มหาสารคาม - สภาคณาจารย์ มมส.แถลงเปิดผลการสอบอาจารย์คู่กรณี “น้องแบม” 6 ประเด็น สรุปไม่มีใครผิดใครถูก ขณะที่กรณี “ใช้มือฟาดหลัง” มหาวิทยาลัยตั้งกรรมการสอบต่อผิดจรรยาบรรณหรือไม่ ด้าน “น้องแบม” ยังค้างคาใจหลายประเด็นเพราะผลสอบเหมือนปัดไปให้พ้นทางมากกว่า
วันนี้ (19 มี.ค.) เมื่อเวลา 14.30 น. ที่ห้องประชุมสภาคณาจารย์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) ผศ.ดร.วิรัติ ปานศิลา ประธานสภาคณาจารย์ มมส. ได้เปิดแถลงข้อเท็จจริงกรณีผลการตรวจสอบ อาจารย์สายไหม ไชยศิรินทร์ หัวหน้าภาควิชา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มมส. ซึ่งเป็นอาจารย์ที่สั่งให้ นางสาวปณิดา ยศปัญญา หรือน้องแบม นิสิตชั้นปีที่ 4 กราบขอขมาเจ้าหน้าที่ที่กระทำการทุจริต ที่ศูนย์พักพิงคนไร้ที่พึ่ง จ.ขอนแก่น และอาจารย์ท่านเดียวกันนี้ได้ทุบหลังน้องแบม โดยมี นางสาวปณิดา ยศปัญญา เดินทางมาร่วมรับฟังการแถลงในครั้งนี้ด้วย
ผศ.ดร.วิรัติ ปานศิลา ประธานสภาคณาจารย์ มมส. เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามได้ส่งหนังสือแจ้งผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่สภาคณาจารย์ยื่นหนังสือต่อทางมหาวิทยาลัยให้มีการสอบสวนอาจารย์ที่เกี่ยวข้องใน 6 ประเด็น ปรากฏว่าผลการสอบข้อเท็จจริงเป็นข้อเท็จจริงตามที่ทางสภาคณาจารย์ยื่นข้อเรียกร้องไป
ประกอบด้วย ข้อ 1. อาจารย์ของหลักสูตรได้มีการร่วมกันปกปิดการปลอมแปลงเอกสารเบิกเงิน ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายหรือไม่ คือ ผลการสอบข้อเท็จจริงไม่พบว่ามีการปกปิดการปลอมแปลงเอกสารเบิกเงิน
ข้อ 2. เหตุใดอาจารย์จึงไม่ให้นิสิตดำเนินการแจ้งความเพื่อเป็นการป้องกันนิสิต ซึ่งจะเป็นผลดีต่อนิสิตในภายหลังหากว่ามีการดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิด แต่กลับนำนิสิตไปไกล่เกลี่ย และมีการบังคับข่มขืนใจให้นิสิตก้มกราบผู้กระทำผิดหรือไม่ ข้อเท็จจริงจากการสอบสวนคือไม่ปรากฏว่ามีอาจารย์ห้ามไม่ให้นิสิตแจ้งความ และไม่ปรากฏว่าได้มีการขอร้องให้นิสิตพาไปแจ้งความ
แต่กลับนำนิสิตไปไกลเกลี่ย และก้มกราบ ซึ่งเป็นการกราบจริง แต่ไม่ได้สั่งให้กราบเท้า ซึ่งมีการไกล่เกลี่ยกันทั้งหมด 4 คน กราบในส่วนต่างๆ เช่น กราบตัก มีเพียงน้องแบมคนเดียวที่กราบเท้า มีนิสิต 2 คนร้องไห้ แต่ไม่ทราบเหตุผล
ข้อ 3. มีการใช้มือฟาดนิสิตหรือไม่ และหากมี อาจารย์คนดังกล่าวทำผิดจรรยาบรรณหรือไม่ ข้อเท็จจริงคือ มีการฟาดจริง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างตั้งคณะกรรมการสอบสวนอาจารย์ว่าด้วยเรื่องจรรยาบรรณ โดยมีตนเป็น 1 ในคณะกรรมการทั้งสิ้น 5 คน แบ่งเป็น รองอธิการบดี 1 คน กรรมการ 2 คน กรรมการและเลขานุการ 1 คน และผู้ช่วยเลขานุการ 1 คน ร่วมสอบข้อเท็จจริงด้วย คาดว่าจะทราบผลภายใน 30 วัน หรืออย่างช้าที่สุดไม่เกิน 60 วัน
ข้อ 4 การเรียกนิสิตมาสอบสวนและกระบวนการสอบสวนโดยคณะ ใช้อำนาจถูกต้องหรือไม่ ให้ความเป็นธรรมกับนิสิตหรือไม่ และมีการละเมิดสิทธิของนิสิตหรือคุกคามนิสิตหรือไม่ ข้อเท็จจริง สรุปว่าไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธิของนิสิต เนื่องจาก ป.ป.ท. และมหาวิทยาลัยต้องการข้อมูลจากนิสิต และได้มีการบันทึกเสียงเพื่อส่งให้กับทางมหาวิทยาลัย โดยได้มีการแจ้งให้นิสิตงดนำเครื่องมือสื่อสารเข้าไประหว่างทำการสอบสวน
ข้อ 5 เหตุใดต้องมีการห้ามแชร์ข่าว และการห้ามนิสิตแชร์ข่าว แต่ให้นิสิตบางกลุ่มโพสต์ข้อความในเชิงโจมตีนิสิต เป็นการละเมิดสิทธิของนิสิตหรือไม่ และเป็นการปฏิบัติ 2 มาตรฐานหรือไม่ ข้อเท็จจริงคือ มีการประชุมของภาควิชา โดยมีการขอความร่วมมือไม่ให้แชร์ข่าวสาร และทาง ป.ป.ท.ได้ขอความร่วมมือในการงดให้รายละเอียด ข้อมูล ข่าวสารต่อเจ้าหน้าที่ศูนย์คนไร้ที่พึ่ง ซึ่งไม่ได้ห้ามแต่เป็นการข้อความร่วมมือ ซึ่งอาจเป็นการเข้าใจผิดของแต่ละคน
ประเด็นสุดท้าย ข้อ 6 ให้มีกลไกในการคุ้มครองนิสิต เนื่องจากกำลังศึกษาชั้นปีที่ 4 ขณะที่อาจารย์คู่กรณีเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาการทำพัฒนานิพนธ์ ประธานและกรรมการหลักสูตร และเป็นหัวหน้าภาควิชา ที่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาผลการเรียน อีกทั้งป้องกันไม่ให้อาจารย์ใช้อำนาจหน้าที่ละเมิดสิทธินิสิต ข้อเท็จจริงคือ นิสิตเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 ซึ่งภายหลังจากเกิดปัญหาก็ได้ให้นิสิตเปลี่ยนพื้นที่การทำวิจัย จากเดิมที่ จ.ขอนแก่น เป็นพื้นที่อื่น
ซึ่งทางอาจารย์รับปากในเรื่องของการดูแลพัฒนานิพนธ์ของนิสิต ซึ่งการตัดเกรดก็ทำให้รูปแบบของคณะกรรมการตามระเบียบของคณะ
ทั้งนี้ ในการสอบเท็จจริงไม่ได้บอกว่าใครถูกใครผิด ผลการสอบจะบอกเพียงว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงหรือไม่ ซึ่งต่อจากนี้คงเป็นเรื่องการสอบจรรยาบรรณของอาจารย์ว่าจะเป็นอย่างไร ก็ขอให้ติดตามกัน หากทราบผลเป็นที่แน่นอนแล้วก็จะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง
ด้าน นางสาวปณิดา ยศปัญญา หรือน้องแบม กล่าวว่า หลังจากได้รับทราบผลการสอบข้อเท็จจริงในวันนี้ ส่วนตัวยังค้างคาใจในหลายประเด็น เพราะบางประเด็นผลที่ออกมาเหมือนเป็นการปัดไปให้พ้นทางมากกว่า ซึ่งต้องขอดูอีกครั้ง ขอนำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์ก่อนว่าจะมีการร้องเรียนเพิ่มเติมหรือไม่ ประเด็นที่ยังคาใจ คือ เรื่องนิสิตไม่ได้ร้องขอในเรื่องการแจ้งความ ซึ่งเราเคยบอกไปแล้ว
ส่วนหลักฐานชุดเดียวกันกับที่ส่งให้กับทาง ป.ป.ท. มีอาจารย์ 2 ท่านที่ไม่ใช่ อ.ที่ปรึกษา และ อ.หัวหน้าภาค บอกให้ไปแจ้งความ ซึ่งหากหัวหน้าภาครับฟังลูกน้องก็ต้องมีการตัดสินใจดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ใช่มาไกล่เกลี่ย เพราะว่าการทุจริตมันเป็นสิ่งร้ายแรงที่เราไม่ควรมองข้ามไป อีกประเด็นคือ เรื่องการเปิดเผยสถานที่ฝึกงาน คือเราไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเปิดเผย เพราะว่าเราเป็นคนร้องเรียน เป็นคนเปิดโปงการทุจริต แล้วสิ่งที่ควรปกปิดคือสถานที่ทำวิจัย
แต่ทางอาจารย์กลับเปิดเผยสถานที่ทำวิจัยกับสื่อ ให้สื่อไปประกาศออกไปทั่วประเทศ หากสมมติว่าทาง ป.ป.ท.ได้ตรวจสอบการทุจริตในพื้นที่ตนเองทำวิจัย และพบว่าพื้นที่นั้นมีการกระทำทุจริตจริง ความปลอดภัยของตนเองนั้นอยู่ตรงไหน
น.ส.ปณิดากล่าวอีกว่า ตอนนี้มีทั้งตำรวจ และทหารมาดูแลอย่างใกล้ชิด แต่หลังจากนี้ต่อไปเมื่อตำรวจ ทหารไม่อยู่แล้ว เรื่องเงียบลงไปแล้ว ก็มีความกังวลอยู่บ้างในเรื่องของความปลอดภัย หรือการคุกคามในรูปแบบต่างๆ แต่ชีวิตคนเราก็ต้องดำเนินต่อไป เราต้องระวังตัวมากขึ้น ซึ่งตอนนี้ได้กำลังใจจากการลงพื้นที่ทำวิจัย มีคนที่จำได้ก็มาให้กำลังใจ บอกให้เราทำดีต่อไป