คลิกที่นี่เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.“บิ๊กตู่” ใช้ ม.44 ปลดฟ้าผ่า “สมชัย” พ้น กกต. เหตุทำคนสับสนวันเลือกตั้ง-ไม่ลาออกก่อนสมัครเลขาฯ กกต.!
เมื่อวันที่ 20 มี.ค. ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เรื่อง ให้นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ยุติการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนแสดงความเห็นเกี่ยวกับกระบวนการและกำหนดการเลือกตั้งด้วยถ้อยคำที่ไม่สมควรในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความสับสน อันจะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานของ กกต.และการจัดการเลือกตั้งให้สำเร็จลุล่วงด้วยดี
คำสั่งหัวหน้า คสช.ยังระบุด้วยว่า นายสมชัยได้สมัครเข้ารับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กกต.โดยไม่ได้ลาออกจาก กกต.ก่อน ถือเป็นการกระทำที่เข้าข่ายขัดกันแห่งผลประโยชน์ เนื่องจากนายสมชัยเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเรื่องดังกล่าวโดยตรง และจะส่งผลต่อความถูกต้องและเป็นธรรมในการคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กกต. จึงไม่สมควรที่ให้นายสมชัยปฏิบัติหน้าที่ กกต.ต่อไป เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โปร่งใส และเป็นธรรมแก่ผู้สมัครรายอื่นๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูปองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้คำสั่งหัวหน้า คสช.ยังระบุให้ประธานและกรรมการ กกต.ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ ยังคงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าการสรรหา กกต.ชุดใหม่จะแล้วเสร็จและได้ กกต.ชุดใหม่ เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของ กกต.เป็นไปอย่งต่อเนื่อง และไม่กระทบต่อการเตรียมการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น จึงอาศัยอำนาจมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญ ประกอบกับมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 หัวหน้า คสช.โดยความเห็นชอบของคณะ คสช.จึงมีคำสั่งให้นายสมชัยยุติการปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 20 มี.ค.เป็นต้นไป
ทั้งนี้ คำสั่งหัวหน้า คสช.ได้ระบุให้ประธานหรือกรรมการ กกต.ที่ดำรงตำแหน่งอยู่และอายุครบ 70 ปี ยังคงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าประธานและ กกต.ที่แต่งตั้งใหม่จะเข้ารับหน้าที่ด้วย
ด้านนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กล่าวหลังทราบคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ปลดตนพ้นตำแหน่ง กกต.ว่า เป็นดุลพินิจของผู้มีอำนาจที่คิดว่าเหมาะสมก็ให้ดำเนินการไป พร้อมยืนยันว่า การให้สัมภาษณ์ที่ผ่านมา อยู่บนพื้นฐานการรักษาผลประโยชน์ของบ้านเมือง ไม่ได้มุ่งเอาใจใคร และการสมัครเลขาธิการ กกต.ก็เป็นเพราะมีคุณสมบัติที่จะสมัครได้ แต่เชื่อว่า กกต.ชุดปัจจุบันคงไม่กล้าเลือกตนเป็นเลขาฯ กกต.เพราะรู้ดีว่า หากตนได้เป็นเลขาฯ กกต. อาจปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อความต้องการของผู้มีอำนาจในบ้านเมืองได้ นายสมชัยกล่าวด้วยว่า เมื่อพ้นตำแหน่งแล้ว จะหาแนวทางอื่นทำประโยชน์ให้บ้านเมืองต่อไป “ผมไม่เสียใจต่อคำสั่งที่ออกมา โดยก่อนหน้านี้ก็พยายามหาทางที่จะออกจากตำแหน่งอยู่แล้ว และรู้ว่าตัวเองสุ่มเสี่ยงมาโดยตลอดกับการที่จะถูก คสช.ปลด เพราะให้สัมภาษณ์ในลักษณะที่ไม่ถูกใจใคร แต่ถือว่าทำตามหน้าที่ ซึ่งอาจมีคนเห็นว่าไปขัดผลประโยชน์ จนทนไม่ได้ แต่การเป็น กกต.ก็มีหน้าที่ชี้ว่าสิ่งใดถูกและสิ่งใดผิด”
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้สัมภาษณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ถึงกรณีใช้ ม.44 ปลดนายสมชัยออกจาก กกต. พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “มันมีความจำเป็น ยอมรับว่ามีหน่วยงานขอมา เป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางกฎหมาย เขาบอกว่ามันไม่ไหวแล้ว ทำให้ทุกอย่างสับสนอลหม่านพอสมควร ผมไม่ได้อยากจะออกคำสั่งนี้กับใคร ขอร้องสื่อว่าพอ และจบได้แล้ว”
อนึ่ง ก่อนหน้านายสมชัยจะถูกปลดออกจากตำแหน่งไม่กี่วัน นายสมชัยเพิ่งแสดงความเห็นทำนองว่า หาก สนช.ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.ว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ อาจส่งผลให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไป 2-6 เดือน พร้อมกล่าวด้วยว่า หมากนี้ลึกซึ้งยิ่ง ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะเป็นจำเลยให้สังคม ระหว่าง 25 สนช.ที่จะเป็นผู้ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หรือนายกฯ ถ้าโรดแมปต้องเลื่อนไปอีก 2-6 เดือน
2.อัยการสั่ง ตร.สอบเพิ่มคดี “เปรมชัย” ล่าสัตว์ป่าทุ่งใหญ่ฯ ชี้สำนวนยังไม่สมบูรณ์ ด้าน ตร.สอบเพิ่มเรียบร้อยแล้ว!
ความคืบหน้าคดีนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) กับพวกอีก 3 คน คือ นายยงค์ โดดเครือ, นางนที เรียมแสน และนายธานี ทุมมาศ นำอาวุธปืนเข้าไปล่าสัตว์คุ้มครองในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก จ.กาญจนบุรี ก่อนถูกนายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ฯ และเจ้าหน้าที่เขตฯ จับกุมส่งให้ตำรวจ สภ.ทองผาภูมิ ดำเนินคดี โดยเมื่อวันที่ 13 มี.ค. ตำรวจ สภ.ทองผาภูมิ ได้สรุปสำนวนพร้อมมีความเห็นสั่งฟ้องส่งให้อัยการมีความเห็นต่อไป โดยตำรวจได้แจ้งข้อหานายเปรมชัย 8 ข้อหา ส่วนลูกน้องอีกสามคน ถูกแจ้ง 9 ข้อหา โดยข้อหาที่ 9 ที่ตำรวจไม่แจ้งนายเปรมชัยคือ ข้อหาพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากอาวุธปืนของกลางเป็นของนายเปรมชัย ซึ่งได้รับอนุญาตให้มีไว้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 20 มี.ค. นางสมศรี วัฒนไพศาล อธิบดีอัยการภาค 7 และนายสมเจตน์ อำนวยสวัสดิ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 2 ภาค 7 กาญจนบุรี หัวหน้าคณะทำงานอัยการคดีล่าเสือดำ ได้เปิดแถลงความคืบหน้าคดีนายเปรมชัยกับพวกล่าสัตว์ป่าในทุ่งใหญ่ฯ ว่า หลังอัยการพิจารณาสำนวนที่พนักงานสอบสวนส่งมา 857 หน้าแล้ว คณะทำงานอัยการได้มีความเห็นสั่งสอบสวนเพิ่มเติมอีก 3-4 ประเด็น เพื่อให้การสอบสวนสมบูรณ์และสิ้นกระแสความ โดยกำชับให้พนักงานสอบสวนส่งผลการสอบสวนเพิ่มเติมกลับมาให้อัยการภายในวันที่ 26 มี.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นช่วงครบกำหนดฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 4 ในวันที่ 25 มี.ค.
ทั้งนี้ วันเดียวกัน นายเปรมชัย พร้อมด้วยนายยงค์ โดดเครือ คนขับรถของนายเปรมชัย ได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาร่วมกันติดสินบนเจ้าหน้าที่ ที่กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.)
เป็นที่น่าสังเกตว่า พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางมาสอบปากคำนายเปรมชัยด้วย ก่อนเผยในเวลาต่อมาว่า เบื้องต้นนายเปรมชัยและนายยงค์ ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา และขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น ส่วนรายละเอียดไม่สามารถบอกได้ เป็นเรื่องของสำนวน อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า ตนได้กำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปสำนวนให้เสร็จภายในวันที่ 30 มี.ค.นี้ เพื่อส่งให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ( บก.ปทส.) เป็นผู้รวบรวมส่งให้พนักงานอัยการ
วันต่อมา 21 มี.ค. นายเปรมชัยกับพวกรวม 4 คน ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ปทส.เพื่อให้สอบปากคำเพิ่มเติม ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์เผยหลังร่วมสอบปากคำว่า เรียกนายเปรมชัยและพวกมาสอบตามที่อัยการร้องขอเพิ่ม คือพฤติการณ์การเข้าไปในพื้นที่ห้ามล่าสัตว์ป่าที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบนิเวศ ซึ่งเกี่ยวกับคดีแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายกับนายเปรมชัยและพวก ส่วนคดีอาญาข้อหาล่าสัตว์ป่าต้องรอผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์จากกรมอุทยานฯ
ต่อมา วันที่ 22 มี.ค. พล.ต.อ.ศรีวราห์เผยอีกครั้งว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนได้สอบพยานเพิ่มเติม 10 ปาก และสรุปสำนวนเพิ่มเติมจำนวน 103 หน้า ส่งกลับไปยังอัยการจังหวัดทองผาภูมิเรียบร้อยแล้ว ยังเหลือเพียงสมุดคุมเข้าออกในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฯ จำนวน 3 เล่ม ที่จะส่งให้อัยการต่อไป
3.กองปราบฯ ออกหมายเรียก “แผน” ครั้งที่ 3 หากไม่มา 28 มี.ค.นี้ ออกหมายจับ ด้าน “ครูปรีชา” ขอดีเอสไอรับหวย 30 ล้านเป็นคดีพิเศษ!
ความคืบหน้าคดีหวยอลเวง 30 ล้าน ที่ ร.ต.ท.จรูญ วิมูล อดีตตำรวจ และนายปรีชา ใคร่ครวญ ครูโรงเรียนเทพมงคลรังษี จ.กาญจนบุรี ต่างอ้างความเป็นเจ้าของ หลังตำรวจดำเนินคดีครูปรีชา และนางรัตนาพร สุภาทิพย์ หรือเจ๊บ้าบิ่น แม่ค้าที่อ้างว่าขายลอตเตอรี่ที่ถูกรางวัลที่ 1 ให้ครูปรีชา ฐานแจ้งความเท็จและข้อหาอื่นๆ รวม 3 ข้อหา นอกจากนี้ตำรวจยังได้ออกหมายเรียกนายฐนุกร เหลืองใหม่เอี่ยม หรือแผน พยานฝั่งครูปรีชา มารับทราข้อกล่าวหาให้การเท็จ เนื่องจากเคยให้การกับตำรวจภาค 7 ว่าเห็นหมวดจรูญก้มเก็บล็อตเตอรี่ของนายปรีชา แต่ภายหลังให้การกับตำรวจกองปราบฯ ว่า ไม่สามารถยืนยันได้ว่าคนที่ก้มเก็บคือหมวดจรูญ ด้านนายแผนเมื่อรู้ตัวว่าจะถูกดำเนินคดี ได้เดินสายร้องขอความเป็นธรรมกับหน่วยงานต่างๆ พร้อมแจ้งความดำเนินคดีผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ผบช.ก.) และผู้บังคับการกองปราบปราม(ผบก.ป.) พร้อมอ้างว่า ที่ตนต้องกลับคำให้การ เพราะถูกข่มขู่ให้เกิดความกลัวว่าจะติดคุก ขณะที่ผู้การกองปราบฯ และ ผบช.ก. ยืนยันไม่เคยบังคับข่มขู่แต่อย่างใด
ปรากฏว่า หลังตำรวจกองปราบฯ ออกหมายเรียกให้นายแผนมารับทราบข้อกล่าวหาให้การเท็จเมื่อวันที่ 15 มี.ค. แล้วนายแผนไม่มา เมื่อออกหมายเรียกครั้งที่ 2 ให้มารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 21 มี.ค. ปรากฏว่า นายแผนก็ไม่มาอีก โดยก่อนหน้าถึงวันครบกำหนด 1 วัน นายสุกิจ พูนศรีเกษม ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากนายแผน ได้นำเอกสารมามอบให้ตำรวจกองปราบฯ เพื่อขอเลื่อนการเข้ารายงานตัวตัวตามหมายเรียกครั้งที่ 2 จากวันที่ 21 มี.ค. ไปเป็นวันที่ 7 เม.ย. โดยอ้างว่านายแผนอยู่ระหว่างเรียกร้องความเป็นธรรม
วันต่อมา 21 มี.ค. พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รองผู้บังคับการปราบปราม เผยหลังประชุมคณะกรรมการพิจารณาเอกสารการขอเลื่อนเข้ารับทราบข้อกล่าวหาของนายแผนแล้ว เห็นว่าการเดินทางไปร้องเรียนกับหน่วยงานต่างๆ ไม่ใช่เหตุผลอันสมควรในการขอเลื่อน พนักงานสอบสวนจึงออกหมายเรียกอีกครั้งในวันที่ 28 มี.ค. ซึ่งครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะให้โอกาสนายแผนมารับทราบข้อกล่าวหา หากไม่มา ต้องมีการออกหมายจับ
พ.ต.อ.ชาคริต ยังชี้แจงด้วยว่า การดำเนินคดีนายแผนข้อหาให้การเท็จ ไม่ใช่เพราะนายแผนกลับคำให้การ แต่เพราะคำให้การของนายแผนนั้นเป็นการให้การเท็จ และไม่มีเหตุการณ์ตามที่นายแผนกล่าวอ้างแต่อย่างใด
ส่วนความเคลื่อนไหวของครูปรีชานั้น เมื่อวันที่ 22 มี.ค. ครูปรีชาและเจ๊บ้าบิ่น พร้อมด้วยทนายความ ได้ยื่นหนังสือถึง พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อร้องขอความเป็นธรรม พร้อมขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับคดีหวย 30 ล้านเป็นคดีพิเศษ
ด้าน พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ กล่าววันเดียวกันว่า หนังสือร้องขอความเป็นธรรมของนายปรีชายังส่งไม่ถึงดีเอสไอ และว่า หากได้รับเรื่องแล้ว ศูนย์บริหารคดีพิเศษจะพิจารณาเบื้องต้นว่า เป็นคดีที่เข้าเงื่อนไขจะรับไว้สอบสวนเป็นคดีพิเศษหรือไม่ โดยเงื่อนไขตามกฎหมายระบุว่า จะต้องเป็นคดีที่มีความสลับซับซ้อน ยุ่งยาก หรือมีอิทธิพลเข้าไปเกี่ยวข้อง จากนั้นศูนย์บริหารคดีพิเศษจะนำเรื่องเสนอต่อคณะกรรมการกลั่นกรองคดีพิเศษที่มีรองอธิบดีดีเอสไอเป็นประธาน หากคดีเข้าเงื่อนไข จะต้องเสนอให้คณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) พิจารณาลงมติอีกครั้ง ส่วนตัวมองว่า คดีหวย 30 ล้าน ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน ตำรวจก็ดำเนินการไปมากแล้ว
4.สนช.ส่งร่าง พ.ร.ป.ที่มา ส.ว.ให้ศาล รธน.วินิจฉัยแล้ว ขัด รธน.หรือไม่ ด้าน “บิ๊กตู่” เชื่อ ร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.ไม่มีปัญหา!
ความคืบหน้ากรณีที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. และเตรียมส่งร่าง พ.ร.ป.ทั้ง 2 ฉบับให้นายกรัฐมนตรี เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ บังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป แต่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ได้ยื่นหนังสือถึง สนช.แสดงความห่วงใยว่าร่าง พ.ร.ป.ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวมีประเด็นที่อาจรัฐธรรมนูญ จึงแนะให้ส่งร่างดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งหากส่งตอนนี้จะไม่กระทบโรดแมปการเลือกตั้ง แต่หากปล่อยให้มีการยื่นตีความหลังกฎหมายบังคับใช้หรือหลังเลือกตั้ง อาจส่งผลกระทบตามมา ท่ามกลางความกังวลจากหลายฝ่ายว่า แม้ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตอนนี้ ก็อาจจะส่งผลกระทบให้ต้องยืดวันเลือกตั้งออกไปเช่นกัน หากศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าร่างดังกล่าวขัดรัฐธรรมนูญ แล้วส่งผลให้ร่างดังกล่าวตกไปและต้องร่างใหม่
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 19 มี.ค. นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.เผยว่า มีสมาชิก สนช.30 คน ลงชื่อส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.ฉบับเดียว และส่งเรื่องไปยังศาลฯ เรียบร้อยแล้ว ส่วนที่ไม่ส่งร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ให้ศาลฯ วินิจฉัย เนื่องจากสมาชิก สนช.มองว่าไม่มีประเด็นขัดรัฐธรรมนูญ
สำหรับประเด็นที่นายมีชัยห่วงกรณีที่ร่างดังกล่าวฯ ตัดสิทธิผู้ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง จะไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นข้าราชการการเมืองนั้น นายพรเพชรยืนยันว่า เป็นหลักการที่ถูกต้องแล้ว เพราะเป็นการส่งเสริมให้คนไปลงคะแนนเลือกตั้ง ประกอบกับตำแหน่งข้าราชการการเมืองมีจำนวนน้อย จึงกระทบบุคคลในวงแคบมาก ส่วนประเด็นการให้คนพิการมีคนช่วยเหลือในการลงคะแนนในคูหาเลือกตั้ง นายพรเพชรก็มองว่า ไม่ขัดรัฐธรรมนูญที่ระบุว่าการลงคะแนนต้องทำโดยตรงและลับ เพราะการที่คนพิการมีคนช่วยเหลือในการลงคะแนน เป็นการช่วยให้การใช้สิทธิมีความสมบูรณ์ถูกต้อง และการช่วยเหลือคนพิการ ก็ทำให้มีคนรู้การลงคะแนนเพิ่มอีกแค่คนเดียว ไม่ใช่การเปิดเผยต่อสาธารณชน
ทั้งนี้ หลายฝ่ายในสังคมเสียงแตกใน 2 ประเด็น คือ มีทั้งผู้ที่มองว่าร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ขัดและไม่ขัดรัฐธรรมนูญ และมีทั้งผู้ที่มองว่า การช่วยเหลือคนพิการลงคะแนนในคูหาเลือกตั้งขัดและไม่ขัดรัฐธรรมนูญ เช่น นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต.มองว่า การช่วยเหลือคนพิการลงคะแนนในคูหาเลือกตั้งไม่ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะจะช่วยเหลือเฉพาะคนที่มีปัญหาทางกายภาพ และไม่สามารถนำไปเทียบเคียงกับกรณีหันคูหาเลือกตั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยว่าไม่เป็นการลงคะแนนโดยลับ
ขณะที่นางสดศรี สัตยธรรม อดีต กกต.กลับมองว่า การให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ติดตามสามารถกาบัตรลงคะแนนแทนคนพิการ เป็นการขัดรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ใช่การเลือกโดยตรงและลับ เพราะคนที่ช่วยคนพิการลงคะแนนย่อมเห็นว่าลงคะแนนให้ใคร จึงมองว่าประเด็นนี้สำคัญและต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญ จะทำให้กฎหมายนี้เสียไปทั้งฉบับ
ด้านนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ.ยืนยันว่า ไม่ติดใจที่ สนช.ไม่ส่งร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย พร้อมเชื่อว่า ประเด็นที่ กรธ.ห่วงใย ทั้งการตัดสิทธิผู้ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง และให้มีผู้ช่วยเหลือคนพิการลงคะแนนเลือกตั้ง จะไม่ทำให้การเลือกตั้งต้องโมฆะทั้งหมด เพราะหากมีผู้ยื่นให้ศาลฯ ตีความการใช้สิทธิของคนพิการที่หน่วยเลือกตั้งใด ก็อาจทำให้การเลือกตั้งในหน่วยนั้นเสียไป และให้มีการเลือกตั้งซ่อมเฉพาะหน่วยนั้นได้
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวพยายามถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ว่า จะส่งร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่ หลัง สนช.ไม่ส่งให้ศาลฯ ตีความ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า อย่าโยนมาให้รัฐบาล ในเมื่อ สนช.ยังมีปัญหากันอยู่ ก็ต้องแก้ที่ สนช.ถ้าไม่จำเป็น จะส่งทำไม ในเมื่อมอบหมายความรับผิดชอบไปแล้ว ก็ให้ไปทำกันตรงโน้น เมื่อถามว่า แสดงว่าสนับสนุนให้ส่งตีความทั้ง 2 ฉบับหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่รู้ เห็น สนช.ส่งฉบับเดียวไม่ใช่หรือ เมื่อถามย้ำว่า ควรส่งทั้ง 2 ฉบับหรือไม่ เพื่อกันปัญหาในอนาคต พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่มีหรอก ฉบับ ส.ส.ไม่น่าจะมีปัญหา”
5.ผลสอบ มมส. พบ “อาจารย์” ทุบหลัง-สั่ง “น้องแบม” กราบ จนท.ศูนย์ฯ คนไร้ที่พึ่งฯ จริง ส่อผิดแค่จรรยาบรรณ!
ความคืบหน้ากรณี น.ส.ปณิดา ยศปัญญา หรือน้องแบม นิสิตชั้นปีที่ 4 สาขาพัฒนาชุมชน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม( มมส.) ฝึกงานที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จ.ขอนแก่น และพบการทุจริตเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้และผู้ป่วยโรคเอดส์ ของศูนย์ฯ ต่อมาน้องแบมได้ปรึกษาอาจารย์ถึงเรื่องการทุจริตของศูนย์ดังกล่าว แต่เธอกลับถูกกล่าวหาว่าเป็นเด็กโกหก และถูกบังคับให้กราบเท้าขอโทษเจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ ต่อมาน้องแบมได้ยื่นเรื่องถึงสำนักเลขาธิการ คสช. เพื่อให้มีการตรวจสอบ กระทั่งมีการประสานให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เข้าตรวจสอบ และเมื่อ คสช.และ ป.ป.ท. เริ่มลงพื้นที่สอบปากคำนักศึกษาในมหาวิทยาลัย หัวหน้าภาควิชาฯ ได้เรียกน้องแบมไปต่อว่า และใช้มือทุบหลังน้องแบม 2 ครั้ง ทั้งนี้ หลังการเปิดโปงทุจริตดังกล่าว ส่งผลให้ ผอ.ศูนย์คุ้มครองฯ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ถูกสั่งย้าย เพื่อสะดวกต่อการสืบสวน นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังมีคำสั่งเด้งปลัดและรองปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ให้ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกฯ เพื่อให้การสืบสวนข้อเท็จจริงการทุจริตเบิกจ่ายงบประมาณเงินอุดหนุนของกระทรวงฯ เป็นไปอย่างถูกต้อง และเป็นธรรม พร้อมกันนี้ยังมีการขยายผลตรวจสอบศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งทั่วประเทศนั้น
เมื่อวันที่ 19 มี.ค. ผศ.ดร.วิรัติ ปานศิลา ประธานสภาคณาจารย์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม(มมส.) ได้แถลงผลตรวจสอบกรณีอาจารย์หัวหน้าภาควิชาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มมส.ที่สั่งให้น้องแบมกราบเจ้าหน้าที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จ.ขอนแก่น และอาจารย์ได้ทุบหลังน้องแบมด้วยว่า หลังจากสภาคณาจารย์ได้ยื่นหนังสือให้ทางมหาวิทยาลัยสอบสวนอาจารย์ที่เกี่ยวข้องใน 6 ประเด็น ได้ข้อสรุปว่า 1.ประเด็นที่ว่า อาจารย์ของหลักสูตรได้มีการร่วมกันปกปิดการปลอมแปลงเอกสารเบิกเงิน เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายหรือไม่ ผลสอบไม่พบว่าอาจารย์ของหลักสูตรมีการปกปิดการปลอมแปลงเอกสารเบิกเงิน 2.ประเด็นที่ว่า เหตุใดอาจารย์จึงไม่ให้นิสิตแจ้งความเพื่อเป็นการป้องกันนิสิต ซึ่งจะเป็นผลดีต่อนิสิตในภายหลังหากมีการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด แต่กลับนำนิสิตไปไกล่เกลี่ย และมีการบังคับข่มขืนใจให้นิสิตก้มกราบผู้กระทำผิดหรือไม่ ผลสอบไม่ปรากฏว่ามีอาจารย์ห้ามไม่ให้นิสิตแจ้งความ และไม่ปรากฏว่าได้มีการขอร้องให้พานิสิตไปแจ้งความ แต่กลับนำนิสิตไปไกล่เกลี่ยและก้มกราบ ซึ่งเป็นการกราบจริง แต่ไม่ได้สั่งให้กราบเท้า ซึ่งมีการไกล่เกลี่ยกันทั้งหมด 4 คน กราบในส่วนต่างๆ เช่น กราบตัก มีเพียงน้องแบมคนเดียวที่กราบเท้า มีนิสิต 2 คนร้องไห้ แต่ไม่ทราบเหตุผล
3.ประเด็นที่ว่า มีการใช้มือฟาดนิสิตหรือไม่ และหากมี อาจารย์คนดังกล่าวทำผิดจรรยาบรรณหรือไม่ ผลสอบพบว่า มีการฟาดจริง ขณะนี้อยู่ระหว่างตั้งคณะกรรมการสอบสวนอาจารย์ว่าด้วยเรื่องจรรยาบรรณ คาดว่าจะทราบผลภายใน 30 วัน 4.ประเด็นที่ว่า การเรียกนิสิตมาสอบสวนและกระบวนการสอบสวนโดยคณะ ใช้อำนาจถูกต้องหรือไม่ ให้ความเป็นธรรมกับนิสิตหรือไม่ และมีการละเมิดสิทธิของนิสิตหรือคุกคามนิสิตหรือไม่ ผลสอบสรุปว่า ไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธิของนิสิต เนื่องจาก ป.ป.ท.และมหาวิทยาลัย ต้องการข้อมูลจากนิสิต และได้มีการบันทึกเสียง เพื่อส่งให้ทางมหาวิทยาลัย โดยได้มีการแจ้งให้นิสิตงดนำเครื่องมือสื่อสารเข้าไประหว่างสอบสวน
5.ประเด็นที่ว่า เหตุใดต้องมีการห้ามแชร์ข่าว และห้ามนิสิตแชร์ข่าว แต่ให้นิสิตบางกลุ่มโพสต์ข้อความในเชิงโจมตีนิสิต เป็นการละเมิดสิทธิของนิสิตหรือไม่ และเป็นการปฏิบัติ 2 มาตรฐานหรือไม่ ผลสอบพบว่า มีการประชุมของภาควิชา โดยมีการขอความร่วมมือไม่ให้แชร์ข่าวสาร และทาง ป.ป.ท.ได้ขอความร่วมมือในการงดรายละเอียด ข้อมูล ข่าวสาร ต่อเจ้าหน้าที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ซึ่งไม่ได้ห้าม แต่เป็นการขอความร่วมมือ ซึ่งอาจเป็นการเข้าใจผิดของแต่ละคน 6.ประเด็นที่ว่า ให้มีกลไกในการคุ้มครองนิสิต เนื่องจากกำลังศึกษาชั้นปีที่ 4 ขณะที่อาจารย์คู่กรณีเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาการทำพัฒนานิพนธ์ ประธานและกรรมการหลักสูตร และเป็นหัวหน้าภาควิชา ที่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาผลการเรียน อีกทั้งป้องกันไม่ให้อาจารย์ใช้อำนาจหน้าที่ละเมิดสิทธินิสิต ผลสอบพบว่า นิสิตเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 ซึ่งหลังจากเกิดปัญหา ก็ได้ให้นิสิตเปลี่ยนพื้นที่การทำวิจัย จากเดิมที่ จ.ขอนแก่น เป็นพื้นที่อื่น ซึ่งทางอาจารย์รับปากเรื่องการดูแลพัฒนานิพนธ์ของสินิต ส่วนการตัดเกรดทำในรูปแบบของคณะกรรมการตามระเบียบของคณะ
ผศ.ดร.วิรัตย้ำด้วยว่า “การสอบข้อเท็จจริง ไม่ได้บอกว่าใครถูกใครผิด ผลการสอบจะบอกเพียงว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงหรือไม่ ต่อจากนี้คงเป็นเรื่องการสอบจรรยาบรรณของอาจารย์ว่าจะเป็นอย่างไร ขอให้ติดตามกัน หากทราบผลที่แน่นอนแล้ว จะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง”
ด้าน น.ส.ปณิดา ซึ่งมาร่วมรับฟังการแถลงผลสอบครั้งนี้ด้วย กล่าวว่า ส่วนตัวยังคาใจในหลายประเด็น เพราะบางประเด็น ผลที่ออกมา เหมือนเป็นการปัดไปให้พ้นทางมากกว่า ซึ่งต้องขอดูอีกครั้ง ขอนำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์ก่อนว่า จะมีการร้องเรียนเพิ่มเติมหรือไม่ สำหรับประเด็นที่ยังคาใจคือ เรื่องนิสิตไม่ได้ร้องขอในเรื่องการแจ้งความ ซึ่งเคยบอกไปแล้วว่า มีอาจารย์ 2 คน ที่ไม่ใช่อาจารย์ที่ปรึกษาและอาจารย์หัวหน้าภาค บอกให้ไปแจ้งความ ซึ่งหากหัวหน้าภาครับฟังลูกน้อง ก็ต้องตัดสินใจดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ใช่มาไกล่เกลี่ย เพราะการทุจริต เป็นสิ่งร้ายแรงที่ไม่ควรมองข้าม ส่วนอีกประเด็นคือ เรื่องการเปิดเผยสถานที่ฝึกงาน ซึ่งไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องเปิดเผย เพราะเป็นคนร้องเรียน เป็นคนเปิดโปงการทุจริต และสิ่งที่ควรปกปิดคือสถานที่ทำวิจัย แต่ทางอาจารย์กลับเปิดเผยสถานที่ทำวิจัยกับสื่อ ให้สื่อไปประกาศออกไปทั่วประเทศ หากสมมติว่า ทาง ป.ป.ท.ได้ตรวจสอบการทุจริตในพื้นที่ที่ตนทำวิจัย และพบว่าพื้นที่นั้นมีการทุจริตจริง ความปลอดภัยของตนจะอยู่ตรงไหน
น.ส.ปณิดา หรือน้องแบมกล่าวด้วยว่า “ตอนนี้มีทั้งตำรวจและทหารมาดูแลอย่างใกล้ชิด แต่หลังจากนี้ต่อไป เมื่อตำรวจ ทหาร ไม่อยู่แล้ว เรื่องเงียบลงไปแล้ว ก็กังวลอยู่บ้างในเรื่องความปลอดภัยหรือการคุกคามในรูปแบบต่างๆ แต่ชีวิตคนเราก็ต้องดำเนินต่อไป เราต้องระวังตัวมากขึ้น”
1.“บิ๊กตู่” ใช้ ม.44 ปลดฟ้าผ่า “สมชัย” พ้น กกต. เหตุทำคนสับสนวันเลือกตั้ง-ไม่ลาออกก่อนสมัครเลขาฯ กกต.!
เมื่อวันที่ 20 มี.ค. ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เรื่อง ให้นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ยุติการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนแสดงความเห็นเกี่ยวกับกระบวนการและกำหนดการเลือกตั้งด้วยถ้อยคำที่ไม่สมควรในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความสับสน อันจะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานของ กกต.และการจัดการเลือกตั้งให้สำเร็จลุล่วงด้วยดี
คำสั่งหัวหน้า คสช.ยังระบุด้วยว่า นายสมชัยได้สมัครเข้ารับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กกต.โดยไม่ได้ลาออกจาก กกต.ก่อน ถือเป็นการกระทำที่เข้าข่ายขัดกันแห่งผลประโยชน์ เนื่องจากนายสมชัยเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเรื่องดังกล่าวโดยตรง และจะส่งผลต่อความถูกต้องและเป็นธรรมในการคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กกต. จึงไม่สมควรที่ให้นายสมชัยปฏิบัติหน้าที่ กกต.ต่อไป เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โปร่งใส และเป็นธรรมแก่ผู้สมัครรายอื่นๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูปองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้คำสั่งหัวหน้า คสช.ยังระบุให้ประธานและกรรมการ กกต.ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ ยังคงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าการสรรหา กกต.ชุดใหม่จะแล้วเสร็จและได้ กกต.ชุดใหม่ เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของ กกต.เป็นไปอย่งต่อเนื่อง และไม่กระทบต่อการเตรียมการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น จึงอาศัยอำนาจมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญ ประกอบกับมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 หัวหน้า คสช.โดยความเห็นชอบของคณะ คสช.จึงมีคำสั่งให้นายสมชัยยุติการปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 20 มี.ค.เป็นต้นไป
ทั้งนี้ คำสั่งหัวหน้า คสช.ได้ระบุให้ประธานหรือกรรมการ กกต.ที่ดำรงตำแหน่งอยู่และอายุครบ 70 ปี ยังคงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าประธานและ กกต.ที่แต่งตั้งใหม่จะเข้ารับหน้าที่ด้วย
ด้านนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กล่าวหลังทราบคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ปลดตนพ้นตำแหน่ง กกต.ว่า เป็นดุลพินิจของผู้มีอำนาจที่คิดว่าเหมาะสมก็ให้ดำเนินการไป พร้อมยืนยันว่า การให้สัมภาษณ์ที่ผ่านมา อยู่บนพื้นฐานการรักษาผลประโยชน์ของบ้านเมือง ไม่ได้มุ่งเอาใจใคร และการสมัครเลขาธิการ กกต.ก็เป็นเพราะมีคุณสมบัติที่จะสมัครได้ แต่เชื่อว่า กกต.ชุดปัจจุบันคงไม่กล้าเลือกตนเป็นเลขาฯ กกต.เพราะรู้ดีว่า หากตนได้เป็นเลขาฯ กกต. อาจปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อความต้องการของผู้มีอำนาจในบ้านเมืองได้ นายสมชัยกล่าวด้วยว่า เมื่อพ้นตำแหน่งแล้ว จะหาแนวทางอื่นทำประโยชน์ให้บ้านเมืองต่อไป “ผมไม่เสียใจต่อคำสั่งที่ออกมา โดยก่อนหน้านี้ก็พยายามหาทางที่จะออกจากตำแหน่งอยู่แล้ว และรู้ว่าตัวเองสุ่มเสี่ยงมาโดยตลอดกับการที่จะถูก คสช.ปลด เพราะให้สัมภาษณ์ในลักษณะที่ไม่ถูกใจใคร แต่ถือว่าทำตามหน้าที่ ซึ่งอาจมีคนเห็นว่าไปขัดผลประโยชน์ จนทนไม่ได้ แต่การเป็น กกต.ก็มีหน้าที่ชี้ว่าสิ่งใดถูกและสิ่งใดผิด”
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้สัมภาษณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ถึงกรณีใช้ ม.44 ปลดนายสมชัยออกจาก กกต. พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “มันมีความจำเป็น ยอมรับว่ามีหน่วยงานขอมา เป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางกฎหมาย เขาบอกว่ามันไม่ไหวแล้ว ทำให้ทุกอย่างสับสนอลหม่านพอสมควร ผมไม่ได้อยากจะออกคำสั่งนี้กับใคร ขอร้องสื่อว่าพอ และจบได้แล้ว”
อนึ่ง ก่อนหน้านายสมชัยจะถูกปลดออกจากตำแหน่งไม่กี่วัน นายสมชัยเพิ่งแสดงความเห็นทำนองว่า หาก สนช.ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.ว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ อาจส่งผลให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไป 2-6 เดือน พร้อมกล่าวด้วยว่า หมากนี้ลึกซึ้งยิ่ง ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะเป็นจำเลยให้สังคม ระหว่าง 25 สนช.ที่จะเป็นผู้ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หรือนายกฯ ถ้าโรดแมปต้องเลื่อนไปอีก 2-6 เดือน
2.อัยการสั่ง ตร.สอบเพิ่มคดี “เปรมชัย” ล่าสัตว์ป่าทุ่งใหญ่ฯ ชี้สำนวนยังไม่สมบูรณ์ ด้าน ตร.สอบเพิ่มเรียบร้อยแล้ว!
ความคืบหน้าคดีนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) กับพวกอีก 3 คน คือ นายยงค์ โดดเครือ, นางนที เรียมแสน และนายธานี ทุมมาศ นำอาวุธปืนเข้าไปล่าสัตว์คุ้มครองในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก จ.กาญจนบุรี ก่อนถูกนายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ฯ และเจ้าหน้าที่เขตฯ จับกุมส่งให้ตำรวจ สภ.ทองผาภูมิ ดำเนินคดี โดยเมื่อวันที่ 13 มี.ค. ตำรวจ สภ.ทองผาภูมิ ได้สรุปสำนวนพร้อมมีความเห็นสั่งฟ้องส่งให้อัยการมีความเห็นต่อไป โดยตำรวจได้แจ้งข้อหานายเปรมชัย 8 ข้อหา ส่วนลูกน้องอีกสามคน ถูกแจ้ง 9 ข้อหา โดยข้อหาที่ 9 ที่ตำรวจไม่แจ้งนายเปรมชัยคือ ข้อหาพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากอาวุธปืนของกลางเป็นของนายเปรมชัย ซึ่งได้รับอนุญาตให้มีไว้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 20 มี.ค. นางสมศรี วัฒนไพศาล อธิบดีอัยการภาค 7 และนายสมเจตน์ อำนวยสวัสดิ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 2 ภาค 7 กาญจนบุรี หัวหน้าคณะทำงานอัยการคดีล่าเสือดำ ได้เปิดแถลงความคืบหน้าคดีนายเปรมชัยกับพวกล่าสัตว์ป่าในทุ่งใหญ่ฯ ว่า หลังอัยการพิจารณาสำนวนที่พนักงานสอบสวนส่งมา 857 หน้าแล้ว คณะทำงานอัยการได้มีความเห็นสั่งสอบสวนเพิ่มเติมอีก 3-4 ประเด็น เพื่อให้การสอบสวนสมบูรณ์และสิ้นกระแสความ โดยกำชับให้พนักงานสอบสวนส่งผลการสอบสวนเพิ่มเติมกลับมาให้อัยการภายในวันที่ 26 มี.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นช่วงครบกำหนดฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 4 ในวันที่ 25 มี.ค.
ทั้งนี้ วันเดียวกัน นายเปรมชัย พร้อมด้วยนายยงค์ โดดเครือ คนขับรถของนายเปรมชัย ได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาร่วมกันติดสินบนเจ้าหน้าที่ ที่กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.)
เป็นที่น่าสังเกตว่า พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางมาสอบปากคำนายเปรมชัยด้วย ก่อนเผยในเวลาต่อมาว่า เบื้องต้นนายเปรมชัยและนายยงค์ ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา และขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น ส่วนรายละเอียดไม่สามารถบอกได้ เป็นเรื่องของสำนวน อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า ตนได้กำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปสำนวนให้เสร็จภายในวันที่ 30 มี.ค.นี้ เพื่อส่งให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ( บก.ปทส.) เป็นผู้รวบรวมส่งให้พนักงานอัยการ
วันต่อมา 21 มี.ค. นายเปรมชัยกับพวกรวม 4 คน ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ปทส.เพื่อให้สอบปากคำเพิ่มเติม ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์เผยหลังร่วมสอบปากคำว่า เรียกนายเปรมชัยและพวกมาสอบตามที่อัยการร้องขอเพิ่ม คือพฤติการณ์การเข้าไปในพื้นที่ห้ามล่าสัตว์ป่าที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบนิเวศ ซึ่งเกี่ยวกับคดีแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายกับนายเปรมชัยและพวก ส่วนคดีอาญาข้อหาล่าสัตว์ป่าต้องรอผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์จากกรมอุทยานฯ
ต่อมา วันที่ 22 มี.ค. พล.ต.อ.ศรีวราห์เผยอีกครั้งว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนได้สอบพยานเพิ่มเติม 10 ปาก และสรุปสำนวนเพิ่มเติมจำนวน 103 หน้า ส่งกลับไปยังอัยการจังหวัดทองผาภูมิเรียบร้อยแล้ว ยังเหลือเพียงสมุดคุมเข้าออกในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฯ จำนวน 3 เล่ม ที่จะส่งให้อัยการต่อไป
3.กองปราบฯ ออกหมายเรียก “แผน” ครั้งที่ 3 หากไม่มา 28 มี.ค.นี้ ออกหมายจับ ด้าน “ครูปรีชา” ขอดีเอสไอรับหวย 30 ล้านเป็นคดีพิเศษ!
ความคืบหน้าคดีหวยอลเวง 30 ล้าน ที่ ร.ต.ท.จรูญ วิมูล อดีตตำรวจ และนายปรีชา ใคร่ครวญ ครูโรงเรียนเทพมงคลรังษี จ.กาญจนบุรี ต่างอ้างความเป็นเจ้าของ หลังตำรวจดำเนินคดีครูปรีชา และนางรัตนาพร สุภาทิพย์ หรือเจ๊บ้าบิ่น แม่ค้าที่อ้างว่าขายลอตเตอรี่ที่ถูกรางวัลที่ 1 ให้ครูปรีชา ฐานแจ้งความเท็จและข้อหาอื่นๆ รวม 3 ข้อหา นอกจากนี้ตำรวจยังได้ออกหมายเรียกนายฐนุกร เหลืองใหม่เอี่ยม หรือแผน พยานฝั่งครูปรีชา มารับทราข้อกล่าวหาให้การเท็จ เนื่องจากเคยให้การกับตำรวจภาค 7 ว่าเห็นหมวดจรูญก้มเก็บล็อตเตอรี่ของนายปรีชา แต่ภายหลังให้การกับตำรวจกองปราบฯ ว่า ไม่สามารถยืนยันได้ว่าคนที่ก้มเก็บคือหมวดจรูญ ด้านนายแผนเมื่อรู้ตัวว่าจะถูกดำเนินคดี ได้เดินสายร้องขอความเป็นธรรมกับหน่วยงานต่างๆ พร้อมแจ้งความดำเนินคดีผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ผบช.ก.) และผู้บังคับการกองปราบปราม(ผบก.ป.) พร้อมอ้างว่า ที่ตนต้องกลับคำให้การ เพราะถูกข่มขู่ให้เกิดความกลัวว่าจะติดคุก ขณะที่ผู้การกองปราบฯ และ ผบช.ก. ยืนยันไม่เคยบังคับข่มขู่แต่อย่างใด
ปรากฏว่า หลังตำรวจกองปราบฯ ออกหมายเรียกให้นายแผนมารับทราบข้อกล่าวหาให้การเท็จเมื่อวันที่ 15 มี.ค. แล้วนายแผนไม่มา เมื่อออกหมายเรียกครั้งที่ 2 ให้มารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 21 มี.ค. ปรากฏว่า นายแผนก็ไม่มาอีก โดยก่อนหน้าถึงวันครบกำหนด 1 วัน นายสุกิจ พูนศรีเกษม ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากนายแผน ได้นำเอกสารมามอบให้ตำรวจกองปราบฯ เพื่อขอเลื่อนการเข้ารายงานตัวตัวตามหมายเรียกครั้งที่ 2 จากวันที่ 21 มี.ค. ไปเป็นวันที่ 7 เม.ย. โดยอ้างว่านายแผนอยู่ระหว่างเรียกร้องความเป็นธรรม
วันต่อมา 21 มี.ค. พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รองผู้บังคับการปราบปราม เผยหลังประชุมคณะกรรมการพิจารณาเอกสารการขอเลื่อนเข้ารับทราบข้อกล่าวหาของนายแผนแล้ว เห็นว่าการเดินทางไปร้องเรียนกับหน่วยงานต่างๆ ไม่ใช่เหตุผลอันสมควรในการขอเลื่อน พนักงานสอบสวนจึงออกหมายเรียกอีกครั้งในวันที่ 28 มี.ค. ซึ่งครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะให้โอกาสนายแผนมารับทราบข้อกล่าวหา หากไม่มา ต้องมีการออกหมายจับ
พ.ต.อ.ชาคริต ยังชี้แจงด้วยว่า การดำเนินคดีนายแผนข้อหาให้การเท็จ ไม่ใช่เพราะนายแผนกลับคำให้การ แต่เพราะคำให้การของนายแผนนั้นเป็นการให้การเท็จ และไม่มีเหตุการณ์ตามที่นายแผนกล่าวอ้างแต่อย่างใด
ส่วนความเคลื่อนไหวของครูปรีชานั้น เมื่อวันที่ 22 มี.ค. ครูปรีชาและเจ๊บ้าบิ่น พร้อมด้วยทนายความ ได้ยื่นหนังสือถึง พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อร้องขอความเป็นธรรม พร้อมขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับคดีหวย 30 ล้านเป็นคดีพิเศษ
ด้าน พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ กล่าววันเดียวกันว่า หนังสือร้องขอความเป็นธรรมของนายปรีชายังส่งไม่ถึงดีเอสไอ และว่า หากได้รับเรื่องแล้ว ศูนย์บริหารคดีพิเศษจะพิจารณาเบื้องต้นว่า เป็นคดีที่เข้าเงื่อนไขจะรับไว้สอบสวนเป็นคดีพิเศษหรือไม่ โดยเงื่อนไขตามกฎหมายระบุว่า จะต้องเป็นคดีที่มีความสลับซับซ้อน ยุ่งยาก หรือมีอิทธิพลเข้าไปเกี่ยวข้อง จากนั้นศูนย์บริหารคดีพิเศษจะนำเรื่องเสนอต่อคณะกรรมการกลั่นกรองคดีพิเศษที่มีรองอธิบดีดีเอสไอเป็นประธาน หากคดีเข้าเงื่อนไข จะต้องเสนอให้คณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) พิจารณาลงมติอีกครั้ง ส่วนตัวมองว่า คดีหวย 30 ล้าน ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน ตำรวจก็ดำเนินการไปมากแล้ว
4.สนช.ส่งร่าง พ.ร.ป.ที่มา ส.ว.ให้ศาล รธน.วินิจฉัยแล้ว ขัด รธน.หรือไม่ ด้าน “บิ๊กตู่” เชื่อ ร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.ไม่มีปัญหา!
ความคืบหน้ากรณีที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. และเตรียมส่งร่าง พ.ร.ป.ทั้ง 2 ฉบับให้นายกรัฐมนตรี เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ บังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป แต่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ได้ยื่นหนังสือถึง สนช.แสดงความห่วงใยว่าร่าง พ.ร.ป.ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวมีประเด็นที่อาจรัฐธรรมนูญ จึงแนะให้ส่งร่างดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งหากส่งตอนนี้จะไม่กระทบโรดแมปการเลือกตั้ง แต่หากปล่อยให้มีการยื่นตีความหลังกฎหมายบังคับใช้หรือหลังเลือกตั้ง อาจส่งผลกระทบตามมา ท่ามกลางความกังวลจากหลายฝ่ายว่า แม้ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตอนนี้ ก็อาจจะส่งผลกระทบให้ต้องยืดวันเลือกตั้งออกไปเช่นกัน หากศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าร่างดังกล่าวขัดรัฐธรรมนูญ แล้วส่งผลให้ร่างดังกล่าวตกไปและต้องร่างใหม่
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 19 มี.ค. นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.เผยว่า มีสมาชิก สนช.30 คน ลงชื่อส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.ฉบับเดียว และส่งเรื่องไปยังศาลฯ เรียบร้อยแล้ว ส่วนที่ไม่ส่งร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ให้ศาลฯ วินิจฉัย เนื่องจากสมาชิก สนช.มองว่าไม่มีประเด็นขัดรัฐธรรมนูญ
สำหรับประเด็นที่นายมีชัยห่วงกรณีที่ร่างดังกล่าวฯ ตัดสิทธิผู้ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง จะไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นข้าราชการการเมืองนั้น นายพรเพชรยืนยันว่า เป็นหลักการที่ถูกต้องแล้ว เพราะเป็นการส่งเสริมให้คนไปลงคะแนนเลือกตั้ง ประกอบกับตำแหน่งข้าราชการการเมืองมีจำนวนน้อย จึงกระทบบุคคลในวงแคบมาก ส่วนประเด็นการให้คนพิการมีคนช่วยเหลือในการลงคะแนนในคูหาเลือกตั้ง นายพรเพชรก็มองว่า ไม่ขัดรัฐธรรมนูญที่ระบุว่าการลงคะแนนต้องทำโดยตรงและลับ เพราะการที่คนพิการมีคนช่วยเหลือในการลงคะแนน เป็นการช่วยให้การใช้สิทธิมีความสมบูรณ์ถูกต้อง และการช่วยเหลือคนพิการ ก็ทำให้มีคนรู้การลงคะแนนเพิ่มอีกแค่คนเดียว ไม่ใช่การเปิดเผยต่อสาธารณชน
ทั้งนี้ หลายฝ่ายในสังคมเสียงแตกใน 2 ประเด็น คือ มีทั้งผู้ที่มองว่าร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ขัดและไม่ขัดรัฐธรรมนูญ และมีทั้งผู้ที่มองว่า การช่วยเหลือคนพิการลงคะแนนในคูหาเลือกตั้งขัดและไม่ขัดรัฐธรรมนูญ เช่น นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต.มองว่า การช่วยเหลือคนพิการลงคะแนนในคูหาเลือกตั้งไม่ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะจะช่วยเหลือเฉพาะคนที่มีปัญหาทางกายภาพ และไม่สามารถนำไปเทียบเคียงกับกรณีหันคูหาเลือกตั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยว่าไม่เป็นการลงคะแนนโดยลับ
ขณะที่นางสดศรี สัตยธรรม อดีต กกต.กลับมองว่า การให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ติดตามสามารถกาบัตรลงคะแนนแทนคนพิการ เป็นการขัดรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ใช่การเลือกโดยตรงและลับ เพราะคนที่ช่วยคนพิการลงคะแนนย่อมเห็นว่าลงคะแนนให้ใคร จึงมองว่าประเด็นนี้สำคัญและต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญ จะทำให้กฎหมายนี้เสียไปทั้งฉบับ
ด้านนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ.ยืนยันว่า ไม่ติดใจที่ สนช.ไม่ส่งร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย พร้อมเชื่อว่า ประเด็นที่ กรธ.ห่วงใย ทั้งการตัดสิทธิผู้ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง และให้มีผู้ช่วยเหลือคนพิการลงคะแนนเลือกตั้ง จะไม่ทำให้การเลือกตั้งต้องโมฆะทั้งหมด เพราะหากมีผู้ยื่นให้ศาลฯ ตีความการใช้สิทธิของคนพิการที่หน่วยเลือกตั้งใด ก็อาจทำให้การเลือกตั้งในหน่วยนั้นเสียไป และให้มีการเลือกตั้งซ่อมเฉพาะหน่วยนั้นได้
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวพยายามถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ว่า จะส่งร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่ หลัง สนช.ไม่ส่งให้ศาลฯ ตีความ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า อย่าโยนมาให้รัฐบาล ในเมื่อ สนช.ยังมีปัญหากันอยู่ ก็ต้องแก้ที่ สนช.ถ้าไม่จำเป็น จะส่งทำไม ในเมื่อมอบหมายความรับผิดชอบไปแล้ว ก็ให้ไปทำกันตรงโน้น เมื่อถามว่า แสดงว่าสนับสนุนให้ส่งตีความทั้ง 2 ฉบับหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่รู้ เห็น สนช.ส่งฉบับเดียวไม่ใช่หรือ เมื่อถามย้ำว่า ควรส่งทั้ง 2 ฉบับหรือไม่ เพื่อกันปัญหาในอนาคต พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่มีหรอก ฉบับ ส.ส.ไม่น่าจะมีปัญหา”
5.ผลสอบ มมส. พบ “อาจารย์” ทุบหลัง-สั่ง “น้องแบม” กราบ จนท.ศูนย์ฯ คนไร้ที่พึ่งฯ จริง ส่อผิดแค่จรรยาบรรณ!
ความคืบหน้ากรณี น.ส.ปณิดา ยศปัญญา หรือน้องแบม นิสิตชั้นปีที่ 4 สาขาพัฒนาชุมชน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม( มมส.) ฝึกงานที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จ.ขอนแก่น และพบการทุจริตเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้และผู้ป่วยโรคเอดส์ ของศูนย์ฯ ต่อมาน้องแบมได้ปรึกษาอาจารย์ถึงเรื่องการทุจริตของศูนย์ดังกล่าว แต่เธอกลับถูกกล่าวหาว่าเป็นเด็กโกหก และถูกบังคับให้กราบเท้าขอโทษเจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ ต่อมาน้องแบมได้ยื่นเรื่องถึงสำนักเลขาธิการ คสช. เพื่อให้มีการตรวจสอบ กระทั่งมีการประสานให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เข้าตรวจสอบ และเมื่อ คสช.และ ป.ป.ท. เริ่มลงพื้นที่สอบปากคำนักศึกษาในมหาวิทยาลัย หัวหน้าภาควิชาฯ ได้เรียกน้องแบมไปต่อว่า และใช้มือทุบหลังน้องแบม 2 ครั้ง ทั้งนี้ หลังการเปิดโปงทุจริตดังกล่าว ส่งผลให้ ผอ.ศูนย์คุ้มครองฯ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ถูกสั่งย้าย เพื่อสะดวกต่อการสืบสวน นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังมีคำสั่งเด้งปลัดและรองปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ให้ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกฯ เพื่อให้การสืบสวนข้อเท็จจริงการทุจริตเบิกจ่ายงบประมาณเงินอุดหนุนของกระทรวงฯ เป็นไปอย่างถูกต้อง และเป็นธรรม พร้อมกันนี้ยังมีการขยายผลตรวจสอบศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งทั่วประเทศนั้น
เมื่อวันที่ 19 มี.ค. ผศ.ดร.วิรัติ ปานศิลา ประธานสภาคณาจารย์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม(มมส.) ได้แถลงผลตรวจสอบกรณีอาจารย์หัวหน้าภาควิชาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มมส.ที่สั่งให้น้องแบมกราบเจ้าหน้าที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จ.ขอนแก่น และอาจารย์ได้ทุบหลังน้องแบมด้วยว่า หลังจากสภาคณาจารย์ได้ยื่นหนังสือให้ทางมหาวิทยาลัยสอบสวนอาจารย์ที่เกี่ยวข้องใน 6 ประเด็น ได้ข้อสรุปว่า 1.ประเด็นที่ว่า อาจารย์ของหลักสูตรได้มีการร่วมกันปกปิดการปลอมแปลงเอกสารเบิกเงิน เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายหรือไม่ ผลสอบไม่พบว่าอาจารย์ของหลักสูตรมีการปกปิดการปลอมแปลงเอกสารเบิกเงิน 2.ประเด็นที่ว่า เหตุใดอาจารย์จึงไม่ให้นิสิตแจ้งความเพื่อเป็นการป้องกันนิสิต ซึ่งจะเป็นผลดีต่อนิสิตในภายหลังหากมีการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด แต่กลับนำนิสิตไปไกล่เกลี่ย และมีการบังคับข่มขืนใจให้นิสิตก้มกราบผู้กระทำผิดหรือไม่ ผลสอบไม่ปรากฏว่ามีอาจารย์ห้ามไม่ให้นิสิตแจ้งความ และไม่ปรากฏว่าได้มีการขอร้องให้พานิสิตไปแจ้งความ แต่กลับนำนิสิตไปไกล่เกลี่ยและก้มกราบ ซึ่งเป็นการกราบจริง แต่ไม่ได้สั่งให้กราบเท้า ซึ่งมีการไกล่เกลี่ยกันทั้งหมด 4 คน กราบในส่วนต่างๆ เช่น กราบตัก มีเพียงน้องแบมคนเดียวที่กราบเท้า มีนิสิต 2 คนร้องไห้ แต่ไม่ทราบเหตุผล
3.ประเด็นที่ว่า มีการใช้มือฟาดนิสิตหรือไม่ และหากมี อาจารย์คนดังกล่าวทำผิดจรรยาบรรณหรือไม่ ผลสอบพบว่า มีการฟาดจริง ขณะนี้อยู่ระหว่างตั้งคณะกรรมการสอบสวนอาจารย์ว่าด้วยเรื่องจรรยาบรรณ คาดว่าจะทราบผลภายใน 30 วัน 4.ประเด็นที่ว่า การเรียกนิสิตมาสอบสวนและกระบวนการสอบสวนโดยคณะ ใช้อำนาจถูกต้องหรือไม่ ให้ความเป็นธรรมกับนิสิตหรือไม่ และมีการละเมิดสิทธิของนิสิตหรือคุกคามนิสิตหรือไม่ ผลสอบสรุปว่า ไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธิของนิสิต เนื่องจาก ป.ป.ท.และมหาวิทยาลัย ต้องการข้อมูลจากนิสิต และได้มีการบันทึกเสียง เพื่อส่งให้ทางมหาวิทยาลัย โดยได้มีการแจ้งให้นิสิตงดนำเครื่องมือสื่อสารเข้าไประหว่างสอบสวน
5.ประเด็นที่ว่า เหตุใดต้องมีการห้ามแชร์ข่าว และห้ามนิสิตแชร์ข่าว แต่ให้นิสิตบางกลุ่มโพสต์ข้อความในเชิงโจมตีนิสิต เป็นการละเมิดสิทธิของนิสิตหรือไม่ และเป็นการปฏิบัติ 2 มาตรฐานหรือไม่ ผลสอบพบว่า มีการประชุมของภาควิชา โดยมีการขอความร่วมมือไม่ให้แชร์ข่าวสาร และทาง ป.ป.ท.ได้ขอความร่วมมือในการงดรายละเอียด ข้อมูล ข่าวสาร ต่อเจ้าหน้าที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ซึ่งไม่ได้ห้าม แต่เป็นการขอความร่วมมือ ซึ่งอาจเป็นการเข้าใจผิดของแต่ละคน 6.ประเด็นที่ว่า ให้มีกลไกในการคุ้มครองนิสิต เนื่องจากกำลังศึกษาชั้นปีที่ 4 ขณะที่อาจารย์คู่กรณีเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาการทำพัฒนานิพนธ์ ประธานและกรรมการหลักสูตร และเป็นหัวหน้าภาควิชา ที่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาผลการเรียน อีกทั้งป้องกันไม่ให้อาจารย์ใช้อำนาจหน้าที่ละเมิดสิทธินิสิต ผลสอบพบว่า นิสิตเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 ซึ่งหลังจากเกิดปัญหา ก็ได้ให้นิสิตเปลี่ยนพื้นที่การทำวิจัย จากเดิมที่ จ.ขอนแก่น เป็นพื้นที่อื่น ซึ่งทางอาจารย์รับปากเรื่องการดูแลพัฒนานิพนธ์ของสินิต ส่วนการตัดเกรดทำในรูปแบบของคณะกรรมการตามระเบียบของคณะ
ผศ.ดร.วิรัตย้ำด้วยว่า “การสอบข้อเท็จจริง ไม่ได้บอกว่าใครถูกใครผิด ผลการสอบจะบอกเพียงว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงหรือไม่ ต่อจากนี้คงเป็นเรื่องการสอบจรรยาบรรณของอาจารย์ว่าจะเป็นอย่างไร ขอให้ติดตามกัน หากทราบผลที่แน่นอนแล้ว จะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง”
ด้าน น.ส.ปณิดา ซึ่งมาร่วมรับฟังการแถลงผลสอบครั้งนี้ด้วย กล่าวว่า ส่วนตัวยังคาใจในหลายประเด็น เพราะบางประเด็น ผลที่ออกมา เหมือนเป็นการปัดไปให้พ้นทางมากกว่า ซึ่งต้องขอดูอีกครั้ง ขอนำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์ก่อนว่า จะมีการร้องเรียนเพิ่มเติมหรือไม่ สำหรับประเด็นที่ยังคาใจคือ เรื่องนิสิตไม่ได้ร้องขอในเรื่องการแจ้งความ ซึ่งเคยบอกไปแล้วว่า มีอาจารย์ 2 คน ที่ไม่ใช่อาจารย์ที่ปรึกษาและอาจารย์หัวหน้าภาค บอกให้ไปแจ้งความ ซึ่งหากหัวหน้าภาครับฟังลูกน้อง ก็ต้องตัดสินใจดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ใช่มาไกล่เกลี่ย เพราะการทุจริต เป็นสิ่งร้ายแรงที่ไม่ควรมองข้าม ส่วนอีกประเด็นคือ เรื่องการเปิดเผยสถานที่ฝึกงาน ซึ่งไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องเปิดเผย เพราะเป็นคนร้องเรียน เป็นคนเปิดโปงการทุจริต และสิ่งที่ควรปกปิดคือสถานที่ทำวิจัย แต่ทางอาจารย์กลับเปิดเผยสถานที่ทำวิจัยกับสื่อ ให้สื่อไปประกาศออกไปทั่วประเทศ หากสมมติว่า ทาง ป.ป.ท.ได้ตรวจสอบการทุจริตในพื้นที่ที่ตนทำวิจัย และพบว่าพื้นที่นั้นมีการทุจริตจริง ความปลอดภัยของตนจะอยู่ตรงไหน
น.ส.ปณิดา หรือน้องแบมกล่าวด้วยว่า “ตอนนี้มีทั้งตำรวจและทหารมาดูแลอย่างใกล้ชิด แต่หลังจากนี้ต่อไป เมื่อตำรวจ ทหาร ไม่อยู่แล้ว เรื่องเงียบลงไปแล้ว ก็กังวลอยู่บ้างในเรื่องความปลอดภัยหรือการคุกคามในรูปแบบต่างๆ แต่ชีวิตคนเราก็ต้องดำเนินต่อไป เราต้องระวังตัวมากขึ้น”