คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.ไทยคว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 สำเร็จ “ซิโก้” เผยเบื้องหลัง “ในหลวง” ทรงให้กำลังใจ ได้เงินอัดฉีดแล้ว 45 ล้าน!
เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. ได้มีการแข่งขันฟุตบอล “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014” รอบชิงชนะเลิศ นัดที่ 2 ที่สนามบูกิต จาลิล กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย หลังเกมนัดแรกมีขึ้นเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ที่สนามราชมังคลากีฬาสถานของไทย ซึ่งไทยยิงชนะมาเลเซียไป 2-0
สำหรับบรรยากาศการแข่งขันนัดสอง มาเลเซียได้ประตูนำไทยไปก่อน 2-0 ในครึ่งแรก ก่อนได้อีก 1 ลูกในครึ่งหลัง เป็น 3-0 แต่ไทยก็ตีไข่แตกโดยชาริล ชัปปุยส์ ก่อนที่ “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ จะทำประตูให้ไทยได้อีก 1 ลูก เป็น 3-2 ทั้งนี้ แม้เกมในนัดนี้ ไทยจะแพ้มาเลเซีย แต่เมื่อรวมผลทั้งสองนัด ไทยชนะมาเลเซีย 4-3 ทำให้ทีมช้างศึกของไทยทวงแชมป์อาเซียนในรอบ 12 ปี กลับคืนมาได้สำเร็จ รวมทั้งทำให้ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เฮดโค้ชทีมชาติไทย กลายเป็นคนแรกที่คว้าแชมป์ให้ไทยทั้งสมัยเป็นนักเตะและโค้ช ขณะที่ชนาธิป สรงกระสินธ์ คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวนาเมนต์ไปครอง
ด้าน “โค้ชซิโก้” เผยเบื้องหลังความสำเร็จครั้งนี้ว่า ระหว่างพักครึ่ง ที่มาเลเซียนำไทย 2-0 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งผ่านรองราชเลขาธิการที่โทรศัพท์จากประเทศไทยมาถึงนายเกษม จริยวัฒน์วงศ์ ผู้จัดการทีมชาติไทย เพื่อพระราชทานกำลังใจให้นักฟุตบอลไทยสู้ต่อ ทำให้ทุกคนมีกำลังใจสู้ จนกลับมายิง 2 ประตู คว้าแชมป์ได้ในที่สุด เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังคว้าแชมป์ “โค้ชซิโก้” ได้นำนักเตะทีมชาติไทยร้องเพลงสดุดีมหาราชาหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภายในห้องแต่งตัวนักเตะ พร้อมประกาศทูลเกล้าฯ ถวายถ้วยรางวัลชนะเลิศครั้งนี้แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
สำหรับการคว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ในครั้งนี้ สร้างความสุขและความประทับใจให้คนไทยเป็นอย่างมาก โดยทันทีที่ทัพนักกีฬาไทยเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.ปรากฏว่า ได้มีประชาชนเรือนแสนไปรอต้อนรับตลอดเส้นทางที่ขบวนนักกีฬาจะเดินทางผ่าน ตั้งแต่สนามบินดอนเมือง อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และสนามศุภชลาศัย
จากนั้นวันต่อมา(22 ธ.ค.) ทัพนักกีฬาไทยเดินทางไปลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่อาคารศิริราช 100 ปี โรงพยาบาลศิริราช ด้าน ศ.นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตรการแข่งขันตั้งแต่รอบชิงชนะเลิศนัดแรก มาจนกระทั่งนัดสอง และได้รับสั่งให้รองราชเลขาธิการโทรศัพท์ไปพระราชทานกำลังใจให้นักฟุตบอลไทยระหว่างพักครึ่งจริง โดยรับสั่งว่า “เราดูอยู่ และขอส่งกำลังใจไปให้” ซึ่งหลังจากทีมชาติไทยคว้าแชมป์สำเร็จ พระองค์ทรงแย้มพระสรวลและปลื้มพระทัยเป็นอันมาก
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้เปิดตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เลี้ยงต้อนรับนักฟุตบอลทีมชาติไทยและสต๊าฟโค้ชชุดคว้าแชมป์ “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014” เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. โดยมี “บังยี” วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และ “โค้ชซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง นำคณะนักเตะร่วมงาน ท่ามกลางสื่อมวลชนจำนวนมาก
โอกาสนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้มอบเงินอัดฉีดให้นักกีฬาและโค้ช 15 ล้านบาท โดยเป็นเงินจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ 5 ล้าน ,จากเครือเจริญโภคภัณฑ์(ซีพี) 5 ล้าน และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน) 5 ล้าน นอกจากนี้ยังได้รับเงินอัดฉีดจากหน่วยงานอื่นอีก 30 ล้าน ได้แก่ จากสมาคมฟุตบอลฯ และบริษัท โหลทอง โฮลดิ้ง จำกัด 25 ล้าน ,สยามพารากอน 1 ล้าน ,บมจ.สามารถ คอร์ปอเรชั่น 2 ล้าน ,สถานีโทรทัศน์ช่อง 7 มอบให้ 1 ล้าน และปูนอินทรีอีก 1 ล้าน รวมเป็น 45 ล้านบาท
2.กมธ.ยกร่าง รธน. ตีตกเลือกนายกฯ โดยตรง คงรูปแบบเดิม แต่เปิดทางคนนอกนั่งนายกฯ ได้ ปัดรองรับ “บิ๊กตู่”!
เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. คณะกรรมาธิการ(กมธ) ยกร่างรัฐธรรมนูญได้ประชุมพิจารณาข้อเสนอที่คณะกรรมาธิการด้านต่างๆ ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ส่งมอบให้เป็นนัดแรก โดยประเดิมพิจารณากรอบภาคการเมือง ก่อนได้ข้อสรุปเรื่องรูปแบบการเลือกนายกรัฐมนตรีว่า ให้คงรูปแบบการปกครองแบบรัฐสภาเช่นเดิม คือ นายกฯ ต้องมาจากการเลือกของสภาผู้แทนราษฎร ส่วนเหตุผลที่ไม่สามารถรับข้อคิดเห็นของ สปช.ที่เสนอให้เลือกนายกฯ โดยตรงได้ เพราะระบบรัฐสภาเป็นระบบที่คุ้นชินและสามารถแก้ปัญหาเป็นเรื่องๆ ได้ อย่างไรก็ตาม แม้จะเลือกนายกฯ แบบเดิม แต่จะมีการปรับเปลี่ยนบ้าง เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มการเมืองเดิมใช้อำนาจเสียงข้างมากคุมเสียงในสภาแบบเบ็ดเสร็จ
สำหรับตำแหน่งประธานสภานั้น มีข้อเสนอให้มาจากพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมาก ส่วนรองประธานสภาคนที่ 1 และ 2 อาจมาจากพรรคที่มีคะแนนรองลงมา เพื่อไม่ให้พรรคใดพรรคหนึ่งผูกขาด โดยการปฏิบัติหน้าที่ของประธานและรองประธานสภานั้น ต้องเป็นอิสระ ไม่อยู่ภายใต้มติพรรค ขณะที่ตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภา ให้มาจากพรรคฝ่ายค้าน เพื่อให้เกิดการถ่วงดุล ทั้งนี้ กมธ.ยกร่างฯ จะร่างรัฐธรรมนูญโดยคำนึงถึงรัฐธรรมนูญชั่วคราว มาตรา 35(4) ที่ห้ามบุคคลที่มีพฤติกรรมในทางทุจริตไม่ให้สามารถเข้าสู่การเมืองได้
วันต่อมา(24 ธ.ค.) กมธ.ยกร่างฯ ได้ประชุมเป็นนัดที่สอง โดยพิจารณาเรื่องระบบเลือกตั้งและผู้นำการเมืองที่ดี ก่อนมีมติให้ใช้ระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม คือให้สภามีผู้แทนจากการเลือกตั้งทั้งแบบแบ่งเขตและแบบสัดส่วน เพื่อให้เหมาะกับสภาพสังคมไทย โดยแบ่งสัดส่วน ส.ส. เป็นแบบแบ่งเขต 250 คน และแบบสัดส่วน 200 คน รวม 450 คน
พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เผยว่า ปัจจุบันมี 9 ประเทศที่ใช้ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม ได้แก่ เยอรมนี ,แอลเบเนีย ,โบลิเวีย ,ฮังการี ,อิตาลี ,เรโซโท ,เม็กซิโก ,นิวซีแลนด์ และเวเนซุเอลา โดยประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ 10 พร้อมชี้ข้อดีของระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมว่า เสียงของประชาชนจะไม่สูญเปล่า พรรคขนาดเล็กและขนาดกลางจะมีโอกาสได้รับเลือกตั้งมากขึ้น นอกจากนี้ กมธ.ยกร่างฯ ยังเห็นพ้องกันว่าให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการเลือกคณะรัฐมนตรี(ครม.) ขณะที่ผู้สมัคร ส.ส.ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง แต่สามารถสมัครเป็นกลุ่มได้
สำหรับที่มาของนายกรัฐมนตรีนั้น กมธ.ยกร่างฯ ได้ข้อสรุปเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.ว่า ให้นายกฯ มีที่มาเหมือนเดิม คือมาจากการเสนอชื่อโดย ส.ส. และให้ประธานสภาฯ เป็นผู้นำความกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และจะไม่บังคับให้นายกฯ ต้องมาจาก ส.ส.เท่านั้น เปิดช่องให้นายกฯ มาจากบุคคลภายนอกได้ เพื่อเป็นการป้องกันหากอนาคตเกิดวิกฤตทางการเมือง นอกจากนี้ยังให้นายกฯ อยู่ในวาระ 4 ปี และไม่เกิน 2 สมัย รวมทั้งมีอำนาจในการยุบสภาเหมือนเดิม
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเขียนรัฐธรรมนูญให้คนนอกนั่งนายกฯ ได้ เป็นการเปิดช่องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกฯ ต่อหรือไม่ นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ปฏิเสธว่า ไม่ใช่ โดยยืนยัน กมธ.ยกร่างฯ ไม่ได้เขียนกฎหมายเพื่อช่วยเหลือใครหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ต้องการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
ส่วนที่มาของสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) นั้น กมธ.ยกร่างฯ ได้ข้อสรุปว่า 1.ให้มี ส.ว.ไม่เกิน 200 คน 2.ให้ ส.ว.เป็นสภาพพหุนิยมและพหุอำนาจนิยม โดยเปรียบเป็นกระจกสะท้อนความหลากหลายจากทุกกลุ่มอำนาจที่มีอยู่จริงในสังคมไทย ไม่ใช้สะท้อนอำนาจของ ส.ส. 3.ส.ว.ต้องไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง และมีที่มา 5 ทาง ได้แก่ 1.มาจากอดีตผู้นำในอำนาจอธิปไตยทั้ง 3 ฝ่าย เช่น นายกรัฐมนตรี ,ประธานรัฐสภา และต้องมีคุณสมบัติไม่ขัดกับข้อกำหนด 2.มาจากอดีตข้าราชการระดับสูง 3.มาจากผู้แทนองค์กรวิชาชีพที่มีกฎหมายรองรับ 4.มาจากกลุ่มภาคประชาชน 5.มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม
สำหรับอำนาจของ สว.ที่เพิ่มเติมจากรัฐธรรมนูญ 2550 ได้แก่ 1.สามารถเสนอร่างกฎหมายได้ 2.ทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจากนายกรัฐมนตรีให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ก่อนจะนำความขึ้นกราบบังคมทูล 3.สามารถลงมติร่วมกับ ส.ส.กรณีถอดถอนนายกรัฐมนตรี ,รัฐมนตรี ,ส.ส.-ส.ว. และข้าราชการระดับสูง โดยให้ใช้คะแนนเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้ง 2 สภา ส่วนอำนาจและหน้าที่ของ ส.ว.ในการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่ง ,การอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลมติ และการตั้งกระทู้ถาม ยังคงไว้เช่นเดิม สำหรับวาระการดำรงตำแหน่งของ ส.ว.นั้น ยังไม่ได้ข้อสรุป แต่มีการหารือกันว่า ส.ว.ไม่ควรอยู่ยาว ควรมีวาระเพียง 3 ปีเท่านั้น โดยประเด็นนี้จะมีการหารือกันอีกครั้ง
ล่าสุด เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. ที่ประชุม กมธ.ยกร่างฯ ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ โดยในส่วนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ให้มี 5 คนเหมือนเดิม ให้ กกต.ทำหน้าที่เฉพาะควบคุมการเลือกตั้งให้สุจริตและเป็นธรรม และให้มีอำนาจให้ใบเหลืองหรือให้มีการเลือกตั้งใหม่ได้ ส่วนการให้ใบแดงหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้สมัครที่กระทำผิดนั้น ให้เป็นอำนาจของศาลที่จะเกิดขึ้นตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ
สำหรับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ให้มี 9 คนเหมือนเดิม แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะให้ดำรงแหน่ง 6 ปี หรือ 9 ปี ส่วนที่มีข้อเสนอให้ ป.ป.ช.สามารถฟ้องตรงไปยังศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ที่ประชุมเห็นควรให้คงเดิม คือ ให้ ป.ป.ช.ฟ้องผ่านอัยการสูงสุด ยกเว้นว่าเกินระยะเวลาที่กำหนดไว้ ให้ ป.ป.ช.ฟ้องโดยตรงเองได้ และยังให้คดีทุจริตมีอายุความต่อไป แต่จะยกเว้นการนับอายุความกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาในคดีนั้นหลบหนี
3.“บิ๊กตู่” ขู่ปิด นสพ.บางฉบับ อ้างด่าทุกวัน ด้าน ASTVผู้จัดการ ออกแถลงการณ์คืนความสุขให้ “บิ๊กตู่” ขณะที่ “สนธิ” ยันไม่ขายจิตวิญญาณสื่อ!
เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้กล่าวระหว่างแถลงผลงานรัฐบาลครบรอบ 3 เดือน โดยขู่จะปิดหนังสือพิมพ์บางฉบับ เพราะเขียนด่าตนทุกวัน ซึ่งตนทนมานานแล้ว “เดี๋ยวผมจะแจ้งเรื่องไปยังสมาคมสื่อดูซิว่า ไอ้หนังสือพิมพ์บางฉบับที่เขียนอยู่ทุกวัน ซึ่งผมก็ทนมานานแล้ว ติติงมันได้ทุกเรื่อง ทุกหน้ากระดาษ มันเป็นอะไร มันบ้าหรืออย่างไร ไม่ว่าใครเป็นก็ด่าเขาทั้งหมด มันดีตรงไหน ไอ้เจ้าของก็จะติดคุกตายมิตายแหล่อยู่แล้ว ผมไม่ได้อยากจะอุดหนุนหรอกนะหนังสือฉบับนี้ แต่เขาซื้อมาให้อ่าน ผมบางทีก็ไม่อยากอ่าน อ่านแล้วมันโมโห มันทำให้เสียกิริยาเสียมาดผู้นำหมด ขี้โมโห แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร พูดอย่างนี้ พรุ่งนี้ผมก็โดนสวนกลับมาอีก แต่คราวนี้ผมจะปิดจริงๆ ปล่อยแล้วก็ไม่ได้ ลามปามไปเรื่อย ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นผมจะเป็นไปทำไม จะมีกฎอัยการศึกไว้ทำไม เรามีไว้เพื่อให้เกิดความสงบ มีไว้ในเชิงสร้างสรรค์”
ด้านนายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสื่อในเครือ ASTVผู้จัดการ ได้ออกแถลงการณ์ในวันต่อมา(26 ธ.ค.) ถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ แสดงความไม่พอใจสื่อบางฉบับที่ติติงไม่ว่าใครจะเป็นนายกฯ พร้อมประกาศใช้กฎอัยการศึกจัดการว่า เชื่อว่า ASTVผู้จัดการน่าจะอยู่ในข่ายที่ถูกพาดพิงถึง ดังนั้นเพื่อสนองนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ ผู้บริหาร ASTVผู้จัดการจึงพร้อมจะคืนความสุขให้ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค.จนถึงสิ้นปี 2557 เป็นอย่างน้อย ด้วยการชื่นชม พล.อ.ประยุทธ์ ในทุกเรื่อง ทุกข่าว และอวยในวิสัยทัศน์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ทุกเรื่องที่ทำมา เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ หายเหนื่อยที่อุตส่าห์เสียสละเวลาเข้ามาแก้ปัญหาประเทศชาติ ไม่ว่านโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นการคืนความสุขให้ประชาชนอย่างแท้จริงหรือไม่ เราก็จะต้องทำให้คนที่ติดตามสื่อในเครือซาบซึ้งในความเสียสละของ พล.อ.ประยุทธ์ และจะได้ลดความโมโหลงเพื่อบุคลิกภาพที่ดีของ พล.อ.ประยุทธ์ จะได้ไม่เสียไป พร้อมย้ำว่า ท่าทีของ ASTVผู้จัดการที่กำลังจะคืนความสุขให้ พล.อ.ประยุทธ์ นี้ ถือเป็นการมอบของขวัญปีใหม่ให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ เหมือนที่ พล.อ.ประยุทธ์ พยายามคืนความสุขให้สังคมไทย
นายจิตตนาถ ยังหวังด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะนำกฎอัยการศึกที่มีสิทธิเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปจัดการกับปัญหาสังคม เช่น การทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ,ราคายางตกต่ำ ,การหมิ่นสถาบัน ,การร่างรัฐธรรมนูญที่มีบางกลุ่มหมกเม็ดนิรโทษกรรมออกมา และบางคนที่หากินกับ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อการสืบต่ออำนาจ ต่อสายกับนักการเมือง จึงอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ นำกฎอัยการศึกไปจัดการกับคนพวกนั้น แทนที่จะเสียเวลานำมาใช้กับสื่อเล็กๆ อย่าง ASTVผู้จัดการที่เป็นสื่อของประชาชนที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อความถูกต้องและต่อสู้กับนักการเมืองที่ฉ้อฉลมาทุกรัฐบาล ทุกพรรค และต่อสู้กับพวกหมิ่นสถาบัน
ขณะที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการ และสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV หรือ NEWS1 ได้อวยพรปีใหม่และขอบคุณพี่น้องพันธมิตรฯ ที่สนับสนุนช่วยเหลือด้วยดี นายสนธิยังให้คำมั่นสัญญาด้วยว่า ASTV จะซื่อตรง มั่นคง และไม่เปลี่ยน และว่า ปีหน้าสื่อมวลชนจะเปลี่ยนไปอีกเยอะ คุณภาพจะด้อยลง เพราะทุกคนจะดิ้นรนหาทางเอาตัวรอดในสภาวะแบบนี้ให้ได้ ASTV ก็เช่นกัน แต่เราจะไม่ยอมขายจิตวิญญาณเพื่อผลประโยชน์ แต่เชื่อหลายๆ สื่อที่ไม่เคยลำบากหรือผ่านความทุกข์ยากเหมือน ASTV จะเริ่มขายจิตวิญญาณออกไป
นายสนธิ ยังชี้ด้วยว่า สื่อมวลชนเป็นกุญแจสำคัญของสังคม ถ้าสื่อมวลชนไม่สามารถให้ปัญญาคน หรือไม่กล้าให้ปัญญาคน สังคมจะไปไหนไม่รอด ตนในนามตัวแทนของ ASTV กล้าให้คำมั่นสัญญากับทุกท่านว่า เราจะยังคงยืนอยู่ที่เดิม คือ ยืนอยู่บนความถูกต้อง และจะเอาธรรมนำหน้าตลอด ธรรมคือสภาวะแห่งความเป็นจริง ดังนั้นจะเอาสภาวะความเป็นจริงมายื่นให้พี่น้องได้รับทราบกัน และเราจะไม่ถอยแม้แต่นิ้วเดียว จะลำบากแค่ไหน ก็จะยังชูธรรมนำหน้าตลอดเวลา ขอให้พ่อแม่พี่น้องมีสติมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว ใช้ปัญญาในการแก้ปัญหามากขึ้น อย่าหลงใหลไปกับกระแส เพราะกระแสส่วนใหญ่เป็นกระแสเพื่อสร้างภาพพจน์ แล้วในที่สุด เมื่อความจริงโผล่ขึ้นมา ตนกลัวว่าพ่อแม่พี่น้องจะช้ำใจ เราช้ำใจไปแล้วครั้งหนึ่งปีที่แล้ว อย่าต้องช้ำใจอีก แต่ตนมั่นใจว่า อยู่กับเราไม่มีวันช้ำใจ
4.ออกหมายจับ ตร.เครือข่าย “พงศ์พัฒน์” นับสิบนายเรียกสินบนพนันบอลออนไลน์ ด้าน ปปง.ยึดทรัพย์ “พงศ์พัฒน์” กับพวกอีกพันล้าน!
ความคืบหน้าการสอบสวนขยายผลเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ผบช.ก.) แอบอ้างเบื้องสูงกระทำความผิดหลายกรณี เช่น รับส่วยน้ำมันเถื่อน ข่มขู่เรื่องหนี้สิน ฯลฯ ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.ศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ กับพวกอีก 3 คน คือ พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรอง ผบช.ก. ,พ.ต.อ.วรพจน์ พืชผล อดีต ผกก.1 บก.ปอศ. ,พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี อดีตรอง ผกก.6 บก.ป. และนายวิฑูรย์ ตระการพฤกษ์ คนสนิท พล.ต.ต.โกวิทย์ ข้อหาเรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบจากโต๊ะพนันบอลออนไลน์
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. คณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงได้มีมติเห็นชอบให้ไล่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์กับพวกรวม 6 นายออกจากราชการ ประกอบด้วย พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรอง ผบช.ก. ,พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน อดีตผู้บังคับการตำรวจน้ำ ,พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ อดีต ผกก.4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ,ด.ต.สุรศักดิ์ จันทร์เงา อดีต ผบ.หมู่ กก.ปพ.บก.ป. คนขับรถ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ และ ด.ต.ฉัตรินทร์ เหล่าทอง อดีต ผบ.หมู่ กก.ปพ.บก.ป. คนขับรถ พล.ต.ต.โกวิทย์ เนื่องจากผลสอบพบว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดทำผิดวินัยร้ายแรงฐานหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ,เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่ง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ลงนามเห็นชอบให้ไล่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ กับพวกรวม 6 นายออกจากราชการแล้วเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. ส่วนการถอดยศและการขอคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้น จะมีการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ขณะที่เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ถอดยศทหาร ร.อ.ณัฐพล สุวะดี(อัครพงศ์ปรีชา) สังกัดหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์แล้ว มีผลตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย. 2557 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่มีคำสั่งปลดออกจากราชการ พร้อมเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เนื่องจากทำผิดวินัยทหาร ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ผิดกฎหมายบ้านเมือง หลังถูกดำเนินคดีฐานแอบอ้างสถาบันข่มขู่ทวงหนี้และอุ้มลดหนี้
ด้านคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ได้มีมติยึดทรัพย์สินของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์กับพวกเพิ่มเติมเป็นล็อตที่ 3 เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. โดยเป็นทรัพย์สินกว่า 3,000 รายการ กว่า 27,000 ชิ้น มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งหลังจากนี้ ปปง.จะให้เวลาเจ้าของทรัพย์นำหลักฐานยืนยันการได้มาของทรัพย์สินภายใน 90 วัน หากไม่มีหลักฐาน ปปง.จะนำทรัพย์ไปประมูลขายทอดตลาดเพื่อให้เงินตกเป็นของแผ่นดินต่อไป
ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. ตำรวจได้ขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก 9 คนกรณีเรียกรับสินบนเพื่อถอนอายัดบัญชีผู้ต้องหาเครือข่ายพนันบอลออนไลน์อาบูบาก้า ที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์กับพวกรวม 5 รายได้ถูกออกหมายจับก่อนแล้ว สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 9 ราย เป็นตำรวจสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ประกอบด้วย พ.ต.อ.อธิป แท่นนิล ผกก.ปพ.บก.ป. ,พ.ต.อ.วัชรพล ทองล้วน ผกก.5 บก.ป. ,พ.ต.อ.สุพัฒน์ ลิ้มอิ่ม ผกก.2 บก.ปอท. ,พ.ต.ท.ณภัค หรือพิพัฒน์ เฉวงราษฎร์ สว.กลุ่มงานสนับสนุนทางเทคโนโลยี บก.ปอท. ,พ.ต.ท.วัฒนา ผลงานดี สว.กก.2 บก.ป. ,พ.ต.ต.จักรพันธุ์ ลีลานันทวงศ์ สว.กก.1 บก.ป. ,พ.ต.ต.อภิสิทธิ์ เมฆประยูร สว.กก.ปพ.บก.ป. ,ร.ต.อ.นิธิพัฒน์ กังรวมบุตร รอง สว.กก.ปพ.บก.ป. และ ร.ต.อ.ศักดิ์นรินทร์ เกษรเทียน รอง สว.กก.4 บก.ปคม. ทั้งนี้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ได้มีคำสั่งให้ตำรวจทั้ง 9 นายออกจากราชการไว้ก่อนแล้ว
5.เงินบัญชี สจล.ล่องหน 1.6 พันล้าน พบ ผอ.คลัง-ผจก.แบงก์ยักยอก แต่เจ้าตัวยังปฏิเสธ ด้านอดีตอธิการฯ รีบปัดไม่เกี่ยว!
เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) ได้ออกแถลงการณ์เรื่องการตรวจพบความผิดปกติทางการเงินของ สจล.หลังตรวจสอบพบว่ามีเงินหายไปจากบัญชีกองกลาง 1,600 ล้านบาท โดยเงินฝากในบัญชีถูกถอนอย่างผิดปกติตั้งแต่ปลายปี 2555 จึงได้ขอให้ตำรวจเข้ามาสืบสวนสอบสวนเพื่อหาผู้กระทำผิดแล้ว
ด้านนายถวิล พึ่งมา อดีตอธิการบดี สจล. เผยว่า ตนเข้ารับตำแหน่งอธิการบดี สจล.เดือน ส.ค.2555 ยืนยันว่า ขณะนั้นไม่ได้มีสิ่งผิดสังเกตเรื่องการเบิกจ่ายเงิน โดยตนออกจากตำแหน่งอธิการบดีตั้งแต่เดือน พ.ย.2556 และเกษียณอายุราชการตั้งแต่เดือน ก.ย.2557
วันต่อมา(23 ธ.ค.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้นำทีมตำรวจแถลงผลการจับกุมนายทรงกลด ศรีประสงค์ อายุ 40 ปี ผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาบิ๊กซีศรีนครินทร์ และ น.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ อายุ 56 ปี ผู้อำนวยการส่วนการคลัง สจล. ในข้อหาปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม รวมทั้งร่วมกันลักทรัพย์ โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 1 ต.ค. น.ส.อำพร ได้ทำเรื่องถอนเงินของสถาบันที่ฝากไว้กับธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จำนวน 50 ล้านบาท และเงินของสถาบันที่ฝากไว้กับธนาคารกรุงไทย สาขานิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง จำนวน 30 ล้านบาท รวมเป็น 80 ล้านบาทออกไป โดยอ้างว่าจะนำไปฝากรวมกับบัญชีของสถาบันอีกบัญชีหนึ่ง เนื่องจากดอกเบี้ยสูงกว่าเดิม โดยนำไปฝากที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาบิ๊กซีศรีนครินทร์ ซึ่งมีนายทรงกลดเป็นผู้จัดการสาขาอยู่
ต่อมาทางสถาบันตรวจสอบพบว่า ไม่มีการนำเงินเข้าบัญชีตามที่ น.ส.อำพรอ้างแต่อย่างใด ส่วนรายการยอดเงินในบัญชี ก็เป็นรายการปลอมที่ทำขึ้นเพื่อหลอกว่าเงินยังอยู่ในบัญชีเท่านั้น เมื่อ สจล.ตรวจสอบย้อนหลังตั้งแต่ปี 2555 ถึงปัจจุบัน จึงพบว่า มีเงินหายไปจากบัญชี 1,663 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นนายทรงกลดยังให้การภาคเสธ โดยยอมรับว่ารู้จัก น.ส.อำพร ในฐานะพนักงานธนาคารกับลูกค้ามานานร่วม 10 ปี และทำธุรกรรมให้ น.ส.อำพรด้วยความเชื่อใจ ไม่คิดว่าจะเกิดการทุจริต และว่า ขณะนี้ตนลาออกจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาบิ๊กซีศรีนครินทร์มา 2 เดือนแล้ว เนื่องจากไม่ผ่านทดลองงาน นายทรงกลด บอกด้วยว่า ก่อนหน้านี้ได้พบ น.ส.อำพรที่ธนาคารไทยพาณิชย์ที่ตนเคยทำงานอยู่ ซึ่งตอนนั้นตนยังเป็นพนักงานระดับเล็กๆ ส่วนสาเหตุที่ลาออกจากธนาคารไทยพาณิชย์มาทำที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากได้เงินเดือนสูงกว่า ไม่ได้มีปัญหาอะไรที่ธนาคารไทยพาณิชย์
ด้านนายผดุงศักดิ์ อ่อนละเอียด หลานชาย น.ส.อำพร ให้การกับตำรวจว่า น.ส.อำพรรู้จักนายทรงกลดมาประมาณ 2 ปี ตั้งแต่นายทรงกลดทำงานที่ธนาคารไทยพาณิชย์ โดยทั้งคู่สนิทสนมกัน และว่า ได้พูดคุยกับ น.ส.อำพรแล้ว ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ถูกนายทรงกลดหลอกลวงให้เซ็นเอกสารมาตลอด จึงเชื่อว่า น.ส.อำพรถูกหลอกใช้ เพราะระยะหลังนายทรงกลดเข้ามาตีสนิทและคลุกคลีกับครอบครัวบ่อยครั้ง เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านพักของ น.ส.อำพร ที่ย่านบางนา พบสมุดบัญชีเงินฝาก โฉนดที่ดิน ของบรรดาญาติของ น.ส.อำพรหลายรายการ แต่มีโฉนดที่ดิน 6 ไร่ ที่ จ.ฉะเชิงเทรา เป็นของ น.ส.อำพร รวมทั้งเอกสารการเป็นผู้จัดการมรดกอีกหลายฉบับ
สำหรับ น.ส.อำพรนั้น ขณะนี้รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งย่านบางนา เนื่องจากป่วยด้วยโรคเบาหวานและมีโรคแทรกซ้อนหลายโรค ทางตำรวจอยู่ระหว่างประสานเพื่อย้ายมารักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่
ทั้งนี้ ตำรวจตรวจสอบพบว่า มีการโอนเงินของ สจล.เข้าบัญชีอื่น 4 บัญชี โดยผู้ที่มีชื่อเป็นเจ้าของบัญชี ได้แก่ นายพูลศักดิ์ บุญสวัสดิ์ อายุ 26 ปี เป็นนักศึกษาปริญญาโทมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง แต่เจ้าตัวอ้างว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น โดยตนแค่เปิดบัญชีให้มีการโอนเงินเข้า 85 ล้านบาทตามที่เพื่อนร้องขอเท่านั้น ก่อนจะโอนเงินออกไปยังบัญชีอื่นอีก 3 บัญชี จนเหลือเงินในบัญชี 24 ล้าน
นอกจากนี้ผู้ที่มีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีที่มีเงินของ สจล.โอนเข้าอีก 2 คน คือ นายจริวัฒน์ สหพรอุดมการณ์ อายุ 31 ปี และนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ซึ่งเบื้องต้นตรวจสอบพบว่า นายกิตติศักดิ์ได้เดินทางออกจากประเทศไทยไปยังฮ่องกงเมื่อคืนวันที่ 23 ธ.ค.ที่ผ่านมา
1.ไทยคว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 สำเร็จ “ซิโก้” เผยเบื้องหลัง “ในหลวง” ทรงให้กำลังใจ ได้เงินอัดฉีดแล้ว 45 ล้าน!
เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. ได้มีการแข่งขันฟุตบอล “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014” รอบชิงชนะเลิศ นัดที่ 2 ที่สนามบูกิต จาลิล กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย หลังเกมนัดแรกมีขึ้นเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ที่สนามราชมังคลากีฬาสถานของไทย ซึ่งไทยยิงชนะมาเลเซียไป 2-0
สำหรับบรรยากาศการแข่งขันนัดสอง มาเลเซียได้ประตูนำไทยไปก่อน 2-0 ในครึ่งแรก ก่อนได้อีก 1 ลูกในครึ่งหลัง เป็น 3-0 แต่ไทยก็ตีไข่แตกโดยชาริล ชัปปุยส์ ก่อนที่ “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ จะทำประตูให้ไทยได้อีก 1 ลูก เป็น 3-2 ทั้งนี้ แม้เกมในนัดนี้ ไทยจะแพ้มาเลเซีย แต่เมื่อรวมผลทั้งสองนัด ไทยชนะมาเลเซีย 4-3 ทำให้ทีมช้างศึกของไทยทวงแชมป์อาเซียนในรอบ 12 ปี กลับคืนมาได้สำเร็จ รวมทั้งทำให้ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เฮดโค้ชทีมชาติไทย กลายเป็นคนแรกที่คว้าแชมป์ให้ไทยทั้งสมัยเป็นนักเตะและโค้ช ขณะที่ชนาธิป สรงกระสินธ์ คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวนาเมนต์ไปครอง
ด้าน “โค้ชซิโก้” เผยเบื้องหลังความสำเร็จครั้งนี้ว่า ระหว่างพักครึ่ง ที่มาเลเซียนำไทย 2-0 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งผ่านรองราชเลขาธิการที่โทรศัพท์จากประเทศไทยมาถึงนายเกษม จริยวัฒน์วงศ์ ผู้จัดการทีมชาติไทย เพื่อพระราชทานกำลังใจให้นักฟุตบอลไทยสู้ต่อ ทำให้ทุกคนมีกำลังใจสู้ จนกลับมายิง 2 ประตู คว้าแชมป์ได้ในที่สุด เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังคว้าแชมป์ “โค้ชซิโก้” ได้นำนักเตะทีมชาติไทยร้องเพลงสดุดีมหาราชาหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภายในห้องแต่งตัวนักเตะ พร้อมประกาศทูลเกล้าฯ ถวายถ้วยรางวัลชนะเลิศครั้งนี้แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
สำหรับการคว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ในครั้งนี้ สร้างความสุขและความประทับใจให้คนไทยเป็นอย่างมาก โดยทันทีที่ทัพนักกีฬาไทยเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.ปรากฏว่า ได้มีประชาชนเรือนแสนไปรอต้อนรับตลอดเส้นทางที่ขบวนนักกีฬาจะเดินทางผ่าน ตั้งแต่สนามบินดอนเมือง อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และสนามศุภชลาศัย
จากนั้นวันต่อมา(22 ธ.ค.) ทัพนักกีฬาไทยเดินทางไปลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่อาคารศิริราช 100 ปี โรงพยาบาลศิริราช ด้าน ศ.นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตรการแข่งขันตั้งแต่รอบชิงชนะเลิศนัดแรก มาจนกระทั่งนัดสอง และได้รับสั่งให้รองราชเลขาธิการโทรศัพท์ไปพระราชทานกำลังใจให้นักฟุตบอลไทยระหว่างพักครึ่งจริง โดยรับสั่งว่า “เราดูอยู่ และขอส่งกำลังใจไปให้” ซึ่งหลังจากทีมชาติไทยคว้าแชมป์สำเร็จ พระองค์ทรงแย้มพระสรวลและปลื้มพระทัยเป็นอันมาก
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้เปิดตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เลี้ยงต้อนรับนักฟุตบอลทีมชาติไทยและสต๊าฟโค้ชชุดคว้าแชมป์ “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014” เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. โดยมี “บังยี” วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และ “โค้ชซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง นำคณะนักเตะร่วมงาน ท่ามกลางสื่อมวลชนจำนวนมาก
โอกาสนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้มอบเงินอัดฉีดให้นักกีฬาและโค้ช 15 ล้านบาท โดยเป็นเงินจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ 5 ล้าน ,จากเครือเจริญโภคภัณฑ์(ซีพี) 5 ล้าน และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน) 5 ล้าน นอกจากนี้ยังได้รับเงินอัดฉีดจากหน่วยงานอื่นอีก 30 ล้าน ได้แก่ จากสมาคมฟุตบอลฯ และบริษัท โหลทอง โฮลดิ้ง จำกัด 25 ล้าน ,สยามพารากอน 1 ล้าน ,บมจ.สามารถ คอร์ปอเรชั่น 2 ล้าน ,สถานีโทรทัศน์ช่อง 7 มอบให้ 1 ล้าน และปูนอินทรีอีก 1 ล้าน รวมเป็น 45 ล้านบาท
2.กมธ.ยกร่าง รธน. ตีตกเลือกนายกฯ โดยตรง คงรูปแบบเดิม แต่เปิดทางคนนอกนั่งนายกฯ ได้ ปัดรองรับ “บิ๊กตู่”!
เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. คณะกรรมาธิการ(กมธ) ยกร่างรัฐธรรมนูญได้ประชุมพิจารณาข้อเสนอที่คณะกรรมาธิการด้านต่างๆ ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ส่งมอบให้เป็นนัดแรก โดยประเดิมพิจารณากรอบภาคการเมือง ก่อนได้ข้อสรุปเรื่องรูปแบบการเลือกนายกรัฐมนตรีว่า ให้คงรูปแบบการปกครองแบบรัฐสภาเช่นเดิม คือ นายกฯ ต้องมาจากการเลือกของสภาผู้แทนราษฎร ส่วนเหตุผลที่ไม่สามารถรับข้อคิดเห็นของ สปช.ที่เสนอให้เลือกนายกฯ โดยตรงได้ เพราะระบบรัฐสภาเป็นระบบที่คุ้นชินและสามารถแก้ปัญหาเป็นเรื่องๆ ได้ อย่างไรก็ตาม แม้จะเลือกนายกฯ แบบเดิม แต่จะมีการปรับเปลี่ยนบ้าง เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มการเมืองเดิมใช้อำนาจเสียงข้างมากคุมเสียงในสภาแบบเบ็ดเสร็จ
สำหรับตำแหน่งประธานสภานั้น มีข้อเสนอให้มาจากพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมาก ส่วนรองประธานสภาคนที่ 1 และ 2 อาจมาจากพรรคที่มีคะแนนรองลงมา เพื่อไม่ให้พรรคใดพรรคหนึ่งผูกขาด โดยการปฏิบัติหน้าที่ของประธานและรองประธานสภานั้น ต้องเป็นอิสระ ไม่อยู่ภายใต้มติพรรค ขณะที่ตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภา ให้มาจากพรรคฝ่ายค้าน เพื่อให้เกิดการถ่วงดุล ทั้งนี้ กมธ.ยกร่างฯ จะร่างรัฐธรรมนูญโดยคำนึงถึงรัฐธรรมนูญชั่วคราว มาตรา 35(4) ที่ห้ามบุคคลที่มีพฤติกรรมในทางทุจริตไม่ให้สามารถเข้าสู่การเมืองได้
วันต่อมา(24 ธ.ค.) กมธ.ยกร่างฯ ได้ประชุมเป็นนัดที่สอง โดยพิจารณาเรื่องระบบเลือกตั้งและผู้นำการเมืองที่ดี ก่อนมีมติให้ใช้ระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม คือให้สภามีผู้แทนจากการเลือกตั้งทั้งแบบแบ่งเขตและแบบสัดส่วน เพื่อให้เหมาะกับสภาพสังคมไทย โดยแบ่งสัดส่วน ส.ส. เป็นแบบแบ่งเขต 250 คน และแบบสัดส่วน 200 คน รวม 450 คน
พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เผยว่า ปัจจุบันมี 9 ประเทศที่ใช้ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม ได้แก่ เยอรมนี ,แอลเบเนีย ,โบลิเวีย ,ฮังการี ,อิตาลี ,เรโซโท ,เม็กซิโก ,นิวซีแลนด์ และเวเนซุเอลา โดยประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ 10 พร้อมชี้ข้อดีของระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมว่า เสียงของประชาชนจะไม่สูญเปล่า พรรคขนาดเล็กและขนาดกลางจะมีโอกาสได้รับเลือกตั้งมากขึ้น นอกจากนี้ กมธ.ยกร่างฯ ยังเห็นพ้องกันว่าให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการเลือกคณะรัฐมนตรี(ครม.) ขณะที่ผู้สมัคร ส.ส.ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง แต่สามารถสมัครเป็นกลุ่มได้
สำหรับที่มาของนายกรัฐมนตรีนั้น กมธ.ยกร่างฯ ได้ข้อสรุปเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.ว่า ให้นายกฯ มีที่มาเหมือนเดิม คือมาจากการเสนอชื่อโดย ส.ส. และให้ประธานสภาฯ เป็นผู้นำความกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และจะไม่บังคับให้นายกฯ ต้องมาจาก ส.ส.เท่านั้น เปิดช่องให้นายกฯ มาจากบุคคลภายนอกได้ เพื่อเป็นการป้องกันหากอนาคตเกิดวิกฤตทางการเมือง นอกจากนี้ยังให้นายกฯ อยู่ในวาระ 4 ปี และไม่เกิน 2 สมัย รวมทั้งมีอำนาจในการยุบสภาเหมือนเดิม
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเขียนรัฐธรรมนูญให้คนนอกนั่งนายกฯ ได้ เป็นการเปิดช่องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกฯ ต่อหรือไม่ นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ปฏิเสธว่า ไม่ใช่ โดยยืนยัน กมธ.ยกร่างฯ ไม่ได้เขียนกฎหมายเพื่อช่วยเหลือใครหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ต้องการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
ส่วนที่มาของสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) นั้น กมธ.ยกร่างฯ ได้ข้อสรุปว่า 1.ให้มี ส.ว.ไม่เกิน 200 คน 2.ให้ ส.ว.เป็นสภาพพหุนิยมและพหุอำนาจนิยม โดยเปรียบเป็นกระจกสะท้อนความหลากหลายจากทุกกลุ่มอำนาจที่มีอยู่จริงในสังคมไทย ไม่ใช้สะท้อนอำนาจของ ส.ส. 3.ส.ว.ต้องไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง และมีที่มา 5 ทาง ได้แก่ 1.มาจากอดีตผู้นำในอำนาจอธิปไตยทั้ง 3 ฝ่าย เช่น นายกรัฐมนตรี ,ประธานรัฐสภา และต้องมีคุณสมบัติไม่ขัดกับข้อกำหนด 2.มาจากอดีตข้าราชการระดับสูง 3.มาจากผู้แทนองค์กรวิชาชีพที่มีกฎหมายรองรับ 4.มาจากกลุ่มภาคประชาชน 5.มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม
สำหรับอำนาจของ สว.ที่เพิ่มเติมจากรัฐธรรมนูญ 2550 ได้แก่ 1.สามารถเสนอร่างกฎหมายได้ 2.ทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจากนายกรัฐมนตรีให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ก่อนจะนำความขึ้นกราบบังคมทูล 3.สามารถลงมติร่วมกับ ส.ส.กรณีถอดถอนนายกรัฐมนตรี ,รัฐมนตรี ,ส.ส.-ส.ว. และข้าราชการระดับสูง โดยให้ใช้คะแนนเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้ง 2 สภา ส่วนอำนาจและหน้าที่ของ ส.ว.ในการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่ง ,การอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลมติ และการตั้งกระทู้ถาม ยังคงไว้เช่นเดิม สำหรับวาระการดำรงตำแหน่งของ ส.ว.นั้น ยังไม่ได้ข้อสรุป แต่มีการหารือกันว่า ส.ว.ไม่ควรอยู่ยาว ควรมีวาระเพียง 3 ปีเท่านั้น โดยประเด็นนี้จะมีการหารือกันอีกครั้ง
ล่าสุด เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. ที่ประชุม กมธ.ยกร่างฯ ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ โดยในส่วนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ให้มี 5 คนเหมือนเดิม ให้ กกต.ทำหน้าที่เฉพาะควบคุมการเลือกตั้งให้สุจริตและเป็นธรรม และให้มีอำนาจให้ใบเหลืองหรือให้มีการเลือกตั้งใหม่ได้ ส่วนการให้ใบแดงหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้สมัครที่กระทำผิดนั้น ให้เป็นอำนาจของศาลที่จะเกิดขึ้นตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ
สำหรับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ให้มี 9 คนเหมือนเดิม แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะให้ดำรงแหน่ง 6 ปี หรือ 9 ปี ส่วนที่มีข้อเสนอให้ ป.ป.ช.สามารถฟ้องตรงไปยังศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ที่ประชุมเห็นควรให้คงเดิม คือ ให้ ป.ป.ช.ฟ้องผ่านอัยการสูงสุด ยกเว้นว่าเกินระยะเวลาที่กำหนดไว้ ให้ ป.ป.ช.ฟ้องโดยตรงเองได้ และยังให้คดีทุจริตมีอายุความต่อไป แต่จะยกเว้นการนับอายุความกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาในคดีนั้นหลบหนี
3.“บิ๊กตู่” ขู่ปิด นสพ.บางฉบับ อ้างด่าทุกวัน ด้าน ASTVผู้จัดการ ออกแถลงการณ์คืนความสุขให้ “บิ๊กตู่” ขณะที่ “สนธิ” ยันไม่ขายจิตวิญญาณสื่อ!
เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้กล่าวระหว่างแถลงผลงานรัฐบาลครบรอบ 3 เดือน โดยขู่จะปิดหนังสือพิมพ์บางฉบับ เพราะเขียนด่าตนทุกวัน ซึ่งตนทนมานานแล้ว “เดี๋ยวผมจะแจ้งเรื่องไปยังสมาคมสื่อดูซิว่า ไอ้หนังสือพิมพ์บางฉบับที่เขียนอยู่ทุกวัน ซึ่งผมก็ทนมานานแล้ว ติติงมันได้ทุกเรื่อง ทุกหน้ากระดาษ มันเป็นอะไร มันบ้าหรืออย่างไร ไม่ว่าใครเป็นก็ด่าเขาทั้งหมด มันดีตรงไหน ไอ้เจ้าของก็จะติดคุกตายมิตายแหล่อยู่แล้ว ผมไม่ได้อยากจะอุดหนุนหรอกนะหนังสือฉบับนี้ แต่เขาซื้อมาให้อ่าน ผมบางทีก็ไม่อยากอ่าน อ่านแล้วมันโมโห มันทำให้เสียกิริยาเสียมาดผู้นำหมด ขี้โมโห แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร พูดอย่างนี้ พรุ่งนี้ผมก็โดนสวนกลับมาอีก แต่คราวนี้ผมจะปิดจริงๆ ปล่อยแล้วก็ไม่ได้ ลามปามไปเรื่อย ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นผมจะเป็นไปทำไม จะมีกฎอัยการศึกไว้ทำไม เรามีไว้เพื่อให้เกิดความสงบ มีไว้ในเชิงสร้างสรรค์”
ด้านนายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสื่อในเครือ ASTVผู้จัดการ ได้ออกแถลงการณ์ในวันต่อมา(26 ธ.ค.) ถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ แสดงความไม่พอใจสื่อบางฉบับที่ติติงไม่ว่าใครจะเป็นนายกฯ พร้อมประกาศใช้กฎอัยการศึกจัดการว่า เชื่อว่า ASTVผู้จัดการน่าจะอยู่ในข่ายที่ถูกพาดพิงถึง ดังนั้นเพื่อสนองนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ ผู้บริหาร ASTVผู้จัดการจึงพร้อมจะคืนความสุขให้ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค.จนถึงสิ้นปี 2557 เป็นอย่างน้อย ด้วยการชื่นชม พล.อ.ประยุทธ์ ในทุกเรื่อง ทุกข่าว และอวยในวิสัยทัศน์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ทุกเรื่องที่ทำมา เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ หายเหนื่อยที่อุตส่าห์เสียสละเวลาเข้ามาแก้ปัญหาประเทศชาติ ไม่ว่านโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นการคืนความสุขให้ประชาชนอย่างแท้จริงหรือไม่ เราก็จะต้องทำให้คนที่ติดตามสื่อในเครือซาบซึ้งในความเสียสละของ พล.อ.ประยุทธ์ และจะได้ลดความโมโหลงเพื่อบุคลิกภาพที่ดีของ พล.อ.ประยุทธ์ จะได้ไม่เสียไป พร้อมย้ำว่า ท่าทีของ ASTVผู้จัดการที่กำลังจะคืนความสุขให้ พล.อ.ประยุทธ์ นี้ ถือเป็นการมอบของขวัญปีใหม่ให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ เหมือนที่ พล.อ.ประยุทธ์ พยายามคืนความสุขให้สังคมไทย
นายจิตตนาถ ยังหวังด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะนำกฎอัยการศึกที่มีสิทธิเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปจัดการกับปัญหาสังคม เช่น การทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ,ราคายางตกต่ำ ,การหมิ่นสถาบัน ,การร่างรัฐธรรมนูญที่มีบางกลุ่มหมกเม็ดนิรโทษกรรมออกมา และบางคนที่หากินกับ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อการสืบต่ออำนาจ ต่อสายกับนักการเมือง จึงอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ นำกฎอัยการศึกไปจัดการกับคนพวกนั้น แทนที่จะเสียเวลานำมาใช้กับสื่อเล็กๆ อย่าง ASTVผู้จัดการที่เป็นสื่อของประชาชนที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อความถูกต้องและต่อสู้กับนักการเมืองที่ฉ้อฉลมาทุกรัฐบาล ทุกพรรค และต่อสู้กับพวกหมิ่นสถาบัน
ขณะที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการ และสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV หรือ NEWS1 ได้อวยพรปีใหม่และขอบคุณพี่น้องพันธมิตรฯ ที่สนับสนุนช่วยเหลือด้วยดี นายสนธิยังให้คำมั่นสัญญาด้วยว่า ASTV จะซื่อตรง มั่นคง และไม่เปลี่ยน และว่า ปีหน้าสื่อมวลชนจะเปลี่ยนไปอีกเยอะ คุณภาพจะด้อยลง เพราะทุกคนจะดิ้นรนหาทางเอาตัวรอดในสภาวะแบบนี้ให้ได้ ASTV ก็เช่นกัน แต่เราจะไม่ยอมขายจิตวิญญาณเพื่อผลประโยชน์ แต่เชื่อหลายๆ สื่อที่ไม่เคยลำบากหรือผ่านความทุกข์ยากเหมือน ASTV จะเริ่มขายจิตวิญญาณออกไป
นายสนธิ ยังชี้ด้วยว่า สื่อมวลชนเป็นกุญแจสำคัญของสังคม ถ้าสื่อมวลชนไม่สามารถให้ปัญญาคน หรือไม่กล้าให้ปัญญาคน สังคมจะไปไหนไม่รอด ตนในนามตัวแทนของ ASTV กล้าให้คำมั่นสัญญากับทุกท่านว่า เราจะยังคงยืนอยู่ที่เดิม คือ ยืนอยู่บนความถูกต้อง และจะเอาธรรมนำหน้าตลอด ธรรมคือสภาวะแห่งความเป็นจริง ดังนั้นจะเอาสภาวะความเป็นจริงมายื่นให้พี่น้องได้รับทราบกัน และเราจะไม่ถอยแม้แต่นิ้วเดียว จะลำบากแค่ไหน ก็จะยังชูธรรมนำหน้าตลอดเวลา ขอให้พ่อแม่พี่น้องมีสติมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว ใช้ปัญญาในการแก้ปัญหามากขึ้น อย่าหลงใหลไปกับกระแส เพราะกระแสส่วนใหญ่เป็นกระแสเพื่อสร้างภาพพจน์ แล้วในที่สุด เมื่อความจริงโผล่ขึ้นมา ตนกลัวว่าพ่อแม่พี่น้องจะช้ำใจ เราช้ำใจไปแล้วครั้งหนึ่งปีที่แล้ว อย่าต้องช้ำใจอีก แต่ตนมั่นใจว่า อยู่กับเราไม่มีวันช้ำใจ
4.ออกหมายจับ ตร.เครือข่าย “พงศ์พัฒน์” นับสิบนายเรียกสินบนพนันบอลออนไลน์ ด้าน ปปง.ยึดทรัพย์ “พงศ์พัฒน์” กับพวกอีกพันล้าน!
ความคืบหน้าการสอบสวนขยายผลเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ผบช.ก.) แอบอ้างเบื้องสูงกระทำความผิดหลายกรณี เช่น รับส่วยน้ำมันเถื่อน ข่มขู่เรื่องหนี้สิน ฯลฯ ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.ศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ กับพวกอีก 3 คน คือ พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรอง ผบช.ก. ,พ.ต.อ.วรพจน์ พืชผล อดีต ผกก.1 บก.ปอศ. ,พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี อดีตรอง ผกก.6 บก.ป. และนายวิฑูรย์ ตระการพฤกษ์ คนสนิท พล.ต.ต.โกวิทย์ ข้อหาเรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบจากโต๊ะพนันบอลออนไลน์
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. คณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงได้มีมติเห็นชอบให้ไล่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์กับพวกรวม 6 นายออกจากราชการ ประกอบด้วย พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรอง ผบช.ก. ,พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน อดีตผู้บังคับการตำรวจน้ำ ,พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ อดีต ผกก.4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ,ด.ต.สุรศักดิ์ จันทร์เงา อดีต ผบ.หมู่ กก.ปพ.บก.ป. คนขับรถ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ และ ด.ต.ฉัตรินทร์ เหล่าทอง อดีต ผบ.หมู่ กก.ปพ.บก.ป. คนขับรถ พล.ต.ต.โกวิทย์ เนื่องจากผลสอบพบว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดทำผิดวินัยร้ายแรงฐานหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ,เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่ง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ลงนามเห็นชอบให้ไล่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ กับพวกรวม 6 นายออกจากราชการแล้วเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. ส่วนการถอดยศและการขอคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้น จะมีการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ขณะที่เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ถอดยศทหาร ร.อ.ณัฐพล สุวะดี(อัครพงศ์ปรีชา) สังกัดหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์แล้ว มีผลตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย. 2557 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่มีคำสั่งปลดออกจากราชการ พร้อมเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เนื่องจากทำผิดวินัยทหาร ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ผิดกฎหมายบ้านเมือง หลังถูกดำเนินคดีฐานแอบอ้างสถาบันข่มขู่ทวงหนี้และอุ้มลดหนี้
ด้านคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ได้มีมติยึดทรัพย์สินของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์กับพวกเพิ่มเติมเป็นล็อตที่ 3 เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. โดยเป็นทรัพย์สินกว่า 3,000 รายการ กว่า 27,000 ชิ้น มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งหลังจากนี้ ปปง.จะให้เวลาเจ้าของทรัพย์นำหลักฐานยืนยันการได้มาของทรัพย์สินภายใน 90 วัน หากไม่มีหลักฐาน ปปง.จะนำทรัพย์ไปประมูลขายทอดตลาดเพื่อให้เงินตกเป็นของแผ่นดินต่อไป
ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. ตำรวจได้ขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก 9 คนกรณีเรียกรับสินบนเพื่อถอนอายัดบัญชีผู้ต้องหาเครือข่ายพนันบอลออนไลน์อาบูบาก้า ที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์กับพวกรวม 5 รายได้ถูกออกหมายจับก่อนแล้ว สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 9 ราย เป็นตำรวจสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ประกอบด้วย พ.ต.อ.อธิป แท่นนิล ผกก.ปพ.บก.ป. ,พ.ต.อ.วัชรพล ทองล้วน ผกก.5 บก.ป. ,พ.ต.อ.สุพัฒน์ ลิ้มอิ่ม ผกก.2 บก.ปอท. ,พ.ต.ท.ณภัค หรือพิพัฒน์ เฉวงราษฎร์ สว.กลุ่มงานสนับสนุนทางเทคโนโลยี บก.ปอท. ,พ.ต.ท.วัฒนา ผลงานดี สว.กก.2 บก.ป. ,พ.ต.ต.จักรพันธุ์ ลีลานันทวงศ์ สว.กก.1 บก.ป. ,พ.ต.ต.อภิสิทธิ์ เมฆประยูร สว.กก.ปพ.บก.ป. ,ร.ต.อ.นิธิพัฒน์ กังรวมบุตร รอง สว.กก.ปพ.บก.ป. และ ร.ต.อ.ศักดิ์นรินทร์ เกษรเทียน รอง สว.กก.4 บก.ปคม. ทั้งนี้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ได้มีคำสั่งให้ตำรวจทั้ง 9 นายออกจากราชการไว้ก่อนแล้ว
5.เงินบัญชี สจล.ล่องหน 1.6 พันล้าน พบ ผอ.คลัง-ผจก.แบงก์ยักยอก แต่เจ้าตัวยังปฏิเสธ ด้านอดีตอธิการฯ รีบปัดไม่เกี่ยว!
เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) ได้ออกแถลงการณ์เรื่องการตรวจพบความผิดปกติทางการเงินของ สจล.หลังตรวจสอบพบว่ามีเงินหายไปจากบัญชีกองกลาง 1,600 ล้านบาท โดยเงินฝากในบัญชีถูกถอนอย่างผิดปกติตั้งแต่ปลายปี 2555 จึงได้ขอให้ตำรวจเข้ามาสืบสวนสอบสวนเพื่อหาผู้กระทำผิดแล้ว
ด้านนายถวิล พึ่งมา อดีตอธิการบดี สจล. เผยว่า ตนเข้ารับตำแหน่งอธิการบดี สจล.เดือน ส.ค.2555 ยืนยันว่า ขณะนั้นไม่ได้มีสิ่งผิดสังเกตเรื่องการเบิกจ่ายเงิน โดยตนออกจากตำแหน่งอธิการบดีตั้งแต่เดือน พ.ย.2556 และเกษียณอายุราชการตั้งแต่เดือน ก.ย.2557
วันต่อมา(23 ธ.ค.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้นำทีมตำรวจแถลงผลการจับกุมนายทรงกลด ศรีประสงค์ อายุ 40 ปี ผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาบิ๊กซีศรีนครินทร์ และ น.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ อายุ 56 ปี ผู้อำนวยการส่วนการคลัง สจล. ในข้อหาปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม รวมทั้งร่วมกันลักทรัพย์ โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 1 ต.ค. น.ส.อำพร ได้ทำเรื่องถอนเงินของสถาบันที่ฝากไว้กับธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จำนวน 50 ล้านบาท และเงินของสถาบันที่ฝากไว้กับธนาคารกรุงไทย สาขานิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง จำนวน 30 ล้านบาท รวมเป็น 80 ล้านบาทออกไป โดยอ้างว่าจะนำไปฝากรวมกับบัญชีของสถาบันอีกบัญชีหนึ่ง เนื่องจากดอกเบี้ยสูงกว่าเดิม โดยนำไปฝากที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาบิ๊กซีศรีนครินทร์ ซึ่งมีนายทรงกลดเป็นผู้จัดการสาขาอยู่
ต่อมาทางสถาบันตรวจสอบพบว่า ไม่มีการนำเงินเข้าบัญชีตามที่ น.ส.อำพรอ้างแต่อย่างใด ส่วนรายการยอดเงินในบัญชี ก็เป็นรายการปลอมที่ทำขึ้นเพื่อหลอกว่าเงินยังอยู่ในบัญชีเท่านั้น เมื่อ สจล.ตรวจสอบย้อนหลังตั้งแต่ปี 2555 ถึงปัจจุบัน จึงพบว่า มีเงินหายไปจากบัญชี 1,663 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นนายทรงกลดยังให้การภาคเสธ โดยยอมรับว่ารู้จัก น.ส.อำพร ในฐานะพนักงานธนาคารกับลูกค้ามานานร่วม 10 ปี และทำธุรกรรมให้ น.ส.อำพรด้วยความเชื่อใจ ไม่คิดว่าจะเกิดการทุจริต และว่า ขณะนี้ตนลาออกจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาบิ๊กซีศรีนครินทร์มา 2 เดือนแล้ว เนื่องจากไม่ผ่านทดลองงาน นายทรงกลด บอกด้วยว่า ก่อนหน้านี้ได้พบ น.ส.อำพรที่ธนาคารไทยพาณิชย์ที่ตนเคยทำงานอยู่ ซึ่งตอนนั้นตนยังเป็นพนักงานระดับเล็กๆ ส่วนสาเหตุที่ลาออกจากธนาคารไทยพาณิชย์มาทำที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากได้เงินเดือนสูงกว่า ไม่ได้มีปัญหาอะไรที่ธนาคารไทยพาณิชย์
ด้านนายผดุงศักดิ์ อ่อนละเอียด หลานชาย น.ส.อำพร ให้การกับตำรวจว่า น.ส.อำพรรู้จักนายทรงกลดมาประมาณ 2 ปี ตั้งแต่นายทรงกลดทำงานที่ธนาคารไทยพาณิชย์ โดยทั้งคู่สนิทสนมกัน และว่า ได้พูดคุยกับ น.ส.อำพรแล้ว ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ถูกนายทรงกลดหลอกลวงให้เซ็นเอกสารมาตลอด จึงเชื่อว่า น.ส.อำพรถูกหลอกใช้ เพราะระยะหลังนายทรงกลดเข้ามาตีสนิทและคลุกคลีกับครอบครัวบ่อยครั้ง เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านพักของ น.ส.อำพร ที่ย่านบางนา พบสมุดบัญชีเงินฝาก โฉนดที่ดิน ของบรรดาญาติของ น.ส.อำพรหลายรายการ แต่มีโฉนดที่ดิน 6 ไร่ ที่ จ.ฉะเชิงเทรา เป็นของ น.ส.อำพร รวมทั้งเอกสารการเป็นผู้จัดการมรดกอีกหลายฉบับ
สำหรับ น.ส.อำพรนั้น ขณะนี้รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งย่านบางนา เนื่องจากป่วยด้วยโรคเบาหวานและมีโรคแทรกซ้อนหลายโรค ทางตำรวจอยู่ระหว่างประสานเพื่อย้ายมารักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่
ทั้งนี้ ตำรวจตรวจสอบพบว่า มีการโอนเงินของ สจล.เข้าบัญชีอื่น 4 บัญชี โดยผู้ที่มีชื่อเป็นเจ้าของบัญชี ได้แก่ นายพูลศักดิ์ บุญสวัสดิ์ อายุ 26 ปี เป็นนักศึกษาปริญญาโทมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง แต่เจ้าตัวอ้างว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น โดยตนแค่เปิดบัญชีให้มีการโอนเงินเข้า 85 ล้านบาทตามที่เพื่อนร้องขอเท่านั้น ก่อนจะโอนเงินออกไปยังบัญชีอื่นอีก 3 บัญชี จนเหลือเงินในบัญชี 24 ล้าน
นอกจากนี้ผู้ที่มีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีที่มีเงินของ สจล.โอนเข้าอีก 2 คน คือ นายจริวัฒน์ สหพรอุดมการณ์ อายุ 31 ปี และนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ซึ่งเบื้องต้นตรวจสอบพบว่า นายกิตติศักดิ์ได้เดินทางออกจากประเทศไทยไปยังฮ่องกงเมื่อคืนวันที่ 23 ธ.ค.ที่ผ่านมา