xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 12-18 เม.ย.2558

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1.“บิ๊กตู่” นำทีมแถลงผลงานรัฐบาลรอบ 6 เดือน มุ่งปฏิรูป-แก้ปัญหาทั้งระบบ ด้านสภาอุตฯ ให้รัฐบาลสอบผ่าน!
บรรยากาศการแถลงผลงานรอบ 6 เดือนของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล(17 เม.ย.)
เมื่อวันที่ 17 เม.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลงานรัฐบาลในรอบ 6 เดือนว่า หลังจากรัฐบาลแถลงนโยบายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2557 เป็นเวลา 6 เดือนของรัฐบาล และ 5 เดือนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นความต่อเนื่องในการบริหารราชการแผ่นดิน มีเงื่อนไขและระยะเวลาที่แตกต่างจากรัฐบาลที่ผ่านมา พร้อมขอให้เข้าใจว่าเข้ามาเพื่อให้เกิดการปฏิรูป แก้ไขปัญหาที่ทับซ้อนมานาน ซึ่งต้องแก้ไขทั้งระบบ และว่า รัฐบาลมีภารกิจสานงานต่อจาก คสช. ที่ได้กำหนดแนวทางการบริหารประเทศไว้ 3 ระยะ ระยะแรกคือ การระงับยับยั้งความขัดแย้ง แก้ไขผลกระทบจากการที่รัฐบาลเดิมอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้

ระยะที่สอง ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว จัดตั้ง สนช. เสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 ซึ่งใช้เวลาทำประมาณ 3 เดือน มีการจัดกลุ่มบูรณาการของแต่ละกระทรวงเพื่อให้เดินหน้าไม่ทับซ้อน ไม่ให้ใช้จ่ายแบบสุรุ่ยสุร่าย จากนั้นจึงมีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี(ครม.) ในเดือน ส.ค. 2557 และ คสช. ก็ลดบทบาทมาเป็นผู้สนับสนุนและที่ปรึกษาในการขับเคลื่อนงานตามยุทธศาสตร์ และใช้อำนาจที่มีอยู่ทั้งในอดีตและปัจจุบันซึ่งถือเป็นความจำเป็น ถ้าไม่มีอำนาจดังกล่าวก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เพราะมีความขัดแย้งต่างๆ มาก “มีการวิจารณ์ว่ารัฐบาลใช้อำนาจดุเดือด เด็ดขาดเกินไปหน่อยนั้น ก็ต้องชี้แจงว่าใช้เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าให้ได้ วันนี้คนในประเทศก็ยอมรับได้ เพราะทุกคนอยากให้ประเทศชาติปลอดภัย ไม่ได้ต้องการหวังอย่างอื่น ส่วนจะมีใครไม่เข้าใจบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะถือว่าคนไทยทั้งชาติเข้าใจผม ก็มีกำลังใจที่จะทำงานต่อไปได้ ทั้งในส่วนของรัฐบาลและข้าราชการ” ส่วนระยะที่สาม หากรัฐธรรมนูญผ่านได้โดยไม่มีความขัดแย้งก็จะสามารถจัดเลือกตั้งได้ ฉะนั้นอยู่ที่ประชาชนทั้งประเทศจะเป็นผู้ตัดสินใจ อย่ามาพูดว่าตนดึงไว้เพราะอยากอยู่ต่อ ทั้งที่ตนไม่คิดอยากอยู่ต่อ

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนนโยบาย 11 ด้าน มีการตั้งคณะกรรมการมากมาย คณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดูแล มีคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งรายงานตนทุกสัปดาห์ เป็นฐานข้อมูลให้ตนใช้สั่งการให้ ครม. ลงไปแก้ไขปัญหาข้อติดขัด ซึ่งข้อติดขัดบางอย่างก็ต้องใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว เพราะกฎหมายมันไปไม่ได้

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า หลังรัฐประหารเดือน พ.ค. 2557 เศรษฐกิจดีขึ้นกว่าช่วงที่มีการชุมนุมมาก โดยช่วงต้นปี 2557 พบว่าเศรษฐกิจซบเซา แต่รัฐบาลนี้ทำให้เศรษฐกิจในไตรมาส 2 และ 3 ของปี 2557 เริ่มกลับมาขยายตัวร้อยละ 0.4 และ 0.6 ตามลำดับ ก่อนจะขยายตัวร้อยละ 2.3 ในไตรมาส 4 และในช่วงไตรมาสแรกของปี 2558 นี้ พบว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเติบโตขึ้นกว่าร้อยละ 23 อีกทั้งได้มีการมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้แทนหาตลาดใหม่ในต่างประเทศ จะต้องดูว่ามีสินค้าอะไรที่สามารถนำไปขายเพิ่มหรือแปรรูปพัฒนามูลค่าได้ รัฐบาลกำลังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นอยู่ ส่วนการเกษตรนั้นจะต้องมีการจัดระบบสหกรณ์และขึ้นทะเบียนเกษตรกรเพื่อจัดระเบียบใหม่ ขณะที่เรื่องของแรงงาน ต้องปรับทักษะแรงงานให้สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้

พล.อ.ประยุทธ์ ยังฝากประชาชนด้วยว่า “อยากฝากทุกคนพิจารณาคำพูดที่ว่า ไม่มีประเทศใดหรือระบอบการปกครองใดที่จะทำให้ประเทศชาติสงบและสันติได้ หากประเทศนั้นมีเสรีภาพไร้ขีดจำกัด ไม่เคารพกฎหมาย แม้ระบอบประชาธิปไตยที่มีคุณภาพและธรรมาภิบาลก็ไม่สามารถทำให้ประเทศดีขึ้นมาได้ สิ่งที่ผมทำมาทั้งหมดก็เพื่อประเทศชาติ ทุกคนจะต้องมีสิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ที่มีต่อชาติบ้านเมือง ต่อคนไทยด้วยกัน ไม่ใช่มีหน้าที่ไม่เคารพกฏหมาย มีเสรีภาพไร้ขีดจำกัดจะกวนใครก็ได้ เราต้องช่วยกันทำให้ประเทศชาติมีความสงบสุข”

ทั้งนี้ หลังนายกรัฐมนตรีแถลงเสร็จ ได้มีการแถลงของรองนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แถลงผลงานด้านความมั่นคง ขณะที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล แถลงผลงานด้านเศรษฐกิจ นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ แถลงผลงานด้านสังคม นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้แทนรองนายกฯ ด้านต่างประเทศ แถลงผลงานด้านต่างประเทศ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนนายวิษณุ เครืองาม แถลงผลงานด้านกฎหมาย ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวถึงผลงานรัฐบาลในรอบ 6 เดือนว่า ถือว่าสอบผ่านและยอมรับได้

2.กมธ.ยกร่างฯ ส่งมอบร่าง รธน.ให้ประธาน สปช.แล้ว เตรียมเปิดอภิปราย 7 วัน 7 คืน 20-26 เม.ย.นี้!

หน้าตาร่างรัฐธรรมนูญที่พิมพ์เสร็จแล้ว และ กมธ.ยกร่างฯ ส่งมอบให้สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ได้พิจารณาก่อนเปิดอภิปราย 20-26 เม.ย.
เมื่อวันที่ 17 เม.ย.คณะกรรมาธิการ(กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้ส่งมอบร่างรัฐธรรมนูญที่ร่างเสร็จแล้วให้นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) เพื่อให้ สปช.ได้ประชุมพิจารณาและอภิปรายระหว่างวันที่ 20-26 เม.ย.นี้

นายอลงกรณ์ พลบุตร เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ(วิป สปช.) แถลงว่า กมธ.ยกร่างฯ ได้มอบร่างรัฐธรรมนูญให้สมาชิก สปช.นำไปพิจารณาเพื่อเตรียมอภิปรายด้วย จากนั้นจะมีการจัดทำคำขอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญภายใน 30 วันหลังการอภิปราย จึงหวังว่าประชาชนจะมีส่วนร่วมเสนอความเห็น ทั้งในชั้นการยกร่างและช่วงที่มีการเสนอคำขอแก้ไข เพราะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปของประชาชน โดยสามารถเสนอความเห็นมายัง สปช.ได้ทุกช่องทาง และว่า ระหว่างการอภิปราย จะมีการถ่ายทอดสดทางทีวีและวิทยุรัฐสภา รวมทั้งจะขอความร่วมมือทีวีของรัฐให้ช่วยถ่ายทอดด้วย

สำหรับสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญที่ กมธ.ยกร่างฯ มอบให้ สปช.เพื่อพิจารณา มีทั้งหมด 315 มาตรา แบ่งเป็น 4 ภาค ภาค 1 พระมหากษัตริย์และประชาชน มีเนื้อหาที่น่าสนใจ ได้แก่ กำหนดให้มีสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ สมัชชาพลเมือง องค์กรตรวจสอบภาคประชาชน และยังคงบทบัญญัติที่ให้สิทธิเสรีภาพประชาชนในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ด้วยการร้องศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดกรณีที่พบการกระทำที่เข้าข่ายล้มล้างการปกครองฯ ฯลฯ

ภาค 2 ผู้นำการเมืองที่ดีและระบบการเมืองที่ดี มีเนื้อหาน่าสนใจ ได้แก่ ให้ประชาชนมีสิทธิลงคะแนนเลือกเพื่อจัดลำดับบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่พรรคหรือกลุ่มการเมืองจัดทำขึ้นได้ , ให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งและการสรรหา ,ให้นายกรัฐมนตรีมาจากคนนอกได้ โดยใช้เสียง 2 ใน 3 ขณะเดียวกัน ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต้องลาออกจาก ส.ส. และให้สิทธินายกฯ เสนอร่าง พ.ร.บ.ได้ 1 ฉบับต่อสมัยประชุม หากไม่มีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจภายใน 48 ชั่วโมงนับแต่วันที่แถลงเพื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.เข้าสู่สภา ให้ถือว่าร่าง พ.ร.บ.นั้นผ่านการพิจารณาเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ฯลฯ

ภาค 3 หลักนิติธรรม ศาล และองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ มีเนื้อหาน่าสนใจ ได้แก่ มีการเปลี่ยนแปลงให้คดีเกี่ยวกับการจงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. ซึ่งเดิมให้ ป.ป.ช.ส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เปลี่ยนเป็นส่งให้ศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และศาลคดีชำนัญพิเศษ พิจารณาและพิพากษาคดี , เปลี่ยนหลักเกณฑ์การถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง ซึ่งเดิมให้เป็นมติของ ส.ว.ในการถอดถอน เปลี่ยนเป็นมติของรัฐสภา ,ตัดอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ไม่ให้เป็นผู้จัดการเลือกตั้ง โดยให้มีคณะกรรมการดำเนินการจัดการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นหัวหน้าราชการในแต่ละภาคส่วนมาทำหน้าที่แทน ,เพิ่มอำนาจให้ ป.ป.ช.ฟ้องคดีที่เกี่ยวกับวินัยการคลังและงบประมาณต่อศาลปกครองได้ ,ให้ควบรวมผู้ตรวจการแผ่นดินและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเข้าด้วยกัน ฯลฯ

ภาค 4 การปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง มีเนื้อหาน่าสนใจ ได้แก่ การบังคับให้รัฐสภา คณะรัฐมนตรี หน่วยงานรัฐและพลเมือง ต้องปฏิบัติตามการปฏิรูปและการสร้างความปรองดองตามรัฐธรรมนูญนี้ โดยมีวาระ 5 ปี , ให้มีสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศและคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่ง กมธ.ยกร่างฯ ระบุว่าจัดตั้งขึ้นเพื่อสานต่อเจตนารมณ์การปฏิรูปให้เกิดความต่อเนื่อง ,กำหนดให้มีการปฏิรูปด้านต่างๆ รวมถึงการปฏิรูปสื่อมวลชนด้วย ,กำหนดให้มีคณะกรรมการอิสระเสริมสร้างความปรองดองแห่งชาติ มีอำนาจในการตรา พ.ร.ฎ.อภัยโทษแก่บุคคลที่ให้ความจริงและสำนึกผิดต่อคณะกรรมการได้ โดย ครม. รัฐสภา และหน่วยงานของรัฐ ต้องให้ความร่วมมือ รวมทั้งจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอด้วย ,บัญญัติให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญทำได้ยากขึ้น

ทั้งนี้ ในบทเฉพาะกาล มีการบัญญัติเพื่อนิรโทษกรรมให้แก่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ในการทำรัฐประหาร โดยระบุว่า บรรดาการกระทำใดๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ว่าเป็นการกระทำที่ขัดกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว ไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าเป็นการกระทำโดยชอบตามรัฐธรรมนูญ และให้ ครม.และ คสช.พ้นจากตำแหน่งหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ แต่ให้ ครม.บริหารราชการแผ่นดินจนกว่าจะได้ ครม.ใหม่เข้ามาทำหน้าที่

3.คสช. ใช้อำนาจ ม.44 เด้ง “สุทธศรี” พ้นปลัด ศธ. ตั้ง “กำจร” นั่งแทน เร่งเดินหน้าปฏิรูปการศึกษา!
(ซ้าย) นางสุทธศรี วงษ์สมาน (กลาง) รศ.นพ.กำจร ตติยกวี  (ขวา) รศ.ดร.พินิติ รตะนานุกูล
เมื่อวันที่ 17 เม.ย. ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ 6/2558 เรื่อง การกำหนดตำแหน่งเพิ่มและการแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่ง เพื่อให้การปฏิรูปการศึกษาและการบริหารราชการในกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) มีประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้นจำนวน 6 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นางสุทธศรี วงษ์สมาน พ้นจากตำแหน่ง ปลัด ศธ. ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) , รศ.ดร.พินิติ รตะนานุกูล พ้นจากตำแหน่ง เลขาธิการ สกศ. ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) , รศ.นพ.กำจร ตติยกวี พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการ กกอ. ให้ดำรงตำแหน่งปลัด ศธ. , นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(กช.) ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการ ศธ. , นายอดินันท์ ปากบารา พ้นจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการ ศธ. ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กช. , นางรัตนา ศรีเหรัญ พ้นจากตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) โดยให้มีผลตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 16 เม.ย.

นอกจากนี้ ราชกิจจานุเบกษายังได้เผยแพร่คำสั่ง คสช. ที่ 7/2558 ให้บุคคลซึ่งดำรงตำแหน่งต่อไปนี้พ้นจากตำแหน่ง ประกอบด้วย กรรมการคุรุสภา , กรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา , กรรมการในองค์การค้า ของ สกสค. โดยให้เหตุผลว่า เพื่อให้การปฏิรูปการศึกษาและการบริหารราชการใน ศธ.มีประสิทธิภาพ และมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น พร้อมสั่งมิให้มีการแต่งตั้งบุคคลขึ้นมาแทนที่ผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวจนกว่าหัวหน้า คสช.จะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง หรือ คสช.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ

ขณะเดียวกัน คสช.ยังมีคำสั่งให้คณะกรรมการคุรุสภา ประกอบด้วย รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธานกรรมการ ส่วนกรรมการ ได้แก่ รมช.ศึกษาธิการ ปลัด ศธ. เลขาธิการ สกศ. เลขาธิการ กพฐ. เลขาธิการ กกอ. เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) เลขาธิการ ก.ค.ศ. ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช.) และหัวหน้าสำนักงานคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น และให้เลขาธิการคุรุสภา เป็นเลขานุการ นอกจากนี้ให้คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ประกอบด้วย รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธานกรรมการ ส่วนกรรมการ ได้แก่ ปลัด ศธ. เลขาธิการสภาการศึกษา เลขาธิการ กพฐ. เลขาธิการ กกอ. เลขาธิการ กอศ. เลขาธิการคุรุสภา และเลขาธิการ ก.ค.ศ. และให้เลขาธิการ สกสค. เป็นกรรมการและเลขานุการ รวมทั้งให้คณะกรรมการ สกสค. ปฏิบัติหน้าที่แทนคณะกรรมการบริหารองค์การค้าของ สกสค.ด้วย และในกรณีที่เห็นสมควร หัวหน้า คสช.อาจมีคำสั่งให้เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการได้ตามความเหมาะสม

นอกจากนี้ คสช.ยังมีคำสั่งให้บุคคลต่อไปนี้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ไปก่อน จนกว่าหัวหน้า คสช.จะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ประกอบด้วย เลขาธิการคุรุสภา เลขาธิการ สกสค. และผู้อำนวยการองค์การค้า โดยระหว่างที่บุคคลดังกล่าวหยุดปฏิบัติหน้าที่ ให้รัฐมนตรีว่าการ ศธ.มอบหมายให้รองปลัด ศธ. หรือข้าราชการ ศธ.ในระดับเดียวกันขึ้นไปปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อน และให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ตรวจสอบความถูกต้องและโปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณ การบริหารการเงิน ทรัพย์สิน และผลประโยชน์อื่นใด ของคุรุสภา สกสค. และองค์การค้าฯ ของ สกสค. และบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งตรวจสอบการดำเนินโครงการที่สำคัญ แล้วรายงานผลการตรวจสอบให้หัวหน้า คสช.ทราบโดยเร็ว

ด้านนางสุทธศรี วงษ์สมาน กล่าวถึงกรณีถูกย้ายจากปลัด ศธ.ไปเป็นเลขาธิการ สกศ.ว่า ตนพร้อมปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายในทุกตำแหน่ง ไม่รู้สึกตกใจ หรือหนักใจอะไร เพราะถือเป็นเรื่องปกติที่จะต้องมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียน เพื่อให้การบริหารงานมีความคล่องตัวมากขึ้น ขณะที่ รศ.ดร.พินิติ รตะนานุกูล กล่าวถึงกรณีถูกย้ายจากเลขาธิการ สกศ.ไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กกอ.ว่า ส่วนตัวไม่ทราบมาก่อน แต่ก็พร้อมปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย อีกทั้งยังเหมือนได้กลับบ้าน เพราะตนก็อยู่ที่ สกอ.มาโดยตลอดและเข้าใจเนื้องานเป็นอย่างดี

ด้าน รศ.นพ.กำจร ตติยกวี กล่าวถึงกรณีถูกย้ายจากเลขาธิการ กกอ. ให้มาดำรงตำแหน่งปลัด ศธ.ว่า ตนไม่แปลกใจ เพราะการสลับสับเปลี่ยนหน้าที่ถือเป็นเรื่องปกติ พร้อมทำงานในทุกตำแหน่ง และว่า เมื่อไปรับหน้าที่ปลัด ศธ. คิดว่าจะสานต่องานต่างๆ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาให้สามารถแข่งขันในระดับนานาชาติได้ ไม่ใช่แค่ในอาเซียนเท่านั้น

4.คนร้ายคาร์บอมบ์เซ็นทรัลฯ เกาะสมุย พบเฟซบุ๊กเสื้อแดงโพสต์จัดหนักก่อนเกิดเหตุ ด้าน ผบ.ตร. ชี้มีนักการเมืองอยู่เบื้องหลัง!
(บน) สภาพที่เกิดเหตุคาร์บอมบ์ลานจอดรถห้างเซ็นทรัลเฟซติวัล เกาะสมุยเมื่อคืนวันที่ 10 เม.ย. (ล่าง) กล้องวงจรปิดจับภาพรถปิคอัพที่คนร้ายนำมาก่อเหตุ
ความคืบหน้ากรณีคนร้ายก่อเหตุคาร์บอมบ์บริเวณลานจอดรถชั้นใต้ดิน ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี จนมีผู้บาดเจ็บ 7 ราย และรถยนต์ที่จอดอยู่ใกล้เคียงได้รับความเสียหายกว่า 10 คัน เมื่อคืนวันที่ 10 เม.ย. ซึ่งคืนวันเดียวกัน ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้สหกรณ์สุราษฎร์ธานี(โค-ออป) ต.หนองไทร อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี ของพระสุเทพ ปภากโร อดีตแกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) ด้วย จากนั้นวันต่อมา(11 เม.ย.) เจ้าหน้าที่ทหารได้เข้าควบคุมตัวนายนรินทร์ อ่ำหนองบัว ที่ใช้ชื่อ เอ็ม เสื้อแดง โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กก่อนเกิดเหตุระเบิดที่เซ็นทรัลฯ เกาะสมุย และเหตุไฟไหม้ที่สหกรณ์โค-ออปเป็นเวลา 10 ชั่วโมง โดยโพสต์ข้อความว่า “คืนนี้จัดหนักที่สุราษฎร์ ใครจะร่วมมือกับกูบ้าง เอาให้มันฉิบหายไปเลย ไม่เอารัฐประหาร ไม่เอา ม.44 เกลียดพวกสลิ่ม” โดยเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวได้ที่บริเวณแคมป์คนงานก่อสร้างในพื้นที่ ต.หนองศาลา อ.บางกรวย จ.นนทบุรี

ด้าน พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผย(12 เม.ย.) ว่า นายนรินทร์ ยังให้การปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าว โดยอ้างว่าได้ปิดเฟซบุ๊กไปนานแล้ว และไม่ทราบว่าใครเป็นคนทำเฟซบุ๊กอันนี้ขึ้นมาใหม่ และว่า ช่วงเวลาเกิดเหตุ ก็ไม่ได้เดินทางไป จ.สุราษฎร์ธานี แต่ขับแท็กซี่อยู่ในกรุงเทพฯ พล.ต.ท.ประวุฒิ เผยด้วยว่า เจ้าหน้าที่ตรวจสอบประวัตินายนรินทร์ พบว่าเคยเป็นกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) แต่ไม่ใช่กลุ่มฮาร์ดคอร์ และไม่เคยมีประวัติก่อเหตุการณ์รุนแรงใดๆ อีกทั้งเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบไปยังเฟซบุ๊ก พบว่าข้อความดังกล่าวเป็นการทำเฟซบุ๊กขึ้นมาใหม่ เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบในเชิงลึกถึงตัวคนโพสต์ ทั้งนี้ ทหารได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ควบคุมตัวนายนรินทร์ไว้ 7 วัน

ด้าน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยความคืบหน้าของคดีเมื่อวันที่ 14 เม.ย.ว่า จากการตรวจสอบพบว่า รูปแบบการประกอบระเบิดเป็นระเบิดแสวงเครื่อง คล้ายกับที่กลุ่มก่อความไม่สงบใช้ก่อเหตุในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และคล้ายกับเหตุระเบิดหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อปี 2556 เบื้องต้นชุดสืบสวนตั้งประเด็นการก่อเหตุไว้ 3 ประเด็น คือ สร้างสถานการณ์ทางการเมือง, ความขัดแย้งทางธุรกิจ และความเชื่อมโยงเหตุความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ และว่า เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยที่คาดว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องมาสอบปากคำแล้วหลายคน ทั้งเจ้าของรถกระบะคันที่ก่อเหตุ ซึ่งอ้างว่ารถคันดังกล่าวถูกปล้นไป และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย(รปภ.) ของห้างเซ็นทรัลฯ เกาะสมุยที่ปรากฏในภาพวงจรปิด โดยอยู่ระหว่างตรวจสอบกล้องวงจรปิดทุกเส้นทางที่รถคันก่อเหตุขับผ่าน เพื่อนำมาวิเคราะห์ข้อมูลว่ามีบุคคลใดเกี่ยวข้องบ้าง

ทั้งนี้ พล.ต.อ.สมยศ เผยว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ค่อนข้างให้น้ำหนักว่าการก่อเหตุระเบิดดังกล่าวเป็นการสร้างสถานการณ์ทางการเมือง “จากการหารือกับเจ้าหน้าที่ทหารและการนำข้อมูลมาวิเคราะห์แล้วเชื่อว่า น่าจะเป็นประเด็นการสร้างสถานการณ์ทางการเมืองมากกว่า เนื่องจากจุดเกิดเหตุเป็นเมืองท่องเที่ยวและไม่ใช่พื้นที่เป้าหมายของกลุ่มก่อความไม่สงบ รวมทั้งไม่ใช่พื้นที่ต่อสู้เรียกร้องอะไรเป็นกรณีพิเศษ โดยวิธีการคนร้ายนั้นต้องการให้เจ้าหน้าที่เกิดความสับสน เพื่อให้มุ่งประเด็นไปที่ความขัดแย้งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงคาดว่าน่าจะเป็นประเด็นทางการเมืองมากกว่า ไม่น่าเป็นกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบขยายพื้นที่มาก่อเหตุในแหล่งท่องเที่ยว แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่ตัดประเด็นใดๆ ทิ้ง”

พล.ต.อ.สมยศ ยังแย้มในวันต่อมา(15 เม.ย.) ด้วยว่า “จากการตรวจสอบและสืบสวน เชื่อได้ว่ามีนักการเมืองหลายคนซึ่งมีชื่อเสียงในภาคใต้รู้เห็นเป็นใจ ให้การช่วยเหลือสนับสนุนผู้ก่อเหตุ” 2 วันต่อมา(17 เม.ย.) พล.ต.อ.สมยศ เผยความคืบหน้าของคดีอีกว่า “ตอนนี้เรามีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะขออนุมัติต่อศาลเพื่อออกหมายจับได้ แต่การรีบร้อนเร็วไป อาจทำให้เสียรูปคดี ในเมื่อเรามีหลักฐานเพียงพอ ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เรารอจนกระทั่งมั่นใจหรือให้ได้ตัว แล้วค่อยดำเนินการภายหลังก็ได้”

สำหรับชายใส่เสื้อสีน้ำเงินที่กล้องวงจรปิดของห้างเซ็นทรัลฯ เกาะสมุยจับภาพได้ และมีการแชร์กันอย่างกว้างขวางในโซเชียลมีเดียนั้น เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าอาจเป็นคนขับรถคันที่คาร์บอมบ์ ซึ่งต่อมา ชายดังกล่าวได้เดินทางเข้าพบตำรวจ ยืนยันว่าตนไม่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด ทราบชื่อคือ นายวิระ พันธ์เจริญ หรือแก้ว อายุ 39 ปี เป็นชาว ต.อ่างทอง เกาะสมุย ทั้งนี้ นายวิระ ยอมรับว่า ภาพในกล้องวงจรปิดเป็นตัวเองจริง แต่อ้างว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย. วันเกิดเหตุ ตนแค่ขี่รถจักรยานยนต์ไปเที่ยวห้างตอนห้างเปิด เวลา 11.00น. เพื่อกินกาแฟ เสร็จแล้วก็ขี่รถกลับบ้าน เมื่อเห็นข่าวว่าตนตกเป็นผู้ต้องสงสัยวางระเบิด ญาติที่เป็นอาสาสมัครตำรวจ สภ.เกาะสมุย จึงบอกให้รีบมาแสดงตัวเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ “จากนั้น พ.ต.ท.เด่นดวง ทองศรีสุข รอง ผกก.สภ.บ่อผุด มารับตัวไปพบตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ สภ.บ่อผุด จึงเล่าการเดินทางไปห้างเซ็นทรัลฯ ให้ทราบ...” ด้านตำรวจได้เก็บดีเอ็นเอของนายวิระไว้ ก่อนปล่อยตัวกลับไป

ทั้งนี้ หลัง ผบ.ตร.ระบุว่ามีนักการเมืองหลายคนในภาคใต้รู้เห็นเป็นใจเหตุคาร์บอมบ์ห้างเซ็นทรัลฯ เกาะสมุยครั้งนี้ ปรากฏว่า อดีต ส.ส.จังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งของพรรคเพื่อไทย-ประชาธิปัตย์-มาตุภูมิต่างออกมาปฏิเสธเป็นการใหญ่ เช่น นายซูการ์โน มะทา อดีต ส.ส.ยะลา พรรคเพื่อไทย ,นายนัจมุดดีน อูมา อดีต ส.ส.นราธิวาส พรรคเพื่อไทย ,นายเจะอามิง โตะตาหยง อดีต ส.ส.นราธิวาส พรรคประชาธิปัตย์ ,นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ อดีต ส.ส.พรรคมาตุภูมิ

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเกิดเหตุระเบิดห้างเซ็นทรัลฯ เกาะสมุย พระสุเทพ ปภากโร อดีตแกนนำ กปปส.ได้กล่าวระหว่างพบปะชาวบ้านที่มาร่วมทำบุญที่วัดไร่ล่าง อ.สวี จ.ชุมพร เมื่อช่วงเช้าวันที่ 13 เม.ย. โดยมองว่า สถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในประเทศ ส่วนหนึ่งมาจากการสูญเสียอำนาจของกลุ่มอำนาจเก่า จึงขอให้ประชาชนเตรียมลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศ

ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาศาลฎีกาฯ จำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ ร้อนตัว รีบออกมาทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ตอบโต้พระสุเทพเมื่อวันที่ 14 เม.ย.ว่า “ถึงพระสุเทพ เราหยุดมานานแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุด ท่านบอก ท่านบวชแล้ว 9 เดือน อย่าบวชแต่กาย เพียงนุ่งผ้าเหลืองและโกนหัวเท่านั้น ควรเอาใจไปบวชด้วย เพราะท่านมุสาเป็นประจำ นึกว่านุ่งผ้าเหลืองแล้วจะเลิกมุสา เรารู้จักกันดีพอนะ”

ขณะที่พระสุเทพ ไม่ตอบโต้ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยกล่าวเพียงว่า เป็นเรื่องของตำรวจและทหารจะต้องไปสืบสวน ใครทำกรรมอะไรไว้ก็ต้องรับกรรมนั้น หนีไม่พ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ ทุกคนก็ทราบกันดี

ด้านนายถาวร เสนเนียม อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเมื่อวันที่ 16 เม.ย.ว่า มีหลายฝ่ายวิเคราะห์ไปในแนวเดียวกันว่า ผู้อยู่เบื้องหลังการว่าจ้างให้คนร้ายวางระเบิดที่เกาะสมุย คือกลุ่มการเมืองที่เป็นฝ่ายตรงข้ามของ คสช. เพราะนายใหญ่และตัวเองกำลังถูกตรวจสอบและอาจจะถูกดำเนินคดีมากขึ้น จึงหาวิธีการโต้ตอบเพื่อดึงองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาแก้ไขปัญหาในประเทศไทย รวมถึงแนวทางยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศไทย และความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทุกคนทราบดีว่ารถที่ร่วมในการก่อเหตุครั้งนี้มีอยู่ 3 คัน รถที่ใช้นำและระวังหลังคือ ฮอนด้าและมิตซูบิชิ รถคันก่อเหตุคือ มาสด้า โดยรถคันก่อเหตุ ได้ขับจาก จ.ยะลาผ่านมาทาง จ.สงขลา ข้ามแพขนานยนต์จากฝั่ง อ.เมืองสงขลา ไปยังฝั่ง อ.สิงหนคร เมื่อวันที่ 9 เม.ย. เวลาประมาณ 16.00 น. เส้นทางผ่าน อ.สิงหนคร อ.สทิงพระ อ.ระโนด อ.หัวไทร มุ่งไปทาง อ.สิชล เข้าพักที่โรงแรมชื่อย่อ ส.ใน อ.ขนอม เมื่อเวลาประมาณ 01.00 น.วันที่ 10 เม.ย. และมีการประกอบระเบิดขึ้น จากนั้นรถคันก่อเหตุข้ามแพขนานยนต์ของท่าเรือราชา โดยกำลังตรวจสอบว่านายตำรวจระดับ พ.ต.อ.มีส่วนเกี่ยวข้องและรับรู้ด้วยหรือไม่

ทั้งนี้ มีรายงานว่า โรงแรมที่คนร้ายได้แวะเข้าพัก เป็นโรงแรมม่านรูด ชื่อโรงแรมสุขเจริญ อยู่ ต.ควนทอง อ.ขนอม มีนายตำรวจคนหนึ่งยศนายพันเป็นเจ้าของ ซึ่งตำรวจอยู่ระหว่างสอบพนักงานที่เข้าเวรทำงานในวันดังกล่าว

5.ยอด 7 วันอันตรายสงกรานต์ ดับ 364 ศพ “สุรินทร์” ตายมากสุด ด้าน รมช.มหาดไทย อ้างจำนวนรถ-นักท่องเที่ยว-พายุ ทำอุบัติเหตุไม่ลด!
1 ในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นช่วงสงกรานต์ หลังรถปิคอัพเสียหลักเทกระจาดคนที่อยู่บนรถ จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย ที่ จ.สุรินทร์
เมื่อวันที่ 16 เม.ย. นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นประธานแถลงผลการดำเนินการและปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2558 โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) ว่า ยอดรวม 7 วันอันตราย( 9-15 เม.ย.) เกิดอุบัติเหตุรวม 3,373 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 3,559 คน มีผู้เสียชีวิต 364 คน ซึ่งมากกว่าช่วงสงกรานต์ปีที่แล้วที่มีผู้เสียชีวิต 326 คน

สำหรับจังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตมากสุดในช่วงสงกรานต์ปีนี้ คือ สุรินทร์ 16 ราย จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิตเลยมี 5 จังหวัด ได้แก่ ภูเก็ต แม่ฮ่องสอน ยะลา สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร ส่วนจังหวัดที่ไม่มีผู้บาดเจ็บคือ สมุทรปราการ

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะป้องกันหรือแก้ปัญหาอย่างไรต่อไป เนื่องจากมีการรณรงค์ลดอุบัติเหตุเป็นจำนวนมาก ทั้งเล่นน้ำปลอดภัย ปลอดเหล้า ตั้งจุดสกัด แต่อุบัติเหตุกลับไม่ลดลง นายสุธี กล่าวว่า ปีนี้จำนวนรถเพิ่มมากขึ้น นักท่องเที่ยวก็เพิ่มขึ้นทุกพื้นที่ นอกจากนี้ยังเกิดภัยธรรมชาติด้วย โดยเฉพาะพายุฤดูร้อนทำให้เกิดอุบัติเหตุง่ายขึ้น ถ้าประมาทและขาดความระมัดระวัง โดยเฉพาะผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์
กำลังโหลดความคิดเห็น