พสกนิกรจากทั่วสารทิศทยอยเข้าคิวกราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท อย่างต่อเนื่อง ถือโอกาสคนกลับภูมิลำเนาเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ มากราบสักการะพระบรมศพ เผย ซาบซึ้งและประทับใจทุกอย่างที่พระองค์ท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อประชาชนคนไทย สำนักพระราชวังสรุปยอดรวมประชาชน เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. มีจำนวนทั้งสิ้น 56,181 คน รวม 59 วัน มี 2,460,887 คน
วันนี้ (29 ธ.ค.) สำหรับบรรยากาศการเข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งในวันนี้ดำเนินมาเป็นวันที่ 60 ของการพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เจ้าหน้าที่เปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี ในเวลา 04.40 น. ก่อนเปลี่ยนเข้าทางประตูมณีนพรัตน์ ถนนหน้าพระลาน เวลา 08.30 น. เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทางประตูวิเศษไชยศรี
ทั้งนี้ พสกนิกรที่มากราบสักการะพระบรมศพทุกคนยังคงอยู่ในความโศกเศร้าเสียใจ หลายคนกอดพระบรมฉายาลักษณ์ที่นำมาด้วยไว้แนบอกตลอดเวลา ด้วยความเศร้าอาดูร ต่อการสวรรคตของในหลวง รัชกาลที่ ๙ ผู้เป็นที่รักและเคารพยิ่งในชีวิต
ด้าน นางสาววิภารัตน์ สิริบูรณ์ อายุ 33 ปี ชาวจังหวัดสมุทรปราการ ที่เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพ พร้อมกับสามีและลูกสาว กล่าวว่า ตนมาเข้าคิวที่สนามหลวงตั้งแต่เวลา 03.00 น. และได้เข้ากราบสักการะพระบรมศพประมาณ 11.00 น. คิดว่ารอไม่นานและไม่รู้สึกเหนื่อยเลย โดยครั้งนี้มาเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ถ้ามีโอกาสก็อยากจะมาอีก เพราะรักและคิดถึงพระองค์มาก ตั้งแต่จำความได้ ตนก็เห็นพระองค์ทรงงานหนักเพื่อประชาชนและประเทศชาติมากมาย ส่วนตัวได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาวช้ในการดำเนินชีวิตและใช้จ่ายอย่างประหยัด
นางสาววิภารัตน์ กล่าวต่อว่า พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ดีมาก ในชีวิตนี้ตนยังไม่เคยมีโอกาสได้รับเสด็จฯ ก็รู้สึกเสียดายมาก แต่ตนภูมิใจและดีใจมากที่ได้เกิดมาในรัชกาลที่ ๙ ตนได้อธิษฐานขอให้ชาติหน้าได้เกิดมาอยู่ใต้บรมโพธิสมภารของพระองค์อีก ตนตั้งใจจะทำความดีและเป็นคนดีของสังคมเพื่อตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณ
ด้าน นายบุญเพิ่ม ม่วงรี อายุ 64 ปี ชาวพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เดินทางพร้อมภรรยา และลูกสาว นางณิญาภา สุวรรณคัณฑิ และหลานสาว เด็กหญิงไหมพิมพ์ สุวรรณคัณฑิ พร้อมน้องสาว นางบุญเกื้อ ม่วงรี โดยได้มาต่อแถวเวลา 03.45 น. และได้เข้ากราบสักการะพระบรมศพเวลา 08.30 น. กล่าวว่า วันนี้ครอบครัวมากัน 5 คน ที่เลือกมาวันนี้ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงวันหยุดปีใหม่ จะได้เดินทางมาพร้อมครอบครัว ทั้งนี้คาดว่าผู้คนส่วนหนึ่งจะเดินทางออกต่างจังหวัด ทำให้คิวที่รอสักการะพระบรมศพไม่หนาแน่นมากนัก ซึ่งรวมๆ รอประมาณ 5 ชั่วโมง ถือว่าเร็วกว่าคนอื่นที่เคยเห็นตามข่าวว่ารอถึง 12 ชั่วโมง การที่ได้มากราบสักการะท่านรู้สึกปลาบปลื้มใจมากที่ได้มากราบสักการะพระบรมศพ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ และขอเป็นข้ารองพระบาทของพระองค์ทุกชาติไป ระหว่างที่อยู่ในพระที่นั่งดุสิตก็อธิษฐานขอให้พระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย
“ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อประชาชนคนไทย ทรงเป็นกันเอง ไม่ถือพระองค์ และยังเสด็จฯไปในถิ่นทุรกันดารทั่วแผ่นดินไทย ซึ่งสมัยก่อนการเดินทางยากลำบากกว่าตอนนี้มากนัก สำหรับส่วนตัวได้เคยรับเสด็จฯพระองค์ท่าน ราวปี พ.ศ. 2516 ช่วงที่พี่ชายรับพระราชทานปริญญาบัตร เป็นสิ่งที่ภาคภูมิใจของชีวิต ซึ่งตนได้นำแนวทางของพระองค์ท่านมาสอนแก่ลูกหลาน ให้เป็นคนดี รู้จักใช้จ่าย และมีความพอเพียงในชีวิตทุกๆ ด้าน” นายบุญเพิ่ม กล่าว
ขณะที่ นางบุญเกื้อ กล่าวว่า ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อชาวสมุทรปราการเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสะพานภูมิพล ที่มาจากพระราชดำริ เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางกรุงเทพฯ มา สมุทรปราการ ให้สั้นลง รวมทั้งยังช่วยเรื่องการจราจรที่ติดขัดได้ด้วย หากไม่มีพระราชดำริของพระองค์ท่าน การเดินทางของคนพระประแดง และสมุทรปราการ ต้องใช้ระยะเวลาหลายชั่วโมง ไม่สามารถเดินทางได้เร็วเหมือนทุกวันนี้ โดยตนทำงานด้านบัญชี อยู่แถวเพลินจิต การเดินทางมาที่ทำงานจากบ้านไม่เกินชั่วโมง จากเดิมที่บางวันใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง
ด้าน นางณิญาภา กล่าวว่า วันนี้ได้พาลูกสาวอายุ 6 ขวบ มากราบสักการะพระบรมศพด้วย โดยวันนี้แม้จะต้องตื่นเช้ากว่าปกติ แต่ลูกสาวก็ไม่งอแง ที่ผ่านมา ตนได้มีการถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของในหลวง รัชกาลที่ ๙ ให้ลูกสาวรับทราบ โดยเฉพาะการเสด็จฯไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อช่วยเหลือประชาชน หากมีโอกาสพาลูกสาวไปยังสถานที่ต่างๆ ที่พระองค์เคยเสด็จฯ ก็จะเล่าให้ลูกฟังว่าในหลวง รัชกาลที่ ๙ เคยทรงงานอย่างไรบ้าง ขณะนี้ลูกสาวก็เริ่มรับรู้เรื่องราวของพระองค์ท่านเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ
ด้าน นางเสลา ก้อนแก้ว อายุ 89 ปี ชาวจังหวัดนนทบุรี กล่าวหลังกราบสักการะพระบรมศพ ว่า ตั้งใจที่จะเดินทางมากราบสักการะพระบรมศพ เพราะซาบซึ้งและประทับใจในทุกทุกอย่างที่พระองค์ท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อประชาชนคนไทย ยายรักในหลวง รัชกาลที่ ๙ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เคยได้ไปลงนามถวายพระพรและรับเสด็จฯ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ที่โรงพยาบาลศิริราช พระองค์ทรงสรวลและยกพระหัตห์ให้ประชาชนที่รับเสด็จฯ รู้สึกปลื้มใจมาก
ด้าน นางรุ่งรัตน์ กล่าวน้ำตาคลอ ว่า ภูมิใจที่เกิดเป็นคนไทยและได้อยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารของในหลวง รัชกาลที่ ๙ ตอนที่ทราบข่าวการสวรรคตเสียใจมาก อยากให้ยังอยู่ต่อเป็นขวัญกำลังใจประชาชนและประเทศชาติ ที่ผ่านมา เห็นพระองค์ทรงงานหนักทรงนึกถึงประชาชนก่อนเสมอ เสด็จฯไปบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ประชาชนทั่วถิ่นแดนไทย หาผู้ที่จะมาเปรียบเทียบได้ เวลาที่ท้อแท้ก็จะนึกถึงพระองค์ท่านเสมอ และจะยึดเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ทั้งนี้ แม้ว่าในชีวิตนี้จะมีโอกาสให้รับเสด็จฯ และชมพระบารมีของพระองค์ท่านเพียงครั้งเดียว สมัยที่เรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 5 โรงเรียนพิบูลอุปถัมภ์ โดยได้เป็นตัวแทนรอรับเสด็จฯครั้งที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินผ่านเส้นทางหน้าโรงเรียน ได้เห็นพระองค์ท่านบนรถพระที่นั่ง รู้สึกตื้นตัน และแม้เป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่ยังจำได้ไม่ลืม
ก่อนหน้านี้สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชน ที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. หลังสำนักพระราชวัง ปิดไม่ให้ประชาชนเข้าพระบรมมหาราชวัง เพื่อขึ้นกราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 23.37 น. จากกำหนดเดิมเวลา 21.00 น. เนื่องจากยังมีประชาชนเข้าแถวรอเข้ากราบพระบรมศพในมณฑลพิธีท้องสนามหลวงเป็นจำนวนมาก ว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 56,181 คน รวม 59 วัน มี 2,460,887 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 5,106,683 บาท รวม 59 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 197,653,824.75 บาท
วันนี้ (29 ธ.ค.) สำหรับบรรยากาศการเข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งในวันนี้ดำเนินมาเป็นวันที่ 60 ของการพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เจ้าหน้าที่เปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี ในเวลา 04.40 น. ก่อนเปลี่ยนเข้าทางประตูมณีนพรัตน์ ถนนหน้าพระลาน เวลา 08.30 น. เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทางประตูวิเศษไชยศรี
ทั้งนี้ พสกนิกรที่มากราบสักการะพระบรมศพทุกคนยังคงอยู่ในความโศกเศร้าเสียใจ หลายคนกอดพระบรมฉายาลักษณ์ที่นำมาด้วยไว้แนบอกตลอดเวลา ด้วยความเศร้าอาดูร ต่อการสวรรคตของในหลวง รัชกาลที่ ๙ ผู้เป็นที่รักและเคารพยิ่งในชีวิต
ด้าน นางสาววิภารัตน์ สิริบูรณ์ อายุ 33 ปี ชาวจังหวัดสมุทรปราการ ที่เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพ พร้อมกับสามีและลูกสาว กล่าวว่า ตนมาเข้าคิวที่สนามหลวงตั้งแต่เวลา 03.00 น. และได้เข้ากราบสักการะพระบรมศพประมาณ 11.00 น. คิดว่ารอไม่นานและไม่รู้สึกเหนื่อยเลย โดยครั้งนี้มาเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ถ้ามีโอกาสก็อยากจะมาอีก เพราะรักและคิดถึงพระองค์มาก ตั้งแต่จำความได้ ตนก็เห็นพระองค์ทรงงานหนักเพื่อประชาชนและประเทศชาติมากมาย ส่วนตัวได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาวช้ในการดำเนินชีวิตและใช้จ่ายอย่างประหยัด
นางสาววิภารัตน์ กล่าวต่อว่า พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ดีมาก ในชีวิตนี้ตนยังไม่เคยมีโอกาสได้รับเสด็จฯ ก็รู้สึกเสียดายมาก แต่ตนภูมิใจและดีใจมากที่ได้เกิดมาในรัชกาลที่ ๙ ตนได้อธิษฐานขอให้ชาติหน้าได้เกิดมาอยู่ใต้บรมโพธิสมภารของพระองค์อีก ตนตั้งใจจะทำความดีและเป็นคนดีของสังคมเพื่อตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณ
ด้าน นายบุญเพิ่ม ม่วงรี อายุ 64 ปี ชาวพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เดินทางพร้อมภรรยา และลูกสาว นางณิญาภา สุวรรณคัณฑิ และหลานสาว เด็กหญิงไหมพิมพ์ สุวรรณคัณฑิ พร้อมน้องสาว นางบุญเกื้อ ม่วงรี โดยได้มาต่อแถวเวลา 03.45 น. และได้เข้ากราบสักการะพระบรมศพเวลา 08.30 น. กล่าวว่า วันนี้ครอบครัวมากัน 5 คน ที่เลือกมาวันนี้ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงวันหยุดปีใหม่ จะได้เดินทางมาพร้อมครอบครัว ทั้งนี้คาดว่าผู้คนส่วนหนึ่งจะเดินทางออกต่างจังหวัด ทำให้คิวที่รอสักการะพระบรมศพไม่หนาแน่นมากนัก ซึ่งรวมๆ รอประมาณ 5 ชั่วโมง ถือว่าเร็วกว่าคนอื่นที่เคยเห็นตามข่าวว่ารอถึง 12 ชั่วโมง การที่ได้มากราบสักการะท่านรู้สึกปลาบปลื้มใจมากที่ได้มากราบสักการะพระบรมศพ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ และขอเป็นข้ารองพระบาทของพระองค์ทุกชาติไป ระหว่างที่อยู่ในพระที่นั่งดุสิตก็อธิษฐานขอให้พระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย
“ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อประชาชนคนไทย ทรงเป็นกันเอง ไม่ถือพระองค์ และยังเสด็จฯไปในถิ่นทุรกันดารทั่วแผ่นดินไทย ซึ่งสมัยก่อนการเดินทางยากลำบากกว่าตอนนี้มากนัก สำหรับส่วนตัวได้เคยรับเสด็จฯพระองค์ท่าน ราวปี พ.ศ. 2516 ช่วงที่พี่ชายรับพระราชทานปริญญาบัตร เป็นสิ่งที่ภาคภูมิใจของชีวิต ซึ่งตนได้นำแนวทางของพระองค์ท่านมาสอนแก่ลูกหลาน ให้เป็นคนดี รู้จักใช้จ่าย และมีความพอเพียงในชีวิตทุกๆ ด้าน” นายบุญเพิ่ม กล่าว
ขณะที่ นางบุญเกื้อ กล่าวว่า ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อชาวสมุทรปราการเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสะพานภูมิพล ที่มาจากพระราชดำริ เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางกรุงเทพฯ มา สมุทรปราการ ให้สั้นลง รวมทั้งยังช่วยเรื่องการจราจรที่ติดขัดได้ด้วย หากไม่มีพระราชดำริของพระองค์ท่าน การเดินทางของคนพระประแดง และสมุทรปราการ ต้องใช้ระยะเวลาหลายชั่วโมง ไม่สามารถเดินทางได้เร็วเหมือนทุกวันนี้ โดยตนทำงานด้านบัญชี อยู่แถวเพลินจิต การเดินทางมาที่ทำงานจากบ้านไม่เกินชั่วโมง จากเดิมที่บางวันใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง
ด้าน นางณิญาภา กล่าวว่า วันนี้ได้พาลูกสาวอายุ 6 ขวบ มากราบสักการะพระบรมศพด้วย โดยวันนี้แม้จะต้องตื่นเช้ากว่าปกติ แต่ลูกสาวก็ไม่งอแง ที่ผ่านมา ตนได้มีการถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของในหลวง รัชกาลที่ ๙ ให้ลูกสาวรับทราบ โดยเฉพาะการเสด็จฯไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อช่วยเหลือประชาชน หากมีโอกาสพาลูกสาวไปยังสถานที่ต่างๆ ที่พระองค์เคยเสด็จฯ ก็จะเล่าให้ลูกฟังว่าในหลวง รัชกาลที่ ๙ เคยทรงงานอย่างไรบ้าง ขณะนี้ลูกสาวก็เริ่มรับรู้เรื่องราวของพระองค์ท่านเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ
ด้าน นางเสลา ก้อนแก้ว อายุ 89 ปี ชาวจังหวัดนนทบุรี กล่าวหลังกราบสักการะพระบรมศพ ว่า ตั้งใจที่จะเดินทางมากราบสักการะพระบรมศพ เพราะซาบซึ้งและประทับใจในทุกทุกอย่างที่พระองค์ท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อประชาชนคนไทย ยายรักในหลวง รัชกาลที่ ๙ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เคยได้ไปลงนามถวายพระพรและรับเสด็จฯ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ที่โรงพยาบาลศิริราช พระองค์ทรงสรวลและยกพระหัตห์ให้ประชาชนที่รับเสด็จฯ รู้สึกปลื้มใจมาก
ด้าน นางรุ่งรัตน์ กล่าวน้ำตาคลอ ว่า ภูมิใจที่เกิดเป็นคนไทยและได้อยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารของในหลวง รัชกาลที่ ๙ ตอนที่ทราบข่าวการสวรรคตเสียใจมาก อยากให้ยังอยู่ต่อเป็นขวัญกำลังใจประชาชนและประเทศชาติ ที่ผ่านมา เห็นพระองค์ทรงงานหนักทรงนึกถึงประชาชนก่อนเสมอ เสด็จฯไปบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ประชาชนทั่วถิ่นแดนไทย หาผู้ที่จะมาเปรียบเทียบได้ เวลาที่ท้อแท้ก็จะนึกถึงพระองค์ท่านเสมอ และจะยึดเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ทั้งนี้ แม้ว่าในชีวิตนี้จะมีโอกาสให้รับเสด็จฯ และชมพระบารมีของพระองค์ท่านเพียงครั้งเดียว สมัยที่เรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 5 โรงเรียนพิบูลอุปถัมภ์ โดยได้เป็นตัวแทนรอรับเสด็จฯครั้งที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินผ่านเส้นทางหน้าโรงเรียน ได้เห็นพระองค์ท่านบนรถพระที่นั่ง รู้สึกตื้นตัน และแม้เป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่ยังจำได้ไม่ลืม
ก่อนหน้านี้สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชน ที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. หลังสำนักพระราชวัง ปิดไม่ให้ประชาชนเข้าพระบรมมหาราชวัง เพื่อขึ้นกราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 23.37 น. จากกำหนดเดิมเวลา 21.00 น. เนื่องจากยังมีประชาชนเข้าแถวรอเข้ากราบพระบรมศพในมณฑลพิธีท้องสนามหลวงเป็นจำนวนมาก ว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 56,181 คน รวม 59 วัน มี 2,460,887 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 5,106,683 บาท รวม 59 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 197,653,824.75 บาท