xs
xsm
sm
md
lg

เปิด...“ชมรมบรรณาธิการ” ยกระดับ!! มาตรฐานวิชาชีพคนทำหนังสือ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อาจคล้ายเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มเฉพาะอาชีพ แต่นั่นหาใช่ความจริง เพราะเมื่อเอ่ยถึง “บรรณาธิการ” คำนี้เกี่ยวพันแทบทุกคนบนแผ่นดินที่รู้หนังสือ เพราะคนรู้หนังสือจะได้รับสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ด้อย ปัจจัยส่วนหนึ่งซึ่งสำคัญมากก็คือคนที่นั่งเก้าอี้ “บรรณาธิการ”



เปิดใจ.. “วิทยา ร่ำรวย” และ “สุชาดา สหัสกุล” สองบุคคลสำคัญ ฟันเฟืองตัวหลักๆ ในการริเริ่มชมรมบรรณาธิการที่มีฝันอันงดงามเพื่อความงอกเงยพัฒนาของแวดวงหนังสือเมืองไทย เกื้อกูลความรู้และประสบการณ์ สร้างมาตรฐานวิชาชีพคนทำหนังสืออย่างเป็นระบบ
วิทยา ร่ำรวย ประธานคณะทำงานเพื่อก่อตั้งชมรมบรรณาธิการ และสุชาดา สหัสกุล” คณะกรรมการสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษก่อน แวดวงหนังสืออาจเป็นแหล่ง “ชุมนุมมังกร ซ่อนพยัคฆ์” ที่แต่ละคนบนยุทธจักรต่างมีสำนักและเพลงยุทธเฉพาะตัว แตกต่างกันไป แต่นี่คือเสียงแรกแห่งปี่เสียงกลองก้องประโคม ตีฆ้องร้องป่าวชวนเชิญเหล่าพยัคฆ์และมังกร เคลื่อนขุมกำลังจากที่ซ่อนซุ่ม มารวมกลุ่มกัน เปิดเผยแลกเปลี่ยนเพลงยุทธ สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการหนังสือ ในนาม “ชมรมบรรณาธิการ”

ก่อนจะมีการประชุมสามัญครั้งที่ 1 ในช่วงปลายเดือนเมษายนนี้เพื่อคัดเลือกประธานและคณะผู้บริหารดำเนินงาน เราจับเข่าคุยกับสองบุคคลที่นับว่าเป็นส่วนหนึ่งในต้นหนผู้ร่วมกันขับเคลื่อน “ชมรมบรรณาธิการ” มาตั้งแต่เริ่มตั้งไข่...คนแรก “วิทยา ร่ำรวย" บรรณาธิการสำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ซึ่งรับหน้าที่เป็นประธานคณะทำงานเพื่อก่อตั้งชมรมบรรณาธิการ...คนที่สอง “สุชาดา สหัสกุล” คณะกรรมการสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย...

• เห็นว่ามีการร่วมมือกันหลายฝ่ายเพื่อก่อตั้งชมรมบรรณาธิการไทยขึ้นมา อยากให้เล่าย้อนสักเล็กน้อยถึงที่มาของการก่อเกิดชมรมฯ

วิทยา ร่ำรวย : เมื่อปลายปี 2558 มีการประชุมบรรณาธิการ 70 คน และมีมติออกมาว่าเราจะมีการตั้งชมรมบรรณาธิการไทย จากนั้นที่ประชุมก็คัดเลือกคน 10 คนเป็นคณะทำงาน โดยมีผมเป็นประธานในการร่างระเบียบข้อบังคับของชมรมเพื่อเตรียมการประชุมสามัญและเลือกตั้งคณะกรรมการชุดแรก และในวันที่ 28 เมษายนที่จะถึงนี้ จะมีการประชุมสามัญครั้งที่ 1 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการชมรม จากนั้น คณะกรรมการชมรมก็จะทำหน้าที่บริหารงานต่อ และหน้าที่ของพวกผม 10 คนก็จะหมดลงไป

ผมมองว่าแต่เดิม สมัย 30-40 ปีที่ผ่านมา การพิมพ์หนังสือสักเล่ม ผู้เขียนจะเดินถือต้นฉบับมาหาคนที่เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ ซึ่งก็คือเจ้าของโรงพิมพ์ และเจ้าของโรงพิมพ์ก็เหมือนบรรณาธิการไปในตัว แต่ว่าไม่ได้ทำอะไรนอกจากส่งโรงพิมพ์ หรือเจ้าของสำนักพิมพ์อาจจะรับคนงานไว้สักหนึ่งคนและถูกชื่อปักไว้ว่าเป็นบรรณาธิการ ตรงนี้จึงทำให้คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำว่าบรรณาธิการ เพราะจริงๆ บรรณาธิการมีหน้าที่มากกว่านั้น มากกว่าการนำต้นฉบับเสร็จมาจากนักเขียนแล้วแล้วส่งให้ฝ่ายจัดหน้าเขาทำต่อ

พองานหนังสือพัฒนามาเรื่อยๆ งานต้นฉบับมีความหลากลายมากขึ้น ทั้งงานฟิกชั่น (นวนิยาย) สารคดี อะไรต่างๆ ระบบบรรณาธิการหรือคนที่เตรียมต้นฉบับก็เริ่มเข้ามามีบทบาท นอกจากนั้น ช่วงหลังๆ ตลาดเริ่มเปลี่ยน เริ่มมีหนังสือเจาะเฉพาะกลุ่มมากขึ้น เราก็ต้องอาศัยบรรณาธิการเฉพาะกลุ่มนั้นๆ เกิดขึ้นมา ดังนั้น บทบาทบรรณาธิการก็เริ่มเข้ามามีส่วนในการเตรียมต้นฉบับ แต่บางที บางคนก็อาจจะสับสนว่าหน้าที่หรืออาชีพบรรณาธิการจริงๆ แล้วคืออะไร ตรงนี้ก็เป็นหน้าที่ของชมรมที่จะให้ความรู้ความเข้าใจแก่กัน เมื่อชมรมรวมตัว มีบรรณาธิการรุ่นอาวุโส รุ่นกลาง ไปจนถึงบรรณาธิการรุ่นใหม่ จะเกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์สู่กันและกัน ก็จะทำให้เกิดการพัฒนาวิชาชีพซึ่งสอดคล้องกับการพัฒนาคุณวุฒิวิชาชีพ

ที่สำคัญ เราอยากทำวิชาชีพงานบรรณาธิการให้มันเป็นมาตรฐาน ถึงขั้นที่ว่าต่อไปจะยกระดับเรื่องของจริยธรรมบรรณาธิการ เช่น เรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ ถ้าเกิดว่ามีการไปละเมิดลิขสิทธ์สำนักพิมพ์ไหน เล่มไหน นักเขียนคนไหน คือคนละเมิดจริงๆ ก็คือบรรณาธิการแหละครับ อันนี้ผมพูดตรงๆ เพราะบรรณาธิการเป็นคนที่จะสั่งว่าจะให้ลงหรือไม่ลง พิมพ์หรือไม่พิมพ์ ตรงนี้ก็จะเป็นอีกหนึ่งบทบาทของชมรมที่จะช่วยกันกระตุ้น

ขณะเดียวกัน ตอนนี้ AEC มาแล้ว ทุกวิชาชีพก็จะต้องพัฒนาตัวเอง ยกระดับตัวเอง เพราะต่อไปเราอาจจะไปทำงานอื่นหรือเขาอาจจะมาทำงานบ้านเรา การทำเรื่องการพัฒนาวิชาชีพที่จะมีการสอบวัดระดับ เพื่อทำให้วิชาชีพถูกยกระดับ มีมาตรฐานวิชาชีพขึ้นมา

สุชาดา สหัสกุล : ขอเสริมตรงนี้สักหน่อยค่ะว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทยทราบข่าวมาว่าทางสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) TPQI เขาได้เปิดให้ทำเรื่องมาตรฐานวิชาชีพ ในอาชีพต่างๆ ที่ยังไม่มีมาตรฐาน โดยที่เขาสนับสนุนงบประมาณ เราก็มองว่าอาชีพบรรณาธิการเรายังไม่มีตรงนั้น เห็นว่าควรทำให้เกิดมี โดยชมรมบรรณาธิการจะครอบคลุมทั้ง 6 วิชาชีพ ได้แก่ นักเขียน นักแปล บรรณาธิการ พนักงานพิสูจน์อักษร วาดภาพประกอบ และกราฟฟิก โดย 6 อาชีพนี้คือบุคคลากรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตหนังสือ แต่ 6 อาชีพนี้กลับไม่มีการสอนในสถาบันการศึกษาอย่างจริงจัง เรามักจะได้บุคลากรมาจากสายอักษรศาสตร์บ้าง ศิลปศาสตร์บ้าง หรือแม้แต่วิศวะและหมอมาทำ อีกทั้งมันไม่มีแบบอย่าง ต่างคนต่างทำงาน ต่างคนก็มีสไตล์ของตัวเอง รูปแบบของตัวเอง ก็เลยคิดว่าตรงนี้น่าจะเป็นโอกาสอันดี เพราะเรามองว่าเราจะได้มาตรฐานขึ้นมาหนึ่งอย่าง มีคู่มือขึ้นมา จุดนี้คือความคิดเริ่มต้น เราจึงเสนอไปทางสถาบันมาตรฐานวิชาชีพ และเนื่องจากเป็นการทำงานนอกระบบการศึกษา เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ เราจึงเชิญบุคลากรที่มีความรู้ที่อยู่ในแวดวงมาถอดประสบการณ์ และได้องค์ความรู้มาหนึ่งชุดในแต่ละวิชาชีพ

ถึงตอนนี้ มีสมาคมนักแปลและล่าม สมาคมห้องสมุด 2 และสมาคมนักเขียนที่มาช่วยกัน ในการที่จะส่งข่าวสารให้ถึงหูบรรณาธิการให้ได้ จริงๆ ตอนนี้มีอีกชมรมนะคะ มีชมรมนักออกแบบภาพประกอบ ตรงนี้เป็นนิมิตหมายที่ดี ทำให้คนที่ทำงานอยู่ใน 6 อาชีพนี้จับมือรวมตัวกัน

• ชมรมฯ ได้รับการสนับสนุนด้านทุนก่อตั้งหรือดำเนินการจากที่ไหนอย่างไรคะ

วิทยา ร่ำรวย : ตอนนี้เรายังไม่มีตัวงบประมาณที่ชัดเจนครับ นอกจากสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ที่ได้มีการสนับสนุนเงินบางส่วน เช่น เรื่องของค่าใช้จ่ายในการประชุม อย่างการประชุมเมื่อครั้งที่แล้วก็มีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นผู้สนับสนุน มีองค์กรส่วนนอกมาช่วยสนับสนุนก่อน หรือในการประชุมสามัญครั้งที่ 1 ทางสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ก็ได้สนับสนุนในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการประชุม ช่วงเริ่มต้น เรายังไม่มีงบประมาณจากที่อื่นๆ รายได้หลักๆ ตอนนี้เป็นรายได้จากสมาชิกที่มีคนมาสมัครเป็นสมาชิกชมรม ซึ่งเรากำหนดไว้ว่าสมาชิกชมรมปีละ 300 บาท สมาชิกตลอดชีพ 5,000 บาท ซึ่งก็เป็นรายได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็คงยังไม่พอ เราหวังว่าคณะกรรมการชุดแรกที่จะดำเนินงานต่อจากนี้ น่าจะทำหน้าที่ในการจัดกิจกรรมเพื่อให้มีงบประมาณขึ้นมา ตอนนี้เราก็เหมือนกับใช้เงินส่วนตัวบ้าง

• จะว่าไป มีความจำเป็นแค่ไหนอย่างไรในการมีชมรมบรรณาธิการคะ แล้วคนทั่วไปจะได้อะไรจากสิ่งที่เราทำอยู่ตรงนี้บ้าง

วิทยา ร่ำรวย : จริงๆ ผมว่าช้าไปด้วยซ้ำนะครับ ถ้าพูดถึงความจำเป็น เพราะชมรมบรรณาธิการควรจะเกิดมาตั้งนานแล้ว อย่างในเมืองนอกเขาก็มีชมรม มีสมาคมแบบนี้ เราหวังว่า ต่อไป หลังจากตั้งชมรมบรรณาธิการแล้ว เราจะยกระดับเป็นสมาคมบรรณาธิการไทย เพราะวิชาชีพบรรณาธิการเป็นหัวเรือใหญ่ของงานผลิตหนังสือ และตัวหนังสือ เราก็รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นธงนำของการที่จะให้ความคิดความอ่านต่อสังคม ฉะนั้น ถ้ามาตรฐานคนที่ผลิตหนังสือไม่สูงพอ การผลิตหนังสืออะไรต่างๆ มันคงไม่ถูกยกระดับขึ้นมา แต่ตรงนี้คงเป็นสิ่งที่สามารถทำให้อาชีพบรรณาธิการได้ถูกยกระดับขึ้นมา และจะส่งผลต่องานหนังสือ งานดูแลลิขสิทธิ์ รวมทั้งเรื่องจริยธรรม

ส่วนคนทั่วไปจะได้รับอานิสงส์จากตรงนี้ด้วย เพราะถ้าเราสร้างคนให้มีคุณภาพ ผลิตผลงานออกไป ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ เราก็จะได้งานที่มีคุณภาพ เหมือนอย่างการปลูกส้ม ถ้าเราปลูกส้มที่มีคุณภาพ เราก็จะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ เช่นเดียวกัน สังคมก็จะได้ผลพวงจากตรงนี้ด้วย

• คำว่า “ชมรม” ฟังดูไม่ค่อยทางการ และชวนให้รู้สึกรื่นเริงพักผ่อนหย่อนใจ จริงๆ แล้ว วางหมุดหมายในการดำเนินกิจกรรมไว้อย่างไรบ้างคะ

วิทยา ร่ำรวย : ตรงส่วนนี้ คณะกรรมการชุดใหม่จะเป็นผู้ดำเนินการต่อไปครับ ผมยังตอบไม่ได้ แต่ว่าโดยหลักแล้ว น่าจะมีการจัดอบรมเพื่อยกระดับคนที่สนใจในอาชีพบรรณาธิการตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งก็จะช่วยทำให้คนที่สนใจเขามาถูกทาง คือแต่เดิม ต้องบอกตรงๆ ว่าคนทำงานอาชีพนี้ส่วนใหญ่จะเป็นประมาณว่า “ครูพักลักจำ” คือไปทำงานกับคนที่ทำหนังสือเก่งๆ แล้วก็ค่อยเรียนรู้ไป ทำตามเขาไปเรื่อยๆ จนมีประสบการณ์ แต่ว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งตรงนี้ทางชมรมฯ ก็จะมีห้องเรียนสอนวิชาชีพบรรณาธิการโดยเฉพาะ พอเขาเรียนจบแล้วและไปสอบอบรม สอบคุณวุฒิ ได้ใบวิชาชีพหรือใบคุณวุฒิ ก็จะทำให้เขาสามารถไปประกอบอาชีพได้ สามารถพัฒนาตัวเองต่อไปได้

 • เห็นว่าคุณวิทยาเคยเขียนข้อความขนาดยาวสองสามตอนไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ในหัวข้อ “บรรณาธิการคือใคร” ในแง่หนึ่งซึ่งรู้สึก เหมือนกับความศักดิ์สิทธิ์หรือความขลังของคำว่า “บรรณาธิการ” ได้เลือนหายไปมากแล้วในยุคนี้ ตรงนี้คิดว่าเป็นเพราะอะไร และ “ชมรมบรรณาธิการ” จะกอบกู้จุดนั้นกลับคืนมาได้อย่างไรหรือไม่

วิทยา ร่ำรวย : ตอนนี้อาชีพบรรณาธิการมีแล้วนะครับ เพราะเขาจดทะเบียนแล้ว เท่ากับว่าต่อไปนี้ ในการทำบัตรประชาชน เราสามารถกำหนดไปได้เลยว่าเรามีอาชีพบรรณาธิการ มันระบุได้แล้ว แต่ก่อนมันไม่มี อย่างไรก็ดี ผมมองว่าสำนักพิมพ์มีหลายระดับ บางคนพอมีชื่อเป็นบรรณาธิการก็ไม่รู้ว่าหน้าที่ของตัวเองคืออะไร อย่างสำนักพิมพ์เล็กๆ มีเจ้าของอยู่ จริงๆ เจ้าของก็คือเป็นบรรณาธิการนั่นแหละครับ เพียงแต่หาคนมาช่วยเขา ซึ่งตัวเขาเป็นเจ้าของ เขาก็เลยตั้งตัวเองเป็นผู้อำนวยการและคนที่ถูกจ้างให้มาช่วยก็ถูกใส่ชื่อว่าเป็นบรรณาธิการ ซึ่งคนที่ถูกจ้างก็ไม่ได้ทำอะไรมาก เพียงแค่ไปรับต้นฉบับมาจากนักเขียน ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่เลย ทำให้เขาเข้าใจคำว่าอาชีพบรรณาธิการไม่ครบถ้วน แทนที่เขาจะพัฒนาตัวเองไปในสายอาชีพ ก็ไม่ได้พัฒนา เพราะเขาไม่รู้ เขานึกว่าอาชีพเขามีแค่นี้ ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่

นั่นเป็นส่วนหนึ่งซึ่งจุดประกายให้เราต้องทำตรงนี้ขึ้นมา เป็นการทำให้เข้าใจกันว่าอาชีพบรรณาธิการมีหน้าที่อะไรบ้าง เช่น มีหน้าที่ทำต้นฉบับ คุยกับนักเขียน แก้ไขติติงต้นฉบับ ทำโครงสร้างหนังสืออะไรต่างๆ อาจจะถึงขั้นวางคอนเซ็ปต์ของหนังสือให้ชัดเจนเพื่อควบคุมการออกแบบให้เป็นไปตามนั้น แต่การควบคุมการออกแบบไม่ใช่อยู่ดีๆ นึกลอยๆ ว่าชอบแบบนั้นแบบนี้ แต่เราต้องรู้ตลาดหนังสือและงานออกแบบหนังสือด้วยว่ามันควรจะเป็นอย่างไร เพื่อสามารถผลิตหนังสือออกไปสู่ตลาดผู้บริโภคได้ให้เป็นมาตรฐาน ขณะเดียวกัน ตัวบรรณาธิการเองก็ต้องรู้ด้วยว่าการออกแบบแบบนี้จะเข้าสู่ระบบการพิมพ์ได้ไหม เพราะการพิมพ์ก็จะมีสเปกต์ของมัน เพราะฉะนั้น ทั้งหมดนี้มันอยู่ที่บรรณาธิการแต่ละระดับ ซึ่งเขาจะมีความรู้แต่ละขั้นไป ระดับต้นๆ ก็อาจจะรู้ในส่วนของขั้นต้นก่อน ระดับ 3 ระดับ 4 ระดับ 5 จนถึงระดับ 6 คือบรรณาธิการบริหารซึ่งใครเป็นบรรณาธิการบริหารก็ถือว่าเป็นบรรณาธิการระดับ 6 ระดับสูงสุดซึ่งจะรู้กระบวนการหนังสือทั้งระบบ

• ถ้าจะมีอะไรที่เป็นหัวใจสำคัญ คุณคิดว่าบรรณาธิการตัวจริงจะต้องรู้และจะต้องทำอะไรบ้าง

วิทยา ร่ำรวย : ในฐานะที่ผมทำงานด้านบรรณาธิการมานานเกือบ 30 ปี ผมว่าต้นฉบับคือหัวใจสำคัญนะครับ เพราะถ้าบรรณาธิการไม่สามารถจะตีโจทย์ต้นฉบับได้ หรือไม่เข้าใจมัน คุณก็จะจัดการมันไม่ได้ อย่างนักเขียนใหญ่ส่งต้นฉบับมาทั้งแฟ้ม คุณต้องมองว่าคุณจะทำโครงสร้างหนังสืออย่างไร คุณจะทำยังไงให้คนอ่านอ่านแล้วเข้าใจ เราจะเรียงลำดับความคิดยังไง จะเอาอะไรไปอยู่ตรงไหน ข้อมูลที่นักเขียนส่งมาถูกหรือผิด ต้องตรวจสอบ คุณจะมีวิธีตรวจสอบยังไง และถ้าข้อมูลไม่ถูกต้อง เช่น ข้อมูลที่เขียนมา เขียนตั้งต้นมาอย่างหนึ่ง ทำไมสรุปอีกอย่างหนึ่ง บรรณาธิการต้องมีการเข้าไปคุย

• งานบรรณาธิการเป็นงานของคนที่มีพรสวรรค์หรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ คุณสมบัติข้อนี้ได้มาจากอะไร

วิทยา ร่ำรวย : แน่นอนว่าบรรณาธิการจะต้องเป็นนักอ่าน ต้องอ่านหนังสือเข้าใจ ซึ่งการจะเป็นนักอ่านมันจะผูกไปเองว่าพอเขียนหนังสือได้ แต่ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นนักเขียนเก่งมากมาย เพราะว่าอยู่ดีๆ เป็นบรรณาธิการแต่เขียนหนังสือไม่เป็นตัวเลย มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะบรรณาธิการก็มีหน้าที่อ่านว่าต้นฉบับชุดนั้นชุดนี้มันมีปัญหาอะไรซึ่งอันนี้เป็นคุณสมบัติพื้นฐานของคนที่จะมาทำงานบรรณาธิการ ต้องอ่านหนังสือและเข้าใจ เพราะไม่อย่างนั้นจะจัดการต้นฉบับไม่ได้

งานด้านบรรณาธิการเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ศาสตร์คือการบริหารจัดการด้านหนังสือ สมมุติว่าสารคดีมันต้องมีโครงสร้างยังไง มันเดินเรื่องอย่างไร งานหนังสือนิยายมันต้องมีโครงสร้างต้นฉบับยังไง อย่างนิยาย คุณก็ต้องรู้ว่านิยายที่คุณอ่านมันมีวิธีการเล่าเรื่องแบบนั้นแบบนี้ หรืออยู่ดีๆ คนเขียนนิยายมาใช้วิธีการเล่าเรื่องหลายรูปแบบจนสับสนปนเป แสดงว่างานนี้เป็นงานนิยายที่ใช้ไม่ได้นะ บรรณาธิการจะต้องรู้แล้วคุยกับผู้เขียนได้ว่าอะไรยังไงเพื่อที่จะได้สื่อสารกับผู้เขียนเพื่อให้มีการปรับปรุงงาน ทำให้งานมีมาตรฐาน ส่วนเรื่องของศิลป์ สมมุติว่าเราจะสื่อสารหนังสือเล่มนี้ไปสู่คนกลุ่มเจเนอเรชั่น X เราก็ต้องเข้าใจว่าคนกลุ่มเจเนอเรชั่น X เป็นยังไงเพื่อเราจะได้รู้ว่าหนังสือนี้มันสื่อสารได้ไหม พูดง่ายๆ ว่าหนังสือเล่มนี้ควรจะมีภาพประกอบไหม เราก็ต้องคิด ต้องมีคำตอบให้แน่ชัดด้วยว่าควรมีเพราะอะไร ไม่ควรมีเพราะอะไร ภาพประกอบลายเส้นควรจะเป็นแบบไหน ก็ต้องคิดว่ากลุ่มคนอ่านเป็นแบบไหน เป็นใคร และมันจะต้องผูกการคิดไปทั้งระบบ ตัวบรรณาธิการเองก็จะต้องเข้าใจในงานนั้นๆ นี่คืองานศิลป์ เพราะฉะนั้น ระหว่างศาสตร์กับศิลป์ เขาต้องรู้

• แล้วถ้ามองกว้างออกไปถึงยุคสมัยปัจจุบันที่สื่อสมัยใหม่อนุญาตให้ใครจะเขียนจะพิมพ์อะไรก็ได้ ซึ่งมีไม่น้อยที่เขียนออกมาในเชิงบทความขนาดยาว และคนเขียนเหล่านั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีบรรณาธิการ ตรงนี้คุณมองอย่างไร

วิทยา ร่ำรวย : การเขียนในโลกออนไลน์หรือเขียนในโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook อันนั้นผมมองว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา เป็นสิ่งที่เขาจะต้องรับผิดชอบเอง ก็จะเป็นเรื่องของสังคมที่จะเข้าไปพูดคุย ซึ่งเราไม่มีทางปิดกั้นได้ แต่ถ้าเป็นเว็บไซค์ที่มีบรรณาธิการดูแล ก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างเว็บไซต์เขาก็จะมีบรรณาธิการคอยดูแล แต่ถ้าเป็น Facebook คนที่เสพเขาก็จะรู้ว่าเป็นความคิดของคนคนหนึ่ง คือเรามีอาชีพเป็นบรรณาธิการ เราก็ทำได้เท่าที่อาชีพเราบอกว่าเราทำได้ เราไม่สามารถจะไปจับผู้ร้ายได้ครับ

• ถามในส่วนของการเป็นสมาชิกหน่อยค่ะว่าตอนนี้มีสมาชิกแล้วกี่คนคะ แล้วถ้าเป็นสมาชิกแล้วจะได้สิทธิ์อะไรบ้าง

วิทยา ร่ำรวย : ผมว่าแค่แลกเปลี่ยนประสบการณ์ก็ถือว่าคุ้มแล้ว และเขาก็จะได้มองเห็นว่าเขามีส่วนช่วยในการยกระดับวงการนี้ ซึ่งตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการรับสมัครครับ ใครที่สนใจก็มาสมัครได้ ไม่ว่าจะบรรณาธิการเก่าหรือบรรณาธิการใหม่ เพราะมันจะเป็นเวทีเดียวที่บรรณาธิการหลายรุ่นจะได้มาพบกัน ถือเป็นการมารวมกันเพื่อพัฒนาอาชีพของตัวเองครับ

สุชาดา สหัสกุล : มันเป็นขั้นตอนแบบนี้ค่ะ เนื่องจากว่าเราทำมาตรฐานเสร็จ เราก็จะมีแต่ละอาชีพ จะมีระดับไม่เท่ากัน อย่างนักเขียนจะเริ่มต้นที่ระดับ 4-7 นักแปลก็จะเริ่มต้นที่ระดับ 4-6 แต่ละระดับเขามองว่าประเทศไทยน่าจะอยู่ที่ระดับนี้ ดังนั้นคือระดับจะไม่เท่ากัน อันนี้อันที่1 ส่วนอันที่ 2 ในกลุ่มบรรณาธิการ ก็จะมีแยกสายออกไปอีกนะคะว่ามีบรรณาธิการสายอะไร อย่างบรรณาธิการกับบรรณาธิการบริหารก็ไม่เหมือนกัน ตรงนี้ก็จะมีการสอน เราจะทำให้มีคุณภาพมากขึ้นค่ะ

อีกอย่างหนึ่ง เราจะทำศูนย์รับรองมาตรฐานและทำการทดสอบเพื่อจะได้ใบเซอร์ ต้องมีการออกข้อสอบ มีเจ้าหน้าที่คุมสอบ มีคนประเมินผลข้อสอบ ข้อสอบนี้จะถูกเก็บไว้เป็นความลับ อยู่ที่สามัญคุณวุฒิวิชาชีพ จะทำเหมือนสอบเอนทรานซ์ คนออกข้อสอบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการคุมสอบ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสัมภาษณ์ใดๆ

จริงๆ ไม่อยากให้ทุกคนมาตั้งคำถามว่าเป็นสมาชิกแล้วได้อะไร เพราะจริงๆ แล้ว จุดเริ่มต้นที่คุณอยู่ในวงการวิชาชีพนี้คุณควรให้อะไรกับวงการนี้มากกว่า โดยเฉพาะผู้อาวุโสหรือผู้ที่มีประสบการณ์มากๆ อยากจะเชิญให้มาสมัคร เพราะท่านเป็นบุคลากรที่มีศักยภาพสูง พร้อมที่จะถ่ายทอดความรู้ให้กับรุ่นน้องๆ ขึ้นหิ้งแล้วคุณก็ทำอะไรต่อไม่ได้แล้วใช่ไหม แต่ถ้าเอาประสบการณ์ความรู้ที่เรามีมาแชร์ให้กับน้องๆ ก็จะทำให้โครงการขยับขึ้นได้ พัฒนาขึ้นได้ ตรงนี้ต้องคิดกลับกันว่า อย่าถามว่าคุณจะได้อะไร แต่ถามว่าคุณจะมาให้อะไร ในเบื้องต้นเป็นอย่างนี้มากกว่าค่ะ

วิทยา ร่ำรวย : ตอนนี้ชมรมต้องการการช่วยเหลือจากคนในสายวิชาชีพบรรณาธิการทั้งหมด ถ้าพูดจริงๆ แล้วก็คือคนที่อยู่ในสายงานหนังสือทั้งหมด ช่วยกันทุกฝ่ายถึงจะเกิดขึ้นได้ แต่แน่นอน บรรณาธิการคนที่อยู่ในสายวิชาชีพเดียวกันต้องแสดงความเข้มแข็ง แข็งขัน ถ้าเราไม่เข้มแข็ง แข็งขัน แล้วบอกให้คนในสายวิชาชีพอื่นเข้ามาช่วย ก็คงไม่ใช่ ฉะนั้น ใครก็ตามที่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นบรรณาธิการ รีบสมัครมาช่วยกัน เพราะแค่ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ก็ถือว่าคุ้มแล้ว และเขาก็จะได้มองเห็นว่าเขามีส่วนช่วยในการยกระดับวงการ และวงการนี้ก็เป็นวงการแคบๆ อยู่กันฉันท์พี่น้องอยู่แล้ว อยากให้มาช่วยกัน

ในเบื้องต้นสามารถสมัครผ่านทางเว็บไซต์หรือไม่ก็สมัครผ่านสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ เพราะสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ก็เป็นสายพานสายหนึ่งซึ่งสามารถจะส่งผ่านไปได้ ผมอยากให้เข้ามานะครับ โดยเฉพาะการประชุมที่จะเกิดขึ้นวันที่ 28 เมษายนนี้ อยากให้แสดงตัว แล้วก็ทำให้คนในวงการวิชาชีพมองเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมารวมตัวกัน มีการแสดงเจตจำนงความตั้งใจที่จะช่วยยกระดับทั้งอาชีพตนเอง ซึ่งจะส่งผลไปถึงวงการหนังสือได้ด้วยครับ

• สุดท้าย สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นบรรณาธิการมาก่อน แต่มีความฝันอยากเป็นบรรณาธิการ จะเข้าร่วมชมรมนี้ได้หรือไม่อย่างไร มีระเบียบการอย่างไร แล้วเข้าร่วมแล้วจะได้เป็นบรรณาธิการสมใจต้องการหรือไม่อย่างไร

วิทยา ร่ำรวย : จริงๆ มันเป็นชมรมวิชาชีพ แต่ว่าถ้าแค่สนใจจริงๆ ก็จะมีในส่วนสมาชิกวิสามัญ มาร่วมประชุม มาร่วมกิจกรรมของชมรมได้ เราไม่ได้ปิดกั้น เพราะบรรณาธิการคืออาชีพที่ทำงานคนเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยหลายฝ่าย หนังสือคืองานที่เป็นทีม

เราตั้งใจที่จะทำงานด้านสร้างคน ทุกอย่างมันต้องลงทุนก่อน อันนี้ผมถือว่ามันเป็นการลงทุนเกี่ยวกับความรู้ของคน เอาเป็นว่าคนที่สนใจจะเป็นบรรณาธิการ จบสาขาใดก็ได้ และมีประสบการณ์ เรามีการจัดอบรม มีความประสงค์จะนำไปทดสอบ เราก็อำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง คนที่ทำหนังสือมานาน บางครั้งการอบรมก็จะทำให้เขาได้ประสบการณ์ใหม่ๆ จัดลำดับความคิดของการทำงาน เพราะเราทำจากประสบการณ์ แต่ถ้าเราจัดลำดับความคิดได้ มีการอบรม มีการแลกเปลี่ยน มันจะทำให้คนคนนั้นทำงานได้อย่างเข้าใจมากขึ้น และต่อไป คุณทำได้ มันก็จะเป็นมาตรฐานวิชาชีพของคุณไปเอง
คณะทำงานชมรมบรรณาธิการ
เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : วชิร สายจำปา

กำลังโหลดความคิดเห็น