ประกาศคำสั่ง คสช.ที่ 4 ตั้งคณะทำงานประสานองค์กรต่างๆ เพื่อพิจารณาเชิญผู้ทรงคุณวุฒิต่างชาติมาให้ประสบการณ์ และความเข้าใจในการพัฒนาประเทศไปสู่ประชาธิปไตย รวม 8 คน ให้คนใน คสช.เป็นหัวหน้าทีม ที่เหลือมีรองนายกฯ-รอง ปธ.สนช.-รอง ปธ.สปช.-รอง ปธ.กมธ.ยกร่างฯ-ปลัด กต.-เลขาฯ กฤษฎีกา และ เลขาฯ ส.พระปกเกล้า เป็นเลขาฯ ทีม พ่วงประกาศคำสั่งที่ 5 แก้คำสั่งที่ 3 ขยายความผู้ช่วยเจ้าพนักงาน รวมทหารกองประจำการ และ อส.ทหารพราน
วันนี้ (16 เม.ย.) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศคําสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 4/2558 เรื่อง การดำเนินการเพื่อประโยชน์แก่การจัดทำรัฐธรรมนูญและการปฏิรูป โดยมีสาระสำคัญให้ตั้งคณะทำงานชุดหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงาน องค์กรต่างๆ เช่น กระทรวงการต่างประเทศ สถาบันอุดมศึกษาของรัฐตามที่สมควร สถาบันพระปกเกล้า และองค์การตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว หรือแม่น้ำทั้ง 5 สาย เพื่อพิจารณาเชิญผู้ทรงคุณวุฒิจากต่างประเทศด้านการเมืองการปกครอง การจัดทำรัฐธรรมนูญ การปฏิรูป การแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ และความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศเหล่านั้นมาให้ประสบการณ์ ความเข้าใจในการพัฒนาประเทศไปสู่ระบอบประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ รวมทั้งจัดให้มีการศึกษาวิจัย เปรียบเทียบและระบุปัญหาที่เกิดจากการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 และ 2550 ด้วย
ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้สถาบันพระปกเกล้าเป็นหน่วยธุรการ โดยคณะทํางานจะมีทั้งหมด 8 คน ประกอบด้วย ประธานคณะทำงาน ซึ่งเป็นผู้ดํารงตําแหน่งใน คสช. ที่หัวหน้า คสช. มอบหมาย ขณะที่คณะทำงานอีก 7 ราย ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย, รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.), รองประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) รองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ซึ่งทำหน้าที่เป็นเลขานุการคณะทำงานด้วย
นอกจากนี้ เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษายังได้เผยแพร่ประกาศคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 5/2558 เรื่อง แก้ไขคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2558 โดยมีใจความระบุถึงการขยายความ “ผู้ช่วยเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย” ที่เดิมหมายความว่าข้าราชการทหาร ซึ่งมียศต่ำกว่าชั้นร้อยตรี เรือตรี เรืออากาศตรี ลงมานั้น ให้หมายความรวมไปถึงทหารประจําการ ทหารกองประจําการ และอาสาสมัครทหารพรานด้วย
“คําสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔/๒๕๕๘
เรื่อง การดําเนินการเพื่อประโยชน์แก่การจัดทํารัฐธรรมนูญและการปฏิรูป
ตามที่กระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญและการปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ กําลังดําเนินไปตามแผนและขั้นตอนสามระยะของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระยะที่สองนั้น โดยที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์และข้อเสนอแนะที่แตกต่างหลากหลาย หากมิได้สร้างความรับรู้ความเข้าใจเสียแต่แรกก็อาจนําไปสู่ความขัดแย้งในสังคมจนกระทบต่อความสามัคคี ความสมานฉันท์ และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนากระบวนการประชาธิปไตยได้ สมควรสร้างความรับรู้ความเข้าใจแก่ผู้เกี่ยวข้องและประชาชนเกี่ยวกับมาตรการป้องกัน แก้ไข และเยียวยาวิกฤตการณ์ทางการเมือง การปฏิรูปกระบวนการจัดทํารัฐธรรมนูญและหลักการสําคัญของรัฐธรรมนูญที่เหมาะสมกับความต้องการของประชาชนและประเทศชาติ โดยอาศัยประสบการณ์ในต่างประเทศที่อาจนํามาดัดแปลงหรือประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย
โดยที่มาตรา ๔๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ บัญญัติให้ในกรณีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติเห็นว่าคณะรัฐมนตรีควรดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ในเรื่องใด ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบเพื่อดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ต่อไป คณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๒ ให้มีคณะทํางานคณะหนึ่งทําหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ
เช่น กระทรวงการต่างประเทศ สถาบันอุดมศึกษาของรัฐตามที่เห็นสมควร สถาบันพระปกเกล้าและองค์กรทั้งห้าตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ได้แก่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูปแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาเชิญผู้ทรงคุณวุฒิจากต่างประเทศด้านการเมืองการปกครอง การจัดทํารัฐธรรมนูญ การปฏิรูป การแก้ปัญหาวิกฤตการณ์และความขัดแย้งทางการเมืองที่เคยเกิดขึ้นในประเทศเหล่านั้น โดยเฉพาะประเทศที่มีประสบการณ์ในการจัดทํารัฐธรรมนูญและการปฏิรูปภายหลังวิกฤตการณ์และการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง มาให้ประสบการณ์และความเข้าใจในการพัฒนาประเทศไปสู่ระบอบประชาธิปไตยและการปฏิรูปประเทศเพื่อนําไปสู่ระบอบประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ โดยคํานึงถึงสถานการณ์ในประเทศไทย ซึ่งวิกฤตความขัดแย้งอาจแตกต่างจากต่างประเทศ และคํานึงถึงความต้องการของประชาชน โดยไม่ขัดแย้งกับหลักการอันเป็นสากล ตลอดจนหลักประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามประเพณีการปกครองของประเทศไทย โดยไม่เกี่ยวกับการวิพากษ์หรือพิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญที่กําลังจัดทํา และไม่กระทบต่อความคืบหน้าของกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญที่กําลังดําเนินการอยู่
ทั้งนี้ ให้สถาบันพระปกเกล้าเป็นหน่วยธุรการและให้คณะทํางานดังกล่าวดําเนินการตามคําสั่งนี้ โดยเร่งด่วน
คณะทํางานประกอบด้วย
(๑) ผู้ดํารงตําแหน่งในคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมอบหมาย ประธานคณะทํางาน
(๒) รองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย คณะทํางาน
(๓) รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติมอบหมาย คณะทํางาน
(๔) รองประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ ที่ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติมอบหมาย คณะทํางาน
(๕) รองประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญมอบหมาย คณะทํางาน
(๖) ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ คณะทํางาน
(๗) เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะทํางาน
(๘) เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า คณะทํางานและ เลขานุการ
ข้อ ๓ นอกจากการดําเนินการตามข้อ ๒ แล้ว ให้คณะทํางานจัดให้มีการศึกษาวิจัยเปรียบเทียบและระบุปัญหาที่เกิดจากการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. ๒๕๔๐ และ พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งเคยมีข้อท้วงติงว่าเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการเมืองของไทย หรือไม่ตอบสนองต่อการแก้วิกฤตการณ์ของประเทศ พร้อมทั้งให้จัดทําข้อเสนอแนะด้วยในการดําเนินการดังกล่าว คณะทํางานจะมอบหมายหรือว่าจ้างให้บุคคล คณะบุคคลหรือองค์กรใด ดําเนินการหรือนําผลการศึกษาที่เคยมีผู้ทําไว้แล้วมาเรียบเรียงและจัดหมวดหมู่ให้เป็นไปตามกรอบที่กําหนดไว้ในวรรคก่อนพร้อมทั้งเสนอความเห็นประกอบก็ได้ ทั้งนี้ ให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องดําเนินการโดยไม่มีอคติและตรงต่อสภาพปัญหาที่เป็นจริงให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อนําไปใช้ประโยชน์ได้ทันการจัดทํารัฐธรรมนูญและการพิจารณาของผู้เกี่ยวข้อง ตลอดจนช่วยสร้างความรับรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน
ข้อ ๔ ให้คณะทํางานตามข้อ ๒ ดําเนินการต่อไปในลักษณะเดียวกันตามข้อ ๓โดยอนุโลม เพื่อใช้เป็นแนวทางเสนอแนะการปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ
ข้อ ๕ ขั้นตอนและวิธีดําเนินการให้เป็นไปตามที่คณะทํางานกําหนดบนพื้นฐานของความโปร่งใส ความสอดคล้องกับหลักวิชาอันเป็นที่ยอมรับทั่วไป การปราศจากอคติ และการมุ่งให้ประชาชนได้รับประโยชน์ ในกรณีที่ไม่อาจดําเนินการในเรื่องใดโดยเร่งด่วนได้เพราะไม่สอดคล้องกับกฎหมาย กฎหรือระเบียบของทางราชการ ให้คณะทํางานขอคําวินิจฉัยจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติแล้วดําเนินการไปตามคําวินิจฉัยนั้น ให้สํานักงบประมาณจัดงบประมาณแก่คณะทํางานเพื่อดําเนินการตามคําสั่งนี้ตามความจําเป็น เมื่อได้ดําเนินการตามคําสั่งนี้แล้ว ให้ประธานคณะทํางานรายงานหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นระยะ ๆ และเผยแพร่ผลการดําเนินการต่อสาธารณชน ในกรณีที่คณะทํางานเห็นว่าสมควรยุติ หรือไม่จําเป็นต้องดําเนินการต่อไป ให้รายงานหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยจัดทําบัญชี แสดงค่าใช้จ่ายเสนอไปด้วย เมื่อได้รับความเห็นชอบของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติแล้ว คําสั่งนี้เป็นอันสิ้นสุดลง
สั่ง ณ วันที่ ๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๘
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
***************
คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๕/๒๕๕๘
เรื่อง แก้ไขคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓/๒๕๕๘
ตามที่มีคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓/๒๕๕๘ เรื่อง การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ ลงวันที่ ๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ นั้นอาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ ๒ ให้ยกเลิกความในข้อ ๒ ของคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓/๒๕๕๘ เรื่อง การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ ลงวันที่ ๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ ๒ ในคําสั่งนี้ “เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย” หมายความว่า ข้าราชการทหารซึ่งมียศตั้งแต่ ชั้นร้อยตรี เรือตรี เรืออากาศตรี ขึ้นไป ซึ่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย จากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามคําสั่งนี้
“ผู้ช่วยเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย” หมายความว่า ข้าราชการทหารซึ่งมียศต่ํากว่า ชั้นร้อยตรี เรือตรี เรืออากาศตรี ลงมา และให้หมายความรวมถึง ทหารประจําการ ทหารกองประจําการ และอาสาสมัครทหารพราน ซึ่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้า คณะรักษาความสงบแห่งชาติแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามคําสั่งนี้”
สั่ง ณ วันที่ ๑๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๘
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ”