หน้ากากนางเอก ตอนที่ 1
งานเปิดตัวสบู่หอมยี่ห้อดัง จัดขึ้นภายในห้างสรรพสินค้าบ่ายวันนี้ เหตุเพราะมี “เอี๊ยม อรัญภัทร” เป็นพรีเซ็นเตอร์ ผู้คนในห้าง ตลอดจนบรรดาแฟนคลับต่างมุงดูอยู่แน่นขนัด สายตาทุกคู่จับจ้องไปบนเวทีด้วยความตื่นเต้น เพราะใกล้เวลาเปิดตัว นางเอกสุตฮอต เจ้าของฉายา “ดาราฆ่าไม่ตาย” แล้ว
“ป้าไก่” นักข่าวบันเทิงหัวโจกรุ่นเก๋ายืนรวมอยู่กับกลุ่มนักข่าวคนอื่นๆ ที่ด้านหน้าเวที ป้าไก่มีท่าทีกระหาย ตื่นเต้น รอทำข่าววันนี้ มือจับกล้อง เตรียมพร้อมถ่ายภาพตลอดเวลา พิธีกรประกาศเสียงดังมาจากบนเวที
“และแล้วก็ถึงเวลาที่คุณผู้ชมทุกท่านรอคอย เชิญพบกับ ดาราฆ่าไม่ตาย เอี๊ยม อรัญภัทร”
เสียงเพลงเร้าอารมณ์ ไดรไอซ์ แสงไฟวูบวาบวิบวับ ทุกสิ่งอย่างต่างสมยอมพร้อมใจ พุ่งไปใส่ อรัญภัทรในอาภรณ์สีขาวทั้งชุด ตัวในเป็นเสื้อเกาะอก กระโปรงสั้นผ้าชีฟองบางเบาถูกคลุมไว้ด้วยเสื้อคลุมสีขาวบางเบาเช่นเดียวกัน
เธอเดินเยื้องย่างออกมาจากหลังเวที ทั้งหน้าตาและรอยยิ้มของเธอสะกดสายตาของผู้ชม คนดูฮือฮา ป้าไก่จับเลนส์กล้องแน่น ซูมกล้องเข้าไปที่พรีเซ็นเตอร์บนเวที
อรัญภัทรค่อยๆ ถอดเสื้อคลุมด้านนอกออก ก่อนที่จะหย่อนกายลงไปในอ่างไม้โอ๊คขนาดใหญ่ที่อยู่ชิดติดกับขอบเวที อ่างไม้นั้นฟูฟ่องไปด้วยฟองสบู่ ป้าไก่ และนักข่าวถ่ายรูปกันพรึบพรับ ขณะที่เธอทำท่าเริงร่า มีความสุขกับการอาบลูบไล้ฟองสบู่แบบละมุนละไมสมกับภาพลักษณ์ของสินค้า แฟนคลับกรี๊ดกร๊าดยื่นดอกกุหลาบให้ ร้องเรียกชื่อเธอดังกระหึ่ม
“พี่เอี๊ยมๆๆ” / “เอี๊ยมๆๆ”
ตุลา จินดาวัฒนะ หรือ “เจ๊เต่า” ผู้จัดการเพศทางเลือกมองภาพตรงหน้าด้วยความตื้นตันใจ ดีอกดีใจกับความสำเร็จของดาราใน
สังกัด
แฟนคลับยังตะโกน
“พี่เอี๊ยม ดอกไม้หน่อย มาเอาดอกไม้หน่อย”
อรัญภัทรยิ้ม ป้าไก่ซูมเลนส์กล้องเข้าไปอีก จนเพื่อนนักข่าว 1 ถาม
“ซูมอะไรขนาดนั้นป้า?”
“ก็ฉันได้ข่าวมาว่า....งานนี้เอี๊ยมจะทำนมหกเพื่อแลกกับค่าตัวห้าแสนน่ะสิ!”
ป้าไก่ตอบแค่นั้น สายตาจะจับจ้องแต่ที่อรัญภัทรที่ค่อยๆเกาะอ่างไม้โอ๊ค ยืดตัวขึ้นมาเพื่อที่จะยื่นมือเอาดอกไม้กับแฟนๆ แต่ด้วยความที่ชุดถูกแช่น้ำเอาไว้ทำให้ชุดร่นลง และเกาะอกก็เลื่อนลง ทำท่าจะหลุดลงมา เจ๊เต่าตะโกนกรี๊ดสุดเสียง
“เอี๊ยม หน้าอก!”
อรัญภัทรเหวอมอง งง ก่อนที่จะมองลงที่หน้าอกตัวเอง เห็นเกาะอกทำท่าจะหลุดลงมาจนเห็นเนินอก เธอรีบตะปบคว้าชุดเอาไว้ และทรุดตัวลงนั่งในอ่างอย่างรวดเร็ว ขณะที่ป้าไก่ และ นักข่าวรุมถ่ายภาพกันพรึ่บพรั่บ
เวลาต่อมา อรัญภัทรในชุดเตรียมจะกลับ เดินหน้าเครียดออกมาพร้อมกับเจ๊เต่าโดยมีป้าไก่และนักข่าววิ่ง
ตามกันออกมา
“จริงรึเปล่าคะที่เอี๊ยมยอมทำนมหกแลกกับค่าตัวห้าแสน” ป้าไก่ยิงคำถาม
อรัญภัทรมองตาเขียวหน้าบึ้ง
“เงินห้าแสนสำหรับเอี๊ยมแป๊บเดียวก็หาได้นะคะ ไม่ใช่นักข่าวอย่างป้า ที่เงินเดือนทั้งเดือน ต้องแลกมากับการหากินกับดารา สร้างข่าวโน่นสร้างข่าวนี่ แต่ยังได้ไม่ถึงหมื่น”
ป้าไก่และบรรดานักข่าวหน้าชากันไป ป้าไก่สวนทันควัน
“จริงค่ะ เงินเดือนนักข่าวอย่างพวกป้ามันน้อย ยิ่งถ้าแลกกับการตื่นเช้า กลับดึก แถมบางทีต้องไปนั่งรอดาราปากหมา ที่คิดว่าตัวเองเป็นซุปตาร์ ทีละหลายๆชั่วโมง แลกกับคำสัมภาษณ์ไม่กี่คำ แต่ถูกด่ายิ่งกว่าไปเป็นเมียน้อยพ่อเค้า มันไม่คุ้มหรอกค่ะ” ป้าไก่ยิ้มเหยียด พูดต่อ “แต่สำหรับดาราบางคน มันคุ้มมากนะคะกับการเป็นข่าวฉาวเพื่อแลกกับที่ยืนในวงการ หรือไม่ก็...สร้างมูลค่าเพื่อโก่งค่าตัวกับไฮโซ”
“สำหรับบางคนมันก็คงจะใช่ แต่ไม่ใช่สำหรับเอี๊ยม ไม่งั้น พี่ๆนักข่าวคงไม่ให้ฉายาเอี๊ยมว่า ดาราฆ่าไม่ตายหรอกค่ะ เพราะถึงเอี๊ยมจะถูกนักข่าวปากหมาด่าแค่ไหน ประชาชนก็ยังต้อนรับเอี๊ยมอยู่ดี ที่สำคัญ...เอี๊ยมไม่เคยคิดสร้างมูลค่าเพื่อยั่วไฮโซคนไหนหรอกค่ะ เอี๊ยมกลัวจะเจอผู้ชายเลวกว่าหมา เหมือนตอนนี้เอี๊ยมกำลังเจอนักข่าวหมาๆค่ะ”
ผู้คนฮือฮากับคำสัมภาษณ์ของเธอ ป้าไก่หน้าซีด อรัญภัทรชี้หน้าบอกป้าไก่
“ลงคำสัมภาษณ์ของเอี๊ยมทุกคำนะคะป้า ห้ามตัดต่อให้คนเข้าใจเอี๊ยมผิดๆ ไม่งั้น เอี๊ยมจะตามไปเอาเรื่องป้าถึงโรงพิมพ์แน่!”
วรรษชล แมคคินสัน ลูกบุญธรรมของชาวต่างชาติในชุดซาฟารีอย่างเท่ กับทีมงานสารคดีท่องเที่ยวในเชิงอนุรักษ์
ป่าลึกแห่งหนึ่งนั้นยังสวยงาม อุดมสมบูรณ์ด้วยกล้วยไม้ป่า น้ำตก และเหล่าสัตว์มากมาย เช่นช้างป่า สะท้อนให้เห็นถึงการใช้ชีวิตของคนกับสัตว์ป่า มีกิจกรรมเช่นอาบน้ำกลางลำธาร,ก่อไฟจากกิ่งไม้ ก้อนหินหุงข้าว,นอนในเต็นท์กลางป่า,ช่วยชาวบ้านสร้างกระท่อม
วรรษชล ช่วยเด็กและน้องหมาตัวน้อยในน้ำลึก มือหนึ่งอุ้มหมา มือหนึ่งประคองเด็ก , ช่วยควายตกบ่อขึ้นมาได้ ชาวบ้านเฮ เป็นนาทีชีวิต
ทางเดินบนเขา ชาวเขาผู้หญิงกระเตงอุ้มลูกผูกติดด้านหลังเหมือนอย่างชาวเขาทั่วไป มีรถแล่นผ่านด้วยความเร็วสูง หญิงชาวเขาตกใจ ลื่นล้มลง วรรษชลรีบวิ่งถลาไปช่วยแม่ลูกแบบหวุดหวิด ก่อนที่สองแม่ลูกจะกลิ้งตกเขา
ท่ามกลางความมืด ในผืนน้ำ ท้องทะเล วรรษชลออกหาปลาหมึกกับชาวบ้าน ชาวบ้านจับปลาหมึกสดๆได้ ฆ่ากินสดๆเลย วรรษยิ้มแหยๆ
ที่ฟาร์มกระต่ายเนื้อ กระต่ายน่ารักถูกนำมาทำเป็นอาหาร คนรักกระต่ายอาจทำใจไม่ได้ วรรษเองก็หน้าเจื่อน
ในป่า งูกินคางคก วรรษช่วยคางคกไม่ทัน … ภายใต้ภาพลักษณ์ที่เป็นคนลุยๆ เขากลับอ่อนไหวละเอียดอ่อนในหัวใจ มีเรื่องราวของความเมตตา กรุณา เกื้อกูลต่อสรรพชีวิตซุกซ่อนอยู่
วรรษชล พูดขณะทำสารคดีท่องเที่ยวว่า
“เรื่องราวที่ผมเจอ....บางสิ่งไม่ใช่เรื่องสวยงาม แต่มันก็คือ ความจริงที่เกิดบนโลกใบนี้ ..ความเป็นจริงของธรรมชาติที่ไร้ซึ่งหน้ากาก...มายา”
ณ บริษัทวรรษชล บนจอมอนิเตอร์เป็นภาพสุดท้ายของเขาในป่า วรรษชลในชุดพิธีกรกำลังควบคุมการตัดต่อรายการอยู่ เขาบอกป้อมเจ้าหน้าที่ Editor
“โอเค!! Dub เทปเก็บไว้แล้วส่งออนแอร์เลย” เขาบอกพลางคว้ากระเป๋า
ป้อมรับคำ
“ครับพี่วรรษ … อ้าว!จะรีบไปไหนครับ”
“คุยกับเจ้าหมอเรื่องเทปหน้าหน่อย” วรรษชลจะเดินออกไป
“เดี๋ยวครับพี่วรรษ”
วรรษชลหันมามองเป็นเชิงถาม ป้อมหยิบมือถือของเขาที่ลืมวางไว้ ชูขึ้น
“ลืมมือถือได้ยังไงพี่? โลกเราทุกวันนี้ เป็นโลกของมนุษย์กล้องนะ”
“อะไร...มนุษย์กล้อง”
ป้อมหัวเราะ
“ก็เจออะไร ถ่ายดะเลยไงพี่” ป้อมยื่นมือถือให้
เขายิ้มขำก่อนยื่นมือไปรับมือถือ
“ ถ่ายดะ...แชร์ดะ...แล้วก็...ถูกด่า เพราะถ่ายดะ แชร์ดะแบบไม่คิดใช่มั้ย” เขาเดินออกไป
ป้อมตะโกนแซว
“ประมาณนั้นล่ะพี่ สังคมก้มหน้าคิดอะไรมากเล่า ด่าเราวันนี้เดี๋ยววินาทีต่อไป เค้าก็ด่าคนใหม่แล้วเจออะไรเด็ดๆอย่าลืมถ่ายมาฝากด้วยนะพี่ เผื่อขายได้หลายตังค์”
วรรษชลยิ้มพลางส่ายหน้าน้อยๆเชิงขำระอา ก่อนเดินออกไป พลางมองมือถือตัวเอง
วันใหม่ ภาพข่าวอรัญภัทรทำท่านมจะหกไม่หกแหล่ อยู่หน้าหนังสือพิมพ์พร้อมพาดหัวข่าว “เอี๊ยมทำ
นกหกแลกค่าเหนื่อยห้าแสน แถมด่าผู้ชายเลวกว่าหมา”
ท่านอานนท์ อัศวทินกร นักการเมือง อดีตรัฐมนตรีนั่งอ่านข่าวของลูกสาวอยู่ พิมพิชชาในชุดเรียบแต่ดูเก๋สมกับการเป็นคุณหญิงคนใหม่ นั่งข้างๆ อานนท์เขวี้ยงหนังสือพิมพ์ชนิดแทบจะฟาดหน้าลูกสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ เจ๊เต่ายืนมองพ่อลูกทะเลาะกันเนื้อตัวสั่น
“แกกล้าด่าฉันถึงขนาดนี้เลยเหรอยายเอี๊ยม”
อรัญภัทรหน้าตึง
“เอี๊ยมไม่ได้ด่าคุณพ่อ แต่ถ้าคุณพ่อจะรับเอาไว้ก็ช่วยไม่ได้”
“ยายเอี๊ยม” อานนท์ตบพลัวะ
เธอเซผงะแทบล้ม เจ๊เต่าร้องกรี๊ดประคองเอาไว้ พิมพิชชาร้องกรี๊ดประคองอานนท์ที่เนื้อตัวสั่นด้วย
ความโกรธ เธอถามพ่อด้วยน้ำเสียงนิ่งเย็น แต่เย้ยหยัน
“ที่พ่อเรียกให้เอี๊ยมมาหา แค่ต้องการเอานสพ.ฟาดหน้าเอี๊ยมเท่านี้ใช่มั้ยคะ เอี๊ยมจะได้กลับ”
อานนท์โกรธมาก
“ยายเอี๊ยม”
เจ๊เต่ากอดเธอเอาไว้ พิมพิชชาปลอบท่านอานนท์
“ท่านคะใจเย็นๆค่ะ”
อานนท์โกรธ
“จะให้ฉันใจเย็นได้ยังไง นังเอี๊ยม มันด่าฉัน เลวกว่าหมา”
อรัญภัทรเสียงสั่นเครือมองภาพแม่เลี้ยง อดีตพยาบาลตัวแสบกับอานนท์ด้วยความเจ็บปวด
“เอี๊ยมระบุชื่อคุณพ่อบรรทัดไหนคะ? ไม่มี!! แต่ที่คุณพ่อโกรธ...เพราะลึกๆคุณพ่อรู้ดีอยู่แล้ว ว่าคุณพ่อทรยศทิ้งคุณแม่ มาเอาเมียน้อย”เธอมองพิมพิชชาอย่างเหยียดหยาม
พิมพิชชาแอ๊บหน้าซีดเสียใจ “คุณเอี๊ยม”
“หุบปากเดี๋ยวนี้นังแพศยา!! แกไม่ต้องมาแอ๊บ”
“แกนั่นแหละหุบปาก” อานนท์เสียงสั่นเครือเสียใจ “แม่แกตายไปแล้ว ฉันต้องหาคนมาดูแล เพราะแกไม่เคยมาดูแลฉัน”
“เอี๊ยมน่ะเหรอไม่ดูแลคุณพ่อ เอี๊ยมจำได้ เอี๊ยมบอกคุณพ่อไปแล้ว ถ้ามีนังแอ๊บสตรอนี่” อรัญภัทรชี้หน้าแม่เลี้ยง “ต้องไม่มีเอี๊ยม ... แต่นี่คุณพ่อก็เลือกมัน ทั้งๆที่เอี๊ยมเกลียดมัน คุณพ่อรักมัน หลงมัน คุณพ่อรวมหัวกับมัน ทรยศคุณแม่ เอี๊ยมเกลียดคุณพ่อ”
อานนท์โกรธเนื้อตัวสั่น ชี้หน้าไล่ลูกสาว
“แกออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้ แล้วถ้าแกไม่เปลี่ยนความคิด แกไม่ต้องมาเหยียบบ้านฉันอีก”
“คุณพ่อ” อรัญภัทรน้ำตาร่วง
“ออกไป ฉันบอกให้แกออกไป ไป๊!”
อานนท์ตะโกนด้วยความโกรธจัด อรัญภัทรร้องไห้โฮวิ่งออกไป เจ๊เต่ามองงง ทำอะไรไม่ถูก
อานนท์ด่าเจ๊เต่าด้วย “ไป๊”
“ค่ะ” เจ๊เต่ารีบวิ่งตามเอี๊ยมออกไป
อานนท์เครียดจัด หอบหายใจแทบไม่ทัน ต้องทรุดตัวลงนั่ง พิมพิชชาประคองเอาใจ
“ใจเย็นๆค่ะท่าน ใจเย็นๆนะคะ”
พิมพิชชารีบไปเอาน้ำมาให้อานนท์ดื่ม แล้วบีบตามเนื้อตามตัวให้ เอาใจสุดๆ อานนท์หลับตา
แบบเหนื่อยอ่อนเต็มที พึมพำเบาๆ
“ฉันผิดอะไรพิม ที่อยากมีคนดูแล ในเมื่อลูกฉัน ไม่เคยอยู่ดูแลฉันเลย”
พิมพิชชาออดอ้อน
“ท่านไม่ผิดค่ะ”
อานนท์ลืมตาขึ้นมามองดูพิมพิชชา เธอได้ที บีบน้ำตา แสร้งว่าเสียใจอย่างสุดๆ
“พิมผิดเอง ที่ดันไปฟ้องท่าน เรื่องน้องเอี๊ยมด่าท่าน...ว่าเลวกว่าหมา ก็ พอได้ยินพิมก็สะเทือนใจ... สงสารท่านที่ ท่านโดนด่า ...พิมขอโทษคะ ที่มาฟ้อง”
เธอมองอ้อนน้ำตาไหล ก่อนจะซบหน้าลงกับเข่าของอานนท์อย่างศิโรราบสุดๆ อานนท์มองเวทนาค่อยๆเอื้อมมือมาลูบเรือนผมของพิมเบาๆ
“พิมดีกับฉัน พิมดูแลฉัน พิมรักฉัน พิมจะผิดได้ยังไง ยายเอี๊ยมต่างหากที่ไม่เคยเข้าใจอะไรฉันเลย”
อานนท์หลับตาลง อย่างเหนื่อยอ่อนเคร่งเครียด พิมพิชชาลืมตาขึ้นหันไปมองทางที่อรัญภัทรเดิน
ออกไป ยิ้มเยาะเย้ย ไม่มีอาการโศกเศร้าเสียใจแม้แต่นิดเดียว
อรัญภัทรวิ่งร้องไห้ออกมาหน้าบ้าน โดยมีเจ๊เต่าวิ่งตาม ฉุดมือเอาไว้ เธอบอกเจ๊เต่าทั้งน้ำตา น้ำเสียง
แสดงความเสียใจอย่างที่สุด
“เอี๊ยมจะไม่มาเหยียบบ้านหลังนี้อีก”
“ใจเย็นๆเอี๊ยม”
“ไม่!..เอี๊ยมทนไม่ไหวอีกแล้ว” เธอชี้เข้าไปข้างในบ้าน “ไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ? บ้านเอี๊ยมถึงได้พังพินาศขนาดนี้” เธอปล่อยโฮ ร้องไห้เสียใจมาก “อะไรไม่ร้ายเท่า คุณพ่อหลงเมียน้อย จนลืมคิดถึง ว่าความถูกต้องคืออะไร ที่เอี๊ยมสัมภาษณ์ เอี๊ยมไม่ได้ด่าคุณพ่อ...แต่การกระทำของคุณพ่อ มันยิ่งตอกย้ำให้เอี๊ยมรู้สึกว่าโลกนี้ไม่มีผู้ชายคนไหนดีเลย!”
เธอวิ่งไปเปิดประตูรถขึ้นไปนั่ง เจ๊เต่าวิ่งตามไปขึ้นรถประจำที่นั่งคนขับ แล้วดุ
“อย่าเหมารวมสิเอี๊ยม เปิดตัวเองออกมาจากกะลา ทุกคนมีเหตุผลของตัวเองทั้งนั้น คุณพ่อของเอี๊ยมท่านก็ไม่ผิดที่มีภรรยาใหม่ เพราะแม่ของเอี๊ยมตายไปแล้ว และที่สำคัญ ผู้ชายก็ไม่ได้เลวทุกคน”
อ่านต่อหน้าที่ 2
หน้ากากนางเอก ตอนที่ 1 (ต่อ)
ป้าไก่เดินสาวเท้าเร็วๆเข้าไปในห้างสรรพสินค้า พลางบอกน้องนักข่าวที่เดินตามมา
“ให้ไวๆ ชักช้า เดี๋ยวก็ไม่ได้ข่าวเด็ดๆหรอก”
“ป้านี่ไม่เข็ดบ้างรึไง โดนยายเอี๊ยมด่าตลอด ยังจะมาตามทำข่าวมันอีก”
“ตราบใดที่ข่าวมันยังขายได้ เราก็ต้องตาม”
“แล้วมันยังไงป้า เรื่องเอี๊ยมทำนมหกแลกเงินห้าแสน”
ป้าไก่หน้าตาเฉย
“ไม่รู้”
“อ้าว!”
“จะเอาอะไรกับดารา หาความจริงอะไรไม่ได้หรอก เหมือนอย่างที่เค้าบอกแหละ วงการบันเทิง ก็คือวงการมายา ทุกคนสวมแต่หน้ากาก” ป้าไก่พูดพลางหรี่ตาอย่างเจ้าเล่ห์ “แต่มันจะสนุกตรงที่ได้ลุ้นว่า...ใครจะถูกกระชากหน้ากากเป็นคนแรก”
ป้าไก่ยิ้ม สายตาเต็มไปด้วยความกระหายข่าว
ภายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ กลุ่มผู้คนถือมือถือกำลังถ่ายภาพเหตุการณ์ตรงหน้า อรัญภัทร ในบทของโสรยานางเอกผู้สุดแสนจะเรียบร้อย กำลังร้องไห้เดินแกมวิ่งมาตามทางเดิน โดยมีเขมปัญฑา นางร้ายเบอร์ต้นๆในบทศันสนีย์เดินเกรี้ยวกราดตามมา
เขมปัญฑาตามไปกระชาก “หยุดเดี๋ยวนี้นะโศรยา”
อรัญภัทรในบทโศรยาร้องเสียงหลง ท่าทางกลังสุดๆ “ว้าย”
เขมปัญฑาดุ ถลึงตาใส่
“จะหนีฉันไปไหน”
อรัญภัทรเสียงเศร้าๆเป็นนางเอก “โสไม่ได้หนีคุณพี่ศันย์ค่ะ
เขมปัญฑาเสียงแหลมปริ๊ดมากกว่าเดิม “โกหก !! ถ้าไม่หนี แล้วเธอจะมาที่นี่ทำไม”
กล้องแพนตามไปที่บันไดเลื่อน ที่กำลังเลื่อนตาม เห็นความสูงของพื้นที่ยืนกับพื้นด้านล่าง ช่วงความสูง
ระยะห่างดูน่ากลัว เขมปัญฑาเบ้หน้าเบ้ปาก ขยับเข้ามาใกล้อรัญภัทร
“อยากหนีฉันนักใช่มั้ย” เขมปัญฑากระชากตัวอรัญภัทรเข้ามาใกล้ เธอผวาตามแรงกระชาก มองอย่างหวาดกลัว
“เปล่านะคะ..เปล่า”
เขมปัญฑาถลึงตาใส่
“ฉันไม่เชื่อ!! ได้...ถ้าอยากไปจากฉันนัก ฉันจะให้เธอไป”
พูดจบเขมปัญฑาในมาดนางร้ายก็จับตัวอรัญภัทรในคราบนางเอกไว้ ทำท่าจะผลักลงบันไดเลื่อนไปยัง
พื้นด้านล่าง เธอขืนตัวเอาไว้ โอดครวญตามประสานางเอก
“อย่าค่ะคุณพี่ศันย์...อย่า!”
เขมปัญฑาในมาดนางร้ายไม่ฟังเสียง ออกแรงจะผลักอรัญภัทรลงไปด้านล่างให้ได้ คนมุงดู
กันเต็ม บางส่วนรู้ว่าเป็นการถ่ายละคร บางส่วนมุงดูเพราะอยากรู้ ตามประสาไทยมุง คนดูที่ห้างบางส่วน ยกมือถือขึ้นถ่ายคลิป อรัญภัทรกับเขมปัญฑาทำท่าจะผลักกันลงบันไดเลื่อน โยธินโปรดิวเซอร์ประจำรายการของวรรษชลเดินผ่านมา เห็นไทยมุงมากมาย ก็มองผ่านเข้าไป เห็นผู้หญิงสองคนมีเรื่องกัน โยธินชะงัก จะเดินเข้าไป แต่ตามองเห็นทีมงาน ช่างกล้อง เรียงรายกันอยู่ โยธินถอนหายใจ ขณะที่มือถือที่อยู่ในกระเป๋าสั่น หมอโยธินรีบรับสาย
“ฉันมาถึงแล้ว นายอยู่ไหน?? ... แล้วเจอกัน”
โยธินเดินเลี่ยงไปแล้ว เขมปัญฑายังคงผลักอรัญภัทร ฝ่ายป้าไก่ เจ๊เต่าอยู่รอบนอก มองดูแบบลุ้นๆ จะโดดไม่โดด เวฬุยา หรือ “มะม่วง” นางรอง มาดนิ่งที่ยืนรอเข้าฉากอยู่ทำหน้าเซ็งก่อนเดินออกไป
อาเจ๊ผู้จัด มองลุ้นๆ เสนอ ผู้กำกับการแสดงมาดโอเวอร์ ในแนวเหนือจริง ดูฮามองลุ้นมากปนหงุดหงิด เพราะอรัญภัทรยังไม่ตกลงบันไดเลื่อนซักที
ในห้างอีกมุมหนึ่ง วรรษชลในชุดซาฟารีถ่ายทำรายการ เดินเร็วๆ มาตามทางโดยมีพิมพิชชาในชุด
สวยเซ็กซี่ แต่งตัวเหมือนหญิงสาวศัลย์พริตตี้สมัยนี้ แตกต่างจากตอนที่เธออยู่กับอานนท์โดยสิ้นเชิง เธอเดินตาม ออดอ้อนแอ๊บหน้าใส
“แหม!วรรษคะ...บังเอิญเจอกันทั้งที วรรษน่าจะดื่มกาแฟกับพิมบ้าง”
วรรษชลเข้ม นิ่งไม่สน “ผมไม่ว่าง”
พิมพิชชาเดินมาขวางหน้าส่งสายตาอ้อนๆ “ก็แค่กาแฟแก้วเดียว” พูดพลางเอื้อมมือมาแตะมือวรรษชล
“นะคะ...พิมรบกวนเวลาของวรรษไม่นานหรอก”
วรรษชลจับมือ ดุ
“จะนานหรือไม่นาน ผู้หญิงที่มีสามีแล้ว ก็ไม่ควรทำ”
พิมพิชชาแทนที่จะอายกลับยิ้มตาเป็นประกาย
“นี่วรรษยังโกรธพิมอยู่เหรอคะ” เธอเอื้อมมือไปจับแขนวรรษชลอีก “วรรษยังหึงพิมอยู่ใช่มั้ยคะ”
พิมพิชชาจ้องมองวรรษชล ดวงตาเปล่งประกายอยากรู้ วรรษชลไม่ทันตอบ มองเธอด้วยสายตาไม่
เชื่อว่า พิมพิชชาว่าเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ แต่อาการนิ่งของวรรษชล กลับทำให้พิมพิชชากล้าขึ้น ขยับเข้ามาใกล้อีก บอกด้วยน้ำเสียงออดอ้อนอยู่ในที
“พิมรู้ว่า...วรรษยังรักพิมมาก ถึงได้โกรธพิมขนาดนี้ พิมเองก็เสียใจมากค่ะที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราไม่มีโอกาสได้ทำความเข้าใจกันเลย...แต่วรรษรู้มั้ยคะว่ามันเป็นพรหมลิขิต วันนี้วรรษถึงได้ออกจากป่ามาเจอกับพิม... พิมว่าเราน่าจะใช้โอกาสที่กามเทพเป็นใจ ปรับความเข้าใจกันนะคะ”
วรรษชลยิ้ม
“ผมรู้...ว่าคุณอยากเป็นดารา แต่ผมไม่รู้...ว่าคุณจะจำคำพูดในละครมาใช้ขนาดนี้ อ้อ!! อีกอย่าง ผมว่าคุณควรเปลี่ยนสีคอนแทคเลนส์นะพิม...เพราะเวลามันสะท้อนแสงแบบนี้...ผมว่าคุณเหมือนไซบีเรียนฮัสกี้”
“คุณว่าพิมเหมือนหมา” พิมพิชชาบึ้ง หน้าเสีย
วรรษชลยิ้ม ไม่โต้ตอบ โยธินก็เดินมา
“ขอโทษ...มาถึงซักครู่แล้วล่ะ แต่เจอเค้าถ่ายละครกันอยู่ เลยหยุดดู”
พิมพิชชาจากที่หน้าบึ้งเปลี่ยนแววตาก็เป็นประกาย ตื่นเต้น “ละคร”
“ครับ...ที่นางเอกสวยๆ กำลังดังๆอยู่ตอนนี้” โยธินยิ้มแกมประชด “คนที่มีข่าว ไม่ชอบแม่เลี้ยงไงครับ”
แววตาวรรษชลแอบเป็นประกายตื่นเต้น
“เอี๊ยม...อรัญภัทร ใช่มั้ยหมอ”
โยธินพยักหน้างุนงงแปลกใจ ขณะที่พิมพิชชาหันขวับไปมองวรรษชลท่าทางไม่พอใจมาก
กองถ่ายละคร เขมปัญฑาในมาดนางร้ายพยายามจะผลักอรัญภัทรที่เป็นนางเอกลงบันไดเลื่อน แต่ไม่
สำเร็จซักที เจ๊เต่า-ป้าไก่มองลุ้น เสนอ ผู้กำกับมองอย่างหงุดหงิดที่ลุ้นมานาน ทนไม่ไหว ตะโกนออกมา
“คัทๆๆๆ”
กองถ่ายและผู้คนแตกฮือ เจ๊เต่าหน้าซีด มองไปทางอรัญภัทรด้วยความเป็นห่วง ป้าไก่ หยิบกล้องถ่ายไว้ตลอดเวลา วรรษชลเดินเข้ามายังไทยมุงชะโงกหน้ามอง หมอโยธินมองท่าทางของวรรษชลอย่างงงๆ ขณะที่พิมพิชชามองวรรษชลอย่างไม่พอใจ พอกวาดสายตามองไปที่อรัญภัทร ดวงตาของพิมพิชชาก็เขียวปั๊ดมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
ผู้กำกับฯ ในมือกำบทลุกสะบัดตูดเดินแอคอาร์ตมาหาอรัญภัทร ที่ยืนเชิดหน้าท่าทางเหวี่ยงๆ ขณะที่
เขมปัญฑาหน้าซีด กลัวมีเรื่อง ท่าทางแตกต่างจากตอนเป็นนางร้ายอย่างชัดเจน เจ๊เต่า ป้าไก่ รีบตามมารวดเร็ว พอเดินมาถึงอรัญภัทร ผู้กำกับฯ ก็ยกมือยกไม้ ออกท่าทางอาละวาดใหญ่
“นี่มันเรื่องอะไร จะยักแย่ยักยัน ไปจนถึงพระจันทร์ขึ้นเลยรึยังไง” เสนอโมโหใส่ “เขมเค้าก็ผลักคุณแล้ว ทำไมคุณไม่หล่นลงบันไดเลื่อนซะทีเอี๊ยม”
นางเอกสาวหน้าหงิก “บอกแล้วไง คนนะไม่ใช่บอส ขืนหล่นลงไป...” เธอมองบันไดเลื่อน “ก็คอหักตายกันน่ะสิ!”
“พูดอย่างนี้แปลว่า....คุณกำลังดูถูกผม ผม นักเรียนนอก มาจากฮอลลีวูด คุณดูถูกทีมงานผม” เสนอตบมือ “อ้าว!เฮ้ย! ทีมงาน พร็อบ..พร็อบอยู่ไหน เบาะกันกระแทก”
พื้นชั้นล่างบันไดเลื่อน ทีมงานพร็อบ 2 คน รีบวิ่งเอาเบาะบางๆที่ใช้รองกันกระแทกเข้ามายืนตรงพื้น
ล่าง มุมบันไดเลื่อน เสนอมองอรัญภัทรอย่างยียวน
“ทันทีที่คุณหล่นลงไป เบาะก็จะมารองรับคุณพอดี ทุกคนมืออาชีพ ยกเว้นก็แต่คุณคนเดียว”
อรัญภัทรเชิดๆเริ่ดๆ
“หรา? แต่ฉันว่า ฉันมืออาชีพมากพอที่จะรู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ เพราะที่ผ่านมา เวลาถ่ายทำฉากที่มันอันตรายขนาดนี้ ผู้กำกับจะเซฟนักแสดงด้วยการเจาะถ่าย ไม่มีผู้กำกับคนไหนจะบ้า ปล่อยให้นักแสดงตบกันจนหล่นลงบันไดเลื่อนจริงๆแบบที่คุณกำลังทำหรอก”
พิมพิชชามองอรัญภัทร พลางเหยียดริมฝีปากออกหมั่นไส้ วรรษชลมองอรัญภัทรอย่างเป็นห่วง
ผู้กำกับโกรธตัวสั่นเถียง
“ก็ผมมาจากฮอลลีวูด”
“โอเคค่ะ คุณมาจากฮอลลีวูด แต่เบาะกันกระแทกราคา 199 บาทของคุณมาจากตลาดนัด”
ผู้กำกับเหวอ เจ๊ผู้จัดที่เป็นคนจีนดูจี๊น จีนวิ่งเข้ามาเถียงแบบพูดไทยไม่ชัด
“ใครว่า 199 บาท 259 ต่างหาก แล้วเมื่อเช้าเจ๊ไปเดินซื้อมาเองเลยที่สำเพ็ง ไม่ใช่ตลาดนัด”
ผู้คนที่มุงดูฮากันครืน วรรษชลยิ้มขำ ผู้กำกับหน้าแหย เอามือกุมเป้าถามเจ๊อ่อยๆ
“เอ่อ..เจ๊ครับ...ที่เราคุยกัน มันเป็นเบาะอิมพอร์ตมาจากอเมริกา ใช้ในฮอลลีวูด ราคา 7หลัก”
“มันแพงไป..เปลืองงบ เบาะบ้าอะไร จะเป็นล้าน เอา 199 เอ๊ย!! 259 บาทก็พอ”
อรัญภัทรยิ้มขำ วรรษชลมองเอ็นดู พิมพิชชามองทั้งคู่ท่าทางไม่พอใจเข้าไปอีก
ผู้กำกับรีบบอกเจ๊อย่างนอบน้อม
“แต่เจ๊ครับ...ขืนเราใช้เบาะ 199 เอ๊ย!! 259 นักแสดงกระโดดลงจากบันไดเลื่อนก็คอหักตายสิครับ”
“งั้นก็เปลี่ยนบทสิ...อาตี๋เป็นคนเขียนบทเอง...แก้บทยังไงก็ได้ อาตี๋เอ๊ย... อาตี๋”
อาตี๋ ชายหนุ่มหน้าตาทันสมัยอินเทรนด์เกาหลี แต่ไม่หล่อ ออกแนวขำ เดินแอ๊คอาร์ตคอเอียงฝ่าผู้คน
กระแทกวรรษชล จนเซ พิมพิชชาต้องคว้าตัววรรษเอาไว้ พร้อมทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ ส่วนอาตี๋เดินเข้าไปหาเจ๊ผู้จัด ผู้เป็นแม่ ถามหงุดหงิด
“ว่าไงม้า”
เจ๊ชี้ใส่อรัญภัทร ทำท่าเมาท์แต่พูดต่อหน้า
“อีเล่นไม่ได้...แก้บทให้อีหน่อย”
อาตี๋แอ๊คอาร์ตไปใหญ่ สะบัดคอเอียงๆว่า
“แก้ได้ยังไงอ่ะ นี่ เทพเขียนบทนะ กว่าจะคิดได้ทีละคำ ทีละประโยค ทีละฉาก มันยากมาก”
เจ๊เอ็ดตะโรลั่น
“มันจะไปยากอาไร ลื้อก็เขียนๆไปสิ ตกบันไดเลื่อนไม่ได้ ก็.. ก็...ตกบันได ไปถ่ายตรงบันไดแทน”
ผู้กำกับหน้าแหยๆ
จะถ่ายตรงบันไดเลื่อน หรือไม่เลื่อน มันก็ต้องมีเบาะนะครับเจ๊”
“ก็เอาเบาะ 199 เอ๊ย!! 259 ไปสิ”
ผู้กำกับหน้าแหยลงไปอีก
“ไม่ได้นะครับเจ๊”
“อั๊วเป็นผู้จัด อั๊วสั่งได้ ไม่ได้ก็ต้องได้”
อรัญภัทรยกมือห้าม
“ทะเลาะกันเลยนะคะ ตามสบาย ตกลงกันได้เมื่อไหร่ โทรฯไปเรียกก็แล้วกัน”
อรัญภัทรเดินเชิดๆเริดๆๆออกไป
เขมปัญฑาตกใจรีบร้อง “เอี๊ยม” ก่อนรีบตามเอี๊ยมไป
เจ๊เต่าเห็นทั้งคู่เดินออกไป ก็วิ่งตามทันที อรัญภัทรเดินแหวกผู้คนออกไป ตรงจังหวะที่วรรษชลยืนอยู่
พอดี ตาของเธอไม่ทันได้มองวรรษชล แต่เห็นพิมพิชชาที่กอดแขนวรรษชลซะก่อน เธอเหยียดยิ้มบอกกับพิมพิชชา
“ก็นึกอยู่เหมือนกัน ทำไมวันนี้ซวย... เป็นเพราะ เธอมายืนอยู่ตรงนี้นี่เอง”
เธฮเงยหน้ามองวรรษชล สลับพิมพิชชาด้วยความเกลียดชัง ก่อนกระแทกคนทั้งคู่ให้กระเด็นออกจาก
กันเดินไป ท่ามกลางสายตา ป้าไก่ เจ๊เต่า ประชาชนคนดูอีกมากมาย เจ้เต่าหน้าซีดรีบตามไป ขณะที่พิมพิชชาฮึดฮัด พูดให้ไทยมุงได้ยิน
“ร้ายกาจขนาดนี้ เป็นนางเอกได้ยังไง”
“ได้ ไม่ได้...คุณเอี๊ยมก็เป็นนางเอกแล้วนะครับ ดังด้วย”
พิมพิชชาอ้าปากหวอ ขณะที่วรรษชลเดินผละออกไป โยธินรีบตาม พิมพิชชาเห็นอย่างนั้นก็ผลักผู้คน
ออกตามไปทันที
อีกมุมหนึ่ง อรัญภัทรเดินฉับๆๆ ท่าทางอารมณ์เสียออกไป มีเขมปัญฑาและเจ๊เต่า ป้าไก่ตาม ก่อนจะ
เลี้ยวไปอีกมุม วรรษชลสาวเท้าเร็วๆตามเธอมา มีโยธินตามมาด้วย แต่สายตาวรรษชลมองไม่เห็นเธอแล้ว ไม่รู้ว่าเธอไปไหน วรรษชลกวาดตามอง ท่าทางเสียดาย สนใจ อยากรู้ โยธินมอง ก่อนถามสงสัย
“เฮ้ย!มันเรื่องอะไรวรรษ นายถึงได้ตามยัยเอี๊ยม ...อย่าบอกนะว่า หลงเสน่ห์นางเอกตั้งแต่ครั้งแรก”
ทางด้านหลัง พิมพิชชาเดินมาทัน ได้ยินพอดี สายตาของเธอมีแต่ความโกรธ เกลียด ริษยา
วรรษชลตอบจริงจัง “ใช่!” พูดต่อไปอย่างมีนัย “แต่ไม่ใช่ตอนที่เค้าเป็นนางเอก ฉันหลงเสน่ห์เค้าตั้งแต่แรกเห็น”
โยธินมองวรรษชล งง สงสัย ดวงตาพิมพิชชาเป็นประกายสงสัยทันทีที่ได้ยิน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็น
ความโกรธ ไม่พอใจ ถือดี เอาชนะ พิมสะบัดหน้ามองไปทางอื่น ตาเขียวปั้ด ราวกับเป็นหน้าอรัญภัทรยืนอยู่ตรงนั้น
อ่านต่อหน้าที่ 3
หน้ากากนางเอก ตอนที่ 1 (ต่อ)
หน้าห้างสรรพสินค้าอรัญภัทรเดินนำเจ๊เต่า เขมปัญฑามายังรถตู้ส่วนตัวของเจ๊เต่าที่จอดอยู่ ที่นั่นเวฬุยานั่งกดโทรศัพท์เล่นมือถือตามประสาคนไม่สนใจใคร เจ๊เต่าถามอรัญภัทรแบบเกรงๆ
“ยังถ่ายไม่เสร็จเลย จะกลับจริงๆเหรอเอี๊ยม”
เธอบอกหน้าตาเฉย
“ถ้าไม่กลับ แล้วเจ๊จะให้เอี๊ยมนั่งสมาธิ หรือว่าหลับในรอ”
เจ๊เต่าหน้าแหย
“แต่เรารับงานเค้าไว้แล้วนะ..ขืนกลับ นักข่าวปากปีจอ” เจ๊มองไปทางป้าไก่ที่ยืนอยู่ “ก็เอาเอี๊ยมไปเขียนเท่านั้นเอง ว่าวีนเหวี่ยง”
“จะด่าฉันว่าปากหมาก็ด่ามาเถอะ ใช่ว่ายายเอี๊ยมไม่เคยด่าฉัน” ป้าไก่ยักไหล่ไม่แคร์ “ฉันก็แค่รายงานข่าว ตามความจริง....ก็เท่านั้น”
อรัญภัทรมองหน้าป้าไก่
“งั้นป้าก็ช่วยเขียนข่าวตามจริงด้วยนะคะว่า...อุตส่าห์ใช้เส้นจนได้มาเป็นผู้จัด แต่ไม่มีความรู้เรื่องกองถ่ายอะไรเลย บทก็ให้ลูกชายเขียนอะไรไม่รู้บ้าๆ ตบกันตกบันไดเลื่อน ผู้กำกับก็บ้ายิ่งกว่า จะถ่ายทำกันจริงๆ แล้วก็ยังงก เซฟงบ ใช้เบาะรอง 199 บาท”
เจ๊เต่าเสียงอ่อยๆ “259 บาท”
“อ้อ!เพิ่มมาอีก 60บาท... 60 บาทนี่ ตกลงมาคอไม่หักตายใช่มั้ยเจ๊”
ป้าไก่กับเจ๊เต่าพูดพร้อมกัน “ตาย”
อรัญภัทรมองหน้าสองคนยิ้มขำ เจ๊เต่ากับป้าไก่ เอามืออุดปากตัวเอง หน้าเจื่อนๆ
“แต่จะโทษพวกเค้าก็ไม่ได้...เพราะเจ๊นั่นแหละ รับงานอะไรมาก็ไม่รู้” เธอหันไปดุเขมปัญฑาที่ยืนหน้าเจื่อน “เธอก็เหมือนกัน จะบ้าผลักฉันลงบันไดเลื่อนทำไม”
เขมปัญฑาตอบเสียงอ่อย “ก็ผู้กำกับสั่ง”
เธอมองดุ เหวี่ยง
“งั้นวันหลัง ถ้าผู้กำกับสั่งให้ไปตาย ก็ตายจริงๆเลยนะ ยัยเขม อย่าแกล้งตาย เหมือนสมองของเธอ ตอนนี้”
เวฬุยาที่นั่งฟังอยู่นานหัวเราะขึ้นเบาๆค่อนว่า
“โอ๊ย !!ด่าได้แซ่บยิ่งกว่าตำถาดสิบถาดมารวมกันซะอีกนะเธอ!”
อรัญภัทรหันขวับมามองอย่างไม่พอใจ
“ไม่ใช่ด่าได้แซ่บ แต่ตบก็แซ่บด้วย จะลองมั้ย”
เวฬุยาวางมือถือลงทันที หันขวับมาพร้อมมีเรื่อง
“ก็เอาซี้...ส้นเท้าฉันไม่ได้เก็บไว้ในกระเป๋าตังค์ มือไม้ฉันก็มี ถ้าเธอตบ ฉันคงนั่งพับเพียบรอให้เธอตบหรอก”
เวฬุยาก้าวลงมาจากรถ ตั้งท่าจะมีเรื่อง ป้าไก่ยกมือถือถ่ายรูปไว้อย่างรวดเร็ว
เจ๊เต่าถลันเข้ามาขวาง
“อยู่สังกัดเดียวกัน อย่ามีเรื่องกันเลยนะ ...หรือถ้าอยากมีจริงๆ มีกับเจ๊ก็ได้”
อรัญภัทรมองเจ๊เต่า
“งั้นขอถีบยอดหน้าเจ๊แทนได้มั้ยคะ”
เจ๊เต่าผงะ “อี้!”
อรัญภัทรหันไปมองป้าที่กำลังถ่ายรูปอยู่
“นี่ก็เหมือนกัน...เรื่องเสือกนี่ไวกว่า 4 จีอีกนะป้า”
ป้าไก่ผงะแบบเจ๊เต่า “อี้!”
เวฬุยาว่านางเอกสาวอย่างหน่ายๆระอา
“ปากอย่างเธอเนี่ย...ไม่ได้แก่ตายแน่ๆเลยยัยเอี๊ยม”
อรัญภัทรสีหน้าขมขื่น
“เธอพูดเหมือนพ่อฉันเดี๊ยะเลย!”
สีหน้าของอรัญภัทรดูขมขื่นปวดร้าวทันทีที่พูดถึง
ภายในคฤหาสน์ของอานนท์ที่ใหญ่โตสมกับอดีตรัฐมนตรี เขาออกกำลังกายอยู่ในบ้าน ขณะที่พิมพิช
ชามาอยู่ใกล้ๆคอยเอาใจ ยื่นน้ำ ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้พลางบอก
“พิมรู้ว่าท่านไม่สบายใจ เวลาได้ยินข่าวคุณเอี๊ยม...แต่ถ้าพิมไม่บอก พิมก็เกรงว่า พอท่านรู้จากสื่อ ท่านจะตกใจไปเข้าอีก”
อานนท์โกรธลูกสาว พูดเสียงดุๆแบบตัดบทขึ้นมา
“ยัยเอี๊ยมมันทำอะไรอีก”
พิมพิชชาแอบอมยิ้มสะใจก่อนแอ๊บทำหน้าเศร้ากังวลเป็นห่วง “ก็วีนทีมงานอีกแล้วนะสิคะ”
อานนท์หน้าเครียดขึ้นมาทันที
ณ สนามแข่งรถ รถแข่งสวยคันหนึ่ง แล่นอยู่กลางสนาม รถวิ่ง เสียว แรง แล่นเร็วในสนาม ปราชญ์ขับรถคนกลางสนาม มือเปลี่ยนเกียร์ เท้าเร่งคันเร่ง เพื่อน ข้างสนามยืนจับเวลา ปราชญ์ กดเหยียบ คันเร่งอีกครั้ง ก่อนเข้าเส้นชัย
ปราชญ์ลงจากรถ ถอดหมวกเห็นหน้า ว่าคือปราชญ์ หนุ่มหล่อ เขาเดินเข้ามาเพื่อน กลุ่มสาวๆ จับกลุ่มปลื้มความหล่อ แต่ปราชญ์ไม่สนใจใคร นอกจากทักทายเพื่อนๆผู้ชาย
“ค่อยยังชั่ว”
“ประหลาดคนนะแกนะ...กลับจากเมืองนอก เล่น พุ่งตรงมาสนามแข่ง ก่อนไปหาพ่อสะอีก”
“ไม่ได้เลย....คิดถึงสนามสุดๆ .อั้นมานานมาก กลับมาเลยขอแวะเหยียบคันเร่งสักหน่อย”
“แล้วเป็นไง”
“สุดยอดสิว่ะ”
“เฮ้ย...เสร็จแล้วไปเลย...นี่จะไม่คุยน้องๆ หน่อยเหรอวะ”
ปราชญ์หัวเราะขำไม่ถือสา ไม่ได้สนใจ
“ รีบกลับบ้าน พ่อรออยู่”
เพื่อน 2 แซว
“กลับมาจากเมืองนอก...รีบกลับไปหาพ่อ...ยังพอเข้าใจ แต่กลัวจะซุกสาวคนไหนไว้ที่บ้านน่ะสิ ไม่มีนะเพื่อน”
ปราชญ์หัวเราะ
“ไม่มี...ไม่มี แล้วเจอกัน”
ปราชญ์จับมือลาเพื่อนๆเดินออกไป ทิ้งให้สาวๆมองตาละห้อย
เขมปัญฑาขับรถมาจอดหน้าบ้านธาริช ก่อนเดินลงไปยืนอยู่หน้าบ้าน เธอมองเข้าไปด้านใน แต่ไม่มีคนอยู่ เธอกำลังจะเดินกลับ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อป้าสายแม่บ้านเดินออกมาถาม
“มาหาใครคะ”
เธอยิ้มหวานยกมือไหว้นอบน้อม
“คุณธาริชค่ะ”
“ท่านไม่อยู่ค่ะ....กว่าจะกลับก็คงจะดึก มีธุระอะไรฝากไว้ได้นะคะ”
“เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ รอท่านมาดีกว่า....งั้น...หนูขออนุญาตรอในรถนะคะ”
เธอยิ้มหวาน ป้าสายมองตาม เห็นรถยนต์คันหนึ่งจอดชิดกำแพงรั้วบ้าน ป้าสายยิ้ม
“ได้ค่ะ...ถ้าท่านกลับมา ป้าจะมาบอกนะคะ”
“ขอบคุณป้ามากค่ะ” เธอยกมือไหว้นอบน้อมก่อนเดินไปนั่งรถในรถ
ป้าสายมองตาม กริยามารยาทที่ดูเรียบร้อยอ่อนหวาน ทำให้รู้สึกเอ็นดู พลางคิดในใจ
“ท่าทางเรียบร้อยน่ารัก...อย่าเป็นนางร้ายเหมือนในละครนะแม่คุณ”
ร้านต้นไม้ที่ดูร่มรื่นสวยงาม เรียงรายเป็นแถวยาวมีหลายร้าน เวฬุยาในชุดปกติธรรมดาแต่เก๋ จอดรถในที่จอด ที่อยู่ในมุมที่ดีที่สุด เธอยิ้ม มองที่จอดรถด้วยความพอใจ
“ วันนี้โชคดีแฮะ ได้ที่จอดรถดี๊..ดี”
เธอเดินลงจากรถด้วยท่าทางสดชื่นสุดๆ เมื่อเดินลับสายตาไป รถของแทนไท ทายาท “ไร่แทนรัก”วิ่งเข้ามา เห็นที่จอดรถของตัวเอง มีรถจอดซะแล้ว แทนไทแปลกใจ แต่ไม่ได้ว่าอะไร กำลังจะเบนรถไปทางอื่น ผู้จัดการ เดินมาเห็น หน้าตาตื่นตกใจ
“ คุณแทน”
แทนไทเห็นก็เดินมาลดกระจกลง เป็นเชิงถาม ผู้จัดการรีบละล่ำละลักบอก
“คุณแทนครับ ผมขอโทษ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมหาที่จอดตรงอื่นก็ได้ ให้ลูกค้าจอดเถอะ”
พูดจบแทนไทก็ขับรถออกไปแบบไม่ซีเรียส แต่ผู้จัดการหน้าเครียด รีบเดินหา รปภ. พลางตะโกนลั่น
“รปภ.ๆ”
รปภ.ได้ยินเสียงเรียกรีบเดินมา ขานรับ
“ ครับผู้จัดการ”
ผู้จัดการดุ
“ดูยังไงให้ลูกค้ามาจอดรถที่ของคุณแทน”
รปภ.งง มองไปที่จอดรถของแทนก่อนหันมาบอก
“ สงสัย เค้าเอาที่ขวางออกแน่ๆเลย”
“รีบไปแจ้งประชาสัมพันธ์ให้ประกาศ ให้เจ้าของรถคันนั้น เอารถออกเร็วที่สุด”
“ครับๆๆ” รปภ.วิ่งไป
ผู้จัดการหัวเสียสุดๆ
“ใครนะ มาเอาที่ขวางรถออก แย่จริง!”
เวฬุยาเดินดูต้นไม้ ได้ยินเสียงแม่ค้าคุยกัน
แม่ค้า1บอก
“ฮู้ย! เมื่อคืนได้ดูละครรึเปล่า? ฉันล่ะอย๊าก อยากตบนางร้าย เล่นได้น่าเอาทุเรียนฟาดหน้า
จริงๆเลย ยาย..ยายคนที่ชื่อ เขมอะไรน่ะ?”
แม่ค้า2บอก “อ้อ!เขมปัญฑา ที่ฉันอ่านสัมภาษณ์ เค้าว่า คนนี้นิสัยดีนะเธอ ไม่ได้เป็นนางร้ายเหมือนในละคร”
แม่ค้า1ทำหน้าไม่เชื่อ แต่น้ำเสียงขำๆ
“โห่ย!ไปเชื่ออะไรกับดารา ฉันว่าแอ๊บกันทุกคนทั้งนั้นล่ะ”
“แอ๊บบ้าง ไรบ้าง จะได้เป็นข่าว บางคนเล่นมาตั้งนานไม่ดังซักที เห็นหน้าตามจอทีวี ฉันยังไม่
รู้จักชื่อก็มี”
เวฬุยาที่ฟังมาตลอด หน้าจ๋อย คำพูดของแม่ค้าแทงใจดำ แม่ค้าหันมาเห็นถาม
“ชอบต้นไหนมั้ยคะคุณ”
เธอยิ้มบอกเป็นมิตร
“เดี๋ยวเดินดูเรื่อยๆก่อนค่ะ” เธอจะเดินไป
แม่ค้า1มองทัก
“สวยเหมือนดารานะคุณน่ะ”
เวฬุยายิ้ม แม่ค้าเหมือนไม่ได้มีท่าทีจะจำได้ แม่ค้าอีกคนว่า
“ฉันก็ว่าหน้าคุ้นๆ”
เธอยิ้ม ไม่ตอบ ดูต้นไม้ไปเรื่อย แต่ต้องสะดุ้งเมื่อมีเสียงประกาศ
“ทะเบียนรถ .......กรุณามาที่รถของท่านด่วนค่ะ “ เสียงนั้นประกาศซ้ำอีก
เวฬุยาทำหน้างุนงง ตกใจก่อนเดินลิ่วไปยังรถของเธอ เจอผู้จัดการและรปภ.ยืนอยู่ เธอถามแบบงงๆ
“รถฉันเป็นอะไรเหรอคะ”
“ไม่ได้เป็นไรครับ เพียงแต่จอดในที่ห้ามจอด” ผู้จัดการบอก
“ที่ห้ามจอด?”
“ครับ ที่ตรงนี้เป็นของคุณแทนไท เจ้าของที่นี่ครับ”
เวฬุยาทำหน้าฉุนอย่างที่สุด “อ้าว!”
“ประทานโทษจริงๆครับ คงมีคนยกที่ขวางออกไปน่ะครับ ประทานโทษด้วยจริงๆ กรุณาเอารถ
ออกด้วยครับ” รปภ.บอก
เธอหน้านิ่งๆแต่สีหน้าแสดงความไม่พอใจ แต่ยอมขึ้นรถแต่โดยดี ผู้จัดการเดินออกไป
พลางโทรศัพท์ โดยที่เวฬุยาไม่ได้ยิน
“คุณแทนครับ ที่จอดรถว่างแล้วครับ”
รถแทนไทกำลังจะออกไปข้างนอก เขารับสาย ถามตกใจ
“อ้าว!ลูกค้ากลับแล้วเหรอ? ทำไมไวจัง”
ผู้จัดการตอบอึกๆอักๆ
“เค้าซื้อของเสร็จแล้วครับ”
“ไม่เป็นไร ผมออกมาธุระที่อื่นแล้ว ค่ำๆถึงจะกลับเข้าไปอีกที ขอบใจมาก”
แทนไทขับรถออกไป ผู้จัดการหน้าแห้ง
เวลาเย็น ปราชญ์ขับรถมาจอดที่หน้าบ้าน เห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ชิดติดกำแพงบ้าน ป้าสายวิ่งออกมาเปิดประตูให้ ปราชญ์ขับรถเข้าไปจอดด้านใน พอลงมาก็ถาม
“รถใครมาจอดหน้าบ้านเราครับป้า?”
“คุณเขมค่ะ”
ปราชญ์งง “เขมไหน?”
ป้าสายยิ้ม
“ป้าก็ลืมไปว่าคุณปราชญ์เพิ่งกลับมาจากอเมริกา คุณเขมเค้าเป็นดาราน่ะค่ะ ส้วยสวย”
“สวย...แล้วมาจอดรถหน้าบ้านเราทำไม”
“คุณเขมมาหาคุณธาริชน่ะค่ะ”
ปราชญ์เสียงสูง
“มาหาพ่อ”
ปราชญ์มองไปทางรถของเขมปัญฑา หน้าตึงขึ้นมาทันที
อ่านต่อหน้าที่ 4
หน้ากากนางเอก ตอนที่ 1 (ต่อ)
ปราชญ์เดินไปที่รถของเขมปัญฑา มองผ่านช่องกระจกที่เธอเปิดเอาไว้ จากเสี้ยวหน้าที่หันข้าง เห็นเธอนอนหลับในรถ ปราชญ์เหยียดริมฝีปากออกอย่างดูถูก พลางคิดในใจ
“นี่มานอนให้ท่าพ่อ...ถึงในรถอย่างนี้เลยเหรอ”
สีหน้าของปราชญ์ไม่พอใจ ก่อนเคาะกระจกรถเรียกเบาๆ
“คุณๆ”
เขมปัญฑาสะดุ้งตื่นขึ้นมา หันหน้ามามองปราชญ์ “คะ?”
“มีธุระอะไร”
เธอมองปราชญ์ งงๆ ก่อนตอบอ่อนหวานตามนิสัย
“ฉันมาหาคุณธาริชค่ะ”
ปราชญ์มองหมั่นไส้ น้ำเสียงเชิงหงุดหงิด
“นั่นล่ะมาหาทำไม”
“ท่านสั่งให้ฉันมาค่ะ”
ปราชญ์มองดูถูก นึกว่าเป็นผู้หญิงของพ่อ
“เชิญข้างใน”
เธอดีใจ
“ท่านกลับมาแล้วเหรอคะ”
“ถ้าคุณจะเล่นเกมยี่สิบคำถาม ผมจะเข้าไปในบ้าน ส่วนคุณก็รอในรถต่อไปแล้วกัน”
เขมเหวอ งง ปราชญ์บอกหงุดหงิด
“ถ้าจะพบคุณพ่อ...ก็เข้ามา” เขาเดินผละจากไป
“ค่ะ”
เขมปัญฑารีบคว้ากระเป๋าถือลงจากรถ วิ่งตามปราชญ์เข้าด้านใน ปราชญ์ทำหน้าเจ้าเล่ห์สาวเท้าเร็วขึ้นชนิดไม่ให้เธอตามทัน
ปราชญ์เดินเข้ามาในบ้าน เห็นรูปของธาริชถ่ายคู่กับแม่ของปราชญ์ เขาหยิบขึ้นมามองด้วยความ
เสียใจ เสียงของธาริชที่คุยกับปราชญ์ขณะอยู่ต่างประเทศดังก้อง...
“พ่อขอโทษนะปราชญ์ แต่การที่พ่อแต่งงานใหม่ มันไม่ได้แปลว่าพ่อรักแม่ของลูกน้อยลง”
ปราชญ์ไม่พอใจ
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครครับ”
“เค้าเป็นผู้หญิงที่จิตใจดี สวย อ่อนหวาน ไว้เราสองคนกลับไปเมืองไทยเมื่อไหร่ พ่อจะให้เค้าไปรอพบลูกที่บ้านเลย”
ปราชญ์วางรูปคู่ของพ่อกับแม่ลงด้วยความสะเทือนใจ ดวงตาเป็นประกายวาววับโกรธ เสียใจมาก
ฟ้ามืดแล้ว เขมปัญฑาเดินสาวเท้าเร็วๆตามปราชญ์เข้ามาตามทางเดินก่อนเข้าสู่ตัวตึก แต่ต้องสะดุ้ง
เมื่อจู่ๆไฟส่องสว่างตามทางก็ดับลง เธอทำหน้าตาเหลอหลา เมื่อต้องยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางความมืด กวาดตามองก็ไม่เห็นปราชญ์ที่ซ่อนตัวอยู่ด้านใน กดปิดไฟตามทางเดินทีละดวง เธอเดินมาถึงตรงไหน ปราชญ์ก็แกล้งปิดไฟตรงนั้น เขมปัญฑาหน้านิ่ว รู้สึกกลัวๆแหยงๆกับความมืด ค่อยๆเดินเข้าไปด้านใน สายตากวาดมองไปรอบๆระมัดระวังตัวสุดๆ
ปราชญ์เดินสาวเท้าก้าวเข้าไปในห้องรับแขกรวดเร็ว ป้าสายยกน้ำมารับรองแขกพอดี เขาบอก
อ่อนโยน
“เสร็จงานแล้ว พักผ่อนได้เลยนะครับป้า”
“ไม่เป็นไรค่ะ เผื่อคุณปราชญ์ต้องการอะไรเพิ่มเติม”
“ผมไม่เอาอะไรแล้ว ป้าไปพักผ่อนเถอะ”
“ท่านบอกจะกลับคืนนี้ เดี๋ยวป้าจะรอท่านค่ะ”
“คุณพ่อเลื่อนเดินทางกลับแล้วครับ ป้าสายไปนอนเถอะ”
“ค่ะ”
ป้าสายเดินออกไป เป็นจังหวะเดียวกับที่เขมปัญฑาเดินเข้ามา ป้าสายมองปราชญ์แล้วหันมา
มองเธอแบบไม่สบายใจ ท่าทางของปราชญ์ดูแปลกๆ ในขณะที่ปราชญ์มองเธอ ยิ้มเจ้าเล่ห์น่ากลัว รอยยิ้มของปราชญ์ทำให้เธอไม่สบายใจเหมือนกัน แต่ตามนิสัย เขมค่อยๆถามอ่อนหวาน
“ท่านล่ะคะ”
“อยากเห็นหน้าพ่อผมขนาดนั้นเลยเหรอ”
เธอทำหน้างง ตามปราชญ์ไม่ทัน ได้แต่ตอบอ้อมแอ้มสุภาพ
“ท่านสั่งให้ฉันมาพบค่ะ”
“พ่ออยู่ในห้อง ท่านให้ผมพาคุณเข้าไป”
เธอกังวลตกใจ
“ท่านไม่สบายเหรอคะ”
ปราชญ์เหมือนจะงง ก่อนกลบเกลื่อน “ใช่!”
พูดจบปราชญ์ก็เดินลิ่วๆขึ้นบันไดไปยังชั้นบน ท่าทางของปราชญ์ไม่ยี่หระ จนเขมปัญฑาไม่ได้คิด
เป็นอย่างอื่น นอกจากเดินตามขึ้นไป ปราชญ์หน้านิ่ว ยิ่งไม่พอใจเธอเข้าไปใหญ่
ปราชญ์เดินไปเปิดประตูห้องนอนของตัวเอง บอกเขมปัญฑาที่เดินตามขึ้นมา
“เชิญ”
เธอมอง ปราชญ์มองดุ จนเธอไม่กล้าสบสายตา รีบเดินเข้าไปด้านใน เขามองหมั่นไส้ พอร่างเธอพ้น
ประตูเข้าไป เขาก็ปิดประตูทันที เธอหันขวับกลับมามองตกใจ หันไปมองด้านหลัง เห็นเตียงนอนขนาดใหญ่ ไม่มีร่างของธาริช เขมปัญฑาถอยหลังกรูด ถามเสียงสั่น
“ท่านล่ะ”
ปราชญ์หัวเราะเย้ยหยัน
“ถึงขนาดนี้ ยังจะถามอีก”
“หมายความว่ายังไง”
เขากระชากร่างเธอเข้ามาอย่างแรง จนกระเป๋าของเธอร่วงตกลงบนพื้น เธอหน้าซีดตกใจ เนื้อตัวสั่น ปราชญ์ตะคอกดุดัน สุดจะหมั่นไส้
“จะบอกว่าคุณโง่ จนเดินเข้ามาในห้องผู้ชายแบบไม่รู้เรื่องอะไรเลยเหรอ”
เธอเถียงเสียงสั่น
“ก็คุณบอกว่า ท่านรอพบฉัน”
ปราชญ์หัวเราะหยัน
“งั้นคุณก็โง่จริงๆ...ไม่ก็...ให้ท่า ผู้ชาย”
เธอทั้งโกรธทั้งอาย “คุณ!”
ปราชญ์เย้ยหยัน
“ทำไม คุณเองก็ไม่ใช่เด็กอายุ 14 ที่ไร้เดียงสา ถึงจะได้ไม่รู้ว่าผู้ชาย พาเข้ามาในห้องขนาดนี้จะทำอะไร หรือเคยเล่นแต่บทนางร้ายยั่วผู้ชาย เลยคิดว่าทำตัวดีดดิ้นแบบนี้แล้วจะอัพราคาได้” เขาพูดพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้
เธอกลัวมากเอามือผลักหน้าปราชญ์ออก
“ฉันไม่เคยทำอะไรต่ำๆแบบนั้น”
“แล้วไอ้การมาแต่งงานกับผู้ชายแก่คราวพ่อแบบนี้หมายความว่ายังไง”
เขมปัญฑาอ้าปากค้างงุนงงไปหมด จังหวะนั้นเองที่ปราชญ์เหวี่ยงร่างเธอลงบนเตียงแล้วโถมร่าง
ลงมา เธอตกใจร้องกรี๊ดในขณะที่ปราชญ์ก้มหน้าลงมาต่ำ ตะคอกดุดัน
“จริงๆผมไม่เคยพิศวาสผู้หญิงของพ่อหรอกนะ....แต่ถ้าพ่อคิดจะแต่งงานกับผู้หญิงคราวลูกบอกตรงๆผมรับไม่ได้” เขาก้มลงปล้ำจูบเธอพัลวัน
เธอร้องกรี๊ดๆ “ปล่อยฉันนะปล่อย” พยายามผลักปราชญ์ออก “อย่าทำอะไรบ้าๆนะ ปล่อย... ช่วยด้วยๆๆ”
ป้าสายที่อยู่ในห้อง ได้ยินเสียงแว่วๆเหมือนคนตะโกน ขณะที่ปราชญ์รีบเอามือมาตะปบปากเขมปัญฑาเอาไว้ พูดขู่
“ไม่มีใครช่วยคุณได้หรอก”
เธอดวงตาเหลือกโพลงด้วยความกลัว ตกใจมาก ปราชญ์เสียงเข้ม
“อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าคุณเป็นนางบำเรอผมแล้ว พ่อยังจะรับคุณมาเป็นเมียแต่งอีกรึเปล่า”
ปราชญ์ก้มลงจูบ เธอสู้ยิบตา สองคนพัลวันพัลเก ป้าสายเดินออกมา เห็นทีวีในห้องรับแขกปิดอยู่
“ทีวีก็ไม่ได้เปิดไว้นี่ แล้วเสียงอะไร”
ป้าสายทำหน้างุนงง
ในห้อง เขมปัญฑาสู้สุดชีวิต สองมือผลักหน้าปราชญ์เต็มแรง และยกเท้ายันโครมจนร่างของปราชญ์เซผงะ ปราชญ์ร้องลั่น เธอลุกขึ้นจะวิ่ง แต่ปราชญ์คว้าร่างเธอไว้ได้ก่อน เธอทั้งร้องทั้งดิ้นสุดแรง
“ปล่อยฉันนะ ปล่อย!”
ปราชญ์ล็อกตัวเธอเอาไว้ กระชากมาที่เตียงอีก “มานี่”
ปราชญ์เหวี่ยงร่างเธอลงที่เตียง เธอล้มลง แต่ด้วยความที่ตั้งตัวได้แล้ว เขมปัญฑาลุกขึ้นในทันที พอปราชญ์โถมร่างมา เธอก็ยันเข้าเต็มแรง จนปราชญ์ล้มลงก้นจ้ำเบ้าที่พื้น ปราชญ์ร้องลั่น
“โอ๊ย”
ป้าสายได้ยินเสียงแว่วมาจากชั้นบน ก็เงยหน้าขึ้นไปมองตกใจ
เขมฉวยโอกาสนั้นคว้ากระเป๋าที่ตกที่อยู่พื้นวิ่งออกไปรวดเร็ว โดยไม่ทันสังเกตว่ามีซองยาหนึ่งชุดร่วงลงพื้น
ปราชญ์พยายามลุกขึ้นตะโกน
“หยุดเดี๋ยวนี้ หยุด”
ป้าสาย ได้ยินเสียงอึกทึกโครมครามมาจากชั้นบน ก็สาวเท้าขึ้นบันไดรวดเร็ว เขมปัญฑาเปิดประตูห้องวิ่งออกไป ปราชญ์วิ่งตาม เธอปล่อยประตู ประตูเด้งกลับมาฟาดเข้าที่หน้าปราชญ์เต็มแรง ป้าสายเห็นประตูฟาดหน้าปราชญ์พอดี ปราชญ์ได้แต่ร้องลั่น เอามือกุมหน้า เจ็บมาก ขณะที่เธอวิ่งลงไปด้านล่างรวดเร็ว ผ่านป้าสาย สีหน้าตกใจกลัวสุดขีด ปราชญ์ถึงจะมึนๆแต่ก็พยายามตามเขมลงไป ป้าสายถามตกใจ
“นี่มันเรื่องอะไรกันคะคุณปราชญ์”
“ป้าต้องบอกพ่อนะ ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นของผมแล้ว พ่อจะแต่งงานกับเค้าไม่ได้”
ป้าสายอ้าปากหวอ ทั้งงง ทั้งตกใจ แต่สีหน้าค่อนทางไปไม่เชื่อ “หา!”
ปราชญ์เดินกลับบันไดขึ้นไป ป้าสายตะโกนถามร้อนรน ตกใจ
“มันไม่จริง ใช่มั้ยคะคุณปราชญ์ ไม่จริงใช่มั้ย”
ปราชญ์ไม่ตอบ เดินกระแทกเท้าเข้าห้องไปปิดประตูดังโครม
เขมปัญฑาขับรถด้วยความเร็วก่อนเบนรถจอดข้างทาง แบบไม่ไหวแล้ว ท่ามกลางความมืด เขมได้
แต่กอดพวงมาลัยแน่นร้องไห้อย่างคนขวัญเสียและหวาดกลัวอย่างที่สุด
ปราชญ์เดินเข้ามาในห้อง แต่ต้องชะงัก เมื่อเห็นซองยาเป็นชุดตกอยู่ที่พื้น เขาหยิบมาดู ปราชญ์ทำหน้าสงสัย
“ยาอะไรของเธอ”
ทางด้านเวฬุยา ซื้อต้นไม้เสร็จก็เดินหิ้วมากับแม่ค้า ท่าทางหนักมาก เห็นที่จอดรถของแทนไทยังว่าง ก็มองอย่างระอา แม่ค้าถาม
“เสียดายจังนะคะ รถเข้าไปถึงหน้าร้านไม่ได้ คุณเลยต้องหิ้วหนักเลย แล้วนี่จอดรถไกลมั้ยคะ”
“ก็ไกลค่ะ....เอาอย่างนี้...เดี๋ยวเจอกันที่นี่ดีกว่า ฉันจะไปเอารถมาจอดตรงนี้ ส่วนพี่ไปเอาต้นไม้ที่
เหลือมานะคะ”
“ได้ค่ะๆๆ”
แม่ค้าเดินไป เวฬุยาทำท่าจะเดินไป แต่กลับคิดได้ เดินกลับมายกต้นไม้ มาวางเหมือนจองที่ไว้
ก่อนเดินไป เป็นจังหวะที่แทนไทขับรถเข้ามายังบริเวณอเวนิว
แทนไทขับรถมายังที่จอดของตัวเอง อารามรีบ ไม่ได้ดู แทนไทเหยียบต้นไม้ของเธอเข้าอย่างจัง เธอขับรถมาพอดี แทนไทลงจากรถบ่นกับตัวเอง
“ เฮ้ย! ใครเอาต้นไม้มาวางไว้ที่นี่วะ”
เธอขับรถมาเห็น รีบลงมาจากรถ มองตกใจ
“ต้นไม้ฉัน”
แทนไทเดินไปมองท้ายรถตัวเองลูบๆคลำๆ แบบกลัวรถมีรอย เธอโมโหมาก
“นี่คุณ ขับรถยังไงมาเหยียบต้นไม้ฉัน”
“แล้วมันเรื่องอะไร คุณถึงได้เอาต้นไม้มาวางตรงนี้ ถ้าเกิดรถผมเป็นรอยจะว่ายังไง”
“ก็สมน้ำหน้าไง ขับรถยังไงไม่ดู” เธอเดินไปดูต้นไม้แบบเสียดายมากๆ
แทนไทมองตาม ฉุน เดินตามไป “คุณต่างหาก เอาต้นไม้มาวางแล้วไม่ดู ที่นี่ เป็นที่จอดรถ ไม่ใช่ที่
วางต้นไม้”
“ก็มันดึกแล้ว ฉันเห็นมันไม่มีคน”
“จะมี หรือไม่มี มันก็เป็นที่จอดรถ”
“ใช่!! ที่จอดรถ...เจ้าของที่นี่” เธอทำหน้าเย้ยๆ แทนไทมองงง เธอยิ้มเย้ยบอก “ซึ่งเค้าจะมาจอดตอนไหนก็ได้... รู้อย่างนี้แล้ว รีบเอารถออกไปเลย ก่อนที่เจ้าของเค้าจะมา”
“อะไรของคุณ”
“ที่ตรงนี้เป็นที่จอดรถ เจ้าของที่นี่ เพื่อนของฉันเอง เค้าต้องไม่พอใจแน่ๆ ที่คุณแย่งที่จอดรถเค้าไม่
พอ ยังมาเหยียบต้นไม้ของฉันอีก รีบออกไปเลยนะ เร็ว”
“เดี๋ยวๆๆ คุณ...”
เธอไม่สนใจ แม่ค้าเดินหิ้วต้นไม้แบบหนักมาก เธฮหันไปบอกแทนไท
“เอารถออกไปเดี๋ยวนี้ เร็ว”
ผู้จัดการวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา เวฬุยาเห็นรีบบอก
“นี่คุณคะ นายคนนี้ เหยียบต้นไม้ฉันพัง แล้วยังจะเสียมารยาทมาจอด ที่จอดของเจ้าของที่นี่อีก ไล่เค้าไปเลยค่ะ”
ผู้จัดการอึกอัก เธอไม่ฟัง ใส่ไม่ยั้ง
“ไล่เค้าไปสิคะ”
“ไล่ไมได้ครับ...คือว่า...”
“ทำไม?? นี่ฉันจะบอกอะไรให้นะ เพื่อนฉันเป็นเจ้าของที่นี่ รับรองได้ว่าเค้าจะต้องไม่พอใจแน่ๆ ที่นายคนนี้แย่งที่จอดรถเค้า แถมยังมาเหยียบต้นไม้ของฉันอีก รีบออกไปเลยนะ เร็ว”
แทนไทได้แต่ยิ้มๆว่า ผู้หญิงคนนี้นี่ยังไงกันแน่ “เดี๋ยวๆๆ คุณ…”
“ฉันขอสั่งให้นายเอารถของนายออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันเอาเรื่องนายแน่...”
“ไม่นะครับ เอาเรื่องไม่ได้นะครับ”
“ทำไมฉันจะเอาเรื่องไม่ได้ ก็บอกแล้วไงว่า...”
“คือ...ก็นี่แหละครับคุณแทนเจ้าของที่นี่...จะให้ผมไล่ไปไหนละครับ” ผู้จัดการบอก
เวฬุยาอึ้งมองหน้าอีกฝ่าย แทนไทยักคิ้วให้แบบกวนสุดๆ สองคนมองกันไปมา
กลางคืนต่อเนื่องมา เขมปัญฑาขับรถมาจอดที่หน้าบ้าน คราบน้ำตายังเลอะเต็มหน้า เธอมองเห็นบ้านของผู้เป็นยาย พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ รีบเช็ดคราบน้ำตา ปั้นหน้าจนดูเหมือนปกติ ก่อนเดินลงไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ด้านในบ้าน ซ่อนกลิ่นยายของเธอนอนอยู่ ป้าศรีที่เขมปัญฑาจ้างมาดูแลยาย เห็นก็ทัก
“คุณเขมมาดึกจัง แล้ว คุณช้องนางไม่มาเหรอคะ”
“น้านางไปปฏิบัติธรรมที่วัดน่ะค่ะ ..ป้าศรีไปพักเถอะค่ะ เดี๋ยวเขมดูคุณยายเอง”
“ค่ะ เอ่อ..แล้วยาของคุณยาย ล่ะคะ”
“เขมแวะไปเอาที่รพ.มาแล้วค่ะ เดี๋ยวจะเก็บไว้ที่ตู้ยานะคะ”
“ค่ะ”
“วันนี้ยายกินข้าวได้เยอะมั้ยคะป้าศรี”
“เยอะ แต่แกก็เรียกหาข้าวทั้งวัน ตามประสาคนเป็นอัลไซเมอร์น่ะ จำอะไรไม่ได้ ถ้าแกขอข้าวกินอีก คุณเขมอย่าให้นะคะ”
“ค่ะ”
ป้าศรียิ้ม
“ งั้นป้าไปนอนก่อนนะคะ”
“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะป้าศรี”
ป้าศรียิ้มให้เขมปัญฑาก่อนเดินออกไป เธอเดินมานั่งใกล้ๆยาย จับมือยายแผ่วคลึงเบาๆ ก่อนที่น้ำตาจะไหลลง ท่าทางอัดอั้นตันใจอย่างที่สุด ยายรู้สึกตัว ค่อยๆลืมตา ลุกขึ้นมามอง
“ใครน่ะ”
“เขมจ้ะยาย” เธอรีบเช็ดน้ำตา
ยายถามซื่อๆงง
“ร้องไห้ ใครตายเหรอ”
“เปล่าๆค่ะ ไม่มี”
“ว่าแต่เธอเป็นใครนะ”
“เขม...หลานยายไงคะ” เธอกระเถิบตัวเข้าไปใกล้กอดยาย
ยายมองหน้าเขมงงๆ
“มีหลานด้วยเหรอ แล้วลูก...ลูกฉันอยู่ไหน”
เธอมองยายน้ำตาไหล
“แม่..แม่...แม่เสียแล้วไงจ้ะยาย”
“แล้วฉันทำไมไม่เสีย ... หิวข้าว ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินข้าวเลย”
“ค่ะ...” เธอพูดหลอกยาย “เดี๋ยวเขมไปเอาข้าวมาให้ ยายนอนรอก่อนนะคะ”
เขมปัญฑาประคองยายให้นอนลง ก่อนเดินไปแอบมอง ชั่วครู่ยายก็นอนหลับ ไม่ได้คิดถึง
เรื่องข้าวแต่อย่างใด เขมเดินกลับมาหายาย นั่งลงข้างๆ จับมือยาย มองยายอย่างเวทนา
วันใหม่ เขมปัญฑานั่งนวดตามเนื้อตามตัวยายเอาอกเอาใจ ดูแลใกล้ชิด ป้าศรีถาม
“ป้าได้ยินมาว่า คุณช้องนางกำลังจะแต่งงาน แล้วทำไม ถึงยังไปปฏิบัติธรรมล่ะคะ”
“น้านาง...ไม่สบายใจน่ะค่ะ น้านางกังวลว่าถ้าแต่งงานไปแล้ว จะทิ้งภาระให้กับเขม อีกอย่าง น้านางอยากอุทิศผลบุญให้กับคุณยายด้วย...เผื่อคุณยายจะดีขึ้น”
“ขอให้ผลบุญทั้งหมดที่คุณนาง คุณเขมทำ ส่งผลให้คุณยายอาการดีขึ้นนะคะ”
ป้าศรีเดินไปเอายา มองหา ก่อนหันมาถาม
“คุณเขมคะ...ยาล่ะคะ”
“อุ้ย!เขมลืมเอาไปเก็บ แป๊บนึงค่ะป้า”
เธอรีบไปค้นดูในกระเป๋าถือ แต่ความว่างเปล่า เธอจำได้ว่า กระเป๋าตก เธอหน้าเสีย
“เจอมั้ยคะ”
“สงสัยเขมจะทำหล่น ไว้เขม ไปเอามาให้ใหม่ค่ะ”
เขมปัญฑาหน้าเซียว
อ่านต่อตอนที่ 2