มิใช่พูดไม่ชัดมาแต่ชาติกำเนิด แต่มันคือเครื่องหมายการค้าที่ทำให้ใครต่อใครจดจำเขาได้ในนาม “แอนนา ชวนชื่น”...สัมผัสเรื่องราวอันชวนชื่นจิตและเติมพลังชีวิตด้วยอารมณ์ขันของดาราตลกแถวหน้าของฟ้าเมืองไทย จากอดีตคนโป้วสีรถ ขับสองแถว ก่อนก้าวสู่เส้นทางขายเสียงหัวเราะ บ่มเพาะประสบการณ์กว่า 30 ปี ล้มลุกคลุกคลาน กระทั่งถึงวันนี้ที่แสงทองส่องทอ “ถั่วต้ม”, “สวดยอดเลยครับลวกเพี่ย” หรือกระทั่งประโยคยาวๆ อย่าง “มีน้ำแดงจะกินน้ำส้วม มีน้ำส้วมจะกินน้ำแดง มีไอ้โน่นจะกินไอ้นี่ มีเป๊ปซี่จะกินโคล่า มีแฟนต้าจะกินสไปรท์” เชื่อว่าใครต่อใครคงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะนี่คือถ้อยคำเอกลักษณ์ของสวดยอดดาวตลกสำเนียงไหหลำที่โด่งดังทั่วฟ้าเมืองไทย ในการแสดง เขาคือ “แอนนา ชวนชื่น” แต่ในชีวิตจริงตามบัตรประชาชาชน เขาคือ “เอนก อินทะจันทร์” ชายผู้มาพร้อมฉายา “ชวนชื่น” แต่ชีวิตบางช่วงกลับชวนขื่น แต่ทว่าก็มีพลัง! |
(อ่านสัมภาษณ์ย้อนหลัง)
ยิ่งกว่ามหากาพย์! สุดยอดชีวิตตลกแถวหน้า “แอนนา ชวนชื่น” สวดยอดเลยครับลวกเพี่ยยย!! (ตอนที่ 1)
ชีวิตตลกตกผลึก
จากเวทีคาเฟ่ สู่เวทีจอแก้วและจอเงิน
จะเรียกว่าเป็นเพราะพรสวรรค์ก็คงจะไม่ผิด เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านชีวิตการเล่นตลก ก็โลดแล่นโดยได้การตอบรับเป็นอย่างดี แต่กระนั้น ใช่ว่าเพียงแค่เห็นหน้า จะเรียกเสียงขำขันตลกได้ อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ คือการเล่นให้ขำให้ตลกด้วยมุกที่ต้องสร้างสรรค์ขึ้นมา
• ตอนงานเยอะๆ เรามีการค้นหามุกใหม่ๆ เพิ่มเติมอย่างไรบ้าง
แรกเลย ตอนนั้นเทปไม่มี เราก็อาศัยไปดูคณะพี่ๆ เขาเล่น เรียกว่าครูพักลักจำ อย่าง คณะ 4 โพธิ์ 4 ลิง คณะเด๋อ ดู๋ ดี๋ คณะซูเปอร์โจ๊ก เลิกจากคาเฟ่ของเรา เราก็จะไปนั่งคาเฟ่ดารา อันไหนที่ว่าฮา เราก็จำ ใช้หัวบันทึก คำพูดนี้ๆ จำเอาไป แล้วเราก็มาดัดแปลง เอาของเราบ้างของเขาบ้างมารวมกัน เพราะบางที เรามีงานแค่ 3 ที่ พอเสร็จปุ๊บ เราก็จะไปยืนออกันตรงปั๊มเชลล์ที่ติดกับดาราวิลล่า แล้วพอตลกวิกรอบไม่ทัน เวทีขาว ผู้จัดการเขาก็จะเดินมาที่ปั๊ม มาดูว่ามีตลกคณะไหน เอ็งคณะอะไร กลับหมดยัง ถ้ายังอยู่ครบ พี่จะให้ขึ้นแทน ได้ค่าขนมตั้ง 1,000 บาท เราก็เอา
จากที่จะนั่งกินก๋วยเตี๋ยวกันอยู่ ตั้งใจว่ากินเสร็จแล้วจะเข้าไปดูตลก เขาก็บอกให้ขึ้นช่วยหน่อย ไปเล่นก็ใส่กันเลย คนเขาเคยดูแต่ตลกใหญ่ที่เล่นทุกวัน มุกก็มีซ้ำกันบ้าง แต่เราตลกเล็ก เรามีมุกแปลกๆ ไป แขกก็ขำ พอขำปุ๊บ เราเล่นเสร็จ เราก็ไปตรงนั้นตลอด ก็ได้งานด้วยเรื่อยๆ ได้เข้าไปดูมุกตลกที่นั่นด้วย คราวนี้ก็ไปตลอด พี่ว่างไหม จอขาวไหม เสียบได้นะ (หัวเราะ) สนุกล่ะ นั่นคือการเล่นคาเฟ่
แต่หลังๆ พอเริ่มมีงานเยอะขึ้น ก็ไม่มีเวลาไปดูแล้ว เราก็อาศัยติดตามข่าวสารหนังสือพิมพ์อะไร ว่าอะไรที่มันดัง อะไรที่เกี่ยวกับการเมือง เรื่องไม่เป็นลบ ดูแล้วสร้างสรรค์ เราก็จะเอามาเล่น เราไม่อยู่กับที่ เราจะเอาข่าวสดๆ อย่างเณรแอสมัยก่อน ก็เอามาเล่น เล่นแล้วเป็นบวก
มุกเราจะทันสมัยตลอด แต่ว่าวงลูกทุ่งมันดีอย่างหนึ่ง อยู่ลูกทุ่งไม่เปลือง อยู่ห้องอาหารอาทิตย์ละมุก 4 มุก ยาก ยากมาก ปีหนึ่งถึงเปลี่ยนครั้งหนึ่ง คือเราเดินสายอีสานเหนือออกใต้ตก หมดปุ๊บ ปีต่อไปก็จะเปลี่ยนอีก คือหมายถึงว่าเราไม่ได้เล่นซ้ำ เราสามารถเล่นมุกเก่าๆ ได้ สลับไปสลับมา ดูจังหวะ และพอหลังจากอีกปีหนึ่งย้อนเข้ามา เราก็ต้องเปลี่ยนมุก อย่างนี้ เล่นบ่อยๆ ทุกวันก็ไม่ตัน
• คนดูมีความแตกต่างกันไหมระหว่างกรุงเทพฯ กับต่างจังหวัด
ต่างกันมาก (ลากเสียง) คือเล่นวงมันเล่นง่ายอยู่แล้ว เพราะคนตั้งใจมาดูนักร้อง ส่วนตลกคือของแถม เขาตั้งใจมาจากบ้านเพื่อจะมาดูนักร้องคนนี้แล้วได้ขำกับตลกคณะนี้เป็นของแถม คือเล่นอะไรก็ได้ ถ้ามันไม่ฝืดจริงๆ ต่างจังหวัดขำง่ายกว่าเยอะ เล่นคาเฟ่เล่นรอบหัวค่ำอาจจะฮา พอรอบดึกๆ แขกเริ่มเมาแล้ว ถ้าจี้ไม่ถูกจุดจริงๆ ไม่ขำหรอก และไม่ขำไม่ว่า โดนแซวด้วย รอบดึกๆ แขกเริ่มเมา ก็เริ่มจะล้วงแต่นักร้องแล้ว ไม่สนใจตลก ตะโกนเมื่อไหร่จะลง เพราะช่วงตลก เปิดไฟสว่าง ล้วงนักร้องไม่ได้ไง แต่เราก็เล่นจนจบของเรา บางทีเราก็อาจจะย่อมุกจาก 40 นาที ขมวดสรุปให้สั้นเหลือครึ่งหนึ่ง เพราะไม่อยากจะปะทะกับแขก
• ในส่วนของขั้นตอนการเตรียมตัวนอกจากต้องเพิ่ม ต้องเตรียมกันยังไงบ้าง
ถ้ามุกใหม่ต้องคุยกัน จะวางตัวกันอย่างไร เป็นหมอน้อยเทวดา เป็นคนไข้เป็นคนป่วย พ่อคนไข้ จะมีการวางตัว ถ้าตัวเยอะ ก็จะวางตัวยากหน่อย ตัวน้อยก็จะเล่นกันแบบง่ายๆ วางตัวง่ายๆ เอาเหตุการณ์ปัจจุบันทันด่วน แต่ถ้ามุกเก่าแล้ว อ้าปากมาก็รู้แล้วว่าเล่นอะไร มุกนี้นะๆ ก็รู้ โอเค คือมันรู้กันอยู่แล้ว เปิดฉากมา ฉันปูไอ้นี่ เข้าไอ้นี่ รับนี่ส่งนี่ ตบปุ๊บ ฮา อะไรอย่างนี้
• ส่วนใหญ่รับหน้าที่เป็นอะไร
ตัวดิ้น ก็จะมีตัวปู ภาษาตลก ตัวปูก็คือตัวชงเรื่อง ตัวส่งเรื่อง ส่งเรื่องให้ตัวดิ้นตบ อันนี้เขาเรียกตัวปู ตัวปูมีความหมายมากนะในทีม ปูไม่แน่นก็เล่นกันไม่ขำ และก็จะส่งให้ตัวดิ้นตบ สมัยก่อน คณะเพชรธงจิ๋ม พี่ธงจะเป็นตัวปูที่เก่งที่สุด ยุคเขานั้นจะปูเรื่อง 1-2-3 ถึงตบ เล่นกันยาวแล้วถึงมาตบ คนฮา แล้วก็ปูใหม่อีกรอบ แต่ ณ ตอนนี้เทคโนโลยีมันทันสมัย มีซีดี มันมีวิดีโออะไรออกมา มาเล่นในสมัยนั้นไม่ได้ คนดูคว้าเอาไปกินหมด 1-2 ต้องตบเลย ปูเรื่อง 1-2 ตบเลย กระชับขึ้น
• ฟังดูเหมือนเราจะค้นหาสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ
เรารักเราชอบ เราก็อยากทำให้เต็มที่ เราเอาผลงาน คือตอนที่เราเล่น เราไม่หน้าชา พวกแขกอาจจะเวียนมา แต่พวกพนักงาน เด็กเสิร์ฟ นักร้อง มันอยู่กับที่ ไปเล่นๆ ปุ๊บ พอมุกเก่า มันก็ชวนแขกคุย ไม่สนใจว่าดูแล้ว เราก็หน้าชา อายนะ เราก็เปลี่ยนเองเลยซะดีกว่า ฮาน้อยกว่าเก่าก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้เป็นมุกใหม่ ก็นั่นแหละ ชีวิตก็เหมือนกัน ก่อนหน้าออกจากร้านอาหารไปอยู่วงก็เพราะเราอยากได้ประสบการณ์ อยู่ตรงนั้นเราก็เล่นแต่ในกรุงเทพฯ ชานเมือง ปากน้ำ พระโขนง บางนา แค่นั้น หรืออย่างตอนอยู่กับสายัณห์ ชอบก็หากินยาว ก็อยู่นั่นมาจนสายัณห์แต่งงานถึงออก
วันที่ผมออก ตลกด้วยกันร้องไห้นะ สายัณห์พูดกับผมซึ้งมาก ตลกคณะสายัณห์มีแต่คนอยากมาอยู่ ไม่มีใครอยากออก แกไปพี่ใจหาย พี่ไม่เคยเสียดายตลก ใครออกเดี๋ยวก็ต้องมีคนมาอยู่ เพราะว่าวงพี่มันดัง ใครก็อยากมาอยู่ แต่แกออกพี่รู้สึกใจหาย เพราะเราร่วมงานกันแล้วเราเล่นเข้ากัน แต่ถ้าไปเพื่ออนาคต พี่ไม่ว่า ไปและดีกว่าอยู่ที่นี่ พี่ไม่ว่า แต่ถ้ามันไม่ดีกว่าที่นี่ แล้วจะกลับมา ที่นี่เปิดประตูรับแกอยู่ 24 ชั่วโมง แกจะมาวันไหนก็ได้ จำคำพี่ไว้ น้ำตาผมไหลเลย แต่ว่าผมอยากไปแล้ว ผมอยากจะไปหาประสบการณ์
คือลูกทุ่งมันไม่สามารถจะดังได้หรอก มันก็อยู่ในวงแบบบ้านนอก คนรู้จักจะมีกลุ่มเดียว เราไปเล่นก็มีแค่กลุ่มเดียว แต่ช่วงนั้นมีบันทึกวิดีโอเข้ามา ถ้ามาเล่นห้องอาหาร เราได้ออกทีวี ได้เล่นละคร เราทะเยอทะยานจนถึงจุดนี้แล้ว เราอยากจะไปให้ไกลกว่าลูกทุ่ง เราถึงได้ออก เรายังทะเยอทะยาน เรายังมีไฟ อยากจะไปให้ไกลกว่านั้น ตอนนั้นก็ออกมา แล้วได้อัดสมใจนึก ได้อัดกับคนที่รู้จัก
• พอออกมาจากสายัณห์ สัญญา แล้วไปอย่างไรต่อ
ตอนนั้นก็กลับไปอยู่กับเพื่อนคนที่บอกว่าเป็นช่าง ตอนนั้นเขาก็เล่นอยู่คาเฟ่ เราก็ได้ไปอยู่คณะน่ารัก เป็นตลกเกรดบี ก็พอมีงาน ตัวเก่าออก เราก็ไปแทรกไปเสริม โย่ง เชิญยิ้มเมื่อก่อนก็อยู่กับผม อยู่ด้วยกันมาจนตอนหลังพี่เด่นมาทำทีม ยาว เชิญยิ้ม มาทำทีม ก็ดึงโย่งออกจากเรา เพราะโย่งเขามีคาแรกเตอร์ชัดและก็เป็นคนที่เก่งมาก ในคณะ ตัวไหนขาด เขาเล่นได้หมด ความจำเขาดีมาก สมมติว่าวันนี้ คนที่เล่นเป็นขุนแผนป่วย มาไม่ได้ เขาสามารถเป็นขุนแผนได้เลย ตัวนางวันทองป่วยไม่มา เขาสามารถเป็นนางวันทองได้ เขาเก่งมุกทุกมุก เล่นได้ทุกตัว เขาเก่ง ก็ต่างคนต่างไปหาเก็บเกี่ยวประสบการณ์
ส่วนเราก็มีบริษัทติดต่อมา มุกฮามุกดีเขาชอบ เขาก็จะบอกว่าเขาให้คิวมา รายการที่ดังๆ เวทีทอง ชิงร้อยชิงล้าน จี้เส้นคอนเสิร์ต บริษัทที่อัดแถวเมอร์รี่คิงส์รังสิต และหลังสุดมาอัดแฟชั่นไอซ์แลนด์ แทบทุกบริษัท เราจะได้เข้าไปอัด บางที เราไม่มีมุกใหม่นะ เราก็เอามุกที่อัดบริษัทนี้ไปอัดบริษัทนี้ ก็เป็นมุกเดียวกันเขาก็ไม่ว่า คือสมัยก่อนอัดสามมุกได้ตลับหนึ่ง สมัยนี้อัดแค่มุกเดียวได้ตลับเดียว เพราะวิดีโอมันยาวมาก ตลับหนึ่งตั้งสามเรื่อง และเรื่องบางเรื่อง 40 นาทีบ้าง เกือบชั่วโมงบ้าง ก็ได้ค่าเหนื่อยประมาน 2-3 หมื่น เรามาแบ่งก็ได้กัน 6-7 พัน สามสี่พัน
แล้วหลังจากคณะน่ารัก ผมไม่แฮปปี้เพราะเราอยากที่จะสร้างสรรค์ เราเล่นซ้ำผมก็อายอย่างที่บอกเหตุผลไป ผมเลยกลับไปอยู่กับคณะอิสระเดือนเพ็ญเพื่อนช่าง ตอนนี้เขาเป็นหัวหน้า ก็ไปเจอ จาตุรงค์ มกจ๊ก ผมก็ไปอยู่กับเขา ได้ค่าตัวครั้งละร้อยบาท เล่นแปดที่ก็ได้แปดร้อย ก็ยังเป็นลูกน้องอยู่ จากนั้นจึงออกมาอยู่กับยอดธง เทียนชัย เพราะมีปัญหาไม่เข้าใจกันกับจาตุรงค์ แล้วสักพักก็ออก เลิก ไม่เล่นตลก
• ทำไมถึงออกจากวงการเล่นตลกในตอนนั้น
ผมเบื่อ ก็เลยออกมาเปิดร้านอาหารตามสั่ง เอาเงินก้อนที่เก็บที่มีไปเปิด ก็เจ๊ง แถมเราไปซื้อบ้านเอาไว้ด้วย สัญญาเรียบร้อยเรื่องส่งดาวน์แล้ว และมาช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่ เรามามองหน้าแฟน ไม่ไหวนะ งานเราก็ดรอป ถ้าเรายังส่งดาวน์ต่อไป เราจะหมดเยอะกว่านี้ เรายอมเสียทรัพย์ตัวนี้ ตอนนั้นก็ส่งรถด้วย เรายอมไหม เมียยอม ใจจริงก็เสียดายเพราะจ่ายไปแสนสองแสนบาทแล้วด้วย แต่ก็ต้องตัดความเสียดาย เพราะถ้าเราไปผ่อนๆ เกิดไปไม่ไหว เราจะลำบากกว่านี้นะ เขาก็เรียกไปออมชอม แต่เราไม่ไหวจริงๆ เก็บรถไว้ทำมาหากิน
จนออกมาขายก๋วยเตี๋ยวอยู่หน้าวิลล่าคาเฟ่ ขายไปขายมาก็ขายดี แต่เราก็ยังไม่ลืมตลกนะ เพื่อนมา เราก็ยิงมุกฮากันอยู่เสมอ ตอนนั้นจาตุรงค์ก็ย้ายไปอยู่กับหม่ำ จ๊กมก ดังจนตอนหลังจาตุรงค์เริ่มมีงาน เริ่มมีรายการทีวี คนก็ถามหาแต่จาตุรงค์ หม่ำก็เลยให้จาตุรงค์ไปตั้งคณะใหม่ จาตุรงค์ก็ออกมาทำทีม โดยได้เหลือเฟือ มกจ๊ก มาอยู่ ก็มาฉายมาแจ้งเกิดวงจาตุรงค์
จากนั้น ทั้งเหลือเฟือก็ออกไปตั้งทีม จาตุรงค์ก็เอาเท่ง เถิดเทิง มาอยู่ด้วย ก็ทำทีมต่อ ก่อนจะไปอยู่กับหม่ำ และออกมาทำทีมเอง จนกลับไปอยู่กับหม่ำอีกรอบ จาตุรงค์ก็มาชวนให้เรากลับไปอยู่ พอกลับไปอยู่กับจาตุรงค์ เขาก็เลยเปลี่ยนผมเป็น “แอนนา มกจ๊ก” ตอนนั้นก็ยังขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ด้วยเพราะเริ่มถึงยุคคาเฟ่ตก ผู้บริหารคนใหม่ก็ตัดตลกออก จาก 10 คณะ เหลือ 5 คณะบ้าง เหลือ 3 คณะบ้าง แขกก็เริ่มลดน้อยลง ก็เริ่มไม่ไหวและเลยมองหน้าเมีย ทำคนเดียวไหวไหม เดี๋ยวเลิกแล้วมาช่วยเก็บร้าน ตั้งร้าน แล้วให้พี่แฟนมาช่วย ก็เอาสิ เป็นรายได้เสริม
แฟนผมสู้ชีวิตมาก ตอนเปิดร้านก็มาเปิดให้ ช่วงว่าง เราก็มาช่วยล้างจานชาม ช่วยนู่นนี่นั่น เก็บร้าน และก็มาช่วยจ่ายของ ก็ตุนไว้จนวันใหม่ก็จะวนเวียนอยู่อย่างนี้ จนในที่สุด คาเฟ่มันกลับมาฟื้นอีกรอบ ก็เลยยกกิจการก๋วยเตี๋ยวให้กับพี่ชายแฟน ให้เขาไปขายแทน และเล่นเต็มตัวอีกครั้ง จาตุรงค์ได้ไปกำกับหนัง เลยไม่มีเวลาให้กับคณะ เลยยกคณะให้กับโก๊ะตี๋ พอโก๊ะตี๋เริ่มดังก็ไม่มีเวลาอีก วงตอนนั้นก็เลยเคว้ง ก็ประคองกันไปบ้างไม่ได้บ้างสองสามที่ ก็เล่นกันสนุกสนาน ไม่ได้คิดจะเอาตังค์ เอาฮาเอาสนุกกัน ขอให้ได้ออกนอกบ้าน ในที่สุดก็ไปไม่รอด เคว้งปุ๊บก็ยุบวง
กะว่าสักพักจะลาวงการจริงๆ เพราะไปสร้างบ้านที่จังหวัดยโสธร จะไปอยู่บ้านนอกแล้ว แต่คิดไปคิดมา ไปอยู่แล้วเราจะทำอะไร เราไม่มีรายได้ ถ้ากลับไปอยู่ที่นั้น ก็กลับมาเปิดท้ายขายของอีก ไม่ได้หลงแสงสีนะ แต่ถ้ากลับไปเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทำนาเราก็ทำไม่เป็น ตอนเปิดท้ายขายเสื้อผ้า แรกๆ ก็ดี เลี้ยงตัวได้ประมาน 3-4 เดือนแรก หนักๆ ก็ร้านค้ามากกว่าคน พ่อค้ามากกว่าลูกค้า ก็อยู่ไม่ได้ จำได้เลยว่าตอนนั้น บางวันมีเงินออกจากบ้าน 20 บาท เพราะเราเอาเงินไปลงทุนหมดแล้ว ซื้อข้าว 1 ถุงกินกับแฟน เหลือเก็บไว้กินเที่ยงต่อ ไปตายเอาดาบหน้าเลย แต่ระหว่างนั้นที่กำลังจะแย่ๆ จิ้ม ชวนชื่น ก็โทรศัพท์มาชวนไปเล่น ตอนแรกเราก็ถามเขาว่าให้ไปเล่นวันไหน เขาก็บอกวันนี้ ก็บอกแฟนเลย ไปเล่นนะเพราะชวนชื่นยังไงก็ขายได้ ก็รีบเก็บข้าวของ ขับรถมาเล่นเลย แล้วก็ได้ใช้ “แอนนา ชวนชื่น” จนถึงวันนี้ แต่ก็เป็นช่วงขาลงของคาเฟ่อีก เล่นได้สักพัก เราก็ออกมาเปิดห้องอาหารเสริมอีกแรง
แต่ร้านอาหารอยู่ได้ไม่กี่เดือน อยู่ไม่ไหว รายรับมันเข้าเนื้อทุกเดือน รายรับมันน้อย รายจ่ายมันเยอะ คนนี่เดินกับพลุกพล่านเลยครับ แต่มีใครเข้ามากินร้านเรา ทำเลก็ดี เปิดตรงซอยวัดเทพลีลา รามคำแหง นักศึกษาเยอะมาก คนเดินกันเพียบ ร้านคนอื่นแน่นๆ ตอนนั้น เราก็คิดว่าหรือเราแต่งหรู มันไม่เข้า กลัวแพง แต่ปรากฏว่าเขียนราคาไว้ก็ไม่คนเข้า
คงเป็นเพราะว่าพระเจ้าไม่ให้เราเดินทางนี้ (หัวเราะ) ตอนนั้นเหนื่อยมาก ค้าขายเหนื่อยมาก เป็นอะไรที่...จากเราเป็นนักแสดง มีคนเอาใจเรา แต่ค้าขาย เราต้องไปเอาใจลูกค้า ต่างกับ ณ ตอนนี้มาก ตอนนั้นเราต้องมายืนโค้ง ได้ครับ 5 บาท 10 บาท เงินแต่ละบาทมีความหมายมาก เจอเหรียญบาทตก ต้องเก็บ มันมีค่าสำหรับเรามากถ้าค้าขาย ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 ตี 5 ไปจ่ายตลาด และต้องมาเตรียมของทั้งวัน เวลาพักผ่อนน้อยเหลือเกิน รายรับก็น้อย มาเล่นแสดงหนังแสดงละคร เราเตรียมพลังกับสมองไป เราไม่ได้ลงทุน ได้แน่ๆ แต่กับการค้าขาย เรายังไม่รู้เลยว่าเราจะขายได้เท่าไร จะได้ทุนไหม จะได้กำไรไหม จะขาดทุนไหม มันผิดกันมาก เหมือนพระเจ้าสร้างเราให้มาเดินทางนี้ แต่เราไปฝืนพรหมลิขิต ฝืนพระเจ้า เราไปเดินค้าขาย
ช่วงนั้นก็มีหนี้สินเยอะมาก รายจ่ายจ่อท้ายเดือนตลอด ตอนนั้นก็มีครอบครัว ก็อยู่กับแฟนคนนี้มา 20 ปี ณ ตอนนั้นเราแค่ส่งคอนโดซึ่งเดือนไม่กี่พันกับรถ รายจ่ายเราเกิน ตีเดือนละไม่เกินสองหมื่น แทบยังเอาไม่รอด แต่ว่าถึงจะตก ถึงจะไม่มี เราก็ไม่บากหน้าไปสร้างความเดือดร้อน ไปยืมอะไรใคร เรารู้ว่าทุกคนมีรายได้ก็ต้องมีรายจ่าย เขาต้องมีภาระครอบครัวเขา เราไม่เคยบากหน้าไปสร้างความหนักใจให้เขา แต่จังหวะที่ไม่มีๆ อีก 5 วันจะค่างวดรถแล้ว ยังมองไม่เห็นว่าจะเอามาจากไหน จู่ๆ ก็มีงานเข้า ได้ค่างวด ค่าห้องก็มีงานเข้า สาเหตุส่วนตัวอาจจะเพราะเราบูชา เราเคารพรัก ร.5 รักในหลวง พ่อแก่ พระพิฆเนศ เราจะมีกินไม่มีกิน ทุกวันอังคารหรือวันพฤหัสบดี จะมีน้ำมะพร้าวพวงมาลัยไหว้บูชาท่าน ชีวิตไม่เคยตก ตกขนาดไหนก็จะมีปาฏิหาริย์ มีงานเข้ามาให้เราได้เงิน
• แล้วเรากลับกลายเป็นที่รู้จักโด่งดังทั่วบ้านทั่วเมืองได้อย่างไร ณ ตอนนั้น
ก็หลายปีอยู่ แต่ก็ไม่ท้อ พิษเศรษฐกิจไม่ใช่เราคนเดียวที่โดน เรายังน้อย เหตุการณ์นี้มันเกิดกับแทบทุกคน ไม่แข็งจริง สายป่านไม่ยาว ร่วงหมด ก็ประคองชีวิตหมิ่นเหม่มาก พยายามประคอง พยายามไม่สร้างหนี้ ไม่ทะเยอทะยาน อยู่แบบพอเพียงแบบเศรษฐกิจพอเพียงในหลวง อยู่ๆ มาก็มีโอกาสได้เล่นหนังเป็นตัวประกอบพิเศษ เป็นเอ็กซ์ตร้าดีๆ วันละ 2-3 พัน เรื่องพยัคฆ์ร้ายส่ายหน้า หนังของคุณยอร์ช ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร์ เพราะเขาเป็นเพื่อนกับจิ้ม พูดได้เต็มปากเลยว่าเกิดมาจากหนังเรื่องนี้
จากนั้นก็เกิดเป็นบุคลิกของเราที่พูดไม่ชัด เป็นสำเนียงไหหลำ จริงๆ เราเคยพูดสำเนียงนี้บ้างแล้ว แต่ตอนนั้นเราพูดตอนประกาศให้กับทางวงดนตรีสายัณห์ เชิญชวนให้คนเข้า แต่สำเนียงจะออกเยาวราชซะมากกว่าเยอะ เพราะถ้าสำเนียงเราออกไหหลำไป มันจะออกสองแง่สองง่ามเยอะ มันฟังเหมือนจะหยาบ แต่ก็ไม่หยาบไง ก็เลยหยุด จนเอามาใช้ในเรื่อง “แสบสนิทศิษย์ส่ายหน้า” ที่ผมพูดว่า มีน้ำแดงจะกินน้ำส้วม มีน้ำส้วมจะกินน้ำแดง มีไอ้โน่นจะกินไอ้นี่ มีเป๊ปซี่จะกินโคล่า มีแฟนต้าจะกินสไปรท์ ทำคนรู้จักประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์
จากนั้นก็ได้เป็นเล่นซิตคอมรับเชิญใน “นัดกับนัด” ครั้งแรก ก็ยอมรับว่าไม่เคยเล่นซิตคอม จังหวะเขาต้องแม่นมาก เข้าออกตอนคำพูดต้องชัด ไม่ชัดสั่งคัตเอาใหม่ เหนื่อย จะไปไหลๆ สไตล์เรา ไม่ได้ แล้ววันแรกที่เราไปรับเชิญ เขามาจับเข่าคุยเลยถามเราว่าเล่นส่วนใหญ่จะเป็นสดใช่ไหม แต่ซิตคอมของเราไม่จำเป็นต้องสด คำพูดเราล็อกไว้หมดแล้ว ขำแน่ๆ ไม่จำเป็นต้องสด แต่ ณ ตอนนั้นมีโย่งประจำอยู่ แล้วเราก็รู้ทางกันอยู่ จังหวะที่จะต้องเล่น ก็อดไม่ได้ที่จะใส่สดลงไป โย่งรับได้ เราก็หันไปมองผู้กำกับ ผู้กำกับยิ้ม แสดงว่าเอานี่หว่า และหลังจากนั้นเราก็ใส่สดลงมาบ้างเพราะคุ้นกัน
รับเชิญผ่านไปครั้งแรก เราก็ไม่ได้คิดอะไร อาทิตย์หนึ่งผ่านไป อาทิตย์ที่สองโทร.มาอีกละ บอกพี่แอนมารับเชิญให้หน่อย เราก็ไปแสดงเพราะเขาให้โอกาสเรา เรารู้ว่าเราเล่นไม่เก่งหรอก บทเราก็ไม่ค่อยแม่น จำไม่ค่อยได้ เขาก็ให้โอกาส สรุปรับเชิญ 14 ครั้ง จนทีมงานบอกว่ามาอยู่ประจำกันไหม ณ ตอนนั้นเราไม่มีงานอะไร เราก็ตกปากรับคำเลย เอาสิ ได้เลย ก็ไปอยู่ 7-8 ปี อยู่กับนัดกับนัด
แต่เขาไม่รู้ว่าชื่ออะไรนะ เขาจะเรียกกันตาน้ำแดงน้ำส้วม พอหลังจากเรื่องนี้ก็ไปถ่ายอีกเรื่อง “โปงลางสะดิ้ง ลำซิ่งส่ายหน้า” ผมก็จะมีศัพท์ของผมอยู่ และต่อจากนั้นก็ไป “โหดหน้าเหี่ยว” จะมีคำว่า “สวดยอดเลยลวกเพี่ย” จากนั้นก็เป็น “32 ธันวา” และก็มาเรื่อง “สุดเขตเสลดเป็ด” คนเริ่มกรี๊ดเริ่มฮาแล้ว คนซื้อซีดีก็จะกดดูแต่ฉากนี้ที่เล่นกับเป้ (อารักษ์ อมรศุภศิริ) นี่แหละ มาได้งานตอนนี้เข้าเยอะมาก ชีวิตเริ่มพีคและทำให้มีชื่อเสียง แล้วมีผลงานต่อมาอีกสิบกว่าเรื่อง
เพราะสิ่งที่ทำ
นั้น “ถั่วต้ม”!!
จากตัวประกอบเอ็กซ์ตร้า ก้าวขึ้นมาเป็นดาราหลัก แม้จะสไตล์เดิม แต่ก็ยังสามารถเรียกเสียงฮาได้ตลอดทุกครั้งที่ได้ยิน
“คือเรารักษามาตรฐานของเรา เรามีมาตรฐานในใจเราอยู่ บางทีแฟนเราคอยยืนบรีฟ บางทีตัวเล่นกับเราเล่นเป็นเมียเรา เขามาเกิน100 แต่เราไม่ถึง 100 แฟนบอก “พี่ๆ พลังๆ” บางทีเราเหนื่อย แฟนผมจะคอยกระตุ้น ให้กำลังใจ
“ผมจะบอกผู้กำกับเสมอว่าถ้าเล่นไม่ดี เอาใหม่ได้นะ หรือเขาโอเคแล้วแต่เราไม่ชอบ ผมขอใหม่ดีกว่า หัวไม่ลื่น เขาก็ว่าได้นะ แต่เราบอกว่าไม่ได้ ยังไม่สุด มันออกมาก็เป็นผลดีกับเรา ทำไมเล่นแค่นี้เหรอ มันน่าจะดีกว่านี้นะ มันเป็นผลดีกับเราด้วย บางทีผู้กำกับเกรงใจเราไง เราอยากให้เอาใหม่ ก็ได้ เอาใหม่ดีกว่า พี่ว่าเอาใหม่ดีกว่า
“ณ ตอนนั้นเรามีของ แต่เราไม่กล้าถ่าย ยังไม่มีเพาเวอร์ ยอร์ชพี่มีแก๊กนี้ ซื้อเปล่า เราไม่กล้า เล่นลอยๆ ระหว่างซ้อม เราก็หลุดออกมา เข้าหูเขา เขาก็ชอบ บอกพี่แอนเมื่อกี้พี่พูดว่าไร พี่จำได้ไหม จำได้แต่ไม่หมด แต่ทีมงานมันจำได้หมด เราก็เรื่องมาก มีของฟรีก็เรื่องมาก มีน้ำแดงจะกินน้ำส้ม มีไอ้โน่นจะกินไอ้นี่ มีเป๊บซี่จะกินโคล่า มีแฟนต้าจะกินสไปรท์ จะแหลกอะไรกันนะ เขาชอบเลย ผมเอานะ ผมก็พอได้ พอจำได้ แต่พอมาในบท ทีมงานช่วยให้จำได้ เลยเอามาใส่ คนก็เริ่มรู้จักเรา จุดประกายจากตรงนี้”
นึกย้อนถึงต้นตอเรื่องราว สำเนียงไหหลำที่เคยได้ยินสมัยคุณแม่และครอบครัวเปิดร้านขายของชำ ร้านก๋วยเตี๋ยวตอนเด็กๆ ทีไร แม้เจ้าตัวก็ยังอดที่จะหุบยิ้มไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะไม่นึกว่ามันจะกลายมาเป็นเครื่องหมายการค้าสำหรับอาชีพของเขาจนกระทั่งทุกวันนี้
“คือลูกค้าที่ร้านจะเป็นคนจีนหลากภูมิภาคมาก ที่มานั่งกินนั่งคุย แต่ที่เยอะที่สุดคือไหหลำ แล้วสำเนียงของเขาจะแตกต่างจากจีนเยาวราช จีนกวางตุ้ง สิ้นเชิงเลย สำเนียงมันคาบลูกคาบดอก เวลาเขาพูดเป็นภาษาไทย ยืนคอยรถ ก็จะเป็น ยืนควXลุก เวลาเขาสบถกันยิ่งฮา แต่ไม่กล้าขำดังๆ ให้เขาเห็นหรอก
“นั่นแหละ พอเรามาเล่น ยอร์ชเลยบอกยึดคาแรกเตอร์นี้ไว้เลยนะ แต่เขาก็เป็นห่วงเรา เพราะเราเล่นกับเขามา 4-5 เรื่องแล้ว สไตล์เดิมมันจะอยู่ไม่ยาว คนจะวาย เขาก็เป็นห่วง แต่เราคิดว่าถ้าวาย ไม่ชอบแล้ว เราก็เปลี่ยนอาชีพไปเรื่อย แรกๆ ก็มีพยามจะเปลี่ยนบ้าง อย่างผลงานหนังที่เล่นกับคุณต้อม-ยุทธเลิศ ให้พูดสำเนียงแขก หนังเข้าโรง คนก็ไม่ยอมรับ เขาบอกดูแล้วไม่ใช่เรา พูดแขกพูดอินเดีย ไม่ใช่ จริงๆ ผมเล่นได้หมด จะพูดอีสาน แขก จีน ใต้ ทองแดง กะเหรี่ยง ได้หมด แต่การตอบรับจะเป็นไงผมไม่รู้ ผู้กำกับให้ผมเล่น เล่นได้ ผมเป็นนักแสดง เขาจ้างให้แสดงยังไง ผมก็ต้องทำอย่างนั้น แต่เหมือนคนดูเขารับเราในแบบไหหลำเท่านั้น ต้องเล่นไหหลำอย่างเดียว
“มีวันหนึ่ง ผมได้ดูหนังฝรั่งเรื่อง ดิ เอ็กซ์เพนเดเบิ้ล (The Expendables) ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน แสดง ก็นอนดู ตอนนั้นคนยังรู้จักผมกันแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ จังหวะนั้นตัวละครเอกที่อาเกรียงศักดิ์ เหรียญทอง ของทีมพันธมิตรพากย์ เอาสำเนียงกับคำพูดผมไปใส่ “ถั่วต้วม...” คนฮากันตรึม เลยคิดว่าแค่ถั่วต้ม เราก็ดังขนาดนั้นเลยหรือ แล้วก็มีอีกหลายๆ คำ จากเรื่องอื่นๆ อีก อย่าง “เยียดเปียก” “สวดยอดเลยลวกเพี่ย” เอาไปใส่หมด เขาบอกว่าขอนะ เราก็ไม่บอกว่าไม่ต้องขอหรอก ถือว่าพี่ก็ส่งผมด้วย เราก็ใจชื้น ก็นึกในใจ ถั่วต้มคำเดียวมันได้ผล”
“ก็มีผลงานมาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้”
ตลกชื่อดังเอ่ย พร้อมกับนึกย้อนถึงเส้นทางกว่า 30 ปี สรุปออกมาเป็นแก่นความสำเร็จที่ทำให้มีวันนี้ ถึงขนาดความเป็น “แอนนา ชวนชื่น” ในจอ ติดออกมาถึงชีวิตตัวตนจริงๆ
“คือบางทีคุยกับลูกกับเมีย เขาบอกว่านี่ไม่ใช่ถ่ายละคร ไม่ต้องติดกลับมาที่บ้านก็ได้ (หัวเราะ) แต่นิสัยเราเป็นคนขี้เล่นมาก ตลกๆ ผมจะหยุดพูดก็ต่อเมื่อหลับ แล้ว ด้วยความที่เรารับงานเยอะมาก สองกองถ่ายสามกองถ่าย เรากลัวทำงานให้เขาไม่เต็มที่ ต้องรักษาคุณภาพงานให้คงเส้นคงวา รักษาเวลา อย่างนัดผม 9 โมง ตี 5 หรือ 6 โมง ผมไปถึงกองละ ทุกกองผมเป็นอย่างนี้หมด ทำงานผมสบายใจ ผมไม่ได้เล่นเก่ง เทพๆ อะไรไม่ใช่ ที่ผมได้มีงาน มีคนยอมรับคือเรื่องเวลา เรื่องกฎระเบียบ เรื่องทำตัวไม่โอเวอร์ ไม่เรื่องมาก อะไรก็ได้
“ก็พยามหาความก้าวหน้าเรื่อยๆ เราจะฉีกจากบทเขาไป เราจะบอกผู้กำกับเลยว่า พี่ ผมต้องตามบทเป๊ะๆ หรือว่าผมฉีกได้ เขาก็จะบอก แล้วแต่พี่แอนเลย พี่ใส่เต็มที่เลย เพราะว่าที่เขาเอาเรา เพราะว่าเขาต้องการคาแรกเตอร์นี้ เวลาเราอ่านบทเราก็จะมีความคิดขึ้นมาเลย ไอ้นี่ต้องเอาคำนี้มาเล่น ถ้าของเขาดีเอาไว้ แต่ถ้าของเราดีกว่าเราจะเอาของเราใส่ อะไรอย่างนี้ พอใส่มาผู้กำกับชอบ สุดยอด พี่แอนสุดยอด
“อย่างไปขายเขา คำๆ นี้ผมจะไม่ใช้นะ ผมไม่ได้ดูถูกคนเขียนบทนะ แต่ว่าคำของผมมันจะสลวยกว่าไหม ก็แล้วแต่พี่ ถ้าเอาผมก็เอา แต่พี่ไม่เอา พี่ก็เล่นของพี่ พอเราพูดมา เอาของพี่ เขาก็...เอาของพี่หมด หนังหม่ำเอาบทมาดูปุ๊บนี่โยนทิ้งเลย พี่แอนไม่ต้องเล่นอันนี้ พี่แอนเล่นของพี่เลย อันไหนดีเอาไว้ ถ้าเป็นหนังหม่ำนะ
“คือกลายเป็นของเราไปหมดเลย บางทีเราซ้อมเราใส่มุกแล้วขาย บังเอิญได้ยิน แต่เขาไม่ได้ตอบรับว่าเอาไม่เอานะ พอแสดงจริงเราก็ไม่ใส่ เขาก็ถามว่าพี่แอนทำไมไม่เล่นอย่างตอนซ้อม เราก็ฮืม...ก็ไม่รู้ว่าจะเอา เขาก็ขออีกเทก (หัวเราะ) มุกมันเบา เราก็ไม่อยากเอามาเล่น แต่เขาชอบเฉยเลย และพอมาจบ ไม่ฮาก็ให้มันรู้ไป
“ณ ตอนนี้ เราก็ไม่สามารถคาดเดากับอะไรกับอนาคตได้ แต่ตอนนี้ โอเค คนก็ชื่นชอบเราอยู่ ไปไหนคนรู้จัก คนยังยิงมุกยิงอะไร ยังล้อเราอะไรอย่างนี้ ยังพอหากินได้ ณ ตอนนี้อะนะ แต่เราก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอีก 5 ปี 10 ปี ข้างหน้า เรายังจะมีงานอย่างนี้หรือเปล่า ผมคิดว่าอะไรที่เป็นของเราก็เป็นของเรา มันไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ เราจะรั้งยังไงก็คือไม่ใช่ ทุกอย่างเราต้องมีการปล่อยวาง อย่าไปยึดติดอะไรมากมาย ยึดถืออะไรมากมาย นั่นก็คือไม่ใช่ของจริง ของจริงคือปัจจุบันที่เราต้องทำให้ดีที่สุด อะไรที่มันใช่ก็คือใช่ อะไรที่ไม่ใช่ ทำยังไงก็ไม่ใช่ เราทำกับงานที่เราทำทุกวันนี้ให้มันดีที่สุด ให้มีคุณภาพ ให้คงเส้นคงวา เราจะได้มีงาน ไม่ใช่เล่นไปดรอปไป ใครจะมาจ้างเรา”
เช่นเดียวกับชีวิตที่ช่วงเวลานี้
แม้จะโด่งดัง มีผลงานและเงินทอง
แต่กระนั้นก็ยังไม่หยุดก้าวเดิน
“ก็ต้องก้าวไปเรื่อยๆ...ตอนนี้ก็คิดว่าจะเปิดร้านกาแฟ”
ดาวตลกชื่อเผยเรื่องแผนการในวันข้างหน้า ก่อนจะเว้นวรรคและรวบรวมเรื่องราวชีวิตทั้งหมดที่ทำให้มีวันนี้ออกมาเป็นคำพูดให้เป็นวิทยาทาน
“เราคิดว่าเรามีวิชา เราหาได้ ทำได้อยู่แล้วไม่กลัวหรอก ไม่กลัว แต่ไม่ว่ายังไงก็ให้พ่อแม่สบายไว้ก่อน จะไม่ให้พ่อแม่อด ทุกวันนี้พ่อแม่ไม่มีแล้ว ก็เป็นครอบครัวแทน เพราะผมเชื่อว่าผลบุญที่ทำให้เราไม่ตกถึงขั้นสุดๆ จะตกๆ ก็มีอะไรมาช่วย เราไม่ถึงกับดิ่งลงนรกที่ขนาดผงกหัวไม่ขึ้น ไม่เคยถึงขนาดนั้น เราว่าเป็นเพราะผลส่วนบุญส่วนหนึ่ง เราสองคนผัวเมียชอบทำบุญ ตอนที่อยู่คาเฟ่ เราก็สั่งสมบุญไว้เยอะ ไปซื้อโลงศพ ไปทำบุญใส่บาตร ถวายสังฆทานอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง
“ถามว่าทำบุญเพื่อหวังสิ่งตอบแทนไหม ไม่ ที่เราไปทำบุญ ไม่ใช่ว่าเราเลือดตากระเด็นแล้วเอาความทุกข์ความโศกไปเล่าให้พระฟัง ให้พระช่วยเรา เราทำทั้งๆ ที่เราก็มีงานนะ มีอะไร เราอยากทำ ทำแล้วสบายใจ เราอยากทำ ปีใหม่ผมต้องตระเวน 9 วัดในวันเดียวรอบกรุงรัตนโกสินทร์ทุกปี มีเยอะทำเยอะ มีน้อยทำน้อย แต่ชอบทำ ยิ่งมีก็ต้องยิ่งให้ เราเคยปฏิญาณว่าจะไม่กลับไปจนอีก แต่ที่ตรงนี้ เราซื้อกองทุนไว้กินตอนแก่ เราวางแผนชีวิตเอาไว้แล้ว
“เราเป็นผู้ให้ เรามีความสุขกว่าเป็นผู้รับ พวกตกทุกข์ได้ยากก็มา แหมะๆๆ ขอ ได้รับไออุ่นและก็ไป เราก็ไม่ว่าอะไร ช่วยๆ กันไป อย่าไปคิดว่าเขามาเพื่อมาทำร้ายเราหรือมาอะไรเรา ก็ถือว่าได้กุศลจากส่วนนี้ ที่ทำให้มีวันนี้ด้วย”
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : พลภัทร วรรณดี