xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 17-23 ก.ค.2559

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1.ดีเอสไอแถลงสรุปคดีรถหรูโบราณ “สมเด็จช่วง-หลวงพี่น้ำฝน” ผิดกฎหมายทั้งการนำเข้า-แจ้งเท็จ-ใช้เอกสารเท็จ-หลบเลี่ยงภาษี!
(บน) พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค ดีเอสไอ (ล่าง) หลวงพี่น้ำฝนกับรถหรูโบราณผิดกฎหมาย (ล่างขวา) สมเด็จช่วงกับรถหรูโบราณผิดกฎหมาย
เมื่อวันที่ 22 ก.ค. พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) พร้อมด้วย พ.ต.ท.สุริยา สิงหกมล รองอธิบดีดีเอสไอ, พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค ดีเอสไอ, พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้บัญชาการสำนักคดีภาษีอากร และนายมเหสักข์ พันธ์สง่า พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษ ร่วมกันแถลงผลการตรวจสอบการครอบครองรถยนต์ประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนอุปกรณ์รถเก่า หรือรถจดประกอบที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย 2 คัน ซึ่งเป็นของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ 1 คัน และของพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม อีก 1 คัน

สำหรับรถยนต์โบราณของหลวงพี่น้ำฝนนั้น พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวว่า ผลการสอบสวนพบว่า รถยนต์คันดังกล่าว ข้อเท็จจริงเป็นยี่ห้อแพนเธอร์ ไม่ใช่ยี่ห้อจากัวร์ และมีการจดทะเบียนเป็นรถยนต์ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นคัน และมีการขายต่อกัน 2-3 ทอด ก่อนที่หลวงพี่น้ำฝนจะขอซื้อรถยนต์จากเจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนจ้างคนไทยในประเทศสหรัฐอเมริกาชื่อ P-BOY แยกชิ้นส่วนออกจากกันเป็นเครื่องยนต์ และโครงตัวถังรถยนต์ ลำเลียงขึ้นเรือต่างลำกัน ต่างวันต่างเวลา เพื่อนำเข้ามายังประเทศไทย โดยใช้ชื่อตนเองเป็นผู้นำเข้าเครื่องยนต์ และมีการปลอมลายมือชื่อของนายชรินทร์ นำเข้าโครงตัวถัง ก่อนทำเอกสารเท็จว่าซื้อโครงตัวถังจากนายชรินทร์ ขณะนี้นายชรินทร์ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำจังหวัดนครปฐม โดยพนักงานสอบสวนได้เข้าไปสอบปากคำแล้ว นายชรินทร์ให้การอ้างว่า ถูกปลอมลายมือ ซึ่งดีเอสไอได้ส่งสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อดำเนินการตรวจลายมือชื่อที่แท้จริงต่อไป

พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวด้วยว่า รถคันดังกล่าวมีการไปจดประกอบเป็นรถยนต์กับโรงประกอบ นายธีรวุฒิ จ.สมุทรสาคร ชำระค่าภาษีสรรพสามิตกับกรมสรรพสามิตถูกต้องและจดทะเบียนเป็นรถยนต์ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ในชื่อของตนเอง จากหลักฐานเชื่อว่ารถยนต์คันนี้มีการแยกชิ้นส่วนแล้วนำมาจดประกอบจริง โดยหลวงพี่น้ำฝนมีเจตนาแต่ต้นที่จะนำรถยนต์เข้ามาทั้งคัน แต่ประเทศไทยไม่อนุญาตให้นำรถยนต์เก่าใช้แล้วเข้ามาในราชอาณาจักร จึงหลีกเลี่ยงวิธีการนำเข้าด้วยการแยกชิ้นส่วนกัน

พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวอีกว่า ทางคดีจึงพิจารณาว่าผู้นำเข้าเครื่องยนต์และผู้นำเข้าโครงตัวถังมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องถือเป็นบุคคลเดียวกัน ซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดฐานหลีกเลี่ยงอากร ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ประกอบมาตรา 6 พระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 โดยมาตรา 6 ระบุว่า ของใดเป็นของที่ครบชุดสมบูรณ์อยู่แล้วจากต่างประเทศ นำเข้ามาโดยแยกชิ้นส่วนเพื่อจะหลีกเลี่ยงภาษี และเข้ามาประกอบเป็นของครบชุดสมบูรณ์ ในกรณีนี้คือเป็นรถยนต์สำเร็จรูปจากต่างประเทศ และแยกชิ้นส่วนเข้ามา ก่อนนำมาประกอบในประเทศเป็นรถยนต์สำเร็จรูปคันเดิม ก็จะเข้าตามมาตรา 6 ซึ่งเป็นความผิดทางแพ่ง เมื่อมีความผิดทางแพ่งแล้ว เป็นความผิดทางอาญาตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 จะมีโทษจำคุก 10 ปี และปรับไม่เกิน 10 เท่าของราคาบวกอากร ส่วนผู้ครอบครองเป็นความผิดตามมาตรา 27 ทวิ ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 4 เท่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาเรียกเก็บอากรในส่วนที่ขาดจากกรมศุลกากร เมื่อได้รับผลแล้วจะดำเนินการเรียกผู้ต้องหามาแจ้งข้อหาต่อไป ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนยังไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหา หรือสอบปากคำหลวงพี่น้ำฝนแต่อย่างใด

ด้าน พ.ต.อ.ไพสิฐ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงการตรวจสอบรถยนต์โบราณยี่ห้อเมอร์เซเดสเบนซ์ ทะเบียน ขม 99 ซึ่งมีชื่อของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เป็นผู้ครอบครอง โดยกระบวนการนำเข้าต่างๆ ดีเอสไอได้เคยแถลงรายละเอียดไปก่อนหน้านี้แล้วว่า การนำเข้า การจดภาษีสรรพสามิต หรือการจดภาษีขนส่ง มีการใช้เอกสารเท็จและมีความผิดต่างๆ โดยพบความผิดเกี่ยวกับการนำเข้าเครื่องยนต์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีการปลอมเอกสารนำเข้าเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐหลงผิดในของที่นำเข้า จึงบ่งชี้ถึงเจตนาผู้นำเข้าว่ากระทำผิดฐานร่วมกันลักลอบหนีศุลกากร หรือซื้อรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งของหนีภาษีศุลกากร ตามมาตรา 27 และมาตรา 27 ทวิ แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ซึ่งคดีนี้ ดีเอสไอได้แจ้งข้อกล่าวหาผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว 3 ราย และออกหมายจับ 1 ราย

พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ครอบครองนั้น จากการพิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมด ผู้ครอบครองกับผู้เกี่ยวข้องจะมีความผิดฐานร่วมกันมีไว้ครอบครองซึ่งสินค้าโดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่มิได้เสียภาษี หรือเสียภาษีไม่ครบ ตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 เนื่องจากพยานหลักฐานชัดเจนว่า รถยนต์คันนี้มีการซื้อขายในราคา 4 ล้านบาท แต่มีการปลอมลายมือชื่อโรงประกอบรถยนต์ผู้อื่น และแจ้งเท็จต่อเจ้าหน้าที่ แสดงมูลค่าราคารถยนต์ในการขอชำระภาษีสรรพสามิต ราคา 570,000 บาท เพื่อให้มีการเก็บค่าภาษีเข้ารัฐต่ำกว่าความเป็นจริง จึงถือว่ามีการประกอบรถยนต์จริง ตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 แต่ชำระภาษีไม่ถูกต้องและครบถ้วน ซึ่งขณะนี้ดีเอสไอได้ส่งเรื่องให้กรมสรรพสามิตประเมินภาษีเพิ่มเติมแล้ว นอกจากนี้ ยังพบการกระทำผิดเกี่ยวกับการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จของผู้แจ้งขอจดทะเบียนที่ได้รับมอบอำนาจจากผู้รับโอนว่า มีการซื้อขายรถยนต์กันที่ราคา 1 ล้านบาท แต่ความจริงซื้อขายรถยนต์ในราคา 4 ล้านบาท จึงทำให้รัฐรับชำระค่าอากรแสตมป์ไม่ครบถ้วน ทำให้รัฐเสียหาย 105,000 บาท โดยขั้นตอนนี้มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 267 ประกอบมาตรา 83 ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนจะออกหมายเรียกบุคคลที่มีความผิดตามกฎหมายมาดำเนินคดีต่อไปโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาสมเด็จช่วง หากเจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐาน และพบว่ามีส่วนใดเกี่ยวข้องก็จะทำหนังสือเชิญไปยังสมเด็จช่วงต่อไป

รายงานข่าวแจ้งว่า ดีเอสไอจะเรียกสมเด็จช่วงมาแจ้งข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 เนื่องจากมีหลักฐานเป็นเอกสารลงลายมือชื่อสมเด็จช่วง ยื่นขอจดทะเบียนกับกรมการขนส่ง และการรับโอนรถ ซึ่งสอดคล้องกับกรณีที่ทนายความสมเด็จช่วงทำหนังสือแจ้งมายังดีเอสไอว่า สมเด็จช่วงเป็นผู้ลงลายมือชื่อดังกล่าวจริง เบื้องต้นจึงมีความชัดเจนในข้อกล่าวหานี้ ส่วนความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร หรือ พ.ร.บ.สรรพสามิต ยังไม่พบหลักฐานว่า สมเด็จช่วงเข้าไปร่วมในขบวนการดังกล่าว ส่วนความผิดตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต พระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่ป๊ะ หรือพระธนกิจสุภาโว(ศรีอุ่นเรือน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ และเป็นเลขานุการสมเด็จช่วง เป็นผู้ดำเนินการ ดีเอสไอเตรียมเรียกมาแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป

2.“พีซทีวี” จอดำชั่วคราว หลัง กสท.มีมติพักใบอนุญาต 30 วัน ด้าน “จตุพร” ดิ้นจัดต่อทางโซเชียลมีเดีย พร้อมลั่น 7 ส.ค.ได้เห็นหัวใจคนไทยไม่แพ้ชาวตุรกี!

 พีซทีวีจอดำตั้งแต่เวลา 00.01 น.วันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา
เมื่อวันที่ 21 ก.ค. นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ในฐานะผู้บริหารบริษัท พีซเทเลวิชั่น จำกัด หรือพีซทีวี และ นพ.เหวง โตจิราการ พร้อมทีมผู้ประกาศช่องพีซทีวี รวม 7 คน ได้เข้ายื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง เพื่อฟ้องคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) และนายภักดี มะนะเวศ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) โดยขอให้ศาลสั่งเพิกถอนมติ กสท.ที่ให้พักใบอนุญาตออกอากาศพีซทีวีเป็นเวลา 30 วัน เนื่องจากพีซทีวีออกอากาศรายการที่ขัดต่อประกาศ คสช.ฉบับที่ 97/2557 และ มาตรา 37 ตาม พ.ร.บ.กิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ รวมทั้งขอให้เพิกถอนคำสั่งของสำนักงาน กสทช.ที่ให้บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทีซีบรอดคาสติ้ง จำกัด ระงับการให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงหรือโทรทัศน์แก่พีซทีวี ซึ่งจะมีผลให้พีซทีวีจอดำตั้งแต่เวลา 00.01 น.ของวันที่ 22 ก.ค. รวมทั้งให้ กสท.และรองเลขาธิการ กสทช.ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่พีซทีวีเป็นเงิน 6,340,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จนกว่าจะชำระเสร็จ ซึ่งนายสุชาติ ศรีวรกร ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง ในฐานะตุลาการเจ้าของสำนวนคดี บริษัท พีซเทเลวิชั่น จำกัด ฟ้อง กสทช. ได้เรียกไต่สวนข้อเท็จจริงทันที อย่างไรก็ตาม มีเพียงคณะผู้บริหารของพีซทีวีเข้าให้การฝ่ายเดียว ไม่มีฝ่ายของ กสท.เข้าชี้แจงแต่อย่างใด

ทั้งนี้ นายจตุพรกล่าวก่อนศาลฯ ไต่สวนว่า การยื่นฟ้องครั้งนี้เป็นคดีใหม่เพื่อขอคุ้มครองชั่วคราว พร้อมทั้งขอให้ไต่สวนฉุกเฉิน ตามบันทึกข้อตกลงของศาลปกครองเมื่อวันที่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมาที่ระบุว่า ในกรณีที่ กสท. ยืนยันคำสั่งที่จะพักใช้ใบอนุญาตของพีซทีวีเป็นเวลา 30 วัน หลักจากที่ศาลปกครองมีคำสั่งรับคำร้องแล้ว ให้แจ้งไปยัง กสท. เพื่อให้ตัวแทนมาร่วมการพิจารณาไต่สวนฉุกเฉินในครั้งนั้นด้วย และว่า พฤติกรรมของ กสทช.ชัดเจนว่าเป็นการใช้อำนาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพื่อตอบสนองต่อผลทางการเมืองในช่วงการทำประชามติ เหตุผลและข้อกล่าวหาที่พักใบอนุญาตไม่สุจริตใจ เพราะต้องการให้พีซทีวีปิดสถานีเป็นการชั่วคราว เนื่องจากพีซทีวีเป็นสถานีที่นำเสนอความเห็นต่างในการลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้ นายจตุพรยังเชิญชวนแฟนคลับพีซทีวีไปร่วมติดตามสถานการณ์ว่าพีซทีวีจะจอดับหรือไม่ ที่ห้องประชุม พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ โดยจะจัดรายการสดตั้งแต่เวลา 16.00-24.00 น. หากต้องจอดับจริง จะได้ร่วมกันอำลาสถานี 30 วัน

ทั้งนี้ นายจตุพร กล่าวอีกครั้งหลังนายสุชาติ ศรีวรกร ตุลาการหัวคณะศาลปกครองกลาง ในฐานะตุลาการเจ้าของสำนวนคดีเรียกไต่สวนข้อเท็จจริงว่า พีซทีวีคงต้องจอดำไปก่อน ตั้งแต่เวลา 00.01 น.ของวันที่ 22 ก.ค. เพราะมีปัญหาเรื่องของเวลา และขั้นตอนต่างๆ โดยศาลฯ จะนัดไต่สวนทั้งสองฝ่ายอีกครั้งในสัปดาห์หน้า

นายจตุพรยังกล่าวหลังพีซทีวีจอดำด้วยว่า พีซทีวีจอดำเนื่องจากเขาไม่ต้องการให้เราออกอากาศในช่วงการทำประชามติ คิดว่าจอดำแล้วจะชนะประชามติหรือ เราต้องพลิกวิกฤตนี้เป็นโอกาสให้ได้ ก่อนหน้านี้เราเป็นรองโซเชียลมีเดีย แต่นับจากวันนี้ไป ชาวไร่ชาวนา ผู้ใช้แรงงานทุกคนจะเล่นยูทิวบ์ เฟซบุ๊กได้ เท่าคนที่อยู่ในเมือง การปล่อยให้พี่น้องชาวรากหญ้าเข้าสู่โซเชียลฯ มีอานุภาพมากกว่าปิดทีวีหลายร้อยเท่า... วันนี้ไม่ใช่การพ่ายแพ้... มีมือถือใช้ให้เป็นประโยชน์ แล้วเราจะไปกล้าในวันที่ 7 ส.ค. วันนั้นจะทำให้เผด็จการรู้ว่าหัวใจคนไทยไม่น้อยกว่าตุรกี

3."บิ๊กตู่" เซ็นเรียกค่าเสียหายทุจริตขายข้าวจีทูจีจาก "บุญทรง" และพวกแล้ว 2 หมื่นล้าน ด้านอธิบดีกรมบัญชีกลางแย้ม ตัวเลขค่าเสียหายที่จะเรียกจาก "ยิ่งลักษณ์" ไม่ถึงหลักแสนล้าน!

(ซ้าย) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. (กลาง) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ (ขวา) นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์
ความคืบหน้ากรณีที่กระทรวงการคลังได้ส่งสรุปตัวเลขความเสียหายจากการทุจริตขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ(จีทูจี) ให้กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งกรมการค้าต่างประเทศได้ทำหนังสือไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อขอหารือว่าใครเป็นผู้มีอำนาจในการลงนามในหนังสือแจ้งเพื่อให้ชดใช้ค่าเสียหาย เพราะมีหน่วยงานที่เสียหายหลายหน่วยงาน โดยกฤษฎีกาได้ตอบกลับมาแล้วว่า ผู้มีอำนาจลงนาม คือนายกรัฐมนตรีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งหากนายกรัฐมนตรีเห็นชอบ ก็สามารถลงนามในคำสั่งทางปกครองได้เลย หรือจะพิจารณามอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนาม หรือจะลงนามทั้ง 2 คนก็ได้

โดยนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเมื่อวันที่ 19 ก.ค.ว่า กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างรอหนังสือแจ้งจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี หลังจากได้ทำหนังสือไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอให้พิจารณากรณีเรียกค่าเสียหายการขายข้าวแบบจีทูจี โดยเมื่อกระทรวงพาณิชย์ได้รับหนังสือแล้ว จะแจ้งให้นักการเมืองและข้าราชการทั้ง 6 ราย รับทราบตามขั้นตอน เพื่อให้ชดใช้ค่าเสียหายจากการขายข้าวแบบจีทูจีจำนวน 4 สัญญา ปริมาณรวม 6.2 ล้านตัน ตามที่กระทรวงการคลังได้คำนวณไว้ทันที

มีรายงานว่า นักการเมืองและข้าราชการ 6 คนที่จะถูกบังคับทางปกครองให้ชดใช้ค่าเสียหายจากการขายข้าวจีทูจี มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท ได้แก่ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์, นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์, พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์, นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ, นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ, นายอัครพงศ์ ทีปวัชระ อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ

นางอภิรดีกล่าวด้วยว่า ตามขั้นตอนการส่งหนังสือบังคับทางปกครอง จะต้องดำเนินการภายในอายุความ 2 ปี คือเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ซึ่งจะสามารถดำเนินการได้ทันก่อนกำหนดเวลาอย่างแน่นอน โดยเมื่อผู้ชดใช้ค่าเสียหายทั้ง 6 รายได้รับหนังสือแจ้งดังกล่าวแล้ว ก็สามารถยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลได้ภายใน 90 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือ

นางอภิรดียังกล่าวถึงคดีเรียกค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ด้วยว่า ขณะนี้คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางละเมิด กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างเร่งดำเนินการ ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ทันก่อนหมดอายุความในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 อย่างแน่นอนเช่นกัน

ด้านนายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งเรียกค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาข้อกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า จะพยายามสรุปผลการพิจารณาให้ได้ภายในเดือน ก.ค.นี้ โดยขณะนี้กำลังรอข้อมูลที่ส่งไปขอเพิ่มเติมจากหลายหน่วยงาน อาทิ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, กระทรวงพาณิชย์, สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยส่งจดหมายขอข้อมูลเพิ่มเติมไปเมื่อประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม หากหน่วยงานดังกล่าวไม่ยอมส่งข้อมูลมาเพิ่ม ก็สามารถพิจารณาตามข้อมูลที่มีอยู่ในมือได้ โดยข้อมูลที่มีในมือคือ สำนวนการพิจารณาจากชุดที่มีนายจิรชัย มูลทองโร่ย รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดโครงการจำนำข้าวส่งมาให้ แต่เมื่อคณะกรรมการพิจารณาความผิดทางแพ่ง พิจารณาแล้วเห็นว่าควรจะขอข้อมูลเพิ่มเติมในบางประเด็นเพื่อให้การพิจารณาเป็นไปด้วยความละเอียด รอบคอบ จึงส่งหนังสือไปยังหน่วยงานต่างๆ "ผมยืนยันว่าจะเร่งพิจารณาเรื่องนี้ให้จบก่อนที่ผมจะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนนี้ แม้ว่าคดีนี้จะมีอายุความถึงกุมภาพันธ์ 2560 ก็ตาม... เท่าที่ดูในเบื้องต้นความเสียหายคงไม่ถึงหลักแสนล้านบาท แต่อยู่ในหลักหมื่นล้านบาท หรืออาจจะหลายหมื่นล้านบาท ตัวเลขยังไม่นิ่ง โดยผู้เสียหายที่คณะกรรมการชุดนี้พิจารณาเน้นคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์เพียงคนเดียว ส่วนคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นการพิจารณาประกอบ"

ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวเมื่อวันที่ 17 ก.ค.ถึงการเรียกค่าชดใช้ในกรณีขายข้าวจีทูจี จากนายบุญทรง กับพวกรวม 6 คนว่า การลงนามในหนังสือบังคับทางปกครอง คณะกรรมการกฤษฎีกาแนะนำว่านายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ควรจะลงนามทั้งคู่ แม้สามารถลงนามคนเดียวได้ก็ตาม ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าการที่นายกฯ จะไม่ลงนามเพราะเกรงการถูกฟ้องกลับนั้น ยืนยันว่าไม่จริง ไม่ได้กลัวเลย เนื่องจากตามข้อกฎหมายเขียนไว้ว่า เมื่อตั้งคณะกรรมการสอบต้องให้รัฐมนตรีในกระทรวงที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดลงนาม กรณีนายบุญทรงคือกระทรวงพาณิชย์ แต่นายกฯ ต้องลงนามด้วย เพราะยังมีการเขียนไว้ด้วยว่า กรณีผู้ถูกกล่าวหาเป็นรัฐมนตรี ให้นายกฯ ตั้งคณะกรรมการสอบ กรณีนี้จึงต้องลงนามทั้งคู่

เมื่อถามว่า กรณีที่กระทรวงพาณิชย์เรียกค่าเสียหาย 2 หมื่นล้านบาท ผู้ถูกกล่าวหาจำเป็นต้องเฉลี่ยค่าเสียหายกันใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่จำเป็น เพราะมีการกำหนดแล้วว่าแต่ละคนต้องจ่ายค่าเสียหายเท่าไร อย่างนายบุญทรงเท่าที่ทราบเหมือนว่าจะเสียน้อยที่สุด ซึ่งคณะกรรมการมีวิธีคำนวณอยู่ ไม่ใช่มั่วๆ ตัวเลขกลมๆ แล้วหารกัน

เมื่อถามถึงความคืบหน้าการเรียกค่าเสียหายโครงการรับจำนำข้าวจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่เสร็จ อยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมการความรับผิดทางแพ่งที่มีอธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นประธาน โดยอายุความกรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์มีถึงเดือน ก.พ.60 ซึ่งตามขั้นตอนแล้ว หากมีคำสั่งทางปกครองมา นายกฯ และ รมว.คลัง จะเป็นผู้ลงนาม แล้วไปว่ากันที่ศาลปกครองเลย แต่ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ยื่นขอเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง ก็สามารถยึดทรัพย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ภายในอายุความ 10 ปี ตามอำนาจ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 แต่เมื่อถึงขั้นตอนการยึดทรัพย์ อาจมีคนค้าน จึงต้องร้องต่อศาล เพราะต้องมีคนเถียงว่าทรัพย์สินนั้นๆ ไม่ใช่ของเจ้าตัว อย่างไรก็ตาม ทรัพย์สินที่มีการถ่ายเทก็สามารถตามยึดเอาจนได้ อาจจะไม่ครบ ซึ่งมีเยอะที่ชนะคดีแล้วตามยึดไม่ได้

ทั้งนี้ ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 ก.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ได้ออกมายืนยันแล้วว่า ได้ลงนามกรณีเรียกค่าเสียหายจากการขายข้าวแบบจีทูจีแล้ว พร้อมย้ำ ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน ไม่มีล้มมวย

4.“บิ๊กตู่-วิษณุ” ยังอุบแนวทาง หากร่าง รธน.ไม่ผ่านประชามติ ด้านแกนนำแดงเชียงใหม่ ปัด “ทักษิณ” อยู่เบื้องหลังปลุกคว่ำร่าง รธน.!

 (บนซ้าย) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. (บนขวา) นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ (ล่าง) ตำรวจกำแพงเพชร สอบปากคำ เด็ก 2 คน วัย 8 ขวบ หลังฉีกบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ
ความเคลื่อนไหวสถานการณ์ใกล้ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนมีการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 7 ส.ค. นอกจากมีความพยายามบิดเบือนเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญหรือทำร่างรัฐธรรมนูญปลอมเผยแพร่ให้คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญของคนบางกลุ่มแล้ว ยังมีขบวนการส่งจดหมายปลุกคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือตอนบน โดย ด.ต.พิชิต ตามูล แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) แดงเชียงใหม่ ได้ออกมายืนยันว่า แดงเชียงใหม่ไม่เกี่ยวข้อง เพราะไม่ได้เคลื่อนไหวทางการเมืองนานแล้ว พร้อมอ้างว่า เป็นการสร้างสถานการณ์ของคนไม่หวังดี และโยนความผิดให้คนเสื้อแดงที่มีฐานเสียงจำนวนมาก โดยเฉพาะเชียงใหม่เป็นเป้าใหญ่ หวังเชื่อมโยงกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าอยู่เบื้องหลังกรณีดังกล่าว

เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากการทำร่างรัฐธรรมนูญปลอมแล้ว ยังมีความพยายามป่วนการออกเสียงประชามติ ด้วยการฉีกทำลายบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในหลายจังหวัด เช่น ที่ จ.กำแพงเพชร มีวัยรุ่นดื่มสุราและทำลายบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ โดยอ้างว่าไม่เกี่ยวกับการเมือง แต่คิดว่าการทำลายเอกสารราชการ ไม่มีความผิด นอกจากนี้ที่จังหวัดกำแพงเพชรเช่นกัน พบบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติในโรงเรียนวชิรสารศึกษา ถูกฉีกทำลาย ภายหลังตำรวจสืบสวนพบว่า เป็นฝีมือของเด็กหญิง 2 คน อายุ 8 ขวบ ที่วิ่งเล่นใกล้จุดดังกล่าว และทำไปโดยไม่ทราบว่าเป็นบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นว่า เมื่อผู้กระทำผิดยังเป็นเด็ก ก่อเหตุโดยไม่มีเจตนาและอายุยังไม่ถึง 10 ขวบตามที่กฎหมายกำหนด แม้จะมีความผิด แต่เด็กก็ไม่ต้องรับโทษตามที่กฎหมายกำหนด

ทั้งนี้ จากเหตุการณ์เด็ก 8 ขวบฉีกทำลายบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติที่ จ.กำแพงเพชร ส่งผลให้ พล.ต.ท.ชนสิษฏ์ วัฒนวรางกูร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 สั่งย้าย พ.ต.อ.อิทธิ ชำนาญหมอ ผกก.สภ.ขาณุวรลักษบุรี ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 6 โดยขาดจากตำแหน่งเดิม เนื่องจาก พ.ต.อ.อิทธิ ไม่ได้รายงานเหตุ ทำให้ ผบช.ภ.6 ทราบเหตุจากสื่อมวลชน

สำหรับความพยายามประชาสัมพันธ์การออกเสียงประชามติและเปิดให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ใช้วิธีตีพิมพ์ร่างรัฐธรรมนูญในหนังสือพิมพ์รายวันฉบับภาษาไทยหลายฉบับ รวมทั้งจะจัดเวทีพูดคุยเกี่ยวกับเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ระหว่างวันที่ 25 ก.ค.-5 ส.ค. เวลา 13.00-14.00 น. ซึ่งทางไทยพีบีเอสไม่คิดค่าใช้จ่าย โดย กกต.ได้กำหนดประเด็นเนื้อหาทั้งหมด 10 หัวข้อ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องใกล้ตัวเกี่ยวกับสิทธิที่ประชาชนห่วงใยและมีการปล่อยข่าวให้สังคมเข้าใจผิดมาตลอด เช่น บัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การศึกษาฟรี 12 ปี การดูแลทรัพยากรธรรมชาติ สนธิสัญญาระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับการรักษาอธิปไตยของชาติ และอาจมีประเด็นการเมืองที่เป็นที่น่าสนใจ เช่น ที่มาของนายกรัฐมนตรี เป็นต้น

ทั้งนี้ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ได้เข้าหารือกับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) เมื่อวันที่ 22 ก.ค. เกี่ยวกับหัวข้อที่จะจัดเวทีพูดคุยเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญทางไทยพีบีเอส ซึ่ง กรธ.เห็นด้วยและรับได้กับ 10 หัวข้อที่ กกต.กำหนด แต่เรื่องตัวบุคคลที่ทางไทยพีบีเอสกำหนดจะให้เข้าร่วมในเวทีดังกล่าวนั้น มีความเห็นร่วมกันว่า ให้ตัดออก 5 ชื่อ โดยนายสมชัยตัดออกเอง 3 ชื่อ และ กรธ.ตัดออก 2 ชื่อ แต่สุดท้ายจะถูกตัดออกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับทางไทยพีบีเอส

มีรายงานว่า รายชื่อที่ถูกตัดออก ได้แก่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ, นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช., นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช., นายรังสิมันต์ โรม แนวร่วมขบวนการประชาธิปไตยใหม่ และนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน นักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา

เป็นที่น่าสังเกตว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีความเคลื่อนไหวจาก “กลุ่มพลเมืองผู้ห่วงใย” ซึ่งมีบุคคลหลายกลุ่มลงชื่อสนับสนุน ทั้งจากนักวิชาการ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ โดยกลุ่มดังกล่าวออกแถลงการณ์เรียกร้องสิทธิของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ และต้องมีทางออกที่ชัดเจนให้ประชาชนว่า ถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ 7 ส.ค. จะมีกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญอย่างไรต่อไป พร้อมเสนอว่า หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ ควรให้ทุกกลุ่มทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการออกแบบและกำหนดหลักการสำคัญในการให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ฯลฯ

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มพลเมืองผู้ห่วงใย เรียกร้องให้ คสช.เผยทางออกหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติว่า “ไม่ผ่านก็จะทำรัฐธรรมนูญใหม่ จะทำอย่างไรก็ไม่รู้ ไปว่ากันมา ไม่อยากให้คำพูดของผมถูกเก็บไปพิจารณาว่าจะให้รัฐธรรมนูญผ่านหรือไม่ผ่าน เป็นเรื่องของประชาชน แต่ถ้าไม่ผ่าน ก็ร่างใหม่”

ขณะที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงทางออกหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติว่า พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุแล้วว่า ต้องร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ แต่จะทำอย่างไร ให้ใครเป็นคนทำ ยังไม่สามารถบอกได้ในเวลานี้ อาจใช้โอกาสรับฟังความคิดเห็นต่างๆ เพื่อพิจารณาก็ได้ เวลานี้ไม่ควรพูดอย่างอื่นให้ไขว้เขวไปจากการออกเสียงประชามติในวันที่ 7 ส.ค. แนวทางการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ รัฐบาลมีอยู่แล้ว ส่วนรายละเอียดยังไม่ชัดเจน จึงไม่สมควรที่จะพูดอะไรทั้งนั้น

5.“บิ๊กตู่” ใช้อำนาจ ม.44 พักงาน 60 ข้าราชการถูกตรวจสอบทุจริต ผิดคาด ไร้ชื่อ “ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์” ผู้ว่าฯ กทม.!

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.
เมื่อวันที่ 21 ก.ค. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ที่ 43/2559 เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ครั้งที่ 4 อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 หัวหน้า คสช. จึงมีคําสั่งให้ระงับการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการจำนวน 60 คน ซึ่งมีทั้งผู้บริหารสถานศึกษา ข้าราชการพลเรือน ผู้บริหารและผู้มีตําแหน่งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

สำหรับรายชื่อข้าราชการที่ถูกคำสั่งตามมาตรา 44 ครั้งนี้ ได้แก่ นายปิยพันธ์ แสนทวีสุข รองคณบดีฝ่ายบริหาร สาขาดุริยางคศิลป์ตะวันตก วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, นายสำเริง กิปัญญา ผู้อำนวยการโรงเรียนโสตศึกษาทุ่งมหาเมฆ, นายมนัส นิลคุปต์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานสมุทรปราการ, นายชนะศึก สาตรรอด นายอําเภอสร้างคอม จ.อุดรธานี, นายสุนทร รัตนากร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) กำแพงเพชร, นายประเสริฐ มีสมยุทธ์ นายกองค์การบริหารส่วนตําบล(อบต.) วัดตูม จ.พระนครศรีอยุธยา, พ.ต.ท.วินัย เจริญสุข นายก อบต.คลองสระบัว จ.พระนครศรีอยุธยา, นายบํารุง ก้อนทอง นายก อบต.พระแก้ว จ.พระนครศรีอยุธยา, นายประสาร สุขร่าง นายก อบต.โพธิ์สามต้น จ.พระนครศรีอยุธยา

นายวรรธนินทร์ ตั้งทวีสิทธิ์ นายกเทศมนตรีเมืองสุรินทร์, นายโกมุท ทีฆธนานนท์ นายกเทศมนตรีนครสกลนคร, นางศมานันท์ เหล่าวณิชวิศิษฎ นายกเทศมนตรีเมืองราชบุรี, นายบูรณะ แสงรวีวิสิฐ นายกเทศมนตรีเมืองตะพานหิน จ.พิจิตร, นายณรงค์ วิบูลย์มา นายกเทศมนตรีตำบลหนองหอย จ.เชียงใหม่, นายบุญเรียง บุตรศรี นายกเทศมนตรีตำบลสังคม จ.หนองคาย, นายโกวิท เกตุนวม นายกเทศมนตรีตำบลบางวัว จ.ฉะเชิงเทรา, นายชูศักดิ์ ศรีอัญชลี รองนายกเทศมนตรีตำบลบางวัว, นายวัฒนา ม่วงทอง รองนายกเทศมนตรีตำบลบางวัว, นางสุวดี ดีศรีศักดิ์ ที่ปรึกษานายกเทศมนตรีตำบลบางวัว, นายพิษณุพงศ์ รุ่งสุวรรณรังษี เลขานุการนายกเทศมนตรีตำบลบางวัว, นายเสรี ศิลปเพ็ชร ปลัดเทศบาลตำบลบางวัว, น.ส.ธูปทอง แช่มช้อย ผู้อำนวยการกองคลัง เทศบาลตำบลบางวัว, น.ส.เยาวลักษณ์ ดีเลิศ ผู้อํานวยการกองคลัง องค์การบริหารส่วนตําบลบางแก้ว จ.สมุทรปราการ ฯลฯ

เป็นที่น่าสังเกตว่า กระแสสังคมจับตามองว่า การใช้มาตรา 44 ของ พล.อ.ประยุทธ์ ในการพักงานข้าราชการที่ถูกตรวจสอบเรื่องทุจริต 60 รายครั้งนี้ จะมีรายชื่อ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.ด้วยหรือไม่ หลังสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ตรวจสอบพบการทุจริตโครงการไฟประดับของ กทม.มูลค่ากว่า 39 ล้านบาท และให้มีการดำเนินคดีอาญา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ แต่ในที่สุด ก็ไม่ปรากฏชื่อ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ใน 60 รายชื่อแต่อย่างใด
กำลังโหลดความคิดเห็น