยวข้องด้วย 5 รูป จาก 3 วัด ซึ่งต่อมา ตำรวจ ปปป. ได้ส่งสำนวนทั้งหมด 4 สำนวน ที่มีพระชั้นผู้ใหญ่เกี่ยวข้อง 5 รูป ไปให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เพื่อตรวจสอบการทุจริตแล้วเมื่อวันที่ 11 เม.ย.
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 22 เม.ย. พ.ต.ท.พงศ์พร ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษคดีทุจริตเงินทอนวัดล็อต 3 ที่เหลืออีก 7 วัด ต่อตำรวจ ปปป.แล้ว หลังจากนั้น ตำรวจ ปปป.ได้นำสำนวนคดีดังกล่าวไปมอบให้ ป.ป.ช.เพิ่มเติมในวันต่อมา
พ.ต.อ.วรายุทธ สุขวัฒน์ รอง ผบก. ปปป. เผยว่า สำนวนคดีที่เพิ่มอีก 7 สำนวน เป็นสำนวนจากทุกภูมิภาค ทั้งภาคเหนือ กลาง อีสาน และใต้ โดยพบว่าเป็นผู้กระทำผิดชุดเดียวกับสำนวนล็อตแรกและล็อตที่ 2 มีเพิ่มทั้งฆราวาสและพระผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งล็อตนี้มีพระสงฆ์เกี่ยวข้องทั้งที่ยื่นก่อนหน้านี้และที่ยื่นเพิ่มเติมรวม 7 รูป เป็นการทุจริตในงบประมาณทั้ง 3 ส่วน คือ งบปริยัติธรรม งบการศึกษา และงบบูรณปฏิสังขรณ์ ส่วนใหญ่เป็นงบปริยัติธรรม
พ.ต.อ.วรายุทธ ยืนยันด้วยว่า “พนักงานสอบสวนกระทำการโดยบริสุทธิ์ และพยานหลักฐานที่มีเพียงพอ ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ที่ทุจริต บางส่วนจะมีฆราวาสและมีพระสงฆ์สนับสนุน แต่ต้นเรื่องที่แท้จริงไม่ใช่พระสงฆ์ แต่เป็นเจ้าหน้าที่” โดยความเสียหายในล็อต 3 รวม 10 วัด มูลค่า 140 ล้านบาท
ด้านพระโสภณ พุทธิธาดา เจ้าอาวาสวัดศรีนคราราม และรองเจ้าคณะจังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็น 1 ใน 7 วัดที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริตเงินทอนวัดล็อต 3 ได้ออกมาชี้แจงเมื่อวันที่ 25 เม.ย.ว่า เคยให้ข้อมูลกับทาง บก.ปปป.ไปแล้วว่า ทางวัดได้รับโอนเงินจาก พศ.จริง 10 ล้านบาท แต่เมื่อทางวัดทราบว่าไม่ได้เสนอโครงการหรือขอเงินส่วนนี้มา จึงได้ส่งเงินคืนแล้ว “ไปเบิกเงินสดทั้งหมด 10 ล้านบาท จากธนาคารกรุงไทย นำส่งคืนสำนักงานพระพุทธฯ โดยให้คนขับรถพาไปส่งคืนที่กรุงเทพฯ พร้อมกับกรรมการสถานศึกษา 1 คน ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีการทำเอกสารนำส่ง หรือถ่ายภาพการนำส่ง คนที่รับเงินวันนั้นน่าจะเกษียณไปแล้ว”
เป็นที่น่าสังเกตว่า วันต่อมา 24 เม.ย. ได้มีกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน นำโดยนายจรูญ วรรณกสิณานนท์ และนาวาอากาศเอก วินัย เสวกวี ได้เข้าแจ้งความต่อตำรวจ ปปป. เพื่อให้เอาผิด พ.ต.ท.พงศ์พร ที่แจ้งความเอาผิดพระสงฆ์ 5 รูปในคดีทุจริตเงินทอนวัด โดยอ้างว่า พ.ต.ท.พงศ์พร ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และว่า พ.ต.ท.พงศ์พร เป็นเจ้าหน้าที่รัฐต้องสนองงานพระสงฆ์ ไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะตรวจสอบการทำงานของพระสงฆ์ นอกจากนี้ยังอ้างว่า การกระทำของ พ.ต.ท.พงศ์พร เป็นการทำลายความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพระสงฆ์อย่างรุนแรง
ทางกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน ยังยืนยันด้วยว่า ที่มาแจ้งความดำเนินคดี พ.ต.ท.พงศ์พรครั้งนี้ ไม่ได้มาตามใบสั่งของพระชั้นผู้ใหญ่รูปใด และไม่มีการรู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่ทำในฐานะชาวพุทธคนหนึ่งที่ต้องการปกป้องพระพุทธศาสนา มีรายงานด้วยว่า ชาวพุทธกลุ่มนี้จะยื่นเรื่องถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้ปลด พ.ต.ท.พงศ์พรออกจากตำแหน่งด้วย และหากภายใน 1 เดือน ไม่มีคำสั่งปลดหรือไม่มีความคืบหน้า จะออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. พูดถึงกรณีที่กลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดินออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านการตรวจสอบพระผู้ใหญ่ 5 รูปว่า “การที่จะมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน ก็ต้องดูว่าการเคลื่อนไหวนี้มันถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ขั้นตอน และกระบวนการตรวจสอบเป็นอย่างไร ผมบอกแล้วว่า มันเริ่มมาจากข้าราชการ มาจากสำนักพุทธฯ ก็ต้องไปดูว่าเงินไปที่ไหน ก็ไปสอบที่นั่น ก็แค่นั้น อย่าตีกันไปตีกันมา และที่สุดก็ไปลงโทษเฉพาะข้าราชการ อย่างนี้มันก็ไม่เป็นธรรมน่ะสิ มันต้องเป็นธรรม กฎหมายบังคับใช้กับทุกคน ผมไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายขึ้น ถ้าตัวเองรู้ว่ามันจะเกิดความวุ่นวายก็อย่าทำ ก็แค่นั้นเอง กฎหมายมันมีอยู่”
ส่วนกรณีที่กลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดินเรียกร้องให้มีการปลด พ.ต.ท.พงศ์พรนั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เขามีความผิดหรือยัง เขาทำผิดหรือทำนอกกติกาหรือยัง ก็ยัง มันเป็นเพียงขั้นตอนการนำเข้าสู่การตรวจสอบเท่านั้น ถือเป็นต้นทางของกระบวนการ ซึ่งต้องหาคนดี คนซื่อสัตย์ คนที่ซื่อตรงมาทำงานตรงนี้และกระบวนการยุติธรรมในการสอบสวนก็ต้องว่ากันไป ยืนยันว่าเคารพพระสงฆ์ทุกองค์
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดินออกมาแจ้งความดำเนินคดี พ.ต.ท.พงศ์พร พร้อมเรียกร้องให้นายกฯ ปลด พ.ต.ท.พงศ์พรออกจากผู้อำนวยการ พศ.นั้น ปรากฏว่า หลายฝ่ายได้ออกมาให้กำลังใจ พ.ต.ท.พงศ์พรจำนวนมาก โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย นอกจากนี้ นายตุลย์ ประเสริฐศิลป์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นภาคพลเมือง จ.ขอนแก่น และเครือข่าย ได้เข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี โดยผ่านนายรัฐวิชญ์ มาฉิมพลี ผู้อำนวยการกลุ่มอำนวยการและกิจการคณะสงฆ์ขอนแก่น โดยระบุว่า การที่มีกลุ่มบุคคลยื่นหนังสือถึงนายกฯ ให้ย้ายผู้อำนวยการ พศ.ถือเป็นการคุกคามข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอย่างถูกต้องชอบธรรม จึงขอให้นายกฯ ปกป้องข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต และขอให้ดำเนินคดีกับพระเถระทุกรูปที่กระทำผิดกฎหมายโดยไม่ละเว้น พร้อมกันนี้ เครือข่ายองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นภาคพลเมือง จ.ขอนแก่น ยังได้ให้กำลังใจ พ.ต.ท.พงศ์พร ให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปด้วย
2.“อภิสิทธิ์” แฉพรรคทหารดูดนักการเมือง เสนอเก้าอี้ ผช.รมต.ล่อ ด้าน “บิ๊กตู่” ลั่น ไม่ใช่เครื่องดูดฝุ่น สวนกลับดูแลลูกพรรคให้ดี!
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 23 เม.ย. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การเมืองขณะนี้ว่า นอกจากได้ยินเรื่องดึงพรรคพลังชลก่อนหน้านี้แล้ว ยังได้ยินเรื่องกระบวนการของรัฐและคนที่มีอำนาจรัฐจะมาเล่นการเมือง โดยไม่จำเป็นต้องลง ส.ส. แต่อาจใช้สถานะตรงนั้นในการติดต่อภาคธุรกิจ ส่งสัญญาณว่าไม่ควรสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนพรรคการเมืองใด ซึ่งคิดว่าการกระทำลักษณะดังกล่าว ไม่ต่างจากหลายระบอบที่ต้องต่อสู้ในอดีต และคิดว่าขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ไม่ต้องการให้ผู้มีอำนาจขณะนี้ยุ่งกับการเมือง หรือมีส่วนได้เสียกับการเลือกตั้ง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า “ผมได้ยินมาอีกว่า ตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรี(ผช.รมต.) ยังเสนอให้หลายคน หลายพรรค เสนอตำแหน่งไม่ใช่กับเพียงตระกูลสะสมทรัพย์ แต่กับ ปชป.ก็เสนอเช่นกัน และคิดว่าเป้าหมายของพรรคนี้จะต้องได้รับเสียงพอสมควร อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 25 เสียง”
วันเดียวกัน นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการตั้งพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่า ตนเคยแถลงไปก่อนหน้านี้แล้วว่า มีความพยายามระดมเงิน 4 หมื่นล้านบาท เพื่อจัดตั้งพรรคทหารในการสืบทอดอำนาจ ซึ่งตนได้บอกกับผู้ใหญ่ในพรรค แต่ผู้ใหญ่ในพรรคไม่เชื่อ แต่ปัจจุบันข่าวก็ออกมาเป็นระยะว่า มีการระดมเงินจำนวนมากเพื่อดูด ส.ส. จากพรรคการเมืองต่างๆ ให้ไปสนับสนุนพรรคการเมืองของทหาร
วันต่อมา 24 เม.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ออกมาโต้นายอภิสิทธิ์โดยยืนยันว่า “ผมไม่ใช่เครื่องดูดอากาศหรือเครื่องดูดฝุ่น เพราะฉะนั้นต้องไปดูว่า ข้อกล่าวหาที่ว่า คสช.หรือรัฐบาลไปบังคับคนนั้นคนนี้ บังคับนักธุรกิจ พ่อค้า ประชาชน ผมจะเอาอำนาจอะไรไปบังคับ” พล.อ.ประยุทธ์ ยังสวนกลับนายอภิสิทธิ์ด้วยว่า การจะกล่าวว่าใครดูดใคร ต้องไปดูว่าผลงานของพรรคการเมืองตนเองที่ผ่านมาเป็นอย่างไร มีการดูแลสมาชิกพรรค ส.ส.ทุกคนมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นและนำความต้องการของประชาชนไปสู่การขับเคลื่อนของพรรคหรือไม่ ขอให้ไปดูแลสมาชิกของพรรคให้ดีที่สุด
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่นายวัชระระบุว่า คสช.เตรียมสืบทอดอำนาจโดยใช้เงินถึง 4 หมื่นล้านตั้งพรรคทหารว่า “อดีต ส.ส.คนนี้พูดหลายครั้งแล้ว ชอบพูดประเด็นนั้นประเด็นนี้ว่ามีการทุจริต เสร็จแล้วก็เงียบหายไป เดี๋ยวก็กลับมาใหม่ ขอความกรุณาว่าให้ไปหาข้อมูลมาสิว่า 4 หมื่นล้านมาจากไหน ทุกโครงการมีการตรวจสอบ แล้วจะเอาเงินมาจากไหนได้ตั้ง 4 หมื่นล้าน แล้วจะเอาเงินจำนวนนี้ไปตั้งพรรคการเมืองหรือ เอาเงินจำนวนนี้ไปดูแลประชาชนไม่ดีกว่าหรือ ถ้าได้เงินมาขนาดนี้ ยืนยันและพูดได้ 100% ว่า ไม่ได้มีทุจริตใดๆ อะไรทั้งสิ้น ผมกำลังให้ฝ่ายกฎหมายดูว่า การออกมาพูดแบบนี้ มันทำให้เกิดความเสียหายอะไรหรือไม่ อย่างไร รวมถึงสื่อสำนักพิมพ์ต่างๆ ที่นำมาเผยแพร่ด้วย เพราะถ้าเผยแพร่โดยไม่มีหลักฐาน ก็มี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ขอให้ระมัดระวัง เพราะไม่อยากให้ใครเดือดร้อน รัฐบาลไม่ได้ขู่ ไม่ได้ใช้กฎหมายไปบังคับ ขอเตือนให้ทุกคนได้ทราบ”
วันต่อมา 25 เม.ย. นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ปฏิเสธว่าไม่ได้ดูดนักการเมือง พร้อมให้คนที่กล่าวหาไปดูแลสมาชิกในพรรคตนเองว่า การกระทำของนายกฯ มันแสดงเจตนาทั้งหมดว่าจริงหรือไม่จริง “นายกฯ ต้องยอมรับความจริงด้วยว่า นายสมคิดเรียกนักการเมืองหลายคนไปคุยที่ทำเนียบฯ ในส่วนของพรรค ปชป.ก็มีเยอะ ทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น ซึ่งเขาก็มาเล่าให้ฟัง ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง นายกฯ อย่าไปเหนียมอยู่เลย ไม่มีประโยชน์ ...ยอมรับการเข้าสู่การเมือง ก็ไม่ได้ว่าอะไร จะยินดีด้วยซ้ำ ดังนั้นอย่าไปเหนียม เลิกเหนียมได้แล้ว ไปไกลกว่านั้นแล้ว ถ้าจะเหนียม ก็แต่พองาม แต่นี่จริตจะก้านเหนียมจนเกินงาม”
3.“บิ๊กตู่” ใช้อำนาจ ม.44 หยุดการสรรหา กสทช.ชุดใหม่ ให้ชุดเก่าทำหน้าที่ต่อ พร้อมใช้ ม.44 ช่วยเหลือทีวีดิจิทัล!
เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ได้มีการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.เป็นประธาน หลังประชุม พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ที่ประชุม คสช.มีมติเห็นชอบให้ออกคำสั่งหัวหน้า คสช.โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ให้ระงับการสรรหาคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ชุดใหม่ หลังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) มีมติไม่เลือกรายชื่อที่คณะกรรมการสรรหาเสนอ เนื่องจากเห็นว่ายังมีปัญหาอยู่ เพราะมีการร้องเรียนเรื่องคุณสมบัติ และไม่แน่ใจว่าสรรหาใหม่แล้ว จะเกิดปัญหาอีกหรือไม่ ประกอบกับไม่มั่นใจว่า จะสามารถสรรหาผู้ที่จะได้รับการคัดเลือกเป็นกรรมการ กสทช.ได้ใน 30 วันตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่
นอกจากนี้ คำสั่งหัวหน้า คสช.ยังให้กรรมการ กสทช.ชุดปัจจุบัน ยังคงดำรงตำแหน่ง ปฏิบัติหน้าที่ตามความจำเป็นไปพลางก่อน หากกรรมการคนใดต้องพ้นจากตำแหน่ง ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม ให้กรรมการที่เหลือปฏิบัติหน้าที่ต่อไป รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปัญหาที่เกิดขึ้นในการสรรหากรรมการ กสทช. เมื่อได้ทางออกแล้ว ให้แจ้งหัวหน้า คสช.เพื่อดำเนินการต่อไป
ไม่เท่านั้น ที่ประชุม คสช.ยังเห็นชอบในหลักการช่วยเหลือผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล ที่ประสบปัญหา 3 เรื่อง คือการแข่งขันสูงมาก, คนหันไปบริโภคในช่องทางโซเชียลมีเดียมากขึ้น ทำให้คนดูทีวีน้อยลง การหาโฆษณาจึงได้ยาก และก่อนการประมูล กสทช.กำหนดรายละเอียดการปฏิบัติหลายประการ ซึ่งหลายเรื่องที่ กสทช.สัญญาไว้ แต่ยังทำไม่สมบูรณ์ จึงขอให้ช่วยเหลือ คือจะไม่ชำระค่างวดอีก 5 งวดที่เหลือ ที่ประชุมจึงมีมติช่วยเหลือดังนี้ 1.อนุญาตให้พักชำระหนี้ได้ 3 งวด จาก 5 งวดที่เหลือในปี 2561, 2562, 2563, 2564 และ 2565 เพื่อให้ผู้ประกอบการมีทุนสำหรับสภาพคล่องของธุรกิจ แต่การพักชำระหนี้ 3 งวด จะต้องจ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 1.5 2.กสทช.จะช่วยจ่ายค่าโครงข่ายให้ครึ่งหนึ่ง หรือร้อยละ 50 เป็นเวลา 2 ปี ซึ่งปัจจุบันมีโครงข่ายทีวีดิจิทัลที่ให้บริการอยู่ 4 เจ้า คือ บริษัท อสมท จำกัด(มหาชน) กรมประชาสัมพันธ์ สถานีโทรทัศน์ช่อง 5 และสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส 3.อนุญาตให้โอนใบอนุญาตได้ หากมีผู้สนใจอยากขอซื้อต่อ สามารถโอนกิจการได้ โดยจะออกมาตรา 44 ในเรื่องดังกล่าวต่อไป
4.“บิ๊กตู่” ตั้ง กก. เคลียร์ปัญหาบ้านพักตุลาการอีก ขณะที่ ผบ.ทบ.วอนทุกฝ่ายหยุดเคลื่อนไหว หวั่นสร้างความร้าวฉานในสังคม!
ความคืบหน้ากรณีภาคประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่ต่อต้านการสร้างบ้านพักตุลาการและข้าราชการศาลอุทธรณ์ภาค 5 บริเวณเชิงดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ พร้อมเรียกร้องให้ยุติการก่อสร้างและทุบทิ้ง ร้อนถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ต้องมอบหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ไปพูดคุยหาทางออกที่เหมาะสมร่วมกับฝ่ายตุลาการ และส่งข้อเสนอแนะมายังรัฐบาล เพื่อตัดสินใจ ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 3 ได้ประชุมฟังความคิดเห็นของภาคประชาชนไปแล้วเมื่อวันที่ 9 เม.ย. ซึ่งยืนยันให้รื้ออาคารศาลบางส่วน ส่วนจะต้องรื้อแค่ไหน ทางแม่ทัพภาคที่ 3 และผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้ตั้งคณะกรรมการไปตรวจสอบรายละเอียด คาดว่าจะรายงานให้นายกฯ รับทราบในวันที่ 29 เม.ย. ขณะที่ฝ่ายตุลาการซึ่งประชุมนอกรอบ ยืนยันความถูกต้องในการดำเนินโครงการก่อสร้างดังกล่าว แต่พร้อมให้นายกฯ เป็นผู้ตัดสินนั้น
เมื่อวันที่ 22 เม.ย. นายชำนาญ รวิวรรณพงษ์ ประธานแผนกคดีล้มละลายในศาลฎีกา ซึ่งเป็นอดีตประธานศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้กล่าวถึงการก่อสร้างบ้านพักตุลาการดังกล่าวว่า การรื้อถอนทรัพย์สินของแผ่นดินถือว่ามีความผิด ไม่สามารถกระทำได้ เพราะต้องออกเป็นพระราชบัญญัติก่อน ส่วนผู้เกี่ยวข้องจะไปพิจารณาอย่างไร สำนักงานศาลยุติธรรมก็คงไม่ขัดข้อง โดยตนขอเสนอว่า การแก้ปัญหาดังกล่าว ควรให้ศาลเข้าไปปรับระบบสภาพสิ่งแวดล้อมสัก 10 ปี จากนั้นค่อยมาดูกันอีกครั้งว่า สามารถฟื้นฟูได้หรือไม่ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นทางออกที่ดีมากกว่าการรื้อถอน อีกทั้งในอนาคต อีกไม่นานจะมีการเลือกตั้งท้องถิ่น หากมีการร้องคดีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แล้วใครจะพิจารณา หากผู้พิพากษาไม่มีที่อยู่
ทั้งนี้ ความเห็นของของอดีตประธานศาลอุทธรณ์ภาค 5 สร้างความไม่พอใจให้ภาคประชาชนใน จ.เชียงใหม่ที่ต้องการให้รื้อบ้านพักตุลาการเป็นอันมาก โดยนายธีระศักดิ์ รูปสุวรรณ ประธานเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ กล่าวว่า ความเห็นของอดีตประธานศาลอุทธรณ์ภาค 5 แสดงว่าศาลไม่รู้เรื่องโลกภายนอก ไม่ยอมและไม่เข้าใจอะไร อาจทำให้นายกฯ ตัดสินใจยากขึ้น พร้อมวิงวอนให้นายกฯ ตัดสินใจในทางที่ถูกต้อง ฟังเสียงประชาชนที่ไม่อยากเห็นการบุกรุกพื้นที่ป่า หวังว่าจะได้รับข่าวดีด้วยการประกาศพื้นที่ห้ามเข้า หรือ No Man’s Land และเตรียมรื้อถอนต่อไป โดยวันที่ 29 เม.ย. จะนัดชุมนุมเพื่อส่งสัญญาณอีกครั้ง
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในตลาดวโรรส และร้านค้าต่างๆ ในและนอกเมืองเชียงใหม่ เริ่มพบการติดป้ายสัญลักษณ์สีเขียว และข้อความทวงคืนผืนป่าดอยสุเทพ เช่น “ร้านนี้ ไม่ขายของให้..คนบาปทำลายป่า เฮาฮักดอยสุเทพของเฮา” , “ร้านนี้ ไม่ต้อนรับคนทำลายป่า ร่วมใจทวงคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพเพิ่มขึ้น”
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงการแก้ปัญหาบ้านพักตุลาการว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ ตั้งแต่วันแรกถึงขณะนี้ก็คิดมาตลอด เพราะมีหลายปัญหากำลังดำเนินการอยู่ คงต้องตั้งคณะกรรมการร่วม ประกอบด้วยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาปัญหาและแนวทางแก้ไข เพราะมีหลายประเด็น และว่า การชะลอการใช้อาคารนั้น ต้องไปดูว่า กฎหมายทำได้หรือไม่ การก่อสร้างมาแล้ว จะทำอย่างไรในเรื่องของสัญญา และทำมาแล้ว จะใช้ประโยชน์ได้อย่างไรในเมื่อมีแรงต่อต้านขนาดนี้ ก็ต้องหาทางออกให้ได้ เรื่องกลไกและกฎหมายก็ว่าไป แต่การฟื้นฟูสภาพป่า จะต้องเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด
ขณะที่ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงการแก้ปัญหาบ้านพักตุลาการว่า ทราบว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะตั้งคณะทำงานร่วมขึ้นมารวบรวมข้อมูลรายละเอียดในทุกประเด็น เพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปด้วยความรอบคอบและไม่มีผลกระทบตามมา นายกฯ จะให้คณะทำงานรวบรวมข้อมูลเตรียมการ เพื่อวางแนวทางฟื้นฟูพ้นที่ดังกล่าวให้มีสภาพใกล้เคียงของเดิมมากที่สุด พล.อ.เฉลิมชัย ยังขอให้ทุกฝ่ายยุติความเคลื่อนไหว เพราะการตอบโต้กันไปมา รังแต่จะสร้างความร้าวฉานทางสังคม และว่า ข้อมูลทุกอย่างอยู่ในมือนายกฯ แล้ว คณะทำงานจะลงไปรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม และรับฟังความเห็นทุกฝ่าย ก่อนนำเสนอนายกฯ ตัดสินใจตามกระบวนการ ส่วนจะใช้เวลานานเท่าไหร่ ตนไม่ทราบ
5.ตร.บุกทลายเครือข่ายเครื่องสำอาง-อาหารเสริม “เมจิก สกิน” ใช้ อย.ปลอม ด้านศิลปินดารารีวิวสินค้าโดนด้วย ออกหมายเรียกแล้วนับสิบราย!
ความคืบหน้ากรณีตำรวจนำกำลังเข้าตรวจค้นและจับกุมเครือข่ายบริษัท เมจิก สกิน จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องสำอางและอาหารเสริมยี่ห้อดัง โดยพบว่า ใช้เครื่องหมายการค้าผิดประเภท ผลิตอาหารเสริมไม่ได้คุณภาพ แหล่งผลิตไม่ได้จดทะเบียน และมีการปลอมเครื่องหมายสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) โดยผู้ต้องหาถูกออกหมายจับ 8 คน ประกอบด้วย นางวรรณภา พวงสน หัวหน้าทีมและเจ้าของบริษัท, นายกร พวงสน ผู้ดูแลการเงิน สามีนางวรรณภา, นายไมยสิทธิ์ สว่างธรรมรัตน์ ผู้ทำหน้าที่จัดโรงเรียนสอนรวย, นายพิร์นิธิ ติรณวัตถุภรณ์ ผู้ทำหน้าที่วางกลยุทธ์, นายกสิทธิ์ วรชิงตัน หรือหญิงย้วย, น.ส.ธนัญพรรธน์ บุญโญสิทธิ์ และ น.ส.มธุรส แดงสัมฤทธิ์ ผู้สั่งผลิตและเจ้าหน้าที่ยี่ห้อสินค้า โดยเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวได้แล้ว 6 คน เหลือเพียง น.ส.ธนัญพรรธน์ และ น.ส.มธุรส ที่อยู่ระหว่างติดตามตัวนั้น
เมื่อวันที่ 22 เม.ย. พล.ต.ต.อังกูร คล้ายคลึง ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว 3 ได้นำสื่อมวลชนตรวจสอบของกลางผลิตภัณฑ์ในเครือบริษัท เมจิก สกิน กว่า 100 ลัง หลังจากเมื่อวันที่ 21 เม.ย. พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นำกำลังลงพื้นที่บริเวณหมู่บ้านซิตี้ ย่านรามอินทรา และยึดของกลางไว้จำนวนมาก เช่น เงินสด 19 ล้านบาท แหวนทองคำ 53 วง นอกจากนี้บริเวณบ้าน ยังพบรถเบนซ์หรู รวมมูลค่าทั้งหมด 21 ล้านบาท
ทั้งนี้ ตำรวจได้นำหมายศาลเข้าตรวจค้นสถานที่หลายแห่งที่คาดว่าเป็นแหล่งผลิตสินค้าในเครือเมจิก สกิน เช่น โรงงานย่านคลองหลวง จ.ปทุมธานี, บ้านย่านบางใหญ่ จ.นนทบุรี และที่โกดังย่านสมุทรสาคร ซึ่งพบพิรุธมีการเขียนใส่กระดาษแปะว่า “พื้นที่สินค้าหมดอายุ รอทำลาย” ทั้งที่สภาพบรรจุภัณฑ์ยังใหม่เอี่ยม หรือแม้แต่เครื่องจักรอุปกรณ์ที่อยู่ในสภาพใหม่ แต่เขียนว่า “ชำรุด”
สำหรับบริษัท เมจิก สกิน ผลิตสินค้าหลายยี่ห้อ ได้แก่ apple slim, slim milk, snow milk, Fern, เมจิก สกิน, ซิโนบิ, ตรีชฎา และ Mezzo
ด้านตำรวจได้ทยอยนำตัวผู้ต้องหาฝากขังต่อศาล ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ซึ่งในชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และศาลได้อนุญาตให้ประกันตัวในเวลาต่อมา โดยนางวรรณภา และนายกร พวงสน สามี เชื่อว่า การที่ตนถูกดำเนินคดีครั้งนี้เป็นการกลั่นแกล้งทางธุรกิจ ที่มีผลประโยชน์ขัดแย้งกัน
ขณะที่ผู้ต้องหาที่เหลืออีก 2 คน คือ น.ส.มธุรส แดงสัมฤทธิ์ และ น.ส.ธนัญพรรธน์ บุญโญสิทธิ์ ได้ทยอยเข้ามอบตัวตามหมายจับแล้วเช่นกัน โดย น.ส.มธุรสให้การปฏิเสธว่า ไม่ได้เป็นผู้สั่งผลิตสินค้าจากบริษัท เมจิก สกิน แต่เป็นเพียงผู้ค้าคนกลางที่ไปรับสินค้าจากบริษัทเพื่อมาขายต่อให้ลูกค้าอีกที ส่วน น.ส.ธนัญพรรธน์ ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาและขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น
ด้าน ภก.สมชาย ปรีชาทวีกิจ รองเลขาธิการ อย. เผยว่า อย.ได้สั่งให้ระงับการผลิตและขายเครื่องสำอางทุกรายการที่จดแจ้งในนามของนางวรรณภาและจดแจ้งในนามบริษัท เมจิก สกิน แล้ว รวมทั้งมีคำสั่งเพิกถอนใบรับจดแจ้งเครื่องสำอาง และสั่งเรียกคืนเครื่องสำอางดังกล่าวแล้ว ส่วนเรื่องการส่งตรวจหาสารอันตรายในผลิตภัณฑ์เมจิก สกิน อย.ได้ส่งตรวจตลอด คาดว่าจะทราบผลเร็วๆ นี้
ภก.สมชายยังแนะประชาชนดูเลข อย.ที่ผลิตภัณฑ์ว่าจริงหรือปลอมด้วยว่า เบื้องต้นให้ดูที่เลขที่จดแจ้ง อย. ดูชื่อผู้ผลิตและแหล่งที่ผลิต ผลิตภัณฑ์มีการแสดงส่วนประกอบที่ชัดเจน ซื้อในแหล่งที่เชื่อถือได้ หรือหากไม่มั่นใจ ให้โทรสอบถามได้ที่สายด่วน อย.1556 หรือเข้าไปตรวจสอบที่เว็บไซต์ อย. www.fda.moph.go.th หรือโหลดแอพพลิเคชั่นของ อย. Oryor Smart Application เพื่อตรวจสอบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ทันที
ด้าน พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยความคืบหน้าการดำเนินคดีบริษัท เมจิก สกิน และเครือข่ายเมื่อวันที่ 26 เม.ย.ว่า คดีนี้ศาลอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาแล้ว 8 ราย เชื่อว่าเร็วๆ นี้ จะมีการออกหมายจับเพิ่มแน่นอน แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดว่าเป็นใคร จำนวนเท่าไหร่ และว่า สินค้าดังกล่าวมีศิลปินดารารีวิวสินค้าจำนวนมาก โดยเบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียก 9 ดาราที่มีการโฆษณาสินค้าในเครือเมจิก สกิน มาให้ปากคำ โดยให้ทยอยมาพบพนักงานสอบสวน ดังนี้ วันที่ 4 พ.ค. 10.00 น. นายพรชัย กฤษฎี หรือม้า อรนภา 13.00 น. น.ส.อภิญญา สกุลเจริญสุข หรือสายป่าน, วันที่ 5 พ.ค.เวลา 10.00 น. น.ส.พิชญ์นาฏ สาขากร หรือเมย์ เวลา 13.00 น. น.ส.เจสซี วาร์ด, วันที่ 6 พ.ค. 13.00 น. น.ส.นปภา ตันตระกูล หรือแพท, น.ส.อรพรรณ ด่านศิริวัฒนกุล หรือออฟฟี่ แม็กซิม และ น.ส.รัชวิน วงศ์วิริยะ หรือก้อย และวันที่ 7 พ.ค. เวลา 10.00 น. น.ส.นนทพร ธีระวัฒนสุข หรือหญิงแย้ 13.00 น. น.ส.ศกลรัตน์ วรอุไร หรือโฟร์
พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวอีกว่า การออกหมายเรียกดารา เพื่อสอบปากคำเบื้องต้น และดูถึงเจตนาในการรีวิวสินค้า หากดาราคนใดมีเจตนาชัดเจน หรือมีพฤติกรรมเข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมาย จะดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดต่อไป ซึ่งจากการสืบสวนพบว่า ดาราส่วนใหญ่รับเงินค่าจ้างในการรีวิวสินค้าในจำนวนเลข 6 หลัก และว่า จากการรวบรวมพยานหลักฐานพบว่า มีศิลปินดารารีวิวสินค้าอีก 59 ราย ผู้เสียหาย 500 ราย ความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 27 เม.ย. มีดารา 4 คนที่ถูกออกหมายเรียก เข้าให้ปากคำกับ พล.ต.อ.วิระชัยก่อนกำหนด ประกอบด้วย น.ส.พิชญ์นาฏ สาขากร หรือ เมย์ น.ส.ณปภา ตันตระกูล หรือ แพท น.ส.อรพรรณ ด่านศิริวัฒนกุล หรือออฟฟี่ แม็กซิม และ น.ส.นนทพร ธีระวัฒนสุข หรือ หญิงแย้ ซึ่งเบื้องต้น ดาราทั้ง 4 คน ปฏิเสธว่า ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท เมจิก สกิน จำกัด และไม่ทราบว่า อย. ทั้งหมดถูกสวมทะเบียน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ระบุว่า ทั้ง 4 คนจะผิดหรือไม่ โดยจะดูเจตนา และตรวจสอบว่าดาราแต่ละคนมีหุ้น หรือเกี่ยวข้องกับผู้บริหารเมจิก สกินหรือไม่
ล่าสุด 28 เม.ย. น.ส.อภิญญา สกุลเจริญสุข หรือ “สายป่าน” ซึ่งเป็น 1 ใน 9 ดาราที่ถูกออกหมายเรียกล็อตแรก ได้เข้าพบพนักงานสอบสวนแล้วเช่นกัน พร้อมยืนยันว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท เมจิก สกิน ตนแค่รับเป็นพรีเซ็นเตอร์และพูดตามสคริปต์เท่านั้น
ทั้งนี้ ตำรวจได้ออกหมายเรียกดารามาให้ปากคำเพิ่มอีก 3 คน ประกอบด้วย น.ส.สุมณทิพย์ เหลืองอุทัย หรือ กุ๊บกิ๊บ และ น.ส.ราศี บาเล็นซิเอก้า หรือมาร์กี้ พร้อมสามี นายภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์ หรือป๊อก โดยให้มาพบวันที่ 9 พ.ค.นี้ เวลา 13.00 น.
1.ปปป.ส่งสำนวนเงินทอนวัดล็อต 3 อีก 7 วัดให้ ป.ป.ช.แล้ว ด้านชาวพุทธพลังแผ่นดินป้อง 5 พระผู้ใหญ่-จี้ปลด “พงศ์พร” ขณะที่องค์กรต้านคอร์รัปชั่นฯ ค้าน!
ความคืบหน้าคดีทุจริตเงินทอนวัดที่ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อตำรวจกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ(บก.ปปป.) ให้ดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องในคดีทุจริตเงินทอนวัดล็อตที่ 3 ซึ่งมีชื่อพระชั้นผู้ใหญ่ใน กทม.เกี่ยวข้องด้วย 5 รูป จาก 3 วัด ซึ่งต่อมา ตำรวจ ปปป. ได้ส่งสำนวนทั้งหมด 4 สำนวน ที่มีพระชั้นผู้ใหญ่เกี่ยวข้อง 5 รูป ไปให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เพื่อตรวจสอบการทุจริตแล้วเมื่อวันที่ 11 เม.ย.
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 22 เม.ย. พ.ต.ท.พงศ์พร ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษคดีทุจริตเงินทอนวัดล็อต 3 ที่เหลืออีก 7 วัด ต่อตำรวจ ปปป.แล้ว หลังจากนั้น ตำรวจ ปปป.ได้นำสำนวนคดีดังกล่าวไปมอบให้ ป.ป.ช.เพิ่มเติมในวันต่อมา
พ.ต.อ.วรายุทธ สุขวัฒน์ รอง ผบก. ปปป. เผยว่า สำนวนคดีที่เพิ่มอีก 7 สำนวน เป็นสำนวนจากทุกภูมิภาค ทั้งภาคเหนือ กลาง อีสาน และใต้ โดยพบว่าเป็นผู้กระทำผิดชุดเดียวกับสำนวนล็อตแรกและล็อตที่ 2 มีเพิ่มทั้งฆราวาสและพระผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งล็อตนี้มีพระสงฆ์เกี่ยวข้องทั้งที่ยื่นก่อนหน้านี้และที่ยื่นเพิ่มเติมรวม 7 รูป เป็นการทุจริตในงบประมาณทั้ง 3 ส่วน คือ งบปริยัติธรรม งบการศึกษา และงบบูรณปฏิสังขรณ์ ส่วนใหญ่เป็นงบปริยัติธรรม
พ.ต.อ.วรายุทธ ยืนยันด้วยว่า “พนักงานสอบสวนกระทำการโดยบริสุทธิ์ และพยานหลักฐานที่มีเพียงพอ ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ที่ทุจริต บางส่วนจะมีฆราวาสและมีพระสงฆ์สนับสนุน แต่ต้นเรื่องที่แท้จริงไม่ใช่พระสงฆ์ แต่เป็นเจ้าหน้าที่” โดยความเสียหายในล็อต 3 รวม 10 วัด มูลค่า 140 ล้านบาท
ด้านพระโสภณ พุทธิธาดา เจ้าอาวาสวัดศรีนคราราม และรองเจ้าคณะจังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็น 1 ใน 7 วัดที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริตเงินทอนวัดล็อต 3 ได้ออกมาชี้แจงเมื่อวันที่ 25 เม.ย.ว่า เคยให้ข้อมูลกับทาง บก.ปปป.ไปแล้วว่า ทางวัดได้รับโอนเงินจาก พศ.จริง 10 ล้านบาท แต่เมื่อทางวัดทราบว่าไม่ได้เสนอโครงการหรือขอเงินส่วนนี้มา จึงได้ส่งเงินคืนแล้ว “ไปเบิกเงินสดทั้งหมด 10 ล้านบาท จากธนาคารกรุงไทย นำส่งคืนสำนักงานพระพุทธฯ โดยให้คนขับรถพาไปส่งคืนที่กรุงเทพฯ พร้อมกับกรรมการสถานศึกษา 1 คน ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีการทำเอกสารนำส่ง หรือถ่ายภาพการนำส่ง คนที่รับเงินวันนั้นน่าจะเกษียณไปแล้ว”
เป็นที่น่าสังเกตว่า วันต่อมา 24 เม.ย. ได้มีกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน นำโดยนายจรูญ วรรณกสิณานนท์ และนาวาอากาศเอก วินัย เสวกวี ได้เข้าแจ้งความต่อตำรวจ ปปป. เพื่อให้เอาผิด พ.ต.ท.พงศ์พร ที่แจ้งความเอาผิดพระสงฆ์ 5 รูปในคดีทุจริตเงินทอนวัด โดยอ้างว่า พ.ต.ท.พงศ์พร ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และว่า พ.ต.ท.พงศ์พร เป็นเจ้าหน้าที่รัฐต้องสนองงานพระสงฆ์ ไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะตรวจสอบการทำงานของพระสงฆ์ นอกจากนี้ยังอ้างว่า การกระทำของ พ.ต.ท.พงศ์พร เป็นการทำลายความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพระสงฆ์อย่างรุนแรง
ทางกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน ยังยืนยันด้วยว่า ที่มาแจ้งความดำเนินคดี พ.ต.ท.พงศ์พรครั้งนี้ ไม่ได้มาตามใบสั่งของพระชั้นผู้ใหญ่รูปใด และไม่มีการรู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่ทำในฐานะชาวพุทธคนหนึ่งที่ต้องการปกป้องพระพุทธศาสนา มีรายงานด้วยว่า ชาวพุทธกลุ่มนี้จะยื่นเรื่องถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้ปลด พ.ต.ท.พงศ์พรออกจากตำแหน่งด้วย และหากภายใน 1 เดือน ไม่มีคำสั่งปลดหรือไม่มีความคืบหน้า จะออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. พูดถึงกรณีที่กลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดินออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านการตรวจสอบพระผู้ใหญ่ 5 รูปว่า “การที่จะมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน ก็ต้องดูว่าการเคลื่อนไหวนี้มันถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ขั้นตอน และกระบวนการตรวจสอบเป็นอย่างไร ผมบอกแล้วว่า มันเริ่มมาจากข้าราชการ มาจากสำนักพุทธฯ ก็ต้องไปดูว่าเงินไปที่ไหน ก็ไปสอบที่นั่น ก็แค่นั้น อย่าตีกันไปตีกันมา และที่สุดก็ไปลงโทษเฉพาะข้าราชการ อย่างนี้มันก็ไม่เป็นธรรมน่ะสิ มันต้องเป็นธรรม กฎหมายบังคับใช้กับทุกคน ผมไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายขึ้น ถ้าตัวเองรู้ว่ามันจะเกิดความวุ่นวายก็อย่าทำ ก็แค่นั้นเอง กฎหมายมันมีอยู่”
ส่วนกรณีที่กลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดินเรียกร้องให้มีการปลด พ.ต.ท.พงศ์พรนั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เขามีความผิดหรือยัง เขาทำผิดหรือทำนอกกติกาหรือยัง ก็ยัง มันเป็นเพียงขั้นตอนการนำเข้าสู่การตรวจสอบเท่านั้น ถือเป็นต้นทางของกระบวนการ ซึ่งต้องหาคนดี คนซื่อสัตย์ คนที่ซื่อตรงมาทำงานตรงนี้และกระบวนการยุติธรรมในการสอบสวนก็ต้องว่ากันไป ยืนยันว่าเคารพพระสงฆ์ทุกองค์
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดินออกมาแจ้งความดำเนินคดี พ.ต.ท.พงศ์พร พร้อมเรียกร้องให้นายกฯ ปลด พ.ต.ท.พงศ์พรออกจากผู้อำนวยการ พศ.นั้น ปรากฏว่า หลายฝ่ายได้ออกมาให้กำลังใจ พ.ต.ท.พงศ์พรจำนวนมาก โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย นอกจากนี้ นายตุลย์ ประเสริฐศิลป์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นภาคพลเมือง จ.ขอนแก่น และเครือข่าย ได้เข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี โดยผ่านนายรัฐวิชญ์ มาฉิมพลี ผู้อำนวยการกลุ่มอำนวยการและกิจการคณะสงฆ์ขอนแก่น โดยระบุว่า การที่มีกลุ่มบุคคลยื่นหนังสือถึงนายกฯ ให้ย้ายผู้อำนวยการ พศ.ถือเป็นการคุกคามข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอย่างถูกต้องชอบธรรม จึงขอให้นายกฯ ปกป้องข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต และขอให้ดำเนินคดีกับพระเถระทุกรูปที่กระทำผิดกฎหมายโดยไม่ละเว้น พร้อมกันนี้ เครือข่ายองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นภาคพลเมือง จ.ขอนแก่น ยังได้ให้กำลังใจ พ.ต.ท.พงศ์พร ให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปด้วย
2.“อภิสิทธิ์” แฉพรรคทหารดูดนักการเมือง เสนอเก้าอี้ ผช.รมต.ล่อ ด้าน “บิ๊กตู่” ลั่น ไม่ใช่เครื่องดูดฝุ่น สวนกลับดูแลลูกพรรคให้ดี!
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 23 เม.ย. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การเมืองขณะนี้ว่า นอกจากได้ยินเรื่องดึงพรรคพลังชลก่อนหน้านี้แล้ว ยังได้ยินเรื่องกระบวนการของรัฐและคนที่มีอำนาจรัฐจะมาเล่นการเมือง โดยไม่จำเป็นต้องลง ส.ส. แต่อาจใช้สถานะตรงนั้นในการติดต่อภาคธุรกิจ ส่งสัญญาณว่าไม่ควรสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนพรรคการเมืองใด ซึ่งคิดว่าการกระทำลักษณะดังกล่าว ไม่ต่างจากหลายระบอบที่ต้องต่อสู้ในอดีต และคิดว่าขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ไม่ต้องการให้ผู้มีอำนาจขณะนี้ยุ่งกับการเมือง หรือมีส่วนได้เสียกับการเลือกตั้ง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า “ผมได้ยินมาอีกว่า ตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรี(ผช.รมต.) ยังเสนอให้หลายคน หลายพรรค เสนอตำแหน่งไม่ใช่กับเพียงตระกูลสะสมทรัพย์ แต่กับ ปชป.ก็เสนอเช่นกัน และคิดว่าเป้าหมายของพรรคนี้จะต้องได้รับเสียงพอสมควร อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 25 เสียง”
วันเดียวกัน นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการตั้งพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่า ตนเคยแถลงไปก่อนหน้านี้แล้วว่า มีความพยายามระดมเงิน 4 หมื่นล้านบาท เพื่อจัดตั้งพรรคทหารในการสืบทอดอำนาจ ซึ่งตนได้บอกกับผู้ใหญ่ในพรรค แต่ผู้ใหญ่ในพรรคไม่เชื่อ แต่ปัจจุบันข่าวก็ออกมาเป็นระยะว่า มีการระดมเงินจำนวนมากเพื่อดูด ส.ส. จากพรรคการเมืองต่างๆ ให้ไปสนับสนุนพรรคการเมืองของทหาร
วันต่อมา 24 เม.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ออกมาโต้นายอภิสิทธิ์โดยยืนยันว่า “ผมไม่ใช่เครื่องดูดอากาศหรือเครื่องดูดฝุ่น เพราะฉะนั้นต้องไปดูว่า ข้อกล่าวหาที่ว่า คสช.หรือรัฐบาลไปบังคับคนนั้นคนนี้ บังคับนักธุรกิจ พ่อค้า ประชาชน ผมจะเอาอำนาจอะไรไปบังคับ” พล.อ.ประยุทธ์ ยังสวนกลับนายอภิสิทธิ์ด้วยว่า การจะกล่าวว่าใครดูดใคร ต้องไปดูว่าผลงานของพรรคการเมืองตนเองที่ผ่านมาเป็นอย่างไร มีการดูแลสมาชิกพรรค ส.ส.ทุกคนมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นและนำความต้องการของประชาชนไปสู่การขับเคลื่อนของพรรคหรือไม่ ขอให้ไปดูแลสมาชิกของพรรคให้ดีที่สุด
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่นายวัชระระบุว่า คสช.เตรียมสืบทอดอำนาจโดยใช้เงินถึง 4 หมื่นล้านตั้งพรรคทหารว่า “อดีต ส.ส.คนนี้พูดหลายครั้งแล้ว ชอบพูดประเด็นนั้นประเด็นนี้ว่ามีการทุจริต เสร็จแล้วก็เงียบหายไป เดี๋ยวก็กลับมาใหม่ ขอความกรุณาว่าให้ไปหาข้อมูลมาสิว่า 4 หมื่นล้านมาจากไหน ทุกโครงการมีการตรวจสอบ แล้วจะเอาเงินมาจากไหนได้ตั้ง 4 หมื่นล้าน แล้วจะเอาเงินจำนวนนี้ไปตั้งพรรคการเมืองหรือ เอาเงินจำนวนนี้ไปดูแลประชาชนไม่ดีกว่าหรือ ถ้าได้เงินมาขนาดนี้ ยืนยันและพูดได้ 100% ว่า ไม่ได้มีทุจริตใดๆ อะไรทั้งสิ้น ผมกำลังให้ฝ่ายกฎหมายดูว่า การออกมาพูดแบบนี้ มันทำให้เกิดความเสียหายอะไรหรือไม่ อย่างไร รวมถึงสื่อสำนักพิมพ์ต่างๆ ที่นำมาเผยแพร่ด้วย เพราะถ้าเผยแพร่โดยไม่มีหลักฐาน ก็มี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ขอให้ระมัดระวัง เพราะไม่อยากให้ใครเดือดร้อน รัฐบาลไม่ได้ขู่ ไม่ได้ใช้กฎหมายไปบังคับ ขอเตือนให้ทุกคนได้ทราบ”
วันต่อมา 25 เม.ย. นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ปฏิเสธว่าไม่ได้ดูดนักการเมือง พร้อมให้คนที่กล่าวหาไปดูแลสมาชิกในพรรคตนเองว่า การกระทำของนายกฯ มันแสดงเจตนาทั้งหมดว่าจริงหรือไม่จริง “นายกฯ ต้องยอมรับความจริงด้วยว่า นายสมคิดเรียกนักการเมืองหลายคนไปคุยที่ทำเนียบฯ ในส่วนของพรรค ปชป.ก็มีเยอะ ทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น ซึ่งเขาก็มาเล่าให้ฟัง ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง นายกฯ อย่าไปเหนียมอยู่เลย ไม่มีประโยชน์ ...ยอมรับการเข้าสู่การเมือง ก็ไม่ได้ว่าอะไร จะยินดีด้วยซ้ำ ดังนั้นอย่าไปเหนียม เลิกเหนียมได้แล้ว ไปไกลกว่านั้นแล้ว ถ้าจะเหนียม ก็แต่พองาม แต่นี่จริตจะก้านเหนียมจนเกินงาม”
3.“บิ๊กตู่” ใช้อำนาจ ม.44 หยุดการสรรหา กสทช.ชุดใหม่ ให้ชุดเก่าทำหน้าที่ต่อ พร้อมใช้ ม.44 ช่วยเหลือทีวีดิจิทัล!
เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ได้มีการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.เป็นประธาน หลังประชุม พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ที่ประชุม คสช.มีมติเห็นชอบให้ออกคำสั่งหัวหน้า คสช.โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ให้ระงับการสรรหาคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ชุดใหม่ หลังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) มีมติไม่เลือกรายชื่อที่คณะกรรมการสรรหาเสนอ เนื่องจากเห็นว่ายังมีปัญหาอยู่ เพราะมีการร้องเรียนเรื่องคุณสมบัติ และไม่แน่ใจว่าสรรหาใหม่แล้ว จะเกิดปัญหาอีกหรือไม่ ประกอบกับไม่มั่นใจว่า จะสามารถสรรหาผู้ที่จะได้รับการคัดเลือกเป็นกรรมการ กสทช.ได้ใน 30 วันตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่
นอกจากนี้ คำสั่งหัวหน้า คสช.ยังให้กรรมการ กสทช.ชุดปัจจุบัน ยังคงดำรงตำแหน่ง ปฏิบัติหน้าที่ตามความจำเป็นไปพลางก่อน หากกรรมการคนใดต้องพ้นจากตำแหน่ง ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม ให้กรรมการที่เหลือปฏิบัติหน้าที่ต่อไป รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปัญหาที่เกิดขึ้นในการสรรหากรรมการ กสทช. เมื่อได้ทางออกแล้ว ให้แจ้งหัวหน้า คสช.เพื่อดำเนินการต่อไป
ไม่เท่านั้น ที่ประชุม คสช.ยังเห็นชอบในหลักการช่วยเหลือผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล ที่ประสบปัญหา 3 เรื่อง คือการแข่งขันสูงมาก, คนหันไปบริโภคในช่องทางโซเชียลมีเดียมากขึ้น ทำให้คนดูทีวีน้อยลง การหาโฆษณาจึงได้ยาก และก่อนการประมูล กสทช.กำหนดรายละเอียดการปฏิบัติหลายประการ ซึ่งหลายเรื่องที่ กสทช.สัญญาไว้ แต่ยังทำไม่สมบูรณ์ จึงขอให้ช่วยเหลือ คือจะไม่ชำระค่างวดอีก 5 งวดที่เหลือ ที่ประชุมจึงมีมติช่วยเหลือดังนี้ 1.อนุญาตให้พักชำระหนี้ได้ 3 งวด จาก 5 งวดที่เหลือในปี 2561, 2562, 2563, 2564 และ 2565 เพื่อให้ผู้ประกอบการมีทุนสำหรับสภาพคล่องของธุรกิจ แต่การพักชำระหนี้ 3 งวด จะต้องจ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 1.5 2.กสทช.จะช่วยจ่ายค่าโครงข่ายให้ครึ่งหนึ่ง หรือร้อยละ 50 เป็นเวลา 2 ปี ซึ่งปัจจุบันมีโครงข่ายทีวีดิจิทัลที่ให้บริการอยู่ 4 เจ้า คือ บริษัท อสมท จำกัด(มหาชน) กรมประชาสัมพันธ์ สถานีโทรทัศน์ช่อง 5 และสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส 3.อนุญาตให้โอนใบอนุญาตได้ หากมีผู้สนใจอยากขอซื้อต่อ สามารถโอนกิจการได้ โดยจะออกมาตรา 44 ในเรื่องดังกล่าวต่อไป
4.“บิ๊กตู่” ตั้ง กก. เคลียร์ปัญหาบ้านพักตุลาการอีก ขณะที่ ผบ.ทบ.วอนทุกฝ่ายหยุดเคลื่อนไหว หวั่นสร้างความร้าวฉานในสังคม!
ความคืบหน้ากรณีภาคประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่ต่อต้านการสร้างบ้านพักตุลาการและข้าราชการศาลอุทธรณ์ภาค 5 บริเวณเชิงดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ พร้อมเรียกร้องให้ยุติการก่อสร้างและทุบทิ้ง ร้อนถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ต้องมอบหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ไปพูดคุยหาทางออกที่เหมาะสมร่วมกับฝ่ายตุลาการ และส่งข้อเสนอแนะมายังรัฐบาล เพื่อตัดสินใจ ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 3 ได้ประชุมฟังความคิดเห็นของภาคประชาชนไปแล้วเมื่อวันที่ 9 เม.ย. ซึ่งยืนยันให้รื้ออาคารศาลบางส่วน ส่วนจะต้องรื้อแค่ไหน ทางแม่ทัพภาคที่ 3 และผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้ตั้งคณะกรรมการไปตรวจสอบรายละเอียด คาดว่าจะรายงานให้นายกฯ รับทราบในวันที่ 29 เม.ย. ขณะที่ฝ่ายตุลาการซึ่งประชุมนอกรอบ ยืนยันความถูกต้องในการดำเนินโครงการก่อสร้างดังกล่าว แต่พร้อมให้นายกฯ เป็นผู้ตัดสินนั้น
เมื่อวันที่ 22 เม.ย. นายชำนาญ รวิวรรณพงษ์ ประธานแผนกคดีล้มละลายในศาลฎีกา ซึ่งเป็นอดีตประธานศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้กล่าวถึงการก่อสร้างบ้านพักตุลาการดังกล่าวว่า การรื้อถอนทรัพย์สินของแผ่นดินถือว่ามีความผิด ไม่สามารถกระทำได้ เพราะต้องออกเป็นพระราชบัญญัติก่อน ส่วนผู้เกี่ยวข้องจะไปพิจารณาอย่างไร สำนักงานศาลยุติธรรมก็คงไม่ขัดข้อง โดยตนขอเสนอว่า การแก้ปัญหาดังกล่าว ควรให้ศาลเข้าไปปรับระบบสภาพสิ่งแวดล้อมสัก 10 ปี จากนั้นค่อยมาดูกันอีกครั้งว่า สามารถฟื้นฟูได้หรือไม่ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นทางออกที่ดีมากกว่าการรื้อถอน อีกทั้งในอนาคต อีกไม่นานจะมีการเลือกตั้งท้องถิ่น หากมีการร้องคดีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แล้วใครจะพิจารณา หากผู้พิพากษาไม่มีที่อยู่
ทั้งนี้ ความเห็นของของอดีตประธานศาลอุทธรณ์ภาค 5 สร้างความไม่พอใจให้ภาคประชาชนใน จ.เชียงใหม่ที่ต้องการให้รื้อบ้านพักตุลาการเป็นอันมาก โดยนายธีระศักดิ์ รูปสุวรรณ ประธานเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ กล่าวว่า ความเห็นของอดีตประธานศาลอุทธรณ์ภาค 5 แสดงว่าศาลไม่รู้เรื่องโลกภายนอก ไม่ยอมและไม่เข้าใจอะไร อาจทำให้นายกฯ ตัดสินใจยากขึ้น พร้อมวิงวอนให้นายกฯ ตัดสินใจในทางที่ถูกต้อง ฟังเสียงประชาชนที่ไม่อยากเห็นการบุกรุกพื้นที่ป่า หวังว่าจะได้รับข่าวดีด้วยการประกาศพื้นที่ห้ามเข้า หรือ No Man’s Land และเตรียมรื้อถอนต่อไป โดยวันที่ 29 เม.ย. จะนัดชุมนุมเพื่อส่งสัญญาณอีกครั้ง
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในตลาดวโรรส และร้านค้าต่างๆ ในและนอกเมืองเชียงใหม่ เริ่มพบการติดป้ายสัญลักษณ์สีเขียว และข้อความทวงคืนผืนป่าดอยสุเทพ เช่น “ร้านนี้ ไม่ขายของให้..คนบาปทำลายป่า เฮาฮักดอยสุเทพของเฮา” , “ร้านนี้ ไม่ต้อนรับคนทำลายป่า ร่วมใจทวงคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพเพิ่มขึ้น”
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงการแก้ปัญหาบ้านพักตุลาการว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ ตั้งแต่วันแรกถึงขณะนี้ก็คิดมาตลอด เพราะมีหลายปัญหากำลังดำเนินการอยู่ คงต้องตั้งคณะกรรมการร่วม ประกอบด้วยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาปัญหาและแนวทางแก้ไข เพราะมีหลายประเด็น และว่า การชะลอการใช้อาคารนั้น ต้องไปดูว่า กฎหมายทำได้หรือไม่ การก่อสร้างมาแล้ว จะทำอย่างไรในเรื่องของสัญญา และทำมาแล้ว จะใช้ประโยชน์ได้อย่างไรในเมื่อมีแรงต่อต้านขนาดนี้ ก็ต้องหาทางออกให้ได้ เรื่องกลไกและกฎหมายก็ว่าไป แต่การฟื้นฟูสภาพป่า จะต้องเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด
ขณะที่ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงการแก้ปัญหาบ้านพักตุลาการว่า ทราบว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะตั้งคณะทำงานร่วมขึ้นมารวบรวมข้อมูลรายละเอียดในทุกประเด็น เพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปด้วยความรอบคอบและไม่มีผลกระทบตามมา นายกฯ จะให้คณะทำงานรวบรวมข้อมูลเตรียมการ เพื่อวางแนวทางฟื้นฟูพ้นที่ดังกล่าวให้มีสภาพใกล้เคียงของเดิมมากที่สุด พล.อ.เฉลิมชัย ยังขอให้ทุกฝ่ายยุติความเคลื่อนไหว เพราะการตอบโต้กันไปมา รังแต่จะสร้างความร้าวฉานทางสังคม และว่า ข้อมูลทุกอย่างอยู่ในมือนายกฯ แล้ว คณะทำงานจะลงไปรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม และรับฟังความเห็นทุกฝ่าย ก่อนนำเสนอนายกฯ ตัดสินใจตามกระบวนการ ส่วนจะใช้เวลานานเท่าไหร่ ตนไม่ทราบ
5.ตร.บุกทลายเครือข่ายเครื่องสำอาง-อาหารเสริม “เมจิก สกิน” ใช้ อย.ปลอม ด้านศิลปินดารารีวิวสินค้าโดนด้วย ออกหมายเรียกแล้วนับสิบราย!
ความคืบหน้ากรณีตำรวจนำกำลังเข้าตรวจค้นและจับกุมเครือข่ายบริษัท เมจิก สกิน จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องสำอางและอาหารเสริมยี่ห้อดัง โดยพบว่า ใช้เครื่องหมายการค้าผิดประเภท ผลิตอาหารเสริมไม่ได้คุณภาพ แหล่งผลิตไม่ได้จดทะเบียน และมีการปลอมเครื่องหมายสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) โดยผู้ต้องหาถูกออกหมายจับ 8 คน ประกอบด้วย นางวรรณภา พวงสน หัวหน้าทีมและเจ้าของบริษัท, นายกร พวงสน ผู้ดูแลการเงิน สามีนางวรรณภา, นายไมยสิทธิ์ สว่างธรรมรัตน์ ผู้ทำหน้าที่จัดโรงเรียนสอนรวย, นายพิร์นิธิ ติรณวัตถุภรณ์ ผู้ทำหน้าที่วางกลยุทธ์, นายกสิทธิ์ วรชิงตัน หรือหญิงย้วย, น.ส.ธนัญพรรธน์ บุญโญสิทธิ์ และ น.ส.มธุรส แดงสัมฤทธิ์ ผู้สั่งผลิตและเจ้าหน้าที่ยี่ห้อสินค้า โดยเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวได้แล้ว 6 คน เหลือเพียง น.ส.ธนัญพรรธน์ และ น.ส.มธุรส ที่อยู่ระหว่างติดตามตัวนั้น
เมื่อวันที่ 22 เม.ย. พล.ต.ต.อังกูร คล้ายคลึง ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว 3 ได้นำสื่อมวลชนตรวจสอบของกลางผลิตภัณฑ์ในเครือบริษัท เมจิก สกิน กว่า 100 ลัง หลังจากเมื่อวันที่ 21 เม.ย. พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นำกำลังลงพื้นที่บริเวณหมู่บ้านซิตี้ ย่านรามอินทรา และยึดของกลางไว้จำนวนมาก เช่น เงินสด 19 ล้านบาท แหวนทองคำ 53 วง นอกจากนี้บริเวณบ้าน ยังพบรถเบนซ์หรู รวมมูลค่าทั้งหมด 21 ล้านบาท
ทั้งนี้ ตำรวจได้นำหมายศาลเข้าตรวจค้นสถานที่หลายแห่งที่คาดว่าเป็นแหล่งผลิตสินค้าในเครือเมจิก สกิน เช่น โรงงานย่านคลองหลวง จ.ปทุมธานี, บ้านย่านบางใหญ่ จ.นนทบุรี และที่โกดังย่านสมุทรสาคร ซึ่งพบพิรุธมีการเขียนใส่กระดาษแปะว่า “พื้นที่สินค้าหมดอายุ รอทำลาย” ทั้งที่สภาพบรรจุภัณฑ์ยังใหม่เอี่ยม หรือแม้แต่เครื่องจักรอุปกรณ์ที่อยู่ในสภาพใหม่ แต่เขียนว่า “ชำรุด”
สำหรับบริษัท เมจิก สกิน ผลิตสินค้าหลายยี่ห้อ ได้แก่ apple slim, slim milk, snow milk, Fern, เมจิก สกิน, ซิโนบิ, ตรีชฎา และ Mezzo
ด้านตำรวจได้ทยอยนำตัวผู้ต้องหาฝากขังต่อศาล ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ซึ่งในชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และศาลได้อนุญาตให้ประกันตัวในเวลาต่อมา โดยนางวรรณภา และนายกร พวงสน สามี เชื่อว่า การที่ตนถูกดำเนินคดีครั้งนี้เป็นการกลั่นแกล้งทางธุรกิจ ที่มีผลประโยชน์ขัดแย้งกัน
ขณะที่ผู้ต้องหาที่เหลืออีก 2 คน คือ น.ส.มธุรส แดงสัมฤทธิ์ และ น.ส.ธนัญพรรธน์ บุญโญสิทธิ์ ได้ทยอยเข้ามอบตัวตามหมายจับแล้วเช่นกัน โดย น.ส.มธุรสให้การปฏิเสธว่า ไม่ได้เป็นผู้สั่งผลิตสินค้าจากบริษัท เมจิก สกิน แต่เป็นเพียงผู้ค้าคนกลางที่ไปรับสินค้าจากบริษัทเพื่อมาขายต่อให้ลูกค้าอีกที ส่วน น.ส.ธนัญพรรธน์ ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาและขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น
ด้าน ภก.สมชาย ปรีชาทวีกิจ รองเลขาธิการ อย. เผยว่า อย.ได้สั่งให้ระงับการผลิตและขายเครื่องสำอางทุกรายการที่จดแจ้งในนามของนางวรรณภาและจดแจ้งในนามบริษัท เมจิก สกิน แล้ว รวมทั้งมีคำสั่งเพิกถอนใบรับจดแจ้งเครื่องสำอาง และสั่งเรียกคืนเครื่องสำอางดังกล่าวแล้ว ส่วนเรื่องการส่งตรวจหาสารอันตรายในผลิตภัณฑ์เมจิก สกิน อย.ได้ส่งตรวจตลอด คาดว่าจะทราบผลเร็วๆ นี้
ภก.สมชายยังแนะประชาชนดูเลข อย.ที่ผลิตภัณฑ์ว่าจริงหรือปลอมด้วยว่า เบื้องต้นให้ดูที่เลขที่จดแจ้ง อย. ดูชื่อผู้ผลิตและแหล่งที่ผลิต ผลิตภัณฑ์มีการแสดงส่วนประกอบที่ชัดเจน ซื้อในแหล่งที่เชื่อถือได้ หรือหากไม่มั่นใจ ให้โทรสอบถามได้ที่สายด่วน อย.1556 หรือเข้าไปตรวจสอบที่เว็บไซต์ อย. www.fda.moph.go.th หรือโหลดแอพพลิเคชั่นของ อย. Oryor Smart Application เพื่อตรวจสอบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ทันที
ด้าน พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยความคืบหน้าการดำเนินคดีบริษัท เมจิก สกิน และเครือข่ายเมื่อวันที่ 26 เม.ย.ว่า คดีนี้ศาลอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาแล้ว 8 ราย เชื่อว่าเร็วๆ นี้ จะมีการออกหมายจับเพิ่มแน่นอน แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดว่าเป็นใคร จำนวนเท่าไหร่ และว่า สินค้าดังกล่าวมีศิลปินดารารีวิวสินค้าจำนวนมาก โดยเบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียก 9 ดาราที่มีการโฆษณาสินค้าในเครือเมจิก สกิน มาให้ปากคำ โดยให้ทยอยมาพบพนักงานสอบสวน ดังนี้ วันที่ 4 พ.ค. 10.00 น. นายพรชัย กฤษฎี หรือม้า อรนภา 13.00 น. น.ส.อภิญญา สกุลเจริญสุข หรือสายป่าน, วันที่ 5 พ.ค.เวลา 10.00 น. น.ส.พิชญ์นาฏ สาขากร หรือเมย์ เวลา 13.00 น. น.ส.เจสซี วาร์ด, วันที่ 6 พ.ค. 13.00 น. น.ส.นปภา ตันตระกูล หรือแพท, น.ส.อรพรรณ ด่านศิริวัฒนกุล หรือออฟฟี่ แม็กซิม และ น.ส.รัชวิน วงศ์วิริยะ หรือก้อย และวันที่ 7 พ.ค. เวลา 10.00 น. น.ส.นนทพร ธีระวัฒนสุข หรือหญิงแย้ 13.00 น. น.ส.ศกลรัตน์ วรอุไร หรือโฟร์
พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวอีกว่า การออกหมายเรียกดารา เพื่อสอบปากคำเบื้องต้น และดูถึงเจตนาในการรีวิวสินค้า หากดาราคนใดมีเจตนาชัดเจน หรือมีพฤติกรรมเข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมาย จะดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดต่อไป ซึ่งจากการสืบสวนพบว่า ดาราส่วนใหญ่รับเงินค่าจ้างในการรีวิวสินค้าในจำนวนเลข 6 หลัก และว่า จากการรวบรวมพยานหลักฐานพบว่า มีศิลปินดารารีวิวสินค้าอีก 59 ราย ผู้เสียหาย 500 ราย ความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 27 เม.ย. มีดารา 4 คนที่ถูกออกหมายเรียก เข้าให้ปากคำกับ พล.ต.อ.วิระชัยก่อนกำหนด ประกอบด้วย น.ส.พิชญ์นาฏ สาขากร หรือ เมย์ น.ส.ณปภา ตันตระกูล หรือ แพท น.ส.อรพรรณ ด่านศิริวัฒนกุล หรือออฟฟี่ แม็กซิม และ น.ส.นนทพร ธีระวัฒนสุข หรือ หญิงแย้ ซึ่งเบื้องต้น ดาราทั้ง 4 คน ปฏิเสธว่า ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท เมจิก สกิน จำกัด และไม่ทราบว่า อย. ทั้งหมดถูกสวมทะเบียน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ระบุว่า ทั้ง 4 คนจะผิดหรือไม่ โดยจะดูเจตนา และตรวจสอบว่าดาราแต่ละคนมีหุ้น หรือเกี่ยวข้องกับผู้บริหารเมจิก สกินหรือไม่
ล่าสุด 28 เม.ย. น.ส.อภิญญา สกุลเจริญสุข หรือ “สายป่าน” ซึ่งเป็น 1 ใน 9 ดาราที่ถูกออกหมายเรียกล็อตแรก ได้เข้าพบพนักงานสอบสวนแล้วเช่นกัน พร้อมยืนยันว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท เมจิก สกิน ตนแค่รับเป็นพรีเซ็นเตอร์และพูดตามสคริปต์เท่านั้น
ทั้งนี้ ตำรวจได้ออกหมายเรียกดารามาให้ปากคำเพิ่มอีก 3 คน ประกอบด้วย น.ส.สุมณทิพย์ เหลืองอุทัย หรือ กุ๊บกิ๊บ และ น.ส.ราศี บาเล็นซิเอก้า หรือมาร์กี้ พร้อมสามี นายภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์ หรือป๊อก โดยให้มาพบวันที่ 9 พ.ค.นี้ เวลา 13.00 น.