ศูนย์ข่าวขอนแก่น - ลุ้นใจจดใจจ่อผลสอบคณะกรรมการ มมส.กรณี “น้องแบม-อ.สายไหม” 12 มี.ค.นี้ เผยเรื่องไม่จบหากผลสอบไม่เป็นธรรม ขณะที่คนใน “อ.ไชยณรงค์” เล่าละเอียดยิบลูกศิษย์ถูกกดดันอย่างหนัก ถูกกล่าวหาเป็นเด็กเลี้ยงแกะ ถูกพาไปพบคู่กรณี ผอ.ศูนย์คนไร้ที่พึ่งขอนแก่นเพื่อไกล่เกลี่ยยอมความ แต่ น.ส.ปณิดาไม่ยอม อาจารย์คนดังกล่าวจึงบังคับให้ น.ส.ปณิดาก้มกราบขอขมาคู่กรณี
แหล่งข่าวในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) เปิดเผยว่า ขณะนี้นักศึกษา บุคลากร เจ้าหน้าที่ใน มมส.ต่างลุ้นผลสรุปการสอบสวนกรณี "น้องแบม" น.ส.ปณิดา ยศปัญญา นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะมนุษยศาสตร์ฯ สาขาวิชาพัฒนาชุมชน กับ อ.สายไหม ไชยศิรินทร์ หัวหน้าภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ กันมากว่าจะออกมาในรูปแบบใด เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมีทั้งกลุ่มที่เห็นด้วยกับ อ.สายไหม และเห็นด้วยกับสิ่งที่น้องแบมทำ ที่ผ่านมายอมรับว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆ ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์คนภายในรู้กันไม่หมด หลายประเด็นยังพูดกันไม่หมด ซึ่งคนที่ถูกกดดันมากที่สุดในตอนนี้คือตัวของนักศึกษา คือน้องแบม
ภายหลังที่น้องแบมร้องเรียนเรื่องโกงเงินคนจนในศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดขอนแก่นแล้ว ทางฝ่ายอาจารย์ที่ปรึกษาที่รับผิดชอบได้เปลี่ยนสถานที่ฝึกงานและเปลี่ยนหัวข้อการวิจัยใหม่ คือให้น้องแบมย้ายมาฝึกงานเก็บข้อมูลในพื้นที่จังหวัดมหาสารคามแทน และยังเปิดเผยสถานที่ผ่านสื่อนั้นถือว่าเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง ไม่เป็นผลดีต่อความปลอดภัยของนักศึกษา อย่าลืมว่าตอนนี้ศัตรูของน้องแบมมีเพิ่มมากขึ้นหลังจากทาง ป.ป.ท.ตรวจพบว่าศูนย์คนไร้ที่พึ่งในหลายสิบจังหวัดมีมูลว่าทุจริตเงินสงเคราะห์คนจน
“เชื่อว่าหลังผลการสอบสวนอาจารย์สายไหมออกมา และผลสรุปออกไปในทิศทางไม่ปกป้องสิทธิของเด็กเรื่องไม่น่าจะจบง่าย ไม่แน่ใจว่าข้อมูลสำคัญบางอย่างที่ทางน้องแบมส่งให้คณะกรรมการไปนั้นจะถูกนำไปใช้ประกอบการสอบสวนด้วยหรือไม่ เรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรมและปกป้องสิทธิของเด็กเพราะถูกกระทำมากเกินไป” แหล่งข่าวกล่าว
เบื้องลึก! เรื่องเล่าจากคนใน มมส.
อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลหลายด้านหลายมุมที่เกิดขึ้นกับ น.ส.ปณิดา ภายหลังนำเรื่องราวการโกงในศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งขอนแก่นแจ้งให้กับอาจารย์ที่ปรึกษาและอาจารย์ที่ภาควิชาฯ เป็นคำบอกเล่าผ่านสื่อออนไลน์ “อีสานเรคคอร์ด” เมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา ของ อ.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการพัฒนาชุมชน ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ฯ มมส. สาขาวิชาเดียวกับที่น้องแบมเรียนอยู่
อ.ไชยณรงค์เล่าว่า เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 2560 อาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาคนหนึ่งได้เรียกประชุมอาจารย์ในภาควิชาพร้อมกับ น.ส.ปณิดา และนิสิตฝึกงานที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งขอนแก่น รวม 4 คน เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับการถูกบังคับให้ปลอมลายมือชื่อ ซึ่งตนเข้าร่วมประชุมด้วยและได้เห็นหลักฐานเกี่ยวกับการทุจริตจากนิสิต
อ.ไชยณรงค์บอกว่า หลักฐานที่นิสิตนำมาให้ที่ประชุมดู มีความชัดเจนว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ตนจึงบอกต่อที่ประชุมว่า ต้องนำนิสิตทั้งหมดออกจากการทำผิดกฎหมายให้เร็วที่สุด ตนและอาจารย์อีกคนจึงแนะนำให้อาจารย์นิเทศก์การฝึกงาน (อาจารย์ที่ดูแลนิสิตช่วงการฝึกงาน) ของนิสิตทั้งหมดและอาจารย์ในภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาคนหนึ่ง นำนิสิตไปปรึกษากับนิติกรของมหาวิทยาลัยเพื่อขอความช่วยเหลือเรื่องกฎหมาย พานิสิตเข้าแจ้งความและลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจ รวมถึงเปลี่ยนสถานที่ฝึกงานให้นิสิตทั้ง 4 คน
“หลังจากประชุมกันในวันนั้นเรื่องนี้ก็เงียบไป ผมได้ถามอาจารย์นิเทศก์ฝึกงานของปณิดา อาจารย์ท่านนั้นก็บอกว่าเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นผมยังสอบถามนิสิตทั้ง 4 คนว่าเรื่องนี้ถึงไหนแล้ว นิสิตทั้ง 4 คนบอกว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ผมก็ไม่ได้ติดตามเรื่องนี้อีก” นายไชยณรงค์กล่าว
อ.ไชยณรงค์กล่าวอีกว่า จนกระทั่งช่วงเที่ยงวันที่ 8 ก.พ. 2561 น.ส.ปณิดาโทรศัพท์มาหาตนพร้อมบอกว่า ทนไม่ไหว เพราะถูกอาจารย์ในภาควิชาคนหนึ่งเรียกพบพร้อมกับนิสิตที่เหลือรวม 4 คน โดยมีการเรียกพบ 3 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 ม.ค. 2561 จากกรณีที่มีหนังสือจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ส่งมาถึงมหาวิทยาลัย เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับการฝึกงานของนิสิตที่ฝึกงานอยู่ที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จ.ขอนแก่น โดยอาจารย์คนดังกล่าวสอบถามนิสิตทั้งหมดว่าใครเป็นคนร้องเรียนเรื่องนี้
“ปณิดาเล่าให้ผมฟังอีกว่า อาจารย์คนดังกล่าวยังบอกว่าทำไมไม่เรียนให้จบก่อนค่อยไปร้องเรียนเรื่องนี้ พร้อมทั้งบอกว่านิสิตทุกคนเป็นเด็กเลี้ยงแกะ โดยช่วงที่อาจารย์คนนั้นพูดปณิดาบอกมีการมองมาที่ตน จากนั้นก็เดินมาตีที่หลังอีก 2 ครั้งจนปณิดารู้สึกชา” นายไชยณรงค์กล่าว
นายไชยณรงค์กล่าวอีกว่า น.ส.ปณิดาเล่าให้ตนฟังต่อว่า ครั้งที่สองอาจารย์คนเดิมเรียกพบนิสิตทั้งหมดอีกครั้งในวันที่ 8 ม.ค. 2561 โดยสอบถามว่าใครเป็นคนร้องเรียนเรื่องนี้อีกครั้ง และครั้งที่สามคือ เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2561 มีจดหมายจากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ส่งถึง น.ส.ปณิดา เพื่อเรียกมาสอบสวนอีกครั้ง น.ส.ปณิดาจึงทนไม่ไหวและโทรศัพท์มาแจ้งตนในวันที่ 8 ก.พ. 2561
อาจารย์ประจำสาขาวิชาการพัฒนาชุมชนผู้นี้เปิดเผยอีกว่า น.ส.ปณิดาบอกกับตนว่าเป็นคนร้องเรียนเรื่องนี้ถึง ป.ป.ท.เองตั้งแต่ช่วงเดือน ธ.ค. 2560 แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่ น.ส.ปณิดากำลังฝึกงานอยู่
ในหนังสือร้องเรียนนั้น น.ส.ปณิดายังขอให้ ป.ป.ท.ไม่เปิดเผยรายชื่อผู้ร้องเรียนเพื่อความปลอดภัยอีกด้วย ทำให้ตนเกิดคำถามว่า ทำไมคณะถึงเรียก น.ส.ปณิดาและนิสิตที่ฝึกงานไปสอบถามว่าใครเป็นคนร้องเรียนเรื่อง ทั้งๆ ที่ น.ส.ปณิดาขอให้ ป.ป.ท.ไม่เปิดเผยรายชื่อผู้ร้องเรียน ซึ่งเท่ากับว่ามีการไม่ปกป้องนิสิต ทั้งที่นิสิตทำในสิ่งที่ถูกต้อง
นายไชยณรงค์กล่าวอีกว่า น.ส.ปณิดายังเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ตนฟังอีกว่า ตั้งแต่อาจารย์ในภาควิชาประชุมกันเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 2560 วันต่อมาอาจารย์ในภาควิชาคนหนึ่งได้เรียก น.ส.ปณิดาไปพบกับคู่กรณีที่เป็นผู้อำนวยการและเจ้าหน้าที่ที่บังคับให้ปลอมลายมือชื่อเพื่อไกล่เกลี่ยยอมความ แต่ น.ส.ปณิดาไม่ยอม อาจารย์คนดังกล่าวจึงบังคับให้ น.ส.ปณิดาก้มกราบขอขมาคู่กรณี และอาจารย์ยังบอกอีกว่าห้ามนำเรื่องนี้ไปบอกอาจารย์ไชยณรงค์ (เศรษฐเชื้อ)
“ผมเสียใจมากที่การประชุมอาจารย์ในภาควิชาในวันนั้นไม่ได้ทำตามสิ่งที่ผมแนะนำตั้งแต่แรก และยังปิดบังไม่ให้ผมรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ด้วย หากผมรู้ตั้งแต่แรกผมจะปกป้องลูกศิษย์ ผมจะไม่ให้ลูกศิษย์กราบขอโทษคนที่กระทำผิดเด็ดขาด” นายไชยณรงค์กล่าว
นายไชยณรงค์กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2561 น.ส.ปณิดาโทรศัพท์มาหาตนอีกครั้งพร้อมบอกว่า มีบุคคลแปลกหน้าขับรถเก๋งวนเวียนอยู่บริเวณหน้าบ้านพักของ น.ส.ปณิดาที่ จ.ขอนแก่น พร้อมทั้งสอบถามหาคนชื่อว่า “ปณิดา” โดยไม่แสดงตัวว่าเป็นใคร ซึ่งในขณะนั้นมีสื่อมวลชนอยู่ด้วย
ตนจึงแนะนำให้ น.ส.ปณิดาไปแจ้งความและลงบันทึกประจำวันพร้อมสื่อมวลชน ที่สถานีตำรวจภูธรบ้านเป็ด จ.ขอนแก่น น.ส.ปณิดายังขอให้ตนช่วยหาทนายความเพื่อให้คำปรึกษาทางกฎหมายอีกด้วย
“ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผมก็คอยให้กำลังใจ และช่วยเหลือปณิดาเท่าที่จะทำได้ในฐานะอาจารย์ในสาขาวิชาคนหนึ่งของปณิดา” นายไชยณรงค์กล่าว