ASTVผู้จัดการรายวัน-กองปราบปรามเดินหน้าบุกค้นบ้าน “กิตติศักดิ์” ผู้ต้องหาเอี่ยวยักยอกเงิน สจล. 1,600 ล้าน พบโฉนดที่ดิน30แปลง ข้อมูลการโอนเงินเข้าบัญชีน้องสาว10กว่าล้านบาท และทรัพย์อื่นให้เครือญาติ เผยเร่งทำสำนวนส่งอัยการสูงสุดเพื่อประสานฮ่องกงส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน พร้อมส่งเจ้าหน้าที่ตรวจบ้านนางสมบัติ หลังพบสร้างบ้านใหญ่โต มีรถหรูขับ เตรียมเรียก "พิ้งกี้" ให้ปากคำในฐานะหุ้นส่วน บริษัท เคพีพี โปรดักชั่น จำกัด
จากกรณีการจับกุมนายทรงกลด ศรีประสงค์ อายุ 40 ปี ผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาห้างบิ๊กซี ศรีนครินทร์ และน.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ อายุ 56 ปี ผอ.ส่วนการคลัง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.)ที่ร่วมกันยักยอกเงินของ สจล. กว่า 1,600 ล้านบาท รวมทั้งมีการถ่ายโอนเงินไปยังบุคคลที่ 3 กระทั่งมีการขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับ นายพูลศักดิ์ บุญสวัสดิ์ นายจริวัฒน์ สหพรอุดมการ นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด และนางสมบัติ โสประดิษฐ์ กระทั่งสามารถดำเนินคดีกับผู้ต้องหาไว้ได้ 4 ราย ยกเว้นเพียงนายกิตติศักดิ์ และนางสมบัติ ที่ยังอยู่ระหว่างหลบหนี
วานนี้ (31 ธ.ค. ที่กองปราบปราม พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช ผกก1.บก.ป. กล่าวถึงความคืบหน้าว่า เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. ได้ส่งชุดทำงานไปตรวจสอบบ้านหลังหนึ่งในจังหวัดพิจิตร ซึ่งเป็นบ้านแม่ของนายกิตติศักดิ์ ภายหลังจากการเข้าตรวจค้นบ้านและที่ทำงานของนายกิตติศักดิ์ พบโฉนดที่ดินประมาณ 30 แปลง เป็นชื่อของแม่นายกิตติศักดิ์ ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูล พบว่า นายกิตติศักดิ์ ได้โอนถ่ายทรัพย์สินหลายอย่างไปให้ญาติพี่น้อง ล่าสุดตรวจสอบพบมีการโอนเงินไปให้น้องสาวอีกประมาณ 10 กว่าล้านบาทด้วย
สำหรับการติดตามตัวนายกิตติศักด์มาดำเนินคดี เจ้าหน้าที่กำลังหาช่องทางในการนำตัวกลับมาดำเนินการ เนื่องจากขณะนี้ นายกิตติศักดิ์ หลบหนีอยู่ที่ฮ่องกง ซึ่งต้องให้พนักงานสอบสวนทำสำนวนหมายจับส่งไปให้อัยการสูงสุด เพื่อประสานไปยังอัยการสูงสุดที่ฮ่องกง จากนั้นตำรวจที่ฮ่องกงถึงจะดำเนินการจับกุมตัวได้ตามขั้นตอน
พ.ต.อ.จิรภพ กล่าวว่า ส่วนผู้ต้องหารายอื่น เจ้าหน้าที่กำลังเร่งติดตามตัวอยู่ คาดว่ายังอยู่ในประเทศไทย และจะส่งชุดทำงานไปตรวจสอบบ้านของนางสมบัติที่จังหวัดเลย หลังจากพบว่ามีการสร้างบ้านมูลค่าหลายล้านบาท รวมทั้งรถสปอร์ตหรูที่นางสมบัติซื้อไว้ด้วย ส่วนจะมีการออกหมายจับเพิ่มหรือไม่นั้น ต้องมีแน่ โดยทางเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบเส้นทางการเงินที่มีการโอนเป็นก้อนใหญ่ๆ ก่อน แล้วค่อยเก็บรายย่อยๆ ทีหลัง ทั้งนี้ จะมีการนัดประชุมกันอีกครั้ง ในวันที่ 2 ม.ค.2558นี้
"ระหว่างนี้ ให้ชุดทำงานไปตรวจสอบตามจุดต่างๆ ที่ได้มอบหมายไปแล้ว ส่วนพิมพ์ดีดไฟฟ้าที่ตรวจค้นพบได้สั่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการส่งไปตรวจพิสูจน์ที่กองพิสูจน์หลักฐานว่าเกี่ยวข้องกับการปลอมแปลงบัญชีธนาคารหรือไม่ เพราะถือเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ" ผกก1 บก.ป.กล่าว
ด้าน พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข รอง ผบก.ป.หัวหน้าคณะทำงานสอบสวนคดีนี้ กล่าวว่า กำลังรวบรวมเอกสารต่างๆ ที่เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนไปตรวจค้นและยึดมาได้จากสถานที่ต่างๆ ของบ้านและที่ทำงานของผู้ต้องหา เพื่อมาตรวจสอบดูเส้นทางการเงินว่าโยงไปถึงผู้ใดบ้าง
ทั้งนี้ จากการสอบปากคำ น.ส.อำพร ไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร โดยน.ส.อำพร ให้การเพียงขั้นตอนต่างๆ ของการเซ็นเบิกถอนเงินเท่านั้น ไม่ได้พาดพิงถึงใคร
พ.ต.อ.ณษ กล่าวอีกว่า ในส่วนของ น.ส.สาวิภา ไชยเดช หรือพิ้งกี้ ดารานักแสดงที่มีชื่อร่วมหุ้นอยู่ในบริษัท เคพีพี โปรดักชั่น จำกัด ของนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับแล้ว แต่อยู่ระหว่างการหลบหนีอยู่นั้น ต้องเรียกมาสอบสวนตามกระบวนการแน่ แต่เท่าที่ทราบพิ้งกี้ เป็นแค่หุ้นส่วน ทางพนักงานสอบสวนยังไม่เรียกมาตอนนี้ ยังอีกไกล เพราะจุดหลักที่ต้องการ คือ รวบรวมพยานหลักฐานหาตัวหลักๆ ของกลุ่มผู้ต้องหาที่มีเงินโอนเข้าไปก่อน
ทางด้านนายคึกฤทธิ์ จันทิมา ผู้ช่วยผู้กำกับละคร ซึ่งเป็นหนึ่งในกรรมการผู้จัดการ บริษัท เคพีพี โปรดักชั่น จำกัด กล่าวว่า ขอยืนยันว่าน้องพิงกี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับกรณีการหายไปของเงินจำนวน 1,600 ล้านบาท ของสถาบันเทคโนโลยี
พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังอย่างแน่นอน ส่วนที่น้องพิงกี้มีชื่อเป็นผู้ร่วมถือหุ้นในบริษัท เป็นเพราะว่า เมื่อปี 2556 มีนักแสดงตัวประกอบคนหนึ่งชื่อ อ๊อพ ไม่ทราบชื่อ นามสกุลจริง แนะนำมาว่ารู้จักกับนายกิตติศักดิ์ ซึ่งสนใจอยากจะลงทุนทำละคร ตนจึงได้เริ่มติดต่อพูดคุยกับ นายกิตติศักดิ์ แต่ก็เฉพาะแค่เรื่องธุรกิจทำละครเท่านั้น จนกระทั่งตัดสินใจร่วมหุ้นจดทะเบียนก่อตั้งบริษัทเคพีพี โปรดักชั่น จำกัด โดยใช้ทุนในการจดทะเบียนเพียง 1 ล้านบาท เมื่อเดือนพ.ย.2556
"ผมเห็นว่าหากทำธุรกิจผลิตละคร จะต้องมีดารานักแสดงนำชื่อดังเป็นจุดขาย ซึ่งจะช่วยให้บรรดาสถานีโทรทัศน์ต่างๆ สนใจผลงานของบริษัท ผมจึงติดต่อไปยังน้องพิงกี้และคุณแม่ของน้อง ซึ่งผมสนิทกันเป็นการส่วนตัวให้มาร่วมหุ้นทำธุรกิจร่วมกันในลักษณะของหุ้นลม"
นายคึกฤทธิ์กล่าวว่า ภายหลังจากก่อตั้งบริษัทขึ้นมา ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา กลับยังไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก มีเพียงแค่การลงทุนซื้อบทประพันธ์เตรียมไว้ใชในการทำละคร 2 เรื่อง ใช้เงินลงทุนเพียง 2-3 แสนเท่านั้น ก่อนที่โครงการจะหยุดชะงักลง เนื่องจากน้องพิงกี้กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานในขณะนั้น ประกอบกับเป็นช่วงที่น้องพิงกี้เริ่มเบรกพักงานละคร จึงทำให้ผู้ร่วมถือหุ้นคนอื่นๆ หันมาหารือร่วมกันและพร้อมใจกันที่จะปิดบริษัทลงก่อนที่ตนจะมาทราบเรื่องคดีของนายกิตติศักดิ์และพวกในภายหลัง
ทั้งนี้ ศาลได้มีคำสั่งให้บริษัทเคพีพี โปรดักชั่น จำกัด ปิดตัวลงอย่างเป็นทางการในวันที่ 26 ม.ค.2558 ที่จะถึงนี้ สอดคล้องกับข้อมูลของชุดสืบสวนที่พบข้อมูลว่า นายกิตติศักดิ์มักจะชอบอ้างว่ารู้จักคนมีชื่อเสียงทั้งในวงการดาราและแวดวงไฮโซ อีกทั้งมักจะแอบอ้างกับผู้อื่นว่าเปิดบริษัทร่วมกับดาราดังเพื่อสร้างความน่าเชื่อถืออีกด้วย
จากกรณีการจับกุมนายทรงกลด ศรีประสงค์ อายุ 40 ปี ผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาห้างบิ๊กซี ศรีนครินทร์ และน.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ อายุ 56 ปี ผอ.ส่วนการคลัง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.)ที่ร่วมกันยักยอกเงินของ สจล. กว่า 1,600 ล้านบาท รวมทั้งมีการถ่ายโอนเงินไปยังบุคคลที่ 3 กระทั่งมีการขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับ นายพูลศักดิ์ บุญสวัสดิ์ นายจริวัฒน์ สหพรอุดมการ นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด และนางสมบัติ โสประดิษฐ์ กระทั่งสามารถดำเนินคดีกับผู้ต้องหาไว้ได้ 4 ราย ยกเว้นเพียงนายกิตติศักดิ์ และนางสมบัติ ที่ยังอยู่ระหว่างหลบหนี
วานนี้ (31 ธ.ค. ที่กองปราบปราม พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช ผกก1.บก.ป. กล่าวถึงความคืบหน้าว่า เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. ได้ส่งชุดทำงานไปตรวจสอบบ้านหลังหนึ่งในจังหวัดพิจิตร ซึ่งเป็นบ้านแม่ของนายกิตติศักดิ์ ภายหลังจากการเข้าตรวจค้นบ้านและที่ทำงานของนายกิตติศักดิ์ พบโฉนดที่ดินประมาณ 30 แปลง เป็นชื่อของแม่นายกิตติศักดิ์ ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูล พบว่า นายกิตติศักดิ์ ได้โอนถ่ายทรัพย์สินหลายอย่างไปให้ญาติพี่น้อง ล่าสุดตรวจสอบพบมีการโอนเงินไปให้น้องสาวอีกประมาณ 10 กว่าล้านบาทด้วย
สำหรับการติดตามตัวนายกิตติศักด์มาดำเนินคดี เจ้าหน้าที่กำลังหาช่องทางในการนำตัวกลับมาดำเนินการ เนื่องจากขณะนี้ นายกิตติศักดิ์ หลบหนีอยู่ที่ฮ่องกง ซึ่งต้องให้พนักงานสอบสวนทำสำนวนหมายจับส่งไปให้อัยการสูงสุด เพื่อประสานไปยังอัยการสูงสุดที่ฮ่องกง จากนั้นตำรวจที่ฮ่องกงถึงจะดำเนินการจับกุมตัวได้ตามขั้นตอน
พ.ต.อ.จิรภพ กล่าวว่า ส่วนผู้ต้องหารายอื่น เจ้าหน้าที่กำลังเร่งติดตามตัวอยู่ คาดว่ายังอยู่ในประเทศไทย และจะส่งชุดทำงานไปตรวจสอบบ้านของนางสมบัติที่จังหวัดเลย หลังจากพบว่ามีการสร้างบ้านมูลค่าหลายล้านบาท รวมทั้งรถสปอร์ตหรูที่นางสมบัติซื้อไว้ด้วย ส่วนจะมีการออกหมายจับเพิ่มหรือไม่นั้น ต้องมีแน่ โดยทางเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบเส้นทางการเงินที่มีการโอนเป็นก้อนใหญ่ๆ ก่อน แล้วค่อยเก็บรายย่อยๆ ทีหลัง ทั้งนี้ จะมีการนัดประชุมกันอีกครั้ง ในวันที่ 2 ม.ค.2558นี้
"ระหว่างนี้ ให้ชุดทำงานไปตรวจสอบตามจุดต่างๆ ที่ได้มอบหมายไปแล้ว ส่วนพิมพ์ดีดไฟฟ้าที่ตรวจค้นพบได้สั่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการส่งไปตรวจพิสูจน์ที่กองพิสูจน์หลักฐานว่าเกี่ยวข้องกับการปลอมแปลงบัญชีธนาคารหรือไม่ เพราะถือเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ" ผกก1 บก.ป.กล่าว
ด้าน พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข รอง ผบก.ป.หัวหน้าคณะทำงานสอบสวนคดีนี้ กล่าวว่า กำลังรวบรวมเอกสารต่างๆ ที่เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนไปตรวจค้นและยึดมาได้จากสถานที่ต่างๆ ของบ้านและที่ทำงานของผู้ต้องหา เพื่อมาตรวจสอบดูเส้นทางการเงินว่าโยงไปถึงผู้ใดบ้าง
ทั้งนี้ จากการสอบปากคำ น.ส.อำพร ไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร โดยน.ส.อำพร ให้การเพียงขั้นตอนต่างๆ ของการเซ็นเบิกถอนเงินเท่านั้น ไม่ได้พาดพิงถึงใคร
พ.ต.อ.ณษ กล่าวอีกว่า ในส่วนของ น.ส.สาวิภา ไชยเดช หรือพิ้งกี้ ดารานักแสดงที่มีชื่อร่วมหุ้นอยู่ในบริษัท เคพีพี โปรดักชั่น จำกัด ของนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับแล้ว แต่อยู่ระหว่างการหลบหนีอยู่นั้น ต้องเรียกมาสอบสวนตามกระบวนการแน่ แต่เท่าที่ทราบพิ้งกี้ เป็นแค่หุ้นส่วน ทางพนักงานสอบสวนยังไม่เรียกมาตอนนี้ ยังอีกไกล เพราะจุดหลักที่ต้องการ คือ รวบรวมพยานหลักฐานหาตัวหลักๆ ของกลุ่มผู้ต้องหาที่มีเงินโอนเข้าไปก่อน
ทางด้านนายคึกฤทธิ์ จันทิมา ผู้ช่วยผู้กำกับละคร ซึ่งเป็นหนึ่งในกรรมการผู้จัดการ บริษัท เคพีพี โปรดักชั่น จำกัด กล่าวว่า ขอยืนยันว่าน้องพิงกี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับกรณีการหายไปของเงินจำนวน 1,600 ล้านบาท ของสถาบันเทคโนโลยี
พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังอย่างแน่นอน ส่วนที่น้องพิงกี้มีชื่อเป็นผู้ร่วมถือหุ้นในบริษัท เป็นเพราะว่า เมื่อปี 2556 มีนักแสดงตัวประกอบคนหนึ่งชื่อ อ๊อพ ไม่ทราบชื่อ นามสกุลจริง แนะนำมาว่ารู้จักกับนายกิตติศักดิ์ ซึ่งสนใจอยากจะลงทุนทำละคร ตนจึงได้เริ่มติดต่อพูดคุยกับ นายกิตติศักดิ์ แต่ก็เฉพาะแค่เรื่องธุรกิจทำละครเท่านั้น จนกระทั่งตัดสินใจร่วมหุ้นจดทะเบียนก่อตั้งบริษัทเคพีพี โปรดักชั่น จำกัด โดยใช้ทุนในการจดทะเบียนเพียง 1 ล้านบาท เมื่อเดือนพ.ย.2556
"ผมเห็นว่าหากทำธุรกิจผลิตละคร จะต้องมีดารานักแสดงนำชื่อดังเป็นจุดขาย ซึ่งจะช่วยให้บรรดาสถานีโทรทัศน์ต่างๆ สนใจผลงานของบริษัท ผมจึงติดต่อไปยังน้องพิงกี้และคุณแม่ของน้อง ซึ่งผมสนิทกันเป็นการส่วนตัวให้มาร่วมหุ้นทำธุรกิจร่วมกันในลักษณะของหุ้นลม"
นายคึกฤทธิ์กล่าวว่า ภายหลังจากก่อตั้งบริษัทขึ้นมา ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา กลับยังไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก มีเพียงแค่การลงทุนซื้อบทประพันธ์เตรียมไว้ใชในการทำละคร 2 เรื่อง ใช้เงินลงทุนเพียง 2-3 แสนเท่านั้น ก่อนที่โครงการจะหยุดชะงักลง เนื่องจากน้องพิงกี้กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานในขณะนั้น ประกอบกับเป็นช่วงที่น้องพิงกี้เริ่มเบรกพักงานละคร จึงทำให้ผู้ร่วมถือหุ้นคนอื่นๆ หันมาหารือร่วมกันและพร้อมใจกันที่จะปิดบริษัทลงก่อนที่ตนจะมาทราบเรื่องคดีของนายกิตติศักดิ์และพวกในภายหลัง
ทั้งนี้ ศาลได้มีคำสั่งให้บริษัทเคพีพี โปรดักชั่น จำกัด ปิดตัวลงอย่างเป็นทางการในวันที่ 26 ม.ค.2558 ที่จะถึงนี้ สอดคล้องกับข้อมูลของชุดสืบสวนที่พบข้อมูลว่า นายกิตติศักดิ์มักจะชอบอ้างว่ารู้จักคนมีชื่อเสียงทั้งในวงการดาราและแวดวงไฮโซ อีกทั้งมักจะแอบอ้างกับผู้อื่นว่าเปิดบริษัทร่วมกับดาราดังเพื่อสร้างความน่าเชื่อถืออีกด้วย