xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 20-26 พ.ย.2559

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ


1.รัฐบาลจัดงาน “รวมพลังแห่งความภักดี” พร้อมกันทั่วประเทศ นายกฯ นำถวายสัตย์ปฏิญาณจงรักภักดีพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์!

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ นำข้าราชการและประชาชนกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ในงาน รวมพลังแห่งความภักดี ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อ 22 พ.ย.
สัปดาห์ที่ผ่านมา ประชาชนจากทั่วทุกสารทิศยังทยอยเดินทางเข้าสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง อย่างต่อเนื่อง ขณะที่รัฐบาลได้จัดงาน “รวมพลังแห่งความภักดี” เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในพระบรมราชจักรีวงศ์ และร่วมรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพปีที่ 89 โดยจัดขึ้นเมื่อวันที่ 22 พ.ย. ที่บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่เวลา 07.00 น.โดยมีผู้เข้าร่วมพิธีจำนวนมาก ทั้งข้าราชการ เจ้าหน้าที่จาก 32 หน่วยงานในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ข้าราชการการเมือง สื่อมวลชน และประชาชน โดยทั้งหมดแต่งกายด้วยชุดไว้ทุกข์

ทั้งนี้ พิธีเริ่มด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ร่วมร้องเพลงชาติกับผู้เข้าร่วมพิธีในเวลา 08.00 น. ต่อมา นายกฯ นำถวายสัตย์ปฏิญาณแสดงความจงรักภักดีเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตอนหนึ่งว่า “...จะซื่อตรงจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ ในพระบรมราชจักรีวงศ์จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ข้าพระพุทธเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่พลเมือง เคารพกฎหมาย รักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างสมดุลและยั่งยืน ทั้งจะร่วมกันปฏิรูปประเทศ และสนับสนุนให้มีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขปกครองประเทศ ด้วยหลักนิติธรรม และธรรมาภิบาล เพื่อประโยชน์สุขแห่งประชาชนชาวไทย จะเป็นคนดี มีคุณธรรม ร่วมกันนำพาประเทศชาติ ไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน สงบสุข สันติสุข จะรู้รักสามัคคี เพื่อชาติศาสน์กษัตริย์และประชาชนตลอดไป น้อมนำพระราชดำรัสดำเนินตามพระราชกรณียกิจ แนวทางการดำรงชีวิต ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้วยความเพียรอันบริสุทธิ์ เพื่อสืบสานพระบรมราชปณิธาน” หลังกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณแสดงความจงรักภักดีแล้ว นายกฯ และผู้เข้าร่วมพิธีได้ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีด้วย

สำหรับการจัดกิจกรรม “รวมพลังแห่งความภักดี” นี้ กระทรวงและหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงสถาบันการศึกษาทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดพร้อมใจกันจัดในวันเดียวกัน โดยสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยได้ถ่ายทอดสดบรรยากาศในแต่ละพื้นที่ รวมถึงบรรยากาศการจัดกิจกรรมในต่างประเทศด้วย

ด้านสำนักพระราชวัง แจ้งว่า จะปิดการจำหน่ายบัตรเข้าชมพระบรมมหาราชวังสำหรับนักท่องเที่ยว และงดการเข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เนื่องในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลปัญญาสมวาร (50 วัน) ในวันที่ 1-2 ธ.ค.นี้ ส่วนวันที่ 5-6 ธ.ค. จะมีพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สำนักพระราชวังจะปิดการจำหน่ายบัตรเข้าชมพระบรมมหาราชวังสำหรับนักท่องเที่ยวทั้ง 2 วัน แต่ยังคงเปิดให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศ ได้ตามปกติ

ทั้งนี้ รัฐบาลยังคงกำหนดให้วันที่ 5 ธ.ค.เป็นวันหยุดราชการ แต่ให้เรียกว่า “วันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” ซึ่งทางสำนักพระราชวังจะมีพิธีในวันดังกล่าว คือ พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล และพระราชทานสมณศักดิ์ของพระภิกษุสงฆ์

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวปาฐกถาในงานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย(เจเอฟซีซีที) เมื่อวันที่ 25 พ.ย. ตอนหนึ่งว่า วันนี้คนไทยอยู่ในช่วงโศกเศร้าเสียใจ ต้องมาช่วยกันคิดว่า จะทำอย่างไรให้ความเศร้าโศกกลายเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคตด้วยความยั่งยืน เราได้สูญเสียพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รัก เทิดทูนและเป็นศูนย์รวมดวงใจคนไทยทั้งชาติมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 70 ปี พระองค์ทรงอุทิศพระวรกายเพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนมาโดยตลอด รวมทั้งได้พระราชทานแนวทางและพระราโชบายในการขับเคลื่อนประเทศตามลำดับอีกด้วย “วันนี้ ผมขอเป็นตัวแทนคนไทยทุกคนและในนามรัฐบาล ขอขอบคุณในน้ำใจที่ทุกคนมีให้เราในยามที่เราอยู่ในความเสียใจและการแสดงความอาลัยต่อการเสด็จสวรรคตของพระองค์... รัฐบาลมีเจตนารมณ์ที่จะมุ่งมั่นและนำพาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน เพื่อสืบสานพระราชปณิธานและเจริญตามรอยพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ขอยืนยันกับทุกคนว่า ไม่ต้องกังวลกับสถานการณ์ของไทย เพราะทุกอย่างยังคงมีเสถียรภาพเช่นเดิมทุกด้าน และใช้เวลาอีกไม่นานนัก เราก็จะมีพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ และเราก็จะทำหน้าที่เหมือนเช่นวันที่ผ่านมาในทุกเรื่องในหน้าที่ของรัฐบาล”

ขณะที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ทศพิธราชธรรมนำทางราษฎร์-รัฐ” เมื่อวันที่ 23 พ.ย.ว่า ปี 2560 จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมาก เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ในระดับปฏิรูปหรือรีฟอร์ม อีกไม่นานจะมีการเปลี่ยนแผ่นดิน เปลี่ยนรัชกาล ส่วนจะมีขึ้นเมื่อใด มาถึงเมื่อใด อยู่ในพระราชวินิจฉัยและว่า การเปลี่ยนที่ตามมาก็คือ การประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ซึ่งใส่อะไรไว้มากพอจะเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อไปอีก จากนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงตามมาคือ การต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ เมื่อรัฐธรรมนูญประกาศใช้ อะไรที่กำหนดไว้ว่าต้องแล้วเสร็จภายใน 120-240 วัน 6 เดือน 1 ปี หรือ 2 ปี ทั้งหมดจะเริ่มนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญประกาศใช้

2.รัฐบาลส่งสัญญาณ สนช.ประชุมวาระพิเศษสำคัญหลังประชุม ครม.แล้วเสร็จ 29 พ.ย.นี้ โทรทัศน์ถ่ายทอดสด!

(ซ้าย) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. (ขวา) นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.
เมื่อวันที่ 20 พ.ย. มีรายงานข่าวจากสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ว่า นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.มีคำสั่งเป็นการภายในขอให้สมาชิกเตรียมพร้อมเข้าร่วมประชุม ไม่ให้เดินทาง หรือลาช่วงระหว่างวันที่ 28 พ.ย.-2 ธ.ค. เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าร่วมประชุมตลอดเวลาอย่างพร้อมเพรียง เนื่องจากอาจมีวาระพิเศษสำคัญเข้ามา

วันต่อมา(21 พ.ย.) นายพรเพชร กล่าวถึงกรณีมีคำสั่งอย่างไม่เป็นทางการดังกล่าวว่า ยังไม่ได้มีการนัดพิเศษอะไร เพียงแต่นัดในวันที่ 1-2 ธ.ค.นี้ ส่วนการประสานสมาชิกให้เตรียมพร้อมนั้น เพราะช่วงเดือน ธ.ค.มีวันหยุดยาวติดกัน เกรงว่าจะมีปัญหาเรื่ององค์ประชุม ประกอบกับได้รับสัญญาณจากรัฐบาลว่า อาจจะมีวาระเร่งด่วนที่จะต้องนำเข้าที่ประชุม สนช.แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นวาระอะไร คาดว่าจะเกี่ยวกับการให้ความเห็นชอบสนธิสัญญาต่างๆ เกรงว่าองค์ประชุมจะไม่ครบ

2 วันต่อมา(23 พ.ย.) นายคำนูณ สิทธิสมาน เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(วิป สปท.) แถลงผลประชุมคณะกรรมาธิการฯ ว่า วันที่ 29 พ.ย. สปท.มีมติให้งดประชุม เนื่องจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ได้ขอใช้ห้องประชุมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างกฎหมายที่มีความจำเป็นเร่งด่วนของรัฐบาล

ด้านนายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธาน สนช.คนที่ 2 กล่าวถึงกรณีที่ สนช.ขอใช้ห้องประชุมรัฐสภาวันที่ 29 พ.ย.นี้ว่า เท่าที่คุยกับนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ยังไม่ทราบว่ากฎหมายสำคัญเร่งด่วนจากรัฐบาลคือกฎหมายอะไร เนื่องจากรัฐบาลยังไม่แจ้งมาอย่างเป็นทางการว่าเป็นกฎหมายสำคัญเร่งด่วนฉบับใด ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุม สนช.ในวันที่ 29 พ.ย.นี้ จะเริ่มในเวลา 11.00 น. และจะมีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ โดยก่อนหน้านั้น ในช่วงเช้า จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.เป็นประธาน

วันต่อมา(24 พ.ย.) นายพรเพชร กล่าวถึงการนัดประชุมวาระพิเศษของ สนช.ในวันที่ 29 พ.ย.โดยยอมรับว่า ได้รับการประสานมาจากรัฐบาล ผ่านคณะกรรมการประสานงานระหว่างรัฐบาลและ สนช. แต่เป็นเพียงการร้องขอให้เตรียมความพร้อมไว้เท่านั้น ยังไม่มีการกำหนดวาระว่าจะประชุมวาระพิเศษเรื่องใด จึงยังไม่สามารถออกวาระการประชุมอย่างเป็นทางการได้ ต้องรอเรื่องที่รัฐบาลจะแจ้งมายัง สนช.ก่อน “หากผมทราบเรื่องที่รัฐบาลจะส่งมาอย่างชัดเจนแล้ว ก็จะออกวาระการประชุมอย่างเป็นทางการทันที”

อย่างไรก็ตาม ขณะที่นายพรเพชรยืนยันว่ายังไม่ทราบวาระประชุม แต่ พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ผู้บัญชาการทหารอากาศ ในฐานะสมาชิก สนช. กลับออกมายอมรับว่าทราบวาระการประชุมวันที่ 29 พ.ย.แล้วว่าเป็นเรื่องอะไร โดยบอกว่า ได้รับแจ้งจากประธาน สนช.แล้วว่า ให้เข้าประชุมให้มากที่สุดในวันที่ 29 พ.ย. ก็ไม่น่ามีปัญหา โดยตนรับทราบวาระการประชุมแล้ว ส่วนจะเป็นเรื่องอะไร ไม่ขอเปิดเผย

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงกรณีที่ สนช.จะประชุมวันที่ 29 พ.ย.มีวาระพิเศษหรือไม่ว่า ก็เป็นการประชุม สนช. หลังจากที่คณะรัฐมนตรีประชุมเสร็จ ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน ซึ่งขั้นตอนสำคัญทุกเรื่อง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ย้ำว่าทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน อย่าไปพูดอะไรให้วุ่นวาย วันที่ 29 พ.ย. ประชุม ครม.เสร็จ ก็ส่งต่อให้ที่ประชุม สนช. ทุกอย่างก็เป็นไปตามขั้นตอนเหมือนเดิม

3.อัยการสั่งฟ้อง “ธัมมชโย” กับพวกแล้ว คดีฟอกเงิน-รับของโจร “สหกรณ์ฯ คลองจั่น” ด้าน “ศรีวราห์” ขีดเส้น “ธัมมชโย” มอบตัวสิ้นเดือน พ.ย.นี้!

(บน) พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย (ล่าง) นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์ วัดพระธรรมกาย แถลงยืนยัน พระธัมมชโยไม่ได้หนีออกนอกประเทศ
เมื่อวันที่ 23 พ.ย. เรือโทสมนึก เสียงก้อง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และนายชาติพงษ์ จีระพันธุ์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ได้ร่วมกันแถลงการสั่งคดีนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ผู้ต้องหาที่ 1, พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย ผู้ต้องหาที่ 2, น.ส.ศรัณยา มานหมัด ผู้ต้องหาที่ 3, นางทองพิน กันล้อม ผู้ต้องหาที่ 4 และนางศศิธร โชคประสิทธิ์ ผู้ต้องหาที่ 5 กระทำผิดฐานสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร โดยระบุว่า หลังจากพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ได้ส่งผลสอบเพิ่มเติมมาให้อัยการเมื่อวันที่ 11 พ.ย. คณะทำงานอัยการพิจารณาหลักฐานจากการสอบสวนและผลสอบเพิ่มทั้งหมด รวมถึงหนังสือร้องขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหาแล้ว มีความเห็นสั่งฟ้องนายศุภชัย ผู้ต้องหาที่ 1, น.ส.ศรัณยา ผู้ต้องหาที่ 3 และนางทองพิน ผู้ต้องหาที่ 4 ฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน โดยพนักงานอัยการนัด น.ส.ศรัณยา และนางทองพิน มารายงานตัว เพื่อยื่นฟ้องต่อศาลในวันที่ 30 พ.ย.เวลา 09.30 น. ส่วนนายศุภชัย ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำอยู่แล้ว

พร้อมกันนี้ คณะทำงานยังมีความเห็นสั่งฟ้องพระธัมมชโย ผู้ต้องหาที่ 2 และ น.ส.ศศิธร ผู้ต้องหาที่ 5 ในความผิดฐานสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 359, 83 และแจ้งให้ดีเอสไอจับกุมผู้ต้องหาที่ 2 และ 5 มาส่งให้อัยการเพื่อดำเนินการต่อไปภายในอายุความ 15 ปี นับแต่วันที่กระทำผิด คือเดือน ม.ค.2552

ด้านนายชาติพงษ์ได้กล่าวชี้แจงกรณีที่มีข่าวว่าอัยการเลื่อนสั่งคดี ทำให้คดีล่าช้าว่า เนื่องจากอัยการต้องพิจารณาสำนวนให้ละเอียด และต้องพิจารณาเรื่องการเยียวยาผู้เสียหาย รวมถึงเรื่องเส้นทางการเงิน และว่า ที่ผ่านมาอัยการสั่งให้ดีเอสไอสอบเพิ่มเพียง 2 ครั้งเท่านั้น ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อัยการได้เลื่อนสั่งคดีมา 5 ครั้งแล้ว ครั้งแรกนัดสั่งคดี 13 มิ.ย. เลื่อนเป็น 11 ส.ค. ครั้ง 2 เลื่อนจาก 11 ส.ค.เป็น 30 ส.ค. ครั้งที่ 3 เลื่อนจาก 30 ส.ค.เป็น 6 ต.ค. ครั้งที่ 4 เลื่อนจาก 6 ต.ค.เป็น 7 พ.ย. และครั้งที่ 5 เลื่อนจาก 7 พ.ย.เป็น 30 พ.ย. โดยให้เหตุผลว่า รอข้อมูลจากดีเอสไอ และในที่สุด อัยการแถลงสั่งคดีก่อนถึงวันนัดเมื่อวันที่ 23 พ.ย.

นายชาติพงษ์กล่าวด้วยว่า ทางอัยการยังมีคดีอื่นที่เกี่ยวข้องกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ทั้งคดีแพ่งและอาญา ซึ่งจุดมุ่งหมายในการทำคดี ไม่ใช่แค่เพียงนำคนผิดมาลงโทษ แต่ยังต้องคุ้มครองดูแลผู้เสียหายในคดีด้วย และว่า คดีนี้ อัยการได้ยื่นฟ้องและสั่งคดีแล้ว ประกอบด้วย คดีอาญา ได้แก่ 1.คดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องนายศุภชัยกับพวกรวม 12 คน ต่อศาลอาญาแล้วเมื่อวันที่ 11 ต.ค. และ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน มูลค่ากว่า 5,612 ล้านบาท โดยอัยการขอให้ศาลสั่งจำเลยทั้งหมดร่วมกันคืนทรัพย์ให้ผู้เสียหายที่ถูกฉ้อโกงด้วยตามมูลค่าความเสียหาย ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างนัดตรวจพยานหลักฐาน 2.คดีที่พนักงานอัยการเพิ่งมีคำสั่งฟ้องนายศุภชัยกับพวกรวม 4 คน ฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้าง และร่วมกันปลอมแปลงเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม มูลค่าความเสียหาย 13,000 ล้านบาท

ส่วนคดีแพ่งที่ ปปง.ส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งแล้ว 2 สำนวน คือ 1.คดีที่อัยการขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินของนายศุภชัยกับพวกที่เกิดจากการกระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนตกเป็นของแผ่นดิน จำนวนกว่า 85 ล้านบาท ซึ่งศาลแพ่งนัดไต่สวนวันที่ 7 ธ.ค.นี้ และ 2.คดีที่อัยการยื่นฟ้องขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินของนายศุภชัยกับพวกที่เกิดจากการกระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน จำนวน 1,585 ล้านบาท ตกของเป็นแผ่นดิน โดยศาลแพ่งนัดไต่สวนวันที่ 20 ก.พ.2560

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 พ.ย. ศาลแพ่งได้พิพากษาคดีที่สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น เป็นโจทก์ฟ้องนายศุภชัย, น.ส.ศรัณยา, นายลภัส โสมคำ อดีตเลขานุการณ์สหกรณ์ฯ นายกฤษดา มีบุญมาก อดีตหัวหน้าฝ่ายสินเชื่อ สหกรณ์ฯ กับพวกรวม 18 คน เป็นจำเลย ฐานสั่งจ่ายเช็คถอนเงินสหกรณ์ฯ โจทก์, ร่วมกันเบียดบัง เอาเงินฝากที่ลูกค้านำมาฝากกับสหกรณ์, ร่วมกันรู้เห็นเป็นใจปล่อยสินเชื่อให้สมาชิกสมทบทั้งที่รู้ว่าไม่มีการถือหุ้นตามข้อบังคับ และไม่มีหลักประกันการกู้ยืม อีกทั้งยังร่วมกันให้นายศุภชัย จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่งประธานสหกรณ์ฯ หลายครั้งโดยไม่มีระเบียบรองรับ จึงพิพากษาให้จำเลยที่ 1 - 4 ต้องร่วมกันรับผิดคืนเงินให้สหกรณ์ฯ เป็นเงินจำนวน 3,811,605,926.18 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง 1 พ.ค. 2557 จนกว่าจะชำระเสร็จ

ส่วนจำเลยที่ 5 - 8, จำเลยที่ 11 - 13 รวม 7 คน ซึ่งเป็นกลุ่มคนสนิทได้รับเงินและทรัพย์สินมาจากจำเลยที่ 1 - 4 โดยรู้ว่าได้มาโดยไม่สุจริต จึงต้องร่วมรับผิดตามจำนวนทรัพย์สินที่จำเลยแต่ละคนได้มาจากจำเลยที่ 1 - 4 จึงพิพากษาให้จำเลยที่ 5 ร่วมรับผิดในเงินจำนวน 2,795,379 บาท, จำเลยที่ 6 ร่วมรับผิดในเงินจำนวน 2,461,875 บาท, จำเลยที่ 7 ร่วมรับผิดในเงินจำนวน 46,853,550 บาท และตามราคาประเมินที่ดิน, จำเลยที่ 8 ร่วมรับผิดเงินจำนวน 1,456,486.33 บาท, จำเลยที่ 11 ร่วมรับผิดเงินจำนวน 960 ล้านบาท ซึ่งจำเลยทั้งหมดจะต้องรับผิดตามจำนวนเงินดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินต้น นับตั้งแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จ ส่วนจำเลยที่ 9, 10, 14, 15, 16 ให้รับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามที่ตกลงกัน คือ คืนเงินจำนวน 321,400,000 บาท ให้กับสหกรณ์ฯ สำหรับจำเลยที่ 17 - 18 พยานหลักฐานโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่ามีส่วนรับรู้ถึงการกระทำ และรับเงินจากจำเลยที่ 1 - 4 จำเลยที่ 17 - 18 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ พิพากษาให้ยกฟ้อง

ด้านนายขจรศักดิ์ พุทธานุภาพ อัยการพิเศษฝ่ายสอบสวน 3 สำนักงานสอบสวน หนึ่งในคณะทำงานร่วมดีเอสไอที่สอบสวนคดีพระธัมมชโยกับพวกฟอกเงินและรับของโจร กล่าวถึงการเข้าจับกุมพระธัมมชโยว่า เป็นหน้าที่ดีเอสไอที่จะต้องจับกุมตัวตามหมายจับที่ศาลอาญาออกไว้ก่อนหน้านี้อยู่แล้ว ซึ่งเป็นคนละส่วนกับการสั่งคดีของอัยการ และว่า เมื่ออัยการคดีพิเศษเจ้าของสำนวนมีความเห็นสมควรสั่งฟ้องพระธัมมชโยกับพวกที่หลบหนีแล้ว ดีเอสไอก็จะต้องนำตัวมาให้อัยการสั่งคดีให้ได้ภายในอายุความ

ขณะที่ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ตามขั้นตอน หลังอัยการเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ก็จะมีหนังสือส่งให้ดีเอสไอจัดการให้ได้ตัวผู้ต้องหามามอบให้อัยการ ซึ่งที่ผ่านมาดีเอสไอได้ติดตามและประเมินสถานการณ์ของวัดพระธรรมกายอย่างต่อเนื่อง เพื่อวางแผนเข้าจับกุมพระธัมมชโยมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังอัยการแถลงสั่งฟ้องพระธัมมชโย ปรากฏว่า บรรยากาศที่วัดพระธรรมกายได้เพิ่มความเข้มงวดการเข้า-ออกวัด โดยปิดตายประตู 1 ด้านหน้าโบสถ์ ถนนเลียบคลองสาม ส่วนประตู 7 ปิดประตูทางเข้าเหลือแค่ครึ่งเดียว ขณะเดียวกัน มีกระแสข่าวว่า พระธัมมชโยได้หนีออกนอกประเทศไปทางพม่าแล้ว หลังถูกอัยการสั่งฟ้องคดี และเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเตรียมเข้าจับกุม

ทั้งนี้ วันต่อมา(24 พ.ย.) นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์ วัดพระธรรมกาย ได้เปิดแถลงข่าวยืนยันว่า พระธัมมชโยไม่ได้หนีออกนอกประเทศตามที่มีข่าว และว่า พระธัมมชโยอาพาธมาเป็นสิบปี อยู่ในความดูแลของแพทย์ที่ให้การรักษาในวัด ไม่ได้ออกไปไหนเลย เนื่องจากไม่มีหนังสือเดินทาง

ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีศาลจังหวัดสีคิ้วออกหมายจับพระธัมมชโย กรณีสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเวิลด์พีซ วัลเล่ย์ เขาใหญ่ บุกรุกพื้นที่ป่าว่า ทางการข่าวทราบว่า พระธัมมชโยยังอยู่ในวัด แต่หลักฐานทางโลกยังไม่มีใครพบ ทำให้เป็นปัญหาในการอนุมัติหมายค้น ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจสันติบาล 4 ตรวจสอบเพื่อยืนยันข้อมูล หากระบุว่าอยู่ภายในวัด สามารถขออนุมัติหมายค้นได้ทันที ขณะนี้ได้ทำหนังสือถึงเจ้าคณะจังหวัดและประสานบุคคลใกล้ชิดพระธัมมชโย เพื่อขอให้มอบตัวภายในสิ้นเดือน พ.ย.นี้ ส่วนตัวเชื่อว่าพระธัมมชโยจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยการมอบตัว 100%

4.ครม.ทุ่ม 1.2 หมื่นล้านช่วยคนจน 5 ล้านคน มอบเงินให้ 1,500-3,000 บาท เริ่ม 1-30 ธ.ค.นี้ เล็งฟื้น “ช็อปช่วยชาติ” ปลายปี!

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.
เมื่อวันที่ 22 พ.ย. พ.อ.หญิงทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยตามที่ได้ลงทะเบียนไว้ คือ 1.ผู้ที่ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี รัฐบาลมอบเงินช่วยเหลือให้ 3,000 บาท โดยมีผู้ที่ลงทะเบียนจำนวน 3.1 ล้านคน 2.ผู้มีรายได้ตั้งแต่ 30,001 บาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี รัฐบาลมอบเงินช่วยเหลือให้ 1,500 บาท จำนวน 2.3 ล้านคน ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 12,750 ล้านบาท โดยจะเริ่มมอบเงินให้ตั้งแต่วันที่ 1-30 ธ.ค.2559 ผ่านบัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) ออมสิน และกรุงไทย ตามที่ได้ลงทะเบียนไว้ สำหรับผู้ที่มีบัญชีมากกว่า 1 บัญชี จะโอนเข้าบัญชีที่มีความเคลื่อนไหวล่าสุด สำหรับผู้ที่ไม่มีบัญชี ให้ไปเปิดบัญชีในสาขาที่ลงทะเบียนเพื่อรับเงิน

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงกรณี ครม.เห็นชอบมาตรการเพิ่มรายได้ให้ผู้มีรายได้น้อยตามที่กระทรวงการคลังเสนอว่า ขอร้องว่า อย่าใช้คำเรียกมาตรการดังกล่าวว่า รัฐบาลแจกเงิน ถือเป็นมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ตามที่เคยประกาศไว้แล้วให้มีการไปขึ้นทะเบียนสำหรับผู้มีรายได้น้อย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการดูแลประชาชนที่มีอาชีพอื่นๆ ด้วย นอกเหนือจากเกษตรกร และว่า เรื่องนี้เป็นการทำต่อเนื่องจากมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ได้ทำมาแล้วหลายครั้ง จึงมีความเป็นห่วงประชาชนที่มีอาชีพอื่นๆ ด้วย จึงได้ดำเนินการต่อเนื่อง สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์เผยด้วยว่า จะมีมาตรการอื่นออกมาอีก เช่น การดูแลค่าใช้จ่ายการเดินทาง การใช้ตั๋วร่วม รวมทั้งการเชื่อมโยงการขึ้นรถเมล์และรถไฟฟรี เพื่อให้เกิดประโยชน์กับทุกคน ทั้งหมดมี 8 ล้านคน ส่วนมาตรการวันขึ้นปีใหม่นั้น จะมีการกำหนดหลายๆ มาตรการ ซึ่งต้องรอฟังอีกครั้ง

พล.อ.ประยุทธ์ ยังเผยด้วยว่า ที่ประชุม ครม.ได้รับทราบการเสนอให้ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 69 จังหวัดทั่วประเทศ 5-10 บาท ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และว่า แม้อัตราที่ปรับขึ้นจะไม่มาก แต่ถือเป็นกำลังใจ เนื่องจากต้องดูสภาพเศรษฐกิจและผู้ประกอบการด้วย และว่า เมื่อผ่านไปอีกสักระยะเวลาหนึ่ง อาจได้เพิ่มมากกว่านี้

ขณะที่นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เผยว่า ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอมาตรการของขวัญปีใหม่เพิ่มเติมเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ซึ่งมีหลายมาตรการ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย โดยปีที่ผ่านมา มีมาตรการช็อปช่วยชาติ โดยนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการช่วง 7 วันก่อนสิ้นปี นำมาลดหย่อนภาษี “ปีนี้จะนำมาตรการกระตุ้นการบริโภคมาใช้ใหม่ เนื่องจากขณะนี้ภาวะเศรษฐกิจยังทรงๆ ตัว รัฐบาลเห็นควรให้มีมาตรการเพิ่มเติมมากระตุ้นการบริโภค นอกเหนือจากการช่วยเอสเอ็มอี เกษตรกร และคนจน โดยมาตรการกระตุ้นการบริโภคในปีนี้ จะให้เวลาในการใช้มาตรการยาวนานกว่าปีที่ผ่านมา”

5.อัยการเลื่อนสั่งคดีจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง “หลวงพี่แป๊ะ” กับพวก คดี “รถหรูสมเด็จช่วง” พร้อมเผย “สมเด็จช่วง” ไม่ได้ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา!

 (บน) สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ กับรถหรูโบราณที่นำเข้าผิดกฎหมาย (ล่าง) พระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ หรือพระธนกิจ สุภาโว ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำฯ
เมื่อวันที่ 25 พ.ย. เรือโทสมนึก เสียงก้อง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยถึงการนัดสั่งคดีครั้งแรกรถยนต์เบนซ์โบราณ หมายเลขทะบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ในความครอบครองของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ที่มีพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ หรือพระธนกิจ สุภาโว ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำฯ และเอกชนประกอบกิจการอู่รถและชิ้นส่วนรถโบราณ ตกเป็นผู้ต้องหาว่า ได้รับทราบจากคณะทำงานอัยการคดีพิเศษที่รับผิดชอบสำนวนคดีว่า อัยการได้แจ้งให้พนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สอบสวนเพิ่มเติม ดังนั้นจึงมีเหตุจำเป็นที่จะต้องเลื่อนนัดสั่งคดีออกไปก่อน โดยคณะทำงานอัยการนัดฟังคำสั่งทางคดีอีกครั้งในเช้าวันที่ 7 ธ.ค.นี้

เรือโทสมนึกชี้แจงด้วยว่า สำนวนคดีรถยนต์โบราณนี้ สมเด็จช่วง ไม่ได้ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา มีเพียงพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ กับเอกชน รวม 7 รายที่ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาตามสำนวนการสอบสวนของดีเอสไอที่ส่งมาให้อัยการพิจารณา สำหรับผู้ต้องหากลุ่มเอกชนนั้น มี 1 รายที่อยู่ระหว่างครบกำหนดฝากขังครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 25 พ.ย. คือ นายเกษม หรืออ๊อด ภวังคนันท์ หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก.อ๊อด 89 เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) ผู้ต้องหาที่ 4 อัยการจึงยื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 4 อีกเป็นเวลา 12 วัน ต่อศาลอาญา

สำหรับคดีนี้ ดีเอสไอสรุปความเห็นควรสั่งฟ้อง โดยกล่าวหานายพิชัย วีระสิทธิกุล เจ้าของอู่รถ ผู้ต้องหาที่ 1, ห้างหุ้นส่วนจำกัด ซี.ที.ออโต้พาร์ท โดยนายวสุ จิตติพัฒนกุลชัย ผู้ต้องหาที่ 2, นายวสุ จิตติพัฒนกุลชัย ผู้ต้องหาที่ 3, นายเกษม หรืออ๊อด ภวังคนันท์ หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก.อ๊อด 89 เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) ซึ่งนำเข้าชิ้นส่วนรถโบราณ ผู้ต้องหาที่ 4, นายเมธีนันท์ หรือชลัช นิติฐิติวงษ์ ผู้ดำเนินการนำเอกสารชุดประกอบรถยนต์ไปชำระภาษีสรรพสามิต ผู้ต้องหาที่ 5, นายสมนึก บุญประไพ ผู้นำเอกสารรถยื่นกรมการขนส่งทางบก ผู้ต้องหาที่ 6 และพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ เลขานุการสมเด็จช่วง และผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำฯ ผู้ต้องหาที่ 7 ในความผิด 6 ข้อหา ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27, 27 ทวิ, พ.ร.บ.ภาษีสรรพาสามิต พ.ศ. 2527 มาตรา 161, 165 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 265, 267, 268

ทั้งนี้ ในการส่งสำนวนให้อัยการเมื่อวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา พระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ ผู้ต้องหาที่ 7 อาพาธ พนักงานสอบสวนดีเอสไอจึงยังไม่ได้นำตัวมาส่งให้อัยการ โดยจะมีการประสานเพื่อส่งตัวในภายหลัง
กำลังโหลดความคิดเห็น