คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1. “ในหลวง” รับสั่ง ครม.ใหม่ “ซื่อสัตย์-ทำเพื่อส่วนรวม”เพื่อประเทศก้าวหน้า ด้าน “ยิ่งลักษณ์” ปัด ตั้ง “นลินี” เอื้อ “ทักษิณ”!
เมื่อวันที่ 23 ม.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้นำรัฐมนตรีใหม่ที่ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรวม 16 ราย เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่ ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 14 โรงพยาบาลศิริราช โอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานแก่คณะรัฐมนตรี โดยขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และทำเพื่อส่วนรวม เพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศ “ท่านผู้เป็นรัฐมนตรี ได้กล่าวคำปฏิญาณนี้ ถือว่ามีความตั้งใจที่จะปฏิบัติงาน เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนทั้งหมด ขอให้รักษาความสัตย์นี้ด้วยความแข็งขัน เพื่อที่จะทำให้ประเทศก้าวหน้าและมีความปลอดภัยต่อไป การที่ท่านได้กล่าวปฏิญาณนั้นจึงมีความสำคัญ ขอให้ท่านตั้งใจปฏิบัติงานเพื่อส่วนรวม เพื่อให้ประเทศชาติมีความมั่นคง ซึ่งเป็นของสำคัญสำหรับประชาชนทั้งหมดทั้งมวล ขอให้ท่านได้รักษาคำปฏิญาณนี้ด้วยความเคร่งครัด และขอให้ท่านปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัด จะทำให้ท่านมีความพอใจในตัวเองและทำให้มีความสุข ทั้งชาติและประชาชน และตัวท่านเองก็จะมีความภูมิใจที่ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ด้วยความสามารถ”
เป็นที่น่าสังเกตว่า นางนลินี ทวีสิน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มีชื่อติดอยู่ในแบล๊กลิสต์ของสำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างชาติ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เนื่องจากเป็น 1 ใน 4 นักธุรกิจที่ให้การสนับสนุนและทำธุรกรรมการเงิน อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจอัญมณีกับประธานาธิบดีโรเบิร์ต มูกาเบ แห่งซิมบับเว และภรรยา ที่สหรัฐฯ และอีกหลายประเทศคว่ำบาตรอยู่ โดยห้ามนางนลินีเข้าประเทศและห้ามทำธุรกรรมกับพลเมืองสหรัฐฯ ก็ได้เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตนเช่นกัน โดยก่อนหน้าเข้าเฝ้าฯ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้นัดรัฐมนตรีใหม่ถ่ายรูปหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งนางนลินีได้พยายามเลี่ยงให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวกรณีถูกสหรัฐฯ ขึ้นแบล๊กลิสต์ โดยพยายามถือโทรศัพท์ไว้ตลอดเวลา เมื่อผู้สื่อข่าวตั้งท่าจะถาม นางนลินีก็จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคุย
อย่างไรก็ตาม นางนลินีได้เปิดแถลงที่พรรคเพื่อไทยก่อนหน้าเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตน 1 วัน(22 ม.ค.) โดยบอกว่า ตนได้รับการแนะนำให้รู้จักประธานาธิบดีมูกาเบและภริยาระหว่างเดินทางมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2545 และได้คุ้นเคยกันตั้งแต่นั้นมา แต่ยืนยันว่าเป็นความสัมพันธ์ทางสังคมไม่ใช่ธุรกิจ นางนลินียังบอกด้วยว่า หลังทราบประกาศของสำนักงานควบคุมทรัพย์สินของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ตนได้ให้สำนักงานกฎหมายในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ประเทศสหรัฐฯ ยื่นอุทธรณ์เพื่อไปชี้แจงข้อกล่าวหา แต่ไม่ได้รับการสนองตอบ ล่าสุด ตนจึงได้ให้อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานสืบสวนของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ(เอฟบีไอ) ทำหนังสือสอบถามเพื่อแก้ข้อกล่าวหาแล้ว นางนลินียังปฏิเสธด้วยว่า ตนไม่ได้อยู่ในบัญชีดำที่ถูกห้ามเข้าประเทศสหรัฐฯ โดยยังเดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้ พร้อมเชื่อว่า การทำงานหนักและตั้งใจทำงานเพื่อส่วนรวม จะเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวเองได้เป็นอย่างดี
ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาชี้แจงกรณีเชิญนางนลินีเข้าร่วม ครม.ว่า เพราะต้องการคนที่มีความรู้ความสามารถ ไม่ใช่เพื่อให้นางนลินีช่วยเคลียร์เรื่องธุรกิจในประเทศแถบแอฟริกาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายแต่อย่างใด
ขณะที่นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ออกมาชี้แจงกรณีที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ อ้างรายงานสำนักข่าวต่างประเทศว่า การตั้งนางนลินีเป็นรัฐมนตรีเพื่อให้นางนลินีใช้สายสัมพันธ์อันดีกับผู้นำแอฟริกามาช่วยแก้ปัญหาทางธุรกิจให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หลังบริษัท โกลเบิล พีเอส เทเลคอมอินเวสเม้นต์ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเจ้าของ ไปซื้อหุ้นในบริษัทมิรันดา เพื่อทำธุรกิจเหมืองแร่ แต่ต่อมาตลาดหลักทรัพย์ของแอฟริกาตรวจพบว่ามีความไม่โปร่งใส จึงสั่งยับยั้งการซื้อขายหุ้นนั้น ซึ่งนายนพดล ชี้แจงว่า ความจริงคือ พ.ต.ท.ทักษิณเคยไปลงทุนในบริษัทมิรันดาจริง แต่เล็กน้อยเท่านั้น โดยผ่านการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ แต่ต่อมาพบว่าผู้บริหารบริษัทมิรันดามีพฤติกรรมบางประการไม่โปร่งใส จึงได้ขายหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมดแล้ว นายนพดล ยังบอกด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณรู้จักผู้นำในแอฟริกามากกว่านางนลินี โดยรู้จักผ่านทางเวทีประชุมนานาชาติ เพราะเป็นผู้นำประเทศไทยถึง 6 ปี จึงไม่มีเหตุอันใดที่จะต้องตั้งนางนลินีเพื่อไปแก้ปัญหาตามที่โฆษกพรรคประชาธิปัตย์สร้างนิยายกล่าวหา กรุณาอย่าโยง พ.ต.ท.ทักษิณให้เสียหายด้วยความเท็จ
2. สังคมสวดยับ “นิติราษฎร์” เหิมเสนอแก้ ม.112 พ่วงแก้ รธน.ให้ “กษัตริย์”สาบานตนก่อนเข้ารับตำแหน่ง ด้าน “ประยุทธ์”ฮึ่ม พวกเนรคุณแผ่นดิน!
หลังจากกลุ่มนักวิชาการคณะนิติราษฎร์ ที่มีนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นแกนนำ ได้ออกมารณรงค์ให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งเป็นบทบัญญัติความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ พระราชินี และองค์รัชทายาท ซึ่งได้เกิดกระแสคัดค้านจากหลายฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตราดังกล่าว ปรากฏว่า ล่าสุด คณะนิติราษฎร์ได้เคลื่อนไหวให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเสนอให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย
โดยข้อเสนอดังกล่าวถูกเปิดเผยในงานอภิปรายหัวข้อ “ลบล้างผลพวงรัฐประหาร-นิรโทษกรรม-ปรองดอง” ซึ่งจัดโดยคณะนิติราษฎร์ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 22 ม.ค. สำหรับประเด็นสำคัญที่คณะนิติราษฎร์เสนอ นอกจากให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 แล้วร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยให้แต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำรัฐธรรมนูญนิติรัฐและประชาธิปไตยจำนวน 25 คนขึ้นมาวางกรอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญภายใน 30 วัน โดยไม่ต้องมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) แล้ว คณะนิติราษฎร์ยังเสนอแนวทางการแก้รัฐธรรมนูญด้วยว่า ควรจะมีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ศาล กองทัพ และสถาบันการเมือง โดยยืนยันว่า ทุกหมวดในรัฐธรรมนูญจะต้องแตะต้องได้ จากเดิมที่มีข้อห้ามเอาไว้
สำหรับการปฎิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น คณะนิติราษฎร์ บอกว่า พระมหากษัตริย์ต้องมีการสาบานตนก่อนเข้ารับตำแหน่ง “การปฏิรูปนั้น ประเทศไทยยังเป็นราชอาณาจักร ยังมีประมุขของรัฐ คือพระมหากษัตริย์ ...โดยกำหนดให้ประมุขของรัฐจะต้องสาบานตนว่า จะปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและพิทักษ์รัฐธรรมนูญก่อนเข้ารับตำแหน่ง” ส่วนการปฏิรูปศาลนั้น คณะนิติราษฎร์เสนอให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้กำหนดตัวประธานศาล หรือประธานศาลจะต้องได้รับการเสนอชื่อโดยคณะรัฐมนตรี และต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา เช่นเดียวกับการปฏิรูปกองทัพ ที่คณะนิติราษฎร์เสนอว่า ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งผู้บัญชาการเหล่าทัพ ฯลฯ
นอกจากนี้คณะนิติราษฎร์ยังเสนอให้มีการยกเลิกองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน โดยอ้างว่าเป็นองค์กรที่มาจากคณะรัฐประหาร ไม่มีสถานะตามบทบัญญัติของกฎหมาย รวมทั้งให้ยกเลิกหรือลบล้างพิพากษาที่มาจากผลพวงของการรัฐประหารด้วย เช่น คำพิพากษาที่เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวก พร้อมยืนยันว่า การเสนอเช่นนี้ไม่ได้ทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณแต่อย่างใด “เรื่องคุณทักษิณเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก และคุณทักษิณก็เป็นนายกฯ ได้ 50-60 ปี ก็เสียชีวิตแล้ว และหากคุณทักษิณมีปัญหา พวกเราจะจัดการคุณทักษิณเอง โดยเราเพียงต้องการให้อุดมการณ์ของนิติราษฎร์อยู่ไปยาวนาน”
เป็นที่น่าสังเกตว่า ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ ทั้งในแง่การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และการแก้รัฐธรรมนูญ โดยปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้เกิดกระแสคัดค้านอย่างกว้างขวางของประชาชนหลายจังหวัด เช่น นครราชสีมา ,ขอนแก่น ,ชัยภูมิ ฯลฯ ขณะที่นักการเมืองหลายพรรคต่างก็ประสานเสียงคัดค้านเช่นกัน ไม่เฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ แต่ยังมีพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา โดย พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ได้จี้ให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ พร้อมเตือนสตินักวิชาการในคณะนิติราษฎร์ว่า เป็นเด็กอายุเพียง 30-40 ปี ให้ไปศึกษาประวัติศาสตร์ในอดีตว่า กว่าจะเป็นประเทศต้องต่อสู้โดยพระมหากษัตริย์ เป็นแม่ทัพที่นำพาประเทศมาจนถึงปัจจุบันนี้ กลุ่มนิติราษฎร์จะทำอะไร ขอให้คิดเสียบ้าง
ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทนเสียงคัดค้านและความเชื่อมโยงระหว่างคณะนิติราษฎร์กับพรรคเพื่อไทยไม่ไหว จึงได้ออกมายืนยันว่า รัฐบาลจะไม่เข้าไปแก้ไขมาตรา 112 เพราะยังมีหน้าที่อื่นต้องทำ โดยเฉพาะการฟื้นฟูประเทศหลังน้ำท่วม ดังนั้นขอความร่วมมือกลุ่มนิติราษฎร์ให้ยุติการเคลื่อนไหว เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ก็ได้ออกมาค้านแนวคิดของคณะนิติราษฎร์เช่นกัน โดยยืนยันว่า มาตรา 112 ดีอยู่แล้ว ไม่มีทางที่รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยจะแก้ประมวลกฎหมายมาตรา 112 พร้อมแขวะคณะนิติราษฎร์ว่า เป็นพวกกินยาผิดซอง ไม่มีใครเอาด้วยแน่ “กินยาผิดซอง พวกเพ้อ ไม่มีใครเขาเอาด้วยหรอก โถบ้านเมืองร่มเย็นมาได้นับร้อยนับพันปีเพราะพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นจริงๆ เพราะพระปรีชาสามารถ ทุกอย่างดีหมดแล้ว แต่ไอ้พวกกินยาผิดซอง ร้องเพลงยิ่งยง ยอดบัวงาม นึกว่าตัวเองหล่ออย่างนั้นอย่างนี้ พวกนี้คิดอะไรอยู่ ไม่เข้าท่า ผมพูดไม่กลัวเป็นศัตรูกับพวกนิติราษฎร์ แต่ไม่มีสิทธิไปปราม ถ้าผิดกฎหมายก็ว่ากันไป พวกนี้บางครั้งคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น เก่งกว่าคนอื่น...”
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ก็สุดทนกับแนวคิดและข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ จึงได้ออกมาสั่งสอนนักวิชาการกลุ่มนี้ โดยย้อนถามว่า เคยได้ทำคุณประโยชน์อะไรให้กับแผ่นดินบ้างหรือไม่ เพียงแค่เรียนหนังสือจบมา แล้วเอาความรู้ต่างๆ เหล่านั้นมาเพื่อจะแก้โน่นแก้นี่ ยังไม่เคยลองปฏิบัติอะไรสักอย่าง ต้องเข้าใจว่าสถาบันทรงมีคุณค่าต่อแผ่นดินอย่างไร “ผมไม่สามารถไปบังคับใครได้ ถ้าพูดแรงไปก็จะหาว่าไปบังคับหรือผูกขาดความจงรักภักดี ไม่ใช่ แต่ต้องการให้ทุกคนระลึกอยู่เสมอว่าบ้านเมืองมีชื่อเสียง เกียรติยศในโลกนี้ ส่วนใหญ่ที่รู้จักประเทศไทย รู้จักมาจากสถาบันก่อนทั้งสิ้น ท่านทรงครองราชย์ เสด็จแปรพระราชฐาน เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมเยียนประเทศต่างๆ จนเขารู้จักประเทศไทยตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ และถึงวันนี้ไม่รู้ว่าใครมาจากไหนเหมือนกัน ชาติ ตระกูลเกิดประเทศไทยหรือไม่ไม่รู้ ถ้าท่านพูดจาแรง พูดไม่ดีต่อสถาบัน ผมจำเป็นต้องใช้คำพูดที่ไม่ดีกับท่าน เพราะท่านไม่เคยสำนึกในผืนแผ่นดินไทยเลย...”
ด้านนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และแกนนำคณะนิติราษฎร์ ไม่สนกระแสคัดค้านการเสนอแก้มาตรา 112 โดยออกมาอ้างว่า การเสนอให้แก้มาตราดังกล่าว ไม่ได้เกี่ยวกับคณะนิติราษฎร์แล้ว เพราะเป็นการรณรงค์ของคณะกรรมการรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 หรือ ครก.112 ซึ่งเป็นเรื่องที่ดำเนินการโดยกลุ่มนักวิชาการ นักคิด นักเขียน และภาคประชาชน ที่จะเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายไปยังรัฐสภา หากฝ่ายการเมืองไม่เห็นด้วย ก็เป็นเรื่องของฝ่ายการเมือง หากเข้าสภาแล้วไม่เห็นด้วย สุดท้ายร่างกฎหมายดังกล่าวก็จะตกไป
เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้คณะนิติราษฎร์จะอ้างว่าไม่เกี่ยวข้องกับการรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 แล้ว แต่เว็บไซต์ของคณะนิติราษฎร์ยังรณรงค์และโน้มน้าวให้ประชาชนร่วมลงชื่อสนับสนุนแก้ไขมาตรา 112 อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งประกาศเดินหน้าล่าชื่อให้ครบ 10,000 ชื่อเพื่อเสนอแก้มาตราดังกล่าวต่อไป พร้อมย้ำว่า ข้อเสนอทุกข้อของคณะนิติราษฎร์เป็นเรื่องที่วางอยู่บนหลักวิชาการและอำนาจตามกฎหมาย ส่วนมาตรา 112 ก็เป็นเพียงบทบัญญัติหนึ่งเท่านั้นของกฎหมายอาญา เมื่อประชาชนเห็นปัญหา ย่อมเป็นสิทธิโดยชอบที่จะเสนอรัฐสภาเพื่อแก้ไข
ด้านพรรคเพื่อไทยดูเหมือนกลัวว่าสังคมจะไม่เชื่อว่าพรรคไม่หนุนแก้มาตรา 112 จึงได้ออกแถลงการณ์ย้ำจุดยืนและท่าทีของพรรคต่อมาตราดังกล่าวเมื่อวันที่ 27 ม.ค. โดยบอกว่า “พรรคเพื่อไทยเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และพรรคไม่มีนโยบายและแนวคิดที่จะแก้ไขมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา” อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลหนุนแก้รัฐธรรมนูญ 2550 โดยยืนยันจุดยืนเดิมให้แก้ไขมาตรา 291 เพื่อให้มีการตั้ง ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน 77 จังหวัด และนักวิชาการด้านต่างๆ อีก 22 คน แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ทันในสมัยประชุมนี้หรือไม่
3. โปรดเกล้าฯ 4 พ.ร.ก.กู้เงินแล้ว ด้าน “ปชป.-ส.ว.” คาใจรัฐบาล เตรียมยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ 4 พ.ร.ก.ขัด รธน.หรือไม่!
ความคืบหน้าเกี่ยวกับร่าง พ.ร.ก.กู้เงิน 4 ฉบับ ประกอบด้วย พ.ร.ก.ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน หรือ พ.ร.ก.โอนหนี้ที่รัฐบาลโอนหนี้ของกองทุนฟื้นฟูฯ ไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทยดูแล ,พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ วงเงิน 3.5 แสนล้านบาท ,พ.ร.ก.กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ และ พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย โดยคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมินเสียงคัดค้านที่หลายฝ่ายเสนอให้ออกเป็น พ.ร.บ.เพื่อให้ผ่านสภา เนื่องจากไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นเร่งด่วนถึงขั้นต้องออกเป็น พ.ร.ก. ประกอบกับ พ.ร.ก.หลายฉบับจะก่อปัญหาตามมา แต่ ครม.ก็ไม่สน เดินหน้าไฟเขียวออกเป็น พ.ร.ก. แล้วทูลเกล้าฯ ขึ้นไป ในที่สุด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ลงมา และมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 26 ม.ค.
ด้านนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เผยว่า ตามหลัก เมื่อมีการลงพระปรมาภิไธยแล้ว นายกรัฐมนตรีจะนำร่าง พ.ร.ก.ทั้ง 4 ฉบับประกาศในราชกิจจานุเบกษา จากนั้นจะทำหนังสือถึงประธานสภาฯ ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดว่า ประธานสภาฯ ต้องนำเข้าบรรจุเป็นวาระในโอกาสแรก “ผมคาดว่าจะได้รับเรื่องจากนายกฯ วันจันทร์ที่ 30 ม.ค. ซึ่งเมื่อได้รับเรื่องแล้วจะเซ็นบรรจุเป็นวาระในการประชุมสภาฯ วันพุธหน้า(1 ก.พ.) หรือไม่ก็อย่างช้าที่สุดในวันพุธสัปดาห์ถัดไป”
อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายไม่เห็นด้วยกับการออก พ.ร.ก.4 ฉบับดังกล่าว เพราะบางฉบับอาจขัดรัฐธรรมนูญ จึงได้เตรียมยื่นเรื่องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องนี้แล้ว โดยในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ ของพรรค ได้เตรียมยื่นคำร้องต่อประธานสภาฯ ในวันที่ 30 ม.ค.นี้ เพื่อส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พ.ร.ก.ทั้ง 4 ฉบับชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยเฉพาะ พ.ร.ก.ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนฟื้นฟูฯ และ พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท เนื่องจากไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการออกเป็น พ.ร.ก. และว่า “พ.ร.ก.ดังกล่าวทำลายความเชื่อมั่นมากกว่าส่งเสริมความเชื่อมั่นประเทศ เพราะนักลงทุนต่างประเทศมองว่ารัฐแทรกแซงธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และขอบคุณนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีคลัง ที่ออกมาแสดงความเห็นตรงกับพรรคประชาธิปัตย์หลายเรื่อง ความเห็นของนายธีระชัยจะอยู่ในสำนวนที่พรรคยื่นตีความด้วย โดยเฉพาะการให้ข้อมูลสัดส่วนภาระหนี้ต่องบประมาณของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลังต่อ ครม.ไม่ตรงความจริงและบิดเบือน จะเป็นประเด็นที่มีผลต่อการตีความว่าการออก พ.ร.ก.เป็นเรื่องเร่งด่วนหรือไม่”
นายกรณ์ ยังเชื่อด้วยว่า รัฐบาลรีบหาทางลัดในการออก 4 พ.ร.ก.ดังกล่าวเพื่อหนีการตรวจสอบ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจเผด็จการฝ่ายบริหารในการดำเนินการ ส่วนผลกระทบที่จะเกิดจากการออก พ.ร.ก.ทั้ง 4 ฉบับนั้น นายกรณ์ บอกว่า ในส่วนของ พ.ร.ก.ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนฟื้นฟูฯ รัฐบาลต้องตอบคำถามประชาชนเกี่ยวกับหลักประกันสถาบันคุ้มครองเงินฝากสำหรับบัญชีออมทรัพย์ 60 กว่าล้านบัญชี ที่รัฐบาลกำลังผลักภาระดอกเบี้ยให้ประชาชน เพราะธนาคารพาณิชย์จะจัดเก็บค่าธรรมเนียมจากประชาชนเพื่อนำมาใช้หนี้ ธปท.แน่ ส่วน พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท นายกรณ์ ก็ยืนยันว่าไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ส่วนที่รัฐบาลอ้างข้อจำกัดทางกฎหมายทำให้ต้องกู้นอกงบประมาณ ก็ไม่เป็นความจริง เพราะยังมีขีดความสามารถในการกู้เงินภายในงบประมาณได้ถึง 5.5 แสนล้านบาท สำหรับ พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยนั้น นายกรณ์ แฉว่า เป็นการบังคับให้ ธปท.พิมพ์เงิน 3 แสนล้านบาทให้กู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแทนรัฐบาล แต่สร้างภาวะเงินเฟ้อ ซึ่ง ธปท.ต้องออกพันธบัตรดูดซับเงินกลับถือเป็นภาระ
ขณะที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลอาจจะกู้เงินมากว่า 3.5 แสนล้าน เพราะจ้องแปรรูป ปตท. และการบินไทยอีก และว่า รัฐบาลใช้วิกฤตอุทกภัยครั้งนี้กู้เงินเพื่อนำมาถลุง จึงมีคนตั้งข้อสังเกตว่า อุทกภัยที่ผ่านมา รัฐบาลจงใจหรือไม่ อีกทั้งสถานการณ์น้ำปี 2555 ก็ยังน่าห่วง เพราะปริมาณน้ำในเขื่อนยังเก็บที่ร้อยละ 90 เพื่ออะไร มีข่าวลือว่ารัฐบาลมีการตั้งนอมินีมารอเพื่อหักหัวคิวร้อยละ 5-10 แล้ว
ด้าน ส.ว.นำโดยนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ก็เตรียมรวบรวมรายชื่อ ส.ว.เพื่อยื่นต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การออก พ.ร.ก.ทั้ง 4 ฉบับดังกล่าวขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ในวันที่ 31 ม.ค.นี้
ส่วนท่าทีของนักวิชาการและฝ่ายต่างๆ ในสังคมนั้น สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) โดยนายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง ของทีดีอาร์ไอ ก็เห็นเช่นกันว่า พ.ร.ก.ดังกล่าวอาจขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรค 2 ที่ระบุว่า การตรา พ.ร.ก. จะกระทำได้ต่อเมื่อ ครม.เห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ พ.ร.ก.ดังกล่าวนอกจากไม่เร่งด่วนแล้ว ยังสามารถหลีกเลี่ยงโดยใช้วิธีอื่นได้
ขณะที่นายพิสิฐ ลี้อาธรรม คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ก็ชี้ว่า การออก พ.ร.ก.ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ควรออกเป็น พ.ร.บ.มากกว่า เพื่อให้มีการถกเถียงต่อสาธารณะในวงกว้าง ไม่ใช่ใครนึกอยากจะทำอะไรก็ทำ คงไม่ถูกต้อง
4. สยองรับตรุษจีน พลุฉลองมังกรสวรรค์สุพรรณบุรีบึ้มสนั่น ดับ 4 เจ็บกว่า 70 บ้านเรือนเสียหายกว่า 700 หลัง!
เมื่อวันที่ 24 ม.ค. เวลาประมาณ 19.30น.ได้เกิดเหตุพลุระเบิดระหว่างการจัดงาน “ตรุษจีนสุพรรณบุรี ปีทองมังกรสวรรค์” บริเวณอุทยานมังกรสวรรค์ ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ต.รั้วใหญ่ อ.เมืองสุพรรณบุรี ทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 70 ราย ทั้งนี้ ประกายไฟที่เกิดจากการระเบิดของพลุได้ลุกลามเผาไปทั่วงาน รวมทั้งกระเด็นตกใส่หลังคาบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหายกว่า 700 หลัง ขณะที่รัศมีความเสียหายจากพลุที่ระเบิดกินบริเวณกว้างกว่า 1 กม.
หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญผู้ที่ควบคุมการจัดงานมาสอบปากคำ ประกอบด้วย นายศุภวัฒน์ จงศิริ หรือศุภักษร ประธานกรรมการบริษัท คอมอาร์ต โปรดักชั่น จำกัด ที่รับจัดงานตรุษจีนสุพรรณบุรี ,นายสายธาร แผนดี ทีมงานผู้ดูแลการจัดงานและเป็นเจ้าของพลุ ซึ่งทำสัญญากับบริษัท คอมอาร์ตฯ และนายสยาม สาระพัน ผู้รับผิดชอบการจุดพลุ
พ.ต.อ.สุทธิ พวงพิกุล รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุพรรณบุรี เผยว่า “จากการสอบสวนเบื้องต้นพบมูลความผิด จึงแจ้งข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นแก่นายสายธารและนายสยาม เนื่องจากเป็นผู้ดูแลเรื่องพลุโดยตรง โดยทั้งสองให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำการโดยประมาท แต่หากพบความผิดอื่นด้วยก็จะแจ้งข้อหาเพิ่มเติมอีก ส่วนนายศุภวัฒน์ เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาแต่อย่างใด” ทั้งนี้ หลังแจ้งข้อกล่าวหาแล้วเสร็จ เจ้าหน้าที่ได้ปล่อยตัวทั้งสองไป โดยนัดให้มาให้ปากคำอีกครั้งในวันที่ 1 ก.พ.นี้
พ.ต.อ.สุทธิ เผยด้วยว่า จากการสอบสวนทราบว่า ขณะเกิดเหตุนายสายธารอยู่ด้านหน้าเวที ส่วนนายสยามอยู่บริเวณที่จุดพลุอีกจุดหนึ่ง ซึ่งไม่เกิดระเบิด สำหรับบริเวณที่จุดพลุมีทั้งหมด 3 จุด ส่วนพลุที่จุดมีจำนวน 400 นัดต่อวัน ขณะที่งานจัดทั้งหมด 6 วัน รวมพลุที่ใช้ทั้งหมด 2,400 นัด แต่วันเปิดงานมีการแสดงชุดพิเศษ จึงมีการสำรองพลุไว้อีก 500 นัด เพื่อป้องกันพลุเสื่อมสภาพ แต่ไม่ได้นำพลุที่จะจุดในงานทั้งหมดมากองไว้ที่สถานที่จุดพลุหรือจุดที่เกิดระเบิดขึ้นแต่อย่างใด ส่วนสาเหตุที่ทำให้พลุระเบิดนั้น พ.ต.อ.สุทธิ บอกว่า “คาดว่า เกิดจากพลุน็อก คือพลุไม่ได้ระเบิดบนฟ้าตามปกติ แต่ระเบิดบริเวณปากกระบอกที่ใช้จุดหรือระเบิดในระยะที่ต่ำ ทำให้สะเก็ดไฟกระเด็นไปโดนวัตถุสิ่งของอื่นๆ ก่อนเกิดระเบิดอย่างรุนแรง”
เป็นที่น่าสังเกตว่า เหตุพลุระเบิดไม่ได้สร้างความเสียหายแก่บริเวณศาลเจ้าพ่อหลักเมืองแต่อย่างใด โดยยังคงมีประชาชนทยอยเดินทางมากราบไหว้บูชาเทพเจ้าเนื่องในเทศกาลตรุษจีนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่รูปปั้นมังกรสวรรค์ได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย โดยหนวดมังกรด้านขวาและไฟเบอร์ที่สร้างเป็นเมฆใต้มังกรแตกเสียหายจากแรงระเบิด ซึ่งนายพนมบุตร จันทรโชติ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร บอกว่า หลังเกิดเหตุต้องปิดปรับปรุง คาดว่าจะเปิดบริการได้ตามปกติในวันที่ 29 ม.ค.นี้
ด้านนายสมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี บอกว่า ได้ส่งช่างโยธากว่า 70 คนเข้าไปประเมินความเสียหายจากพลุระเบิดแล้ว โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือทรัพย์สินและตัวอาคาร ส่วนงานยังคงมีการจัดต่อไปจนถึงวันที่ 29 ม.ค.เพราะเหลือเพียง 3 วันก็สิ้นสุดงานแล้ว นายสมศักย์ เผยด้วยว่า “วันนี้(27 ม.ค.)จ่ายให้ชาวบ้านหลังละ 5 หมื่นบาทจำนวน 150 หลัง เพื่อช่วยเหลือเบื้องต้นก่อน ด้านทรัพย์สินทางฝ่ายผู้รับจัดงานเป็นผู้จ่าย ส่วนอาคารบ้านเรือนทั้งหมด มูลนิธิศาลเจ้าพ่อเป็นผู้จ่าย ซึ่งวันนี้มีมาแจ้งแล้ว 600 หลังคาเรือน”
ทั้งนี้ เหตุพลุระเบิดที่เกิดขึ้นสร้างความหวาดผวาแก่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก โดยชาวบ้านหลายคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “หากมาจุด(พลุ)อีก จะเผามังกรทันที เพราะตอนนี้ทุกคนนอนไม่หลับ เสียงยังก้องอยู่ในหู และผวากันหมดแล้ว”