วิศวกรหนุ่มผู้รักการท่องเที่ยวแบบแบ็กแพ็ก ผ่านการทัศนาจรมาแล้วหลายประเทศ จนต่อยอดสู่แฟนเพจ The Walking Backpack ที่มียอดติดตามกว่าแสนคน ก่อนบันทึกเรื่องราวการเดินทางลงหนังสือ... “ปั้น-จิรภัทร พัวพิพัฒน์”
ด้วยอิทธิพลจากทางบ้านที่มักจะพาท่องเที่ยวมาตั้งแต่เด็ก จนทลายความกลัวจากคำพูดของเพื่อนที่ว่า ‘ลองไปคนเดียวดูสิ’ นับจากวันนั้น เป็นระยะเวลากว่า 3 ปี ที่จิรภัทรได้ท่องโลกกว้าง เป็นแบ็กแพกเกอร์รุ่นแรกๆ ที่แบกเป้ออกเดินทาง...
• ก่อนหน้านี้ คุณมองคำว่า “การท่องเที่ยว” เป็นยังไง
ผมมองว่าการท่องเที่ยวคือการพักผ่อนครับ ไม่ต้องทำงาน อยู่เฉยๆ อยากจะไปในที่ที่สบายๆ นอนโรงแรมสบายๆ กินอาหารอร่อยๆ กับครอบครัว นี่คือสิ่งที่ผมมองในเรื่องการท่องเที่ยวสำหรับก่อนหน้านี้ คือทุกคนในบ้านผมจะชอบท่องเที่ยวกันอยู่แล้ว อย่างคุณพ่อผมจะชอบพาไปเที่ยวในช่วงวันหยุดราชการ เช่นปีใหม่ หรือในช่วงเทศกาลต่างๆ ส่วนใหญ่คุณพ่อจะพาไปกางเต็นท์ เดินป่า พาไปอยู่กับธรรมชาติ หรือไปเที่ยวตามอุทยานแห่งชาติน่ะครับ แล้วการท่องเที่ยวสมัยก่อนของที่บ้านจะเป็นในลักษณะแบบนั้น หรือบางปีก็ไปทะเล ซึ่งจริงๆ มันก็ไม่ลำบากนะครับ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นไปต่างประเทศ
• แล้วคุณเริ่มมีความคิดที่จะท่องเที่ยวด้วยตนเองตั้งแต่เมื่อไหร่
ผมเป็นคนที่ชอบเที่ยวอยู่แล้วครับ แต่ถ้าเริ่มท่องเที่ยวจริงๆ ก็คือตอนที่มาเรียนที่สิงคโปร์แล้ว ซึ่งตอนนั้นคืออยู่มหาวิทยาลัยปี 2 ครับ เหตุมันมาจากชีวิตในช่วงนั้นค่อนข้างเซ็งๆ เพิ่งเลิกกับแฟน และเหงาๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมก็เลยไปคุยกับรุ่นน้องคนหนึ่งว่า เบื่อจังเลย อยากไปดำน้ำที่เกาะเตียวมัน ประเทศมาเลเซียจังเลย แต่ก็ไม่มีคนไปด้วย ไม่มีใครว่าง และไม่มีใครดำน้ำเป็นครับ แล้วรุ่นน้องคนนั้นก็บอกกับผมว่า “ไปคนเดียวสิ” เราก็ตอบกลับไปว่า บ้ารึเปล่า มีแต่คนติสต์แตกเท่านั้นแหละที่ทำกัน เขาก็บอกว่าไม่เห็นเป็นไร ก็ไปคนเดียวเลย ถ้าไม่ชอบก็กลับมา แต่ถ้าชอบก็อยู่ต่อไปสิ เขาไม่บอกใครหรอก พอได้ยินคำนั้น ก็จัดกระเป๋าไปคนเดียวเลยครับ
• แล้วอะไรที่ทำให้คุณถึงตัดสินใจเลือกที่จะแบ็กแพ็กไป
อย่างที่บอกครับว่า รุ่นน้องคนนั้นที่บอกให้ไปคนเดียว ซึ่งเราในตอนนั้นก็ไม่รู้ว่า แบ็กแพ็กคืออะไร เราจะมีภาพความคิดที่ว่า ฝรั่งตัวใหญ่ๆ กระเป๋าใบใหญ่ๆ มาเที่ยวข้าวสาร ไปเที่ยวทะเล ปาร์ตี้ เที่ยวนานๆ เที่ยวไกลๆ เป็นแบบนี้หรือเปล่า หรือต้องพักราคาถูกหรือเปล่า ตอนนั้นเราก็ไม่มั่นใจในความหมายนั้น นั่นคือสิ่งที่ผมเข้าใจในก่อนที่จะเริ่มเดินทาง
แต่พอได้ไปแบบครั้งแรกอย่างเป็นทางการ ผมก็มาเจอกับเพื่อนที่เดินทางมานานๆ และไกลๆ มันรู้สึกเจ๋งมากเลย ผมค้นพบว่าการแบ็กแพ็กนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับโรงแรมถูกๆ การที่มีกระเป๋าใหญ่ๆ เที่ยวไกลๆ หรือนานๆ แต่มันเป็นเรื่องราวของการพบเจอผู้คน เรื่องราวจากนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง ที่มาพูดลักษณะแบบเล่าไปเรื่อยๆ ผมพบว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก มันเป็นโลกทัศน์ให้กับผม ซึ่งผมชอบมากเลย ได้ไปสัมผัสกับคนต่างประเทศ ต่างวัฒนธรรม ได้เรียนรู้สถานการณ์ ซึ่งมันเป็นอะไรที่เพิ่มการเรียนรู้ให้กับผมมาก ผมเลยชอบในการแบ็กแพ็กมาตั้งแต่นั้น ส่วนการตัดสินใจก็คงจะเป็นเรื่องของความเบื่อหน่าย และการอยากจะออกไปเที่ยวครับ จากการที่ไม่มีใครมาเที่ยวกับเรา ก็เลยต้องไปเที่ยวคนเดียว
• คุณกำลังจะบอกว่า สภาพแวดล้อมรอบตัวก็มีส่วนที่ทำให้อยากจะท่องเที่ยวด้วย
แน่นอนครับ เพราะถ้าเกิดเราอยู่ในสภาพแวดล้อมเพื่อนๆ ที่สนใจอย่างอื่น สมมติว่าเราอยู่กับเพื่อนที่ชอบเล่นกีฬา เราก็จะไปเล่นกีฬาตามเขา หรือถ้าเราอยู่กับเพื่อนที่สังสรรค์เฮฮา ก็อาจจะไปเฮฮากับเขา คือผมว่าสำคัญมากที่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ที่ทำให้เกิดความสร้างสรรค์ ทำให้เกิดประโยชน์ ผมว่ามันมีหลายๆ สภาพแวดล้อมมากมายที่เราทุกคนควรอยู่ครับ เราก็ควรจะมีเพื่อนเรียน เพื่อนเที่ยวหรือเพื่อนต่างๆ ผมว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญมากครับ อย่างผมก็ไม่ได้มีแค่เพื่อนที่ชอบเที่ยวเป็นหลักครับ แต่ผมมีเพื่อนที่ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์มากกว่า เพื่อนเล่นกีฬา หรือชอบทำกิจกรรม มันก็คอยผลักดันให้เราออกไปทำอะไรสนุกๆ ผมว่ามันสำคัญครับ
• อยากให้ช่วยเล่าถึงประสบการณ์แรกๆของการไปแบ็กแพ็กหน่อยครับว่าเป็นยังไง
ผมไปที่เกาะเตียวมัน ซึ่งเกาะนี้เป็นเกาะที่มีชื่อเสียงมากของมาเลเซียที่มีจุดเด่นในเรื่องการดำน้ำ ผมก็ไปแบบไม่ได้ไปจองโรงแรมอะไรเลยนะครับ เดินทางไปเจอโรงแรม ให้นอนก็ไปนอนที่นี่แหละ และก็ไปเจอเพื่อน 2 คน คนแรกชื่อคริส เป็นคนอังกฤษ เป็นนายธนาคารที่เพิ่งถูกไล่ออกมา เขามีเงินเก็บที่สามารถซื้อรถสปอร์ตได้เลยนะ แต่แทนที่เขาจะหางานใหม่ ไปใช้ชีวิตธรรมดา เขากลับใช้เงินนั้นเพื่อเดินทางรอบโลก ซึ่งคริสเขาสอนผมทุกอย่างเลยว่า เวลาเดินทางในที่ต่างๆ จะต้องเป็นแบบนี้ หาที่เที่ยว หาข้อมูลแบบนี้ เหมือนกับเป็นครูสอนท่องโลกให้กับผมเลย ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังคบกันอยู่ครับ อีกคนคือซาร่า เป็นนักกฎหมายชาวอเมริกัน ซาร่านี่เจ๋งและฉลาดมาก แล้วเรา 3 คนก็สนิทมาก อยู่ด้วยกันบนเกาะเตียวมันตั้ง 4 วัน คือเล่นน้ำด้วยกัน ไปใช้ชีวิตด้วยกัน และเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก ผมพบว่าการเดินทางแบบนี้มันเป็นเรื่องราวแบบเพื่อนเลยครับ ได้รู้จักคนใหม่ๆ มันเหมือนกับได้เปิดโลกใบใหม่ให้กับผมเลย ซึ่งทุกวันนี้ผมก็ยังคิดถึงทริปนั้นอยู่ และการแบ็กแพ็กในครั้งนั้นมันมีเสน่ห์สำหรับผมมากเลย
ส่วนอุปสรรคในการเดินทางของผมในช่วงแรกๆ ก็น่าจะเป็นเรื่องของการกลัวลำบากครับ เพราะผมมักจะเดินทางไปเผชิญด้วยตัวเองและไม่ได้วางแผนล่วงหน้าสักเท่าไหร่ ก็เลยกังวลในเรื่องความปลอดภัยของตัวเอง เพราะเราก็ห่วงว่าจะสามารถเอาตัวรอดได้มั้ย หรือจะมีที่นอนหรือเปล่า ประมาณนี้ครับ
• ในการเดินทางของคุณ นอกจากสร้างประสบการณ์ส่วนตัวแล้ว คิดว่าได้อะไรเพิ่มบ้าง
อย่างแรก มันทำให้ผมกล้าขึ้น กล้าที่จะพูด กล้าที่จะคุย กล้าที่จะตั้งคำถาม กล้าที่จะมีความคิดที่แตกต่าง ผมว่าต้องไปดูคนประเทศอื่นด้วยครับ จริงๆ คนประเทศอื่นเขาแสดงออกนะ แสดงออกในสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง บางทีเราอาจจะไม่ถูกก็ได้ แต่อย่างน้อยเรากล้าพูด ซึ่งการที่คนเรากล้าถกเถียงในความเห็นที่ต่างกันได้ เป็นสิ่งที่สำคัญ เราควรจะเรียนรู้ในการรับความคิดเห็น ผมว่าถ้าคนไทยได้เดินทาง เราน่าจะมีปัญหาน้อยลง
อย่างที่สอง ผมเริ่มเข้าใจและยอมรับในความแตกต่างของคนมากขึ้นครับ เวลาเราเดินทางไป จะพบเห็นความแตกต่างของคนเยอะมาก อย่างเวลาไปอินเดีย เป็นเวลา 1-2 เดือน แล้วพบว่า เราไม่สามารถที่จะตัดสินเขาจากมุมมองเราได้นะ เพราะประเทศของเขามันต่างจากของเรามาก เราไม่สามารถที่จะเอาตรรกะของเราไปตัดสินเขาได้ เพราะเขามาจากพื้นฐานสังคมที่แตกต่างจากของเรามากเลย เราก็เห็นจากความต่าง และยอมรับในสิ่งนั้น แล้วก็พยายามที่จะอยู่กับมันแค่นั้นเองครับ
สรุปแล้วก็คือ มันทำให้เราได้เห็นมุมมองที่เราไม่เคยเห็น อย่างเรื่องวัฒนธรรมประเพณี และที่สำคัญเลยคือเรื่องความคิดของคนในแต่ละประเทศครับ อย่างเช่น ฝรั่งเขาอาจจะเก่งกว่าเราในหลายๆ เรื่อง อย่างเรื่องการแสดงความคิดเห็น คือเขาพูดเก่งกว่าเรานะ โดยเฉพาะคนอเมริกานี่เก่งกว่าเรามากเลย พวกเขาแสดงความคิดเห็นและนำเสนอเก่ง ตอบโต้เก่งกว่า นั่นอาจจะเป็นข้อดีของเขา แต่ก็มีหลายมุมเช่นกันที่เขาก็ไม่ได้ดีกว่าเรานะ อย่างเรื่องความเกรงใจ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา เรื่องของการประณีตละเอียดอ่อน ผมว่าคนไทยจะได้ข้อนี้เยอะมากนะครับ คนไทยมีความ Nice ยิ้มง่าย หรืออย่างทักษะบางเรื่องที่คนไทยเก่งกว่านะครับ อย่างเรื่องความคิดสร้างสรรค์ หรือความตลกขบขัน ซึ่งผมมองว่ามันก็มีข้อดีของคนในแต่ละประเทศนะครับ ที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องเอาข้อดีของแต่ละประเทศมาใส่ในตัวเราให้ดีที่สุดครับ
หรืออย่างญี่ปุ่น พอเราได้ไปสัมผัส เราถึงเข้าใจเลยว่าทำไมคนญี่ปุ่นเขาถึงมีความคิดแบบนี้ คือสังคมของเขาดูมีการแข่งขันกันมากเลย ต้องทำตามวัฒนธรรมและกฎประเพณี มันทำให้เราเข้าใจว่าทำไมเขาถึงมีความคิดแบบนี้ แล้วการที่จะทำให้เราเอาความคิดและข้อดีมาใส่ในตัวเรา บางทีก็เป็นสิ่งสำคัญนะ มันทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น คือแต่ละประเทศเขาก็มีมุมมองหรือความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก มันเป็นเรื่องของการศึกษาวัฒนธรรมนะ เรื่องเชื้อชาติในแต่ละวัฒนธรรม เพราะมันเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับผมในการเดินทางครับ
• ในการเดินทางแต่ละครั้ง มีการทำการบ้านอย่างไรบ้าง
หลักๆ ก็จะมีการหาข้อมูลครับ หาข้อมูลให้ได้มากที่สุดในที่ที่จะไป สิ่งที่ผมจะทำ หรือบางอย่างที่คิดว่าปลอดภัยได้ อย่างตั๋วรถเมล์ที่เราจองล่วงหน้าได้ หรือที่พักที่เราไม่ค่อยจองเอาไว้ ก็ต้องมีการเตรียมตัวไว้เนิ่นๆ ส่วนที่เหลือก็ไปหาเอาข้างหน้าครับ คือเตรียมของให้พร้อมไว้ได้ก็ดีครับ แต่ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยเตรียมครับ จะเป็นการไปหาข้างหน้าเอาครับ (ยิ้ม)
• การเปิดแฟนเพจของคุณ เริ่มต้นมาจากความคิดอย่างไร
จริงๆ จะเรียกได้ว่า ผมไม่ได้ตั้งใจจะเปิดแฟนเพจเลยนะครับ แต่เหตุผลหลักๆ คือ ผมโพสต์รูปภาพลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวเป็นจำนวนมาก จนเพื่อนผมรำคาญ ประมาณว่า ทำให้คนอื่นอิจฉา ทำงานทำการไม่ได้เลย ผมก็เลยไปเปิดแฟนเพจเอาไว้ เพื่อที่จะโพสต์รูปเล่นๆ เพราะป้องกันเพื่อนรำคาญ แค่นี้เองครับ ก็มาโพสต์รูปลงในนี้ จนมีคนที่มาชอบและติดตาม ให้มาลองอ่านดู ก็ไม่เคยคิดว่าให้แรงบันดาลใจคนอื่นเลย เราก็เคยคิดเหมือนกันว่า มาเปิดแฟนเพจเพื่อเป็นแรงบันดาลใจคนอื่น มันก็ไม่ถูกต้องเท่าไหร่ แต่การที่เราสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา มันต้องเริ่มจากตัวเราก่อน เริ่มจากสิ่งที่ชอบ ซึ่งถ้าเราทำได้ดี คนอื่นก็จะสนใจเราเองครับ ผมคิดแบบนั้นครับ
• คุณมีทัศนคติการท่องเที่ยวแบบแบ็กแพ็กของคนไทยในปัจจุบันว่าเป็นยังไง
ผมมองว่าวงการแบ็กแพ็กไทยเดินทางมาไกลมากครับ จาก 3 ปี นับตั้งแต่ที่ผมทำงานตรงนี้เต็มตัวนะครับ สมัยก่อน แบกเป้เดินทางคนเดียว ผมว่าคนกล่าวหาว่าบ้า แล้วตอนที่ตั้งกระทู้ ผมมั่นใจว่าคนอ่านเยอะมากนะ แต่ไม่มีคนทำนะ จนเมื่อช่วงปัจจุบันนี้คือเป็นธรรมดามากขึ้นครับ คือการที่วัยรุ่นจะขอพ่อแม่ไปแบ็กแพ็กเริ่มเยอะขึ้น แล้วคนไทยก็เป็นคนที่ชอบแชร์ชอบเล่า ชอบตั้งกระทู้ ซึ่งพอมาตอนนี้ ผมรู้สึกว่าดีใจมากเลยครับ ซึ่งผมคิดเข้าข้างตัวเองนะว่า เราน่าจะเป็นหนึ่งในกระแสลมแรกๆ ที่เริ่มสภาวการณ์หมุนเวียนของการท่องเที่ยวแบบแบ็กแพ็ก ซึ่งผมเชื่อว่าก็มีหลายคนที่อยากจะทำแบบนี้เหมือนกันนะ แต่ก็ไม่กล้าเพราะกลัวถูกมองว่าบ้า แต่พอเริ่มมีคนทำกันมา 2-3 คน ก็เริ่มที่จะกล้าทำตาม คราวนี้มาเป็นแก๊งเลย
โดยรวมคนไทยมองในแง่ดีนะ คือได้ไปในการท่องเที่ยวจริงๆ ได้ไปเห็นโลก ได้ไปสัมผัสจริงๆ ผมว่าคนไทยประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์ ได้ประโยชน์จากการแบ็กแพ็กนะ ไม่มากก็น้อย คือได้เดินทาง ดูโลก ท่องเที่ยวนะ แต่อีก 10 เปอร์เซ็นต์ ก็ยังมองว่า การแบ็กแพ็ก คือคนไทยก็จะมีนิยามการแบ็กแพ็กที่ต่างกันไปนะครับ จะมีแบบเที่ยวให้ถูกที่สุด หรือจะมารีวิว แล้วมีปัญหากัน ก็เป็นส่วนน้อยนะครับ แต่โดยรวมถือว่าได้ประโยชน์ครับ ผมว่ามันเป็นกระแสที่ดี และจะเป็นอย่างนี้ต่อไป เพราะว่าทำให้คนไทยฉลาดขึ้น เจ๋งขึ้น และรู้เรื่องโลกมากขึ้น ซึ่งตรงนี้ผมมองว่าดีมากเลย ชอบมากเลยครับ
• แล้วในเรื่องของวัฒนธรรมการแบ็กแพกเกอร์ไทยในปัจจุบันละครับ
ผมเริ่มแบ็กแพ็กตอนที่ผมมีไอโฟน 4 ครับ ตอนนั้นทุกคนยังไม่มีสมาร์ทโฟนเลย เพราะยุคนั้นอินเทอร์เน็ตยังไม่อยู่ในมือถือของทุกคนนะ แล้วมันทำให้มนุษย์มีความสุขกับธรรมชาตินะ แต่นักท่องเที่ยวแบ็กแพ็กสมัยนี้ คือต่อให้ไปเที่ยว ทุกคนก็ยังจะเล่นโทรศัพท์อยู่ อยู่กับอุปกรณ์สิ่งนี้ตลอด เวลาไปไหนก็จะมีการ Data Roaming ผมว่าคนท่องเที่ยวมันน่าที่จะไปอยู่กับสภาพแวดล้อม อยู่กับสังคมที่เราเจอครับ คืออยากให้ทุกคนมีความสุขกับช่วงเวลานั้นให้มากที่สุดครับ แล้วยุคต่อมา ก็จะเป็นวัฒนธรรมที่แข่งกันเที่ยวราคาถูก อันนี้ผมเห็นบ่อยมากเลย สำหรับผมคิดว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องผิดนะครับ แต่จุดเริ่มต้นสำหรับผมที่ผมเข้าใจนะครับ คืออาจจะเริ่มจากยุโรปที่คนนั่งรถไฟไปเที่ยว แล้วมันก็ต่อยอดมาเป็นหนังสือ Lonely Planet เที่ยวทุกรูปแบบจากอังกฤษไปออสเตรเลีย เขาจะคิดเลยว่า ทำยังไงที่จะมีเงินพอในช่วงเวลา 8 เดือน ที่จะไปออสเตรเลียให้ได้ เขาก็มีแบบทุลักทุเลพอสมควร แต่ตอนสุดท้าย เขาก็พบว่า การเดินทาง ถ้าคุณจะประหยัดทุกอย่าง มันก็จะไม่ได้ความสนุกนะ ซึ่งความสนุกนี้ก็คือ ดูที่ความสามารถของเราว่าเราจะไปได้ไกลขนาดไหน และวางแผนให้พอดี ไม่ต้องไปประหยัดขนาดนั้นก็ได้ ให้มีความสนุกในการท่องเที่ยว เพราะสุดท้ายแล้ว มันเป็นเรื่องของความสุขของเราครับ คือไม่ต้องไปแข่งขันขนาดนั้น ไปเที่ยวแบบมีความสุขดีกว่า
• เป้าหมายส่วนตัวต่อการท่องเที่ยว ที่อยากจะไปในอนาคตครับ
ผมอยากไปในสถานที่อื่นๆ ในทวีปอื่นมากเลย เพราะผมมองว่าเสน่ห์ในการท่องเที่ยวคือ มันไม่มีที่สิ้นสุดในที่ที่เราอยากจะไปครับ มันจะมีความรู้สึกที่แบบว่า อยากไปอีกๆ อีกนัยหนึ่ง มันเป็นแรงผลักดันให้เราเหมือนกันนะ ผมว่ามันเป็นยาชีวิตที่จะทำให้เรามีชีวิตต่อไปครับ ทำให้อยากไปเที่ยว อยากที่จะเห็นอะไรใหม่ๆ
ส่วนเป้าหมายหลักคือ ยังอยากที่จะทำงานในวงการนี้อยู่ อยากเขียนหนังสือเพิ่มและลึกขึ้น เล่าเรื่องให้สนุกขึ้น อยากจะทำวิดีโอเล่าเรื่องให้สนุกขึ้น มันอาจจะไม่ได้เป็นอาชีพหลักในชีวิต แต่มันก็ทำให้เรามีเป้าหมายที่เราจะอยากอยู่ต่อไป อยากที่จะมีเป้าหมายต่อไป ผมก็จะทำต่อไปเรื่อยๆ ครับ จนกว่าจะหมดแรงเดิน ก็จะเป็นแบบนั้น ก็ยังจะคงไม่หยุดเที่ยวน่ะครับ ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ได้มีรายได้กับการท่องเที่ยวเลย แต่ผมก็ยังจะไม่หยุดเที่ยว เพราะยังอยากที่จะเดินทาง ไปเห็นโลกมนุษย์เรา ซึ่งถ้าไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก ก็คงไม่รู้ว่าจะสนใจเรื่องอะไร โลกเราก็ไม่ได้ใหญ่อะไร ผมเชื่อว่าคนเราเกิดมาพร้อมกับการสงสัยว่า โลกคืออะไร มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ครับ ที่อยากจะทำ
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ภาพจาก Fanpage The Walking Backpack
ด้วยอิทธิพลจากทางบ้านที่มักจะพาท่องเที่ยวมาตั้งแต่เด็ก จนทลายความกลัวจากคำพูดของเพื่อนที่ว่า ‘ลองไปคนเดียวดูสิ’ นับจากวันนั้น เป็นระยะเวลากว่า 3 ปี ที่จิรภัทรได้ท่องโลกกว้าง เป็นแบ็กแพกเกอร์รุ่นแรกๆ ที่แบกเป้ออกเดินทาง...
• ก่อนหน้านี้ คุณมองคำว่า “การท่องเที่ยว” เป็นยังไง
ผมมองว่าการท่องเที่ยวคือการพักผ่อนครับ ไม่ต้องทำงาน อยู่เฉยๆ อยากจะไปในที่ที่สบายๆ นอนโรงแรมสบายๆ กินอาหารอร่อยๆ กับครอบครัว นี่คือสิ่งที่ผมมองในเรื่องการท่องเที่ยวสำหรับก่อนหน้านี้ คือทุกคนในบ้านผมจะชอบท่องเที่ยวกันอยู่แล้ว อย่างคุณพ่อผมจะชอบพาไปเที่ยวในช่วงวันหยุดราชการ เช่นปีใหม่ หรือในช่วงเทศกาลต่างๆ ส่วนใหญ่คุณพ่อจะพาไปกางเต็นท์ เดินป่า พาไปอยู่กับธรรมชาติ หรือไปเที่ยวตามอุทยานแห่งชาติน่ะครับ แล้วการท่องเที่ยวสมัยก่อนของที่บ้านจะเป็นในลักษณะแบบนั้น หรือบางปีก็ไปทะเล ซึ่งจริงๆ มันก็ไม่ลำบากนะครับ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นไปต่างประเทศ
• แล้วคุณเริ่มมีความคิดที่จะท่องเที่ยวด้วยตนเองตั้งแต่เมื่อไหร่
ผมเป็นคนที่ชอบเที่ยวอยู่แล้วครับ แต่ถ้าเริ่มท่องเที่ยวจริงๆ ก็คือตอนที่มาเรียนที่สิงคโปร์แล้ว ซึ่งตอนนั้นคืออยู่มหาวิทยาลัยปี 2 ครับ เหตุมันมาจากชีวิตในช่วงนั้นค่อนข้างเซ็งๆ เพิ่งเลิกกับแฟน และเหงาๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมก็เลยไปคุยกับรุ่นน้องคนหนึ่งว่า เบื่อจังเลย อยากไปดำน้ำที่เกาะเตียวมัน ประเทศมาเลเซียจังเลย แต่ก็ไม่มีคนไปด้วย ไม่มีใครว่าง และไม่มีใครดำน้ำเป็นครับ แล้วรุ่นน้องคนนั้นก็บอกกับผมว่า “ไปคนเดียวสิ” เราก็ตอบกลับไปว่า บ้ารึเปล่า มีแต่คนติสต์แตกเท่านั้นแหละที่ทำกัน เขาก็บอกว่าไม่เห็นเป็นไร ก็ไปคนเดียวเลย ถ้าไม่ชอบก็กลับมา แต่ถ้าชอบก็อยู่ต่อไปสิ เขาไม่บอกใครหรอก พอได้ยินคำนั้น ก็จัดกระเป๋าไปคนเดียวเลยครับ
• แล้วอะไรที่ทำให้คุณถึงตัดสินใจเลือกที่จะแบ็กแพ็กไป
อย่างที่บอกครับว่า รุ่นน้องคนนั้นที่บอกให้ไปคนเดียว ซึ่งเราในตอนนั้นก็ไม่รู้ว่า แบ็กแพ็กคืออะไร เราจะมีภาพความคิดที่ว่า ฝรั่งตัวใหญ่ๆ กระเป๋าใบใหญ่ๆ มาเที่ยวข้าวสาร ไปเที่ยวทะเล ปาร์ตี้ เที่ยวนานๆ เที่ยวไกลๆ เป็นแบบนี้หรือเปล่า หรือต้องพักราคาถูกหรือเปล่า ตอนนั้นเราก็ไม่มั่นใจในความหมายนั้น นั่นคือสิ่งที่ผมเข้าใจในก่อนที่จะเริ่มเดินทาง
แต่พอได้ไปแบบครั้งแรกอย่างเป็นทางการ ผมก็มาเจอกับเพื่อนที่เดินทางมานานๆ และไกลๆ มันรู้สึกเจ๋งมากเลย ผมค้นพบว่าการแบ็กแพ็กนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับโรงแรมถูกๆ การที่มีกระเป๋าใหญ่ๆ เที่ยวไกลๆ หรือนานๆ แต่มันเป็นเรื่องราวของการพบเจอผู้คน เรื่องราวจากนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง ที่มาพูดลักษณะแบบเล่าไปเรื่อยๆ ผมพบว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก มันเป็นโลกทัศน์ให้กับผม ซึ่งผมชอบมากเลย ได้ไปสัมผัสกับคนต่างประเทศ ต่างวัฒนธรรม ได้เรียนรู้สถานการณ์ ซึ่งมันเป็นอะไรที่เพิ่มการเรียนรู้ให้กับผมมาก ผมเลยชอบในการแบ็กแพ็กมาตั้งแต่นั้น ส่วนการตัดสินใจก็คงจะเป็นเรื่องของความเบื่อหน่าย และการอยากจะออกไปเที่ยวครับ จากการที่ไม่มีใครมาเที่ยวกับเรา ก็เลยต้องไปเที่ยวคนเดียว
• คุณกำลังจะบอกว่า สภาพแวดล้อมรอบตัวก็มีส่วนที่ทำให้อยากจะท่องเที่ยวด้วย
แน่นอนครับ เพราะถ้าเกิดเราอยู่ในสภาพแวดล้อมเพื่อนๆ ที่สนใจอย่างอื่น สมมติว่าเราอยู่กับเพื่อนที่ชอบเล่นกีฬา เราก็จะไปเล่นกีฬาตามเขา หรือถ้าเราอยู่กับเพื่อนที่สังสรรค์เฮฮา ก็อาจจะไปเฮฮากับเขา คือผมว่าสำคัญมากที่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ที่ทำให้เกิดความสร้างสรรค์ ทำให้เกิดประโยชน์ ผมว่ามันมีหลายๆ สภาพแวดล้อมมากมายที่เราทุกคนควรอยู่ครับ เราก็ควรจะมีเพื่อนเรียน เพื่อนเที่ยวหรือเพื่อนต่างๆ ผมว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญมากครับ อย่างผมก็ไม่ได้มีแค่เพื่อนที่ชอบเที่ยวเป็นหลักครับ แต่ผมมีเพื่อนที่ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์มากกว่า เพื่อนเล่นกีฬา หรือชอบทำกิจกรรม มันก็คอยผลักดันให้เราออกไปทำอะไรสนุกๆ ผมว่ามันสำคัญครับ
• อยากให้ช่วยเล่าถึงประสบการณ์แรกๆของการไปแบ็กแพ็กหน่อยครับว่าเป็นยังไง
ผมไปที่เกาะเตียวมัน ซึ่งเกาะนี้เป็นเกาะที่มีชื่อเสียงมากของมาเลเซียที่มีจุดเด่นในเรื่องการดำน้ำ ผมก็ไปแบบไม่ได้ไปจองโรงแรมอะไรเลยนะครับ เดินทางไปเจอโรงแรม ให้นอนก็ไปนอนที่นี่แหละ และก็ไปเจอเพื่อน 2 คน คนแรกชื่อคริส เป็นคนอังกฤษ เป็นนายธนาคารที่เพิ่งถูกไล่ออกมา เขามีเงินเก็บที่สามารถซื้อรถสปอร์ตได้เลยนะ แต่แทนที่เขาจะหางานใหม่ ไปใช้ชีวิตธรรมดา เขากลับใช้เงินนั้นเพื่อเดินทางรอบโลก ซึ่งคริสเขาสอนผมทุกอย่างเลยว่า เวลาเดินทางในที่ต่างๆ จะต้องเป็นแบบนี้ หาที่เที่ยว หาข้อมูลแบบนี้ เหมือนกับเป็นครูสอนท่องโลกให้กับผมเลย ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังคบกันอยู่ครับ อีกคนคือซาร่า เป็นนักกฎหมายชาวอเมริกัน ซาร่านี่เจ๋งและฉลาดมาก แล้วเรา 3 คนก็สนิทมาก อยู่ด้วยกันบนเกาะเตียวมันตั้ง 4 วัน คือเล่นน้ำด้วยกัน ไปใช้ชีวิตด้วยกัน และเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก ผมพบว่าการเดินทางแบบนี้มันเป็นเรื่องราวแบบเพื่อนเลยครับ ได้รู้จักคนใหม่ๆ มันเหมือนกับได้เปิดโลกใบใหม่ให้กับผมเลย ซึ่งทุกวันนี้ผมก็ยังคิดถึงทริปนั้นอยู่ และการแบ็กแพ็กในครั้งนั้นมันมีเสน่ห์สำหรับผมมากเลย
ส่วนอุปสรรคในการเดินทางของผมในช่วงแรกๆ ก็น่าจะเป็นเรื่องของการกลัวลำบากครับ เพราะผมมักจะเดินทางไปเผชิญด้วยตัวเองและไม่ได้วางแผนล่วงหน้าสักเท่าไหร่ ก็เลยกังวลในเรื่องความปลอดภัยของตัวเอง เพราะเราก็ห่วงว่าจะสามารถเอาตัวรอดได้มั้ย หรือจะมีที่นอนหรือเปล่า ประมาณนี้ครับ
• ในการเดินทางของคุณ นอกจากสร้างประสบการณ์ส่วนตัวแล้ว คิดว่าได้อะไรเพิ่มบ้าง
อย่างแรก มันทำให้ผมกล้าขึ้น กล้าที่จะพูด กล้าที่จะคุย กล้าที่จะตั้งคำถาม กล้าที่จะมีความคิดที่แตกต่าง ผมว่าต้องไปดูคนประเทศอื่นด้วยครับ จริงๆ คนประเทศอื่นเขาแสดงออกนะ แสดงออกในสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง บางทีเราอาจจะไม่ถูกก็ได้ แต่อย่างน้อยเรากล้าพูด ซึ่งการที่คนเรากล้าถกเถียงในความเห็นที่ต่างกันได้ เป็นสิ่งที่สำคัญ เราควรจะเรียนรู้ในการรับความคิดเห็น ผมว่าถ้าคนไทยได้เดินทาง เราน่าจะมีปัญหาน้อยลง
อย่างที่สอง ผมเริ่มเข้าใจและยอมรับในความแตกต่างของคนมากขึ้นครับ เวลาเราเดินทางไป จะพบเห็นความแตกต่างของคนเยอะมาก อย่างเวลาไปอินเดีย เป็นเวลา 1-2 เดือน แล้วพบว่า เราไม่สามารถที่จะตัดสินเขาจากมุมมองเราได้นะ เพราะประเทศของเขามันต่างจากของเรามาก เราไม่สามารถที่จะเอาตรรกะของเราไปตัดสินเขาได้ เพราะเขามาจากพื้นฐานสังคมที่แตกต่างจากของเรามากเลย เราก็เห็นจากความต่าง และยอมรับในสิ่งนั้น แล้วก็พยายามที่จะอยู่กับมันแค่นั้นเองครับ
สรุปแล้วก็คือ มันทำให้เราได้เห็นมุมมองที่เราไม่เคยเห็น อย่างเรื่องวัฒนธรรมประเพณี และที่สำคัญเลยคือเรื่องความคิดของคนในแต่ละประเทศครับ อย่างเช่น ฝรั่งเขาอาจจะเก่งกว่าเราในหลายๆ เรื่อง อย่างเรื่องการแสดงความคิดเห็น คือเขาพูดเก่งกว่าเรานะ โดยเฉพาะคนอเมริกานี่เก่งกว่าเรามากเลย พวกเขาแสดงความคิดเห็นและนำเสนอเก่ง ตอบโต้เก่งกว่า นั่นอาจจะเป็นข้อดีของเขา แต่ก็มีหลายมุมเช่นกันที่เขาก็ไม่ได้ดีกว่าเรานะ อย่างเรื่องความเกรงใจ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา เรื่องของการประณีตละเอียดอ่อน ผมว่าคนไทยจะได้ข้อนี้เยอะมากนะครับ คนไทยมีความ Nice ยิ้มง่าย หรืออย่างทักษะบางเรื่องที่คนไทยเก่งกว่านะครับ อย่างเรื่องความคิดสร้างสรรค์ หรือความตลกขบขัน ซึ่งผมมองว่ามันก็มีข้อดีของคนในแต่ละประเทศนะครับ ที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องเอาข้อดีของแต่ละประเทศมาใส่ในตัวเราให้ดีที่สุดครับ
หรืออย่างญี่ปุ่น พอเราได้ไปสัมผัส เราถึงเข้าใจเลยว่าทำไมคนญี่ปุ่นเขาถึงมีความคิดแบบนี้ คือสังคมของเขาดูมีการแข่งขันกันมากเลย ต้องทำตามวัฒนธรรมและกฎประเพณี มันทำให้เราเข้าใจว่าทำไมเขาถึงมีความคิดแบบนี้ แล้วการที่จะทำให้เราเอาความคิดและข้อดีมาใส่ในตัวเรา บางทีก็เป็นสิ่งสำคัญนะ มันทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น คือแต่ละประเทศเขาก็มีมุมมองหรือความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก มันเป็นเรื่องของการศึกษาวัฒนธรรมนะ เรื่องเชื้อชาติในแต่ละวัฒนธรรม เพราะมันเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับผมในการเดินทางครับ
• ในการเดินทางแต่ละครั้ง มีการทำการบ้านอย่างไรบ้าง
หลักๆ ก็จะมีการหาข้อมูลครับ หาข้อมูลให้ได้มากที่สุดในที่ที่จะไป สิ่งที่ผมจะทำ หรือบางอย่างที่คิดว่าปลอดภัยได้ อย่างตั๋วรถเมล์ที่เราจองล่วงหน้าได้ หรือที่พักที่เราไม่ค่อยจองเอาไว้ ก็ต้องมีการเตรียมตัวไว้เนิ่นๆ ส่วนที่เหลือก็ไปหาเอาข้างหน้าครับ คือเตรียมของให้พร้อมไว้ได้ก็ดีครับ แต่ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยเตรียมครับ จะเป็นการไปหาข้างหน้าเอาครับ (ยิ้ม)
• การเปิดแฟนเพจของคุณ เริ่มต้นมาจากความคิดอย่างไร
จริงๆ จะเรียกได้ว่า ผมไม่ได้ตั้งใจจะเปิดแฟนเพจเลยนะครับ แต่เหตุผลหลักๆ คือ ผมโพสต์รูปภาพลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวเป็นจำนวนมาก จนเพื่อนผมรำคาญ ประมาณว่า ทำให้คนอื่นอิจฉา ทำงานทำการไม่ได้เลย ผมก็เลยไปเปิดแฟนเพจเอาไว้ เพื่อที่จะโพสต์รูปเล่นๆ เพราะป้องกันเพื่อนรำคาญ แค่นี้เองครับ ก็มาโพสต์รูปลงในนี้ จนมีคนที่มาชอบและติดตาม ให้มาลองอ่านดู ก็ไม่เคยคิดว่าให้แรงบันดาลใจคนอื่นเลย เราก็เคยคิดเหมือนกันว่า มาเปิดแฟนเพจเพื่อเป็นแรงบันดาลใจคนอื่น มันก็ไม่ถูกต้องเท่าไหร่ แต่การที่เราสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา มันต้องเริ่มจากตัวเราก่อน เริ่มจากสิ่งที่ชอบ ซึ่งถ้าเราทำได้ดี คนอื่นก็จะสนใจเราเองครับ ผมคิดแบบนั้นครับ
• คุณมีทัศนคติการท่องเที่ยวแบบแบ็กแพ็กของคนไทยในปัจจุบันว่าเป็นยังไง
ผมมองว่าวงการแบ็กแพ็กไทยเดินทางมาไกลมากครับ จาก 3 ปี นับตั้งแต่ที่ผมทำงานตรงนี้เต็มตัวนะครับ สมัยก่อน แบกเป้เดินทางคนเดียว ผมว่าคนกล่าวหาว่าบ้า แล้วตอนที่ตั้งกระทู้ ผมมั่นใจว่าคนอ่านเยอะมากนะ แต่ไม่มีคนทำนะ จนเมื่อช่วงปัจจุบันนี้คือเป็นธรรมดามากขึ้นครับ คือการที่วัยรุ่นจะขอพ่อแม่ไปแบ็กแพ็กเริ่มเยอะขึ้น แล้วคนไทยก็เป็นคนที่ชอบแชร์ชอบเล่า ชอบตั้งกระทู้ ซึ่งพอมาตอนนี้ ผมรู้สึกว่าดีใจมากเลยครับ ซึ่งผมคิดเข้าข้างตัวเองนะว่า เราน่าจะเป็นหนึ่งในกระแสลมแรกๆ ที่เริ่มสภาวการณ์หมุนเวียนของการท่องเที่ยวแบบแบ็กแพ็ก ซึ่งผมเชื่อว่าก็มีหลายคนที่อยากจะทำแบบนี้เหมือนกันนะ แต่ก็ไม่กล้าเพราะกลัวถูกมองว่าบ้า แต่พอเริ่มมีคนทำกันมา 2-3 คน ก็เริ่มที่จะกล้าทำตาม คราวนี้มาเป็นแก๊งเลย
โดยรวมคนไทยมองในแง่ดีนะ คือได้ไปในการท่องเที่ยวจริงๆ ได้ไปเห็นโลก ได้ไปสัมผัสจริงๆ ผมว่าคนไทยประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์ ได้ประโยชน์จากการแบ็กแพ็กนะ ไม่มากก็น้อย คือได้เดินทาง ดูโลก ท่องเที่ยวนะ แต่อีก 10 เปอร์เซ็นต์ ก็ยังมองว่า การแบ็กแพ็ก คือคนไทยก็จะมีนิยามการแบ็กแพ็กที่ต่างกันไปนะครับ จะมีแบบเที่ยวให้ถูกที่สุด หรือจะมารีวิว แล้วมีปัญหากัน ก็เป็นส่วนน้อยนะครับ แต่โดยรวมถือว่าได้ประโยชน์ครับ ผมว่ามันเป็นกระแสที่ดี และจะเป็นอย่างนี้ต่อไป เพราะว่าทำให้คนไทยฉลาดขึ้น เจ๋งขึ้น และรู้เรื่องโลกมากขึ้น ซึ่งตรงนี้ผมมองว่าดีมากเลย ชอบมากเลยครับ
• แล้วในเรื่องของวัฒนธรรมการแบ็กแพกเกอร์ไทยในปัจจุบันละครับ
ผมเริ่มแบ็กแพ็กตอนที่ผมมีไอโฟน 4 ครับ ตอนนั้นทุกคนยังไม่มีสมาร์ทโฟนเลย เพราะยุคนั้นอินเทอร์เน็ตยังไม่อยู่ในมือถือของทุกคนนะ แล้วมันทำให้มนุษย์มีความสุขกับธรรมชาตินะ แต่นักท่องเที่ยวแบ็กแพ็กสมัยนี้ คือต่อให้ไปเที่ยว ทุกคนก็ยังจะเล่นโทรศัพท์อยู่ อยู่กับอุปกรณ์สิ่งนี้ตลอด เวลาไปไหนก็จะมีการ Data Roaming ผมว่าคนท่องเที่ยวมันน่าที่จะไปอยู่กับสภาพแวดล้อม อยู่กับสังคมที่เราเจอครับ คืออยากให้ทุกคนมีความสุขกับช่วงเวลานั้นให้มากที่สุดครับ แล้วยุคต่อมา ก็จะเป็นวัฒนธรรมที่แข่งกันเที่ยวราคาถูก อันนี้ผมเห็นบ่อยมากเลย สำหรับผมคิดว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องผิดนะครับ แต่จุดเริ่มต้นสำหรับผมที่ผมเข้าใจนะครับ คืออาจจะเริ่มจากยุโรปที่คนนั่งรถไฟไปเที่ยว แล้วมันก็ต่อยอดมาเป็นหนังสือ Lonely Planet เที่ยวทุกรูปแบบจากอังกฤษไปออสเตรเลีย เขาจะคิดเลยว่า ทำยังไงที่จะมีเงินพอในช่วงเวลา 8 เดือน ที่จะไปออสเตรเลียให้ได้ เขาก็มีแบบทุลักทุเลพอสมควร แต่ตอนสุดท้าย เขาก็พบว่า การเดินทาง ถ้าคุณจะประหยัดทุกอย่าง มันก็จะไม่ได้ความสนุกนะ ซึ่งความสนุกนี้ก็คือ ดูที่ความสามารถของเราว่าเราจะไปได้ไกลขนาดไหน และวางแผนให้พอดี ไม่ต้องไปประหยัดขนาดนั้นก็ได้ ให้มีความสนุกในการท่องเที่ยว เพราะสุดท้ายแล้ว มันเป็นเรื่องของความสุขของเราครับ คือไม่ต้องไปแข่งขันขนาดนั้น ไปเที่ยวแบบมีความสุขดีกว่า
• เป้าหมายส่วนตัวต่อการท่องเที่ยว ที่อยากจะไปในอนาคตครับ
ผมอยากไปในสถานที่อื่นๆ ในทวีปอื่นมากเลย เพราะผมมองว่าเสน่ห์ในการท่องเที่ยวคือ มันไม่มีที่สิ้นสุดในที่ที่เราอยากจะไปครับ มันจะมีความรู้สึกที่แบบว่า อยากไปอีกๆ อีกนัยหนึ่ง มันเป็นแรงผลักดันให้เราเหมือนกันนะ ผมว่ามันเป็นยาชีวิตที่จะทำให้เรามีชีวิตต่อไปครับ ทำให้อยากไปเที่ยว อยากที่จะเห็นอะไรใหม่ๆ
ส่วนเป้าหมายหลักคือ ยังอยากที่จะทำงานในวงการนี้อยู่ อยากเขียนหนังสือเพิ่มและลึกขึ้น เล่าเรื่องให้สนุกขึ้น อยากจะทำวิดีโอเล่าเรื่องให้สนุกขึ้น มันอาจจะไม่ได้เป็นอาชีพหลักในชีวิต แต่มันก็ทำให้เรามีเป้าหมายที่เราจะอยากอยู่ต่อไป อยากที่จะมีเป้าหมายต่อไป ผมก็จะทำต่อไปเรื่อยๆ ครับ จนกว่าจะหมดแรงเดิน ก็จะเป็นแบบนั้น ก็ยังจะคงไม่หยุดเที่ยวน่ะครับ ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ได้มีรายได้กับการท่องเที่ยวเลย แต่ผมก็ยังจะไม่หยุดเที่ยว เพราะยังอยากที่จะเดินทาง ไปเห็นโลกมนุษย์เรา ซึ่งถ้าไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก ก็คงไม่รู้ว่าจะสนใจเรื่องอะไร โลกเราก็ไม่ได้ใหญ่อะไร ผมเชื่อว่าคนเราเกิดมาพร้อมกับการสงสัยว่า โลกคืออะไร มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ครับ ที่อยากจะทำ
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ภาพจาก Fanpage The Walking Backpack