MGR Online - อัยการสั่งฟ้อง “ศุภชัย-พระธัมมชโย” และพวกรวม 5 คน ผิดฟอกเงิน-รับของโจร นัดผู้ต้องหา 3-4 ยื่นฟ้องศาล 30 พ.ย.นี้ ประสานดีเอสไอตามจับผู้ต้องหาที่หลบหนีนำส่งอัยการภายในอายุความ 15 ปี
ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.แจ้งวัฒนะ เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (23 พ.ย.) ร.ท.สมนึก เสียงก้อง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด พร้อมด้วยนายชาติพงษ์ จีระพันธุ์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ร่วมกันแถลงข่าวการสั่งคดีนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ผู้ต้องหาที่ 1 พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ผู้ต้องหาที่ 2 น.ส.ศรัญญา มานหมัด อดีตคณะบริหารสหกรณ์ฯ ผู้ต้องหาที่ 3 นางทองพิน กันล้อม อดีตคณะบริหารสหกรณ์ฯ ผู้ต้องหาที่ 4 และนางศศิธร โชคประสิทธิ์ ผู้ต้องหาที่ 5 กระทำความผิดฐานสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงินและรับของโจร ว่าหลังจากพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งผลการสอบสวนเพิ่มเติมมาให้อัยการเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน คณะทำงานอัยการพิจารณาหลักฐานจากการสอบสวนและผลสอบสวนเพิ่มเติมทั้งหมดรวมถึงหนังสือร้องขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหาแล้วได้มีความเห็นสั่งคดีเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยมีความเห็นสั่งฟ้องนายศุภชัย ผู้ต้องหาที่ 1 น.ส.ศรัญญา ผู้ต้องหาที่ 3 นางทองพิน ผู้ต้องหาที่ 4 ในความผิดฐานสมคบกันฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงินตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 โดยพนักงานอัยการได้นัด น.ส.ศรัญญา ผู้ต้องหาที่ 3 นางทองพิน ผู้ต้องหาที่ 4 มารายงานตัวเพื่อยื่นฟ้องต่อศาลในวันที่ 30 พฤศจิกายน เวลา 09.30 น.ซึ่งผู้ต้องหาที่ 3, 4 ต้องมาพบพนักงานอัยการ หากไม่มาจะประสานขอออกหมายจับต่อศาล ส่วนนายศุภชัย ผู้ต้องหาที่ 1 ถูกคุมขังในคดีอื่นอยู่ในเรือนจำอยู่แล้ว
ร.ท.สมนึกกล่าวอีกว่า คณะทำงานยังมีความเห็นควรสั่งฟ้องพระธัมมชโย ผู้ต้องหาที่ 2 และ น.ส.ศศิธร ผู้ต้องหาที่ 5 ในความผิดฐานสมคบกันฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงินและรับของโจร ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 359, 83 และแจ้งให้ดีเอสไอดำเนินการจับกุมผู้ต้องหาที่ 2 และ 5 มาส่งให้อัยการเพื่อดำเนินการต่อไปภายในอายุความ 15 ปี นับแต่วันที่กระทำผิด คือเดือนมกราคม 2552
ด้านนายชาติพงษ์กล่าวว่า นอกจากคดีนี้ทางอัยการยังมีคดีอื่นที่เกี่ยวข้องกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ทั้งคดีแพ่งและอาญา ซึ่งจุดมุ่งหมายในการทำคดีไม่ได้เพียงแค่ต้องการนำเอาคนผิดมาลงโทษเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีจุดประสงค์ที่ต้องคุ้มครองดูแลผู้เสียหายในคดีนี้ด้วย โดยคดีนี้มีมูลค่าความเสียหายเป็นจำนวนมากและมีผู้เสียหายหลายคนที่เดือดร้อน อัยการได้มุ่งติดตามตรวจสอบเส้นทางการเงินให้ชัดเจน จึงต้องพิจารณาสำนวนให้ละเอียดรอบคอบเพื่อให้ศาลมีคำสั่งคืนเงินทั้งหมดให้แก่ผู้เสียหาย จึงเป็นเหตุให้การพิจารณาคดีมีความล่าช้า
นายชาติพงษ์กล่าวเพิ่มเติมว่า หรับคดีที่เกี่ยวข้องอัยการได้ยื่นฟ้องและสั่งคดีแล้ว ประกอบด้วย คดีอาญา ได้แก่ 1. คดีที่พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องนายศุภชัยกับพวกรวม 12 คนต่อศาลอาญาแล้วเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม และวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ในคดีหมายเลขดำที่ อ.3339/2559 และ 3734/2559 ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343 มูลค่าความเสียหาย 5,612,237,157.62 บาท ซึ่งอัยการขอให้ศาลสั่งจำเลยทั้งหมดร่วมกันคืนทรัพย์ให้ผู้เสียหายที่ถูกฉ้อโกงไปด้วยตามจำนวนมูลค่าความเสียหายดังกล่าว โดยขณะคดีอยู่ระหว่างการนัดตรวจพยานหลักฐาน 2. คดีที่พนักงานอัยการ เพิ่งจะมีคำสั่งฟ้องนายศุภชัย กับพวกรวม 4 คน ฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้าง และร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 268, 334, 335 มูลค่าความเสียหาย 13,000 ล้านบาทเศษ และคดีแพ่งที่ ปปง.ส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ และพนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษได้ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง รัชดาภิเษก แล้วรวม 2 สำนวน คือ 1. คดีหมายเลขดำที่ ฟ.173/2559 ที่อัยการยื่นเมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของนายศุภชัย กับพวก ตกเป็นของแผ่นดิน จากที่มีการกระทำความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน รวมทุนทรัพย์ทั้งสิ้น 85,769,438.25 บาท ซึ่งศาลแพ่งนัดไต่สวนในวันที่ 7 ธันวาคมนี้ เวลา 09.00 น. 2. คดีหมายเลขดำที่ ฟ.208/2559 ที่อัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของนายศุภชัยกับพวก ตกเป็นของแผ่นดิน จากที่มีการกระทำความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน รวมทุนทรัพย์ทั้งสิ้น 1,585,000,000 บาท โดยศาลแพ่งนัดไต่สวนในวันที่ 20 ก.พ. 2560 เวลา 09.00 น. นอกจากนี้ ในส่วนของนายศุภชัย อดีตประธานสหกรณ์ฯ ยังมีคดีที่ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาลงโทษจำคุกเป็นเวลา 14 ปี 24 เดือน ในคดีหมายเลขแดงที่ อ.706/2559 ที่พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องนายศุภชัยฐานยักยอกทรัพย์มูลค่า 27 ล้านบาทเศษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 และ 353 และ 354
เมื่อถามว่า กรณีที่ทนายความผู้ต้องหาได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมโดยอ้างว่าทรัพย์สินดังกล่าวไม่ใช่การฟอกเงินจะถือเป็นคำให้การของผู้ต้องหาหรือไม่ นายชาติพงษ์กล่าวว่า หลักการของคดีอาญาจะต้องฟังความทั้งสองฝ่าย และผู้ต้องหาต้องมาให้การด้วยตนเอง แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ผู้ต้องหาที่ 2 และ 5 มาสอบ และหนังสือขอความเป็นธรรมนั้นเป็นเพียงแค่อัยการรับฟังความมา อัยการจึงมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 2 และ 5 ไว้ เพราะเมื่อฟังความจากผู้กล่าวหาแล้วเห็นว่าพอฟังได้ ดังนั้น ขั้นตอนหลังจากนี้ต้องให้พนักงานสอบสวนจับกุมตัวผู้ต้องหามาสอบคำให้การและส่งให้อัยการ เมื่อมีหลักฐานและคำชี้แจงของผู้ต้องหา อัยการจะพิจารณาชั่งน้ำหนักอีกครั้งว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ คล้ายกับการสั่งคดีของแกนนำ กปปส.
เมื่อถามว่า จากพยานหลักฐานที่ ดีเอสไอและ ปปง.ส่งมาในเรื่องเส้นทางการเงินของพระเทพญาณมหามุนี มีการนำเงินไปฟอกในธุรกิจใดบ้าง มูลค่าเท่าใด นายชาติพงษ์กล่าวว่า ในเรื่องเส้นทางการเงินนั้นเป็นเรื่องในสำนวนที่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อรูปคดี ส่วนมูลค่าความเสียหายจากพยานหลักฐานที่อัยการได้รับมาเป็นเช็ค 27 ฉบับ มูลค่า 1,400 ล้านบาท