xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 16-21 ม.ค.2555

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. โปรดเกล้าฯ ครม.“ยิ่งลักษณ์ 2” แล้ว “ณัฐวุฒิ” ขึ้นแท่น รมต. ขณะที่สหรัฐฯ แฉ “นลินี” ติดแบล๊กลิสต์!
นางนลินี ทวีสิน ได้นั่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ทั้งที่มีชื่อติดแบล๊กลิสต์ห้ามเข้าประเทศสหรัฐฯ
หลังทำงานได้เพียง 4 เดือน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ได้ฤกษ์ปรับ ครม.แล้ว โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ลงมาเมื่อวันที่ 18 ม.ค. ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ครม.ยิ่งลักษณ์ 2 มีการปรับรัฐมนตรีเดิมออก 10 คน และสลับตำแหน่ง 6 คน รวมปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีทั้งหมด 16 ตำแหน่ง

สำหรับรัฐมนตรีที่ถูกปรับออก ประกอบด้วย นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่มีข่าวก่อนหน้านี้ว่าไม่เห็นด้วยที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ปรากฏว่า ถูกปรับพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ,พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ พ้นจากรองนายกรัฐมนตรี ,น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ พ้นจากรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ,นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ พ้นจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ,นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ พ้นจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ,นายพิชัย นริพทะพันธุ์ พ้นจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ,นางบุญรื่น ศรีธเรศ พ้นจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ,นายสุรพงษ์ อึ้งอำพรวิไล พ้นจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ,นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น พ้นจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ,นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล พ้นจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

ส่วนรัฐมนตรีที่มีการปรับย้ายกระทรวง ประกอบด้วย นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง โยกจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ไปเป็นรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ,นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ โยกจากรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไปเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข , พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา โยกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไปเป็นรองนายกรัฐมนตรี ขณะที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ตท.10 เพื่อนร่วมรุ่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โยกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ,นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ โยกจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ,นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล โยกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ไปเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

สำหรับรัฐมนตรีหน้าใหม่มี 10 คน ประกอบด้วย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ,นางนลินี ทวีสิน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี , นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตผู้บริหารเครือชินคอร์ป ได้เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ,นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ,นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ,นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม , นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ อดีตผู้บริหารบริษัทไทยคม ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ,นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ,นายศักดา คงเพชร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่ในวันจันทร์ที่ 23 ม.ค.นี้ เวลา 17.30น. ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 14 โรงพยาบาลศิริราช

สำหรับโฉมหน้า ครม.ยิ่งลักษณ์ 2 ไม่เพียงถูกหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็น ครม.ต่างตอบแทน หรือ ครม.ครอบครัวดูไบ เพราะตั้งผู้ที่ใกล้ชิดและทำประโยชน์ให้ตระกูลชินวัตรเป็นหลัก แต่รัฐมนตรีหน้าใหม่บางคนยังมีปัญหาถูกทางการสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำ(แบล๊กลิสต์) ห้ามเข้าประเทศ และห้ามทำธุรกรรมใดใดกับพลเมืองสหรัฐฯ ด้วย นั่นคือ นางนลินี ทวีสิน ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ส่วนสาเหตุที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำนั้น สำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างชาติของกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ระบุว่า นางนลินีเป็น 1 ใน 4 นักธุรกิจที่ให้การสนับสนุนอย่างลับๆ แก่ระบอบการปกครองที่มีการคอร์รัปชั่นมากที่สุดชาติหนึ่งในภูมิภาคแอฟริกา โดยสนับสนุนการทำธุรกรรมการเงิน อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจอัญมณีในนามนางเกรซ มูกาเบ ภรรยาประธานาธิบดีโรเบิร์ต มูกาเบ แห่งซิมบับเว (ที่สหรัฐฯ และอีกหลายประเทศคว่ำบาตรอยู่)

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามเรื่องนี้จากนางนลินี ปรากฏว่า เจ้าตัวบอกเพียงว่า เป็นเรื่องเข้าใจผิด ไม่มีอะไร ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ช่วยการันตีว่า ได้มีการตรวจสอบเบื้องต้นแล้วว่า คุณสมบัติของนางนลินีเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ขณะที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อ้างว่า การที่นางนลินีมีชื่ออยู่ในบัญชีของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เป็นคนละเรื่องกับบัญชีบุคคลต้องห้ามเข้าประเทศสหรัฐฯ (แบล๊กลิสต์) อย่างไรก็ตาม สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้ออกมายืนยันว่า นางนลินีมีชื่อติดอยู่ในแบล๊กลิสต์จริง ซึ่งรายชื่อในแบล๊กลิสต์ดังกล่าวไม่มีกำหนดหมดอายุ

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ได้จี้ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทบทวนความเหมาะสมในการตั้งนางนลินีเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หลังทางการสหรัฐฯ ยืนยันว่านางนลินีมีชื่อติดอยู่ในแบล๊กลิสต์จริง “นายกฯ ควรแสดงจุดยืนว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร จะยังยืนยันให้นางนลินีเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ และคงต้องไปตรวจสอบความสัมพันธ์ด้วยว่าทำไมนางนลินีถึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรี รวมถึงต้องดูบทบาทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจในแอฟริกาว่าเป็นอย่างไร เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณก็ทำธุรกิจกับประเทศในแถบดังกล่าวเช่นกัน”

ขณะที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ก็จี้ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ทบทวนการตั้งนางนลินีเป็นรัฐมนตรีเช่นกัน หาไม่แล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเป็นนายกฯ คนแรกของประเทศไทยที่นำคนถูกแบล๊กลิสต์เข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณตน ซึ่งในอดีตเคยมีการยับยั้งรายชื่อบุคคลที่ถูกทางการสหรัฐฯ ขึ้นแบล๊กลิสต์มาแล้ว

ด้านกลุ่มการเมืองสีเขียว(Green Politics) ที่มีนายสุริยะใส กตะศิลา เป็นผู้ประสานงาน ได้ส่งตัวแทนเข้ายื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อให้ตรวจสอบปัญหาคุณสมบัติและจริยธรรมของนางนลินี ทวีสิน ที่ติดแบล๊กลิสต์ของสหรัฐฯ แต่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.และผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย แต่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งขอให้ตรวจสอบการกระทำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ในฐานะผู้ตรวจสอบคุณสมบัติและผู้นำรายชื่อรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ ว่ากระทำการขัดประมวลจริยธรรมและขัดระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ซึ่งนายประวิช รัตนเพียร ผู้ตรวจการแผ่นดิน บอก จะรีบตรวจสอบ พร้อมคาด อย่างเร็วน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 30-60 วัน

2. ตร. ยังไม่ตั้งข้อหา “อาทริส” ก่อการร้าย แม้พบสารประกอบระเบิดย่านมหาชัย แต่ออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการเพิ่ม!

นายอาทริส ฮุสเซน ผู้ต้องหาชาวเลบานอน
ความคืบหน้ากรณีสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาออกประกาศเตือนให้ชาวอเมริกันในกรุงเทพฯ ระวังเหตุวินาศกรรม เพราะมีผู้ก่อการร้ายต่างชาติเดินทางเข้าไทยและเตรียมก่อเหตุในวันที่ 13-15 ม.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีซึ่งกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รีบแถลงว่าเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมนายอาทริส ฮุสเซน ชาวเลบานอน ผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายกลุ่มเฮซบอลเลาะห์ได้แล้ว และเตรียมปล่อยตัวกลับประเทศ หลังนายอาทริสยอมรับว่ามีแผนก่อเหตุจริง แต่ได้ล้มเลิกแผนการไป เพราะทางการไทยรู้หมดแล้ว ขณะที่รัฐบาลไทยไม่พอใจที่สหรัฐฯ ออกประกาศเตือนพลเมืองของตน ทำให้อีกหลายประเทศออกประกาศเตือนตาม ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของไทยนั้น

ปรากฏว่า หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบปากคำนายอาทริสเพิ่มเติม ทราบว่ามีการซุกซ่อนวัตถุประกอบระเบิดไว้ที่อาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งที่ จ.สมุทรสาคร พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ จึงได้นำทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจไปปิดล้อมและตรวจค้นอาคารพาณิชย์ 3 ชั้น 2 คูหา บริเวณปากทางเข้าวัดกาหลง ริม ถ.พระราม 2 จ.สมุทรสาคร โดยนำนายอาทริสไปชี้จุดซุกซ่อนวัตถุประกอบระเบิดด้วย ทั้งนี้ จากการตรวจค้น พบแกลลอนขนาด 20 ลิตร บรรจุแอมโมเนียมไมเตรต 17 แกลลอน ,กล่องบรรจุปุ๋ยยูเรียอีกกว่า 400 กล่อง น้ำหนักประมาณ 1,000 กิโลกรัม ,รองเท้าแตะและพัดลมประมาณ 400 ตัว รายงานแจ้งว่า ปุ๋ยยูเรียและแอมโมเนียมไนเตรทที่พบ สามารถนำมาผลิตวัตถุระเบิดได้ประมาณ 4 ตัน!

ด้าน พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล บอกว่า เบื้องต้นได้แจ้งข้อหาความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ เนื่องจากพบสารเคมีต้องห้ามบางอย่าง ซึ่งผิดกฎหมาย และว่า จะยังไม่ผลักดันผู้ต้องหาออกนอกประเทศตอนนี้ เพราะจะต้องสอบสวนและแจ้งข้อหาก่อน เนื่องจากพบว่ายังมีผู้ร่วมขบวนการอีกหลายคน

พล.ต.ท.วินัย เผยด้วยว่า “จากการสืบสวนมีหลักฐานว่า นายอาทริสติดต่อบริษัทขนส่งและตู้คอนเทนเนอร์ไว้แล้ว เพื่อเตรียมส่งวัตถุประกอบระเบิดไปยังประเทศที่ 3 ซึ่งเราได้แจ้งประเทศที่ 3 ทราบแล้ว แต่คงไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ จะกระทบกับความมั่นคง”

ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาวอนประชาชนอย่าตื่นตกใจ ขณะนี้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ รวมทั้งได้เพิ่มกำลังในการดูแลพื้นที่สาธารณะต่างๆ แล้ว ขอให้ประชาชนมั่นใจในความปลอดภัย ทั้งนี้ จุดที่เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังเพราะถือเป็นจุดเสี่ยงก่อการร้าย ได้แก่ ถ.ข้าวสาร ,ซ.รามบุตรี ,ซ.สุขุมวิท 22 ,สถานทูตอิสราเอล และสถานทูตสหรัฐฯ

ด้าน พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยว่า จากการสอบปากคำนายอาทริสให้ความร่วมมืออย่างดี ส่วนผู้ที่ร่วมอยู่ในขบวนการมีทั้งชาวไทยและต่างชาติ พร้อมย้ำว่า จะยังไม่ตั้งข้อหาก่อการร้ายแก่นายอาทริส เพราะต้องสอบพยานเพิ่มเติม และต้องดูข้อกฎหมายด้วยว่าเข้าข่ายก่อการร้ายหรือไม่

ทั้งนี้ วันเดียวกัน(17 ม.ค.) ตำรวจกองปราบปรามได้นำตัวนายอาทริสไปขอฝากขังต่อศาลอาญาเป็นเวลา 12 วัน(17-28 ม.ค.) เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น พร้อมคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากพฤติการณ์ของผู้ต้องหากับพวกสังกัดองค์กรก่อการร้ายข้ามชาติหัวรุนแรง มุ่งกระทำต่อบุคคลต่างชาติ โดยเฉพาะชาติตะวันตกและอิสราเอลทั้งในและนอกราชอาณาจักร ก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อภาพลักษณ์ด้านเศรษฐกิจและความสงบเรียบร้อย ประกอบกับคดีอยู่ระหว่างสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน และผู้ต้องหาเป็นบุคคลต่างด้าวไม่มีที่อยู่และอาชีพเป็นหลักแหล่งในไทย เกรงว่าหากปล่อยตัวชั่วคราวจะหลบหนีไปสมคบกับพวกที่หลบหนีเพื่อก่อเหตุร้ายที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐอย่างร้ายแรงหรือไปข่มขู่และยุ่งกับพยานหลักฐานอื่น ด้านศาลพิจารณาคำร้องแล้ว อนุญาตให้ฝากขังได้ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงได้นำตัวนายอาทริสไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

ต่อมา ตำรวจได้ขอศาลออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการเพิ่มเติม คือ นายเปาโล หรือแซมมี่ แซม หรือเจมมี่ เปาโล หรือเจมส์ แซมมี่ เปาโล อายุ 40 ปี ชาวเลบานอน โดยระบุว่า เป็นบุคคลในภาพสเกตช์ตามที่พยานเห็นว่านายเปาโลอยู่กับนายอาทริสในอาคารพาณิชย์ที่ซุกซ่อนวัตถุประกอบระเบิด ด้านศาลได้อนุมัติหมายจับแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่ทราบว่านายเปาโลยังอาศัยอยู่ในไทยหรือไม่

อย่างไรก็ตาม เกิดความสับสนขึ้นเล็กน้อย เมื่อ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกมาปฏิเสธว่า นายเปาโลพักอยู่กับนายอาทริสจริง แต่ไม่ใช่คนเดียวกับในภาพสเกตช์ “นายเปาโลเป็นเพื่อนที่เช่าและอยู่บ้านเดียวกับนายอาทริส ที่ย่านมหาชัย จ.สมุทรสาคร เป็นคนละคนกับภาพสเกตช์ที่ พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาตินำมาแถลง ซึ่งคนดังกล่าวยังไม่ทราบชื่อ ต้องขอตรวจสอบบุคคลก่อนว่าเป็นใคร ชื่ออะไร ก่อนดำเนินการต่อไป”

ทั้งนี้ จากการสอบสวนนายอาทริส ทำให้ตำรวจทราบว่านอกจากอาคารพาณิชย์ย่านมหาชัยที่ผู้ต้องหาซุกซ่อนวัตถุประกอบระเบิดแล้ว ยังมีบ้านอีก 1 หลังที่ผู้ต้องหาเคยพักอยู่ก่อนหน้า ก่อนจะย้ายมาที่อาคารพาณิชย์ดังกล่าว แต่นายอาทริสจำไม่ได้ว่าบ้านหลังดังกล่าวอยู่ที่ใด โดยบอกเพียงว่าเป็นบ้านเดี่ยวสีขาว อยู่ไม่ห่างจากอาคารพาณิชย์ดังกล่าวมากนัก ซึ่งตำรวจใช้เวลาตามหาอยู่หลายรอบกว่าจะพบว่าเป็นทาวน์เฮาส์ชั้นเดียว เลขที่ 8/52 หมู่ 7 ต.ท่าทราย อ.เมืองสมุทรสาคร ปัจจุบันมีนายเฉลิม ฟุ้งเฟื่อง อาชีพขายข้าวแกง อาศัยอยู่กับครอบครัว 5 คน พร้อมเผยว่า นายอาทริสเป็นผู้มาขอเช่าด้วยตัวเอง ตั้งแต่ปลายปี 2552 โดยใช้ชื่อว่า “วิลเลียม” พอเดือน ส.ค.2553 ก็ย้ายออกไปอยู่อาคารพาณิชย์ที่ซุกซ่อนวัตถุประกอบระเบิด

ด้านนายปณิธาน วัฒนายากร อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาจี้ให้รัฐบาลเร่งตรวจสอบว่าสารแอมโมเนียมไนเตรทที่ตรวจพบจำนวนมากที่อาคารพาณิชย์ย่านมหาชัยจะถูกนำไปส่งปลายทางที่ประเทศใด เพราะถ้าตรวจสอบไม่ได้ อาจสมมติฐานได้ว่าจะใช้ก่อเหตุในประเทศไทย ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงต้องพยายามติดตามตัวกลุ่มประกอบวัตถุระเบิดให้ได้

นายปณิธาน ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า “สารก่อวัตถุระเบิดที่พบเป็นจำนวนมากนั้น อาจถูกนำไปใช้ในการวางระเบิดอาคารสูง เพราะถ้าเป็นการวางระเบิดพื้นราบ จะใช้เพียงไม่กี่แกลลอน หากย้อนดูประวัติศาสตร์การก่อการร้ายสากล จะพบว่าผู้ก่อการร้ายมีความพยายามวางระเบิดอาคารสูงของสหรัฐฯ มาแล้วในช่วง 10 ปีก่อนที่อาคารเวิลด์เทรดจะถูกโจมตีในเหตุการณ์ 9/11 โดยใช้รถบรรทุก 6 ล้อบรรจุระเบิดแล้วขับพุ่งชน ดังนั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของไทยจึงต้องเฝ้าระวังอาคารสูงที่อาจตกเป็นเป้าหมาย เช่น สถานทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ซึ่งอยู่บนอาคารสูงหลายชั้น และมีบ้านพักทูตอยู่บนนั้นด้วย หรือโบสถ์ใหญ่ๆ ในย่านถนนสุขุมวิท”

3. แกนนำพันธมิตรฯ ลั่น พร้อมปกป้องราชบัลลังก์ แฉ ระบอบทักษิณเตรียมทำสงครามใหญ่ล้มเจ้า ด้าน “สนธิ” จี้ทหารอย่านิ่งเฉย!

บรรยากาศตรุษจีน ปีใหม่ พันธมิตรฯ ช่วงเปิดใจแกนนำพันธมิตรฯ (20ม.ค.)
เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ได้มีการจัดงานตรุษจีน ปีใหม่ พันธมิตรฯ ที่ลานหน้าบ้านเจ้าพระยา ถ.พระอาทิตย์ โดยช่วงหนึ่งของงานได้มีการเสวนาเปิดใจแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้แก่ นายพิภพ ธงไชย ,นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ,พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่โทรศัพท์เข้ามาร่วมงาน

ทั้งนี้ นายพิภพ ธงไชย ได้กล่าวถึงการต่อสู้ของพันธมิตรฯ กับระบอบทักษิณ โดยเชื่อว่า การชุมนุมจะเกิดขึ้นอีกครั้งแน่ ขอให้พี่น้องพันธมิตรฯ เตรียมตัวออกมากอบกู้บ้านเมืองต่อสู้กับทุนสามานย์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะนำมายึดประเทศ “พ่อแม่พี่น้องครับ ขอให้มีความสุข ความเจริญ อดทน กล้าสู้ กล้าชนะ และรักษาบ้านเมืองไว้ให้ได้ครับ ปัญหาที่เราเผชิญอยู่ยังไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะขจัดปัญหาให้หมดไป แต่วันนี้เราต้องเตรียมทั้งสติ ปัญญา และความคิด ที่จะเตรียมกอบกู้บ้านเมือง เพราะถึงอย่างไรเราก็ไม่ยอมให้ทักษิณ ชินวัตร นำทุนสามานย์มายึดประเทศไทยได้ใช่มั้ยครับ”

ด้านนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แฉว่า ระบอบทักษิณกำลังทำสงครามใหญ่ คือสงครามล้มเจ้า โดยมีการวางกำลังไว้พร้อมทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งจ้างนักรบจากเขมรและเวียดนามไว้หลายพันคน “เขากำลังทำสงครามใหญ่ สงครามล้มเจ้า เขาทำภายนอกประเทศ เขาวางกำลังไว้ จักรภพ เพ็ยแข ใช่ไหม ใจ อึ๊งภากรณ์ ในประเทศเขาทำแล้ว และยังมีกลุ่มนิติราษฎร์อีก เขาเตรียมทำสงครามใหญ่กัน แล้วเขาไปจ้างนักรบจากดินแดนเขมร ดินแดนเวียดนามเอาไว้ 5,000 คน ที่ผมเอามาออก ASTV ผมให้เขาใส่ที่คลุมหน้ามาพูดเขมรให้ฟังเลย เขาชี้ให้เห็นว่าเขาต้องทำทุกอย่างเพื่อล้มเจ้าให้ได้ ผมถึงบอกว่าสงครามครั้งนี้เป็นสงครามชิงประเทศ ชิงราชบัลลังก์ ระหว่างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข กับการปกครองแบบสาธารณรัฐ มีประธานาธิบดีเป็นประมุข แล้วทักษิณก็วางมาดว่าคงจะเป็นตัวเขาล่ะมั้งเป็นประธานาธิบดี”

ขณะที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นอกจากเปิดใจแสดงความชื่นชมการชุมนุมของพันธมิตรฯ ที่ผ่านมาว่า ยิ่งใหญ่และเป็นการชุมนุมที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก คือ 384 วัน 384 คืนแล้ว ยังฝากให้ประชาชนทุกคนช่วยกันปกป้องราชบัลลังก์ด้วย “ขอฝากไปถึงประชาชนทั้งประเทศว่า การปกป้องราชบัลลังก์นั้น ไม่ใช่เอาแต่ตะโกนว่า ทรงพระเจริญ อย่างเดียว แต่ต้องออกมาทำงานด้วย ใช่หรือเปล่า ไม่ใช่ว่ารักพ่อแล้วอยู่บ้านเฉยๆ ...เพราะฉะนั้น บอกกันทั่วๆ ไปว่า คราวนี้เป็นคราวของประชาชนทุกคน รวมทั้งทหารหาญด้วย”

ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล ยืนยันอีกครั้งว่า ตนไม่เคยรับเงิน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรแต่อย่างใด พร้อมเผยด้วยว่า ตนเตรียมพร้อมทุกวินาทีที่จะออกมาต่อสู้เพื่อเป็นเสาค้ำพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ดำรงอยู่ “ผมเตรียมพร้อมทุกวินาทีที่จะออกมาต่อสู้ แล้วสู้ครั้งนี้ พี่น้อง ไม่ใช่มาประท้วงที่ถนน จะต้องสู้เพื่อยึดอำนาจรัฐเลย ต้องสู้เพื่อแตกหัก เพราะถ้าไม่แตกหักแล้ว พระเจ้าอยู่หัวไปไม่รอด ผมเป็นคนแรกที่บอกว่า ทหารเท่านั้นที่จะเป็นเสาค้ำพระเจ้าอยู่หัว แต่ถ้าทหารไม่สามารถจะค้ำได้ อีกไม่นานพวกเราคงต้องออกมาค้ำพระเจ้าอยู่หัว และถ้าออกมาครั้งนี้ ต้องชนะอย่างเด็ดขาด ไม่มีการตีงูให้กากิน แล้วก็ไม่มีการที่จะให้ไอ้พวกแมลงสาบมาตีกินพวกเราอีก ผมเชื่อว่าในที่สุดแล้วมีพลังของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะค้ำจุนประเทศชาติได้ ทหารอย่านั่งเฉย รีบออกมาปฏิวัติเสีย แล้วพันธมิตรฯ ทั่วประเทศจะออกมาร่วมกับทหารยึดประเทศไทยคืนจากไอ้พวกชั่วๆ”

4. “สุริยนต์” มอบตัวแล้ว ยอมรับเผาซากช้างจริง แต่ขอความเห็นสัตวแพทย์แล้ว ด้านอธิบดีอุทยานฯ คืนความเป็นธรรมให้ “ชัยวัฒน์”!

นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หน.อุทยานฯ แก่งกระจาน นำนายสุริยนต์ โพธิบัณฑิต(นั่ง) ผู้ช่วย หน.อุทยานฯ เข้ามอบตัวต่อตำรวจ(17 ม.)
ความคืบหน้าคดีฆ่าและเผาทำลายซากช้างป่าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ที่ตำรวจจับกุมลูกจ้างอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน 4 คนหลังมีพยานยืนยันว่าเป็นผู้เผาซากช้างที่ถูกยิงเสียชีวิตและเริ่มเน่าแล้ว ขณะที่นายสุริยนต์ โพธิบัณฑิต ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ตกเป็นผู้ต้องหาเผาซากช้างดังกล่าวด้วย โดยมีข่าวว่าจะเข้ามอบตัวในวันที่ 16-17 ม.ค. ส่วนนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้ถูกนายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สั่งให้ไปช่วยราชการที่กรมอุทยานฯ เพื่อรับผิดชอบกรณีที่ลูกน้องถูกตั้งข้อหาเผาทำลายซากช้างนั้น

ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 17 ม.ค.นายชัยวัฒน์ ได้นำนายสุริยนต์เข้ามอบตัวกับ พ.ต.อ.ต่อศักดิ์ นพแก้ว รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบุรี โดยมีประชาชน เจ้าหน้าที่ และพนักงานอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานกว่า 70 คนเดินทางมาให้กำลังใจ หลังเข้ามอบตัว นายสุริยนต์ เผยว่า ได้ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา พร้อมขอให้การในชั้นศาล ทั้งนี้ ยอมรับว่าเป็นผู้ลงมือเผาซากช้าง แต่ก่อนจะเผา ได้ประสานขอความเห็นจากนายสัตวแพทย์ภัทรพล มณีอ่อน นายสัตวแพทย์ปฏิบัติการของกรมอุทยานแห่งชาติฯ รวมทั้งแจ้งเป็นเอกสารต่อนายชัยวัฒน์ ณ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานไว้แล้ว

นายสุริยนต์ ยังเปิดใจด้วยว่า “ผมทำงานอุทยานฯ ปีนี้ปีที่ 15 แล้ว มีใจรักป่าไม้และสัตว์ป่า การล่าสัตว์ นำของป่าไปเป็นสมบัติส่วนตัว และการทำลายป่าไม่เคยมีอยู่ในหัว ผมหยิ่งในศักดิ์ศรีพอ ไม่เคยคิดทรยศอาชีพตัวเอง ครั้งนี้ยอมรับว่าผิดขั้นตอนที่ไม่แจ้งหน้าที่ปศุสัตว์และตำรวจมาตรวจที่เกิดเหตุ เพราะซากช้างเน่ามาก คิดแค่ว่า ต้องเร่งทำลายซาก เพราะอาจเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคไปยังแหล่งน้ำและชุมชน ไม่คิดว่าจะต้องความผิดด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เซ็งในชีวิตมาก ทำให้กำลังใจในการทำงานถดถอยลงไปเยอะ”

ด้านนายชัยวัฒน์ บอกว่า ฐานความผิดของนายสุริยนต์ถือว่าเป็นความผิดเล็กน้อย แค่บกพร่องในหน้าที่ เนื่องจากนายสุริยนต์ได้แจ้งเป็นเอกสารทุกขั้นตอนตั้งแต่เริ่มพบซากช้างจนถึงการเผา ทั้งนี้ หลังตำรวจนำตัวนายสุริยนต์ไปยื่นคำร้องขอฝากขังที่ศาลจังหวัดเพชรบุรี นายสุริยนต์ได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินราคาประเมิน 750,000 บาทขอประกันตัว ซึ่งศาลอนุญาตตามที่ขอ

ด้านนายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช หลังจากได้ลงพื้นที่ตรวจสอบจุดที่พบซากช้างป่าถูกยิงเสียชีวิตและจุดที่ช้างถูกเผา รวมทั้งได้ดูเอกสารที่ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานได้ทำบันทึกข้อความถึงหัวหน้าอุทยานฯ และนายสัตวแพทย์ภัทรพล ก่อนจะเผาซากช้างแล้ว ได้กล่าวในเวลาต่อมาว่า ตนจะคืนความเป็นธรรมให้กับนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ที่ถูกย้ายเข้ามาประจำกรมอุทยานฯ ตั้งแต่วันที่ 13 ม.ค.ให้กลับเข้าไปทำหน้าที่หัวหน้าอุทยานฯ แก่งกระจานในช่วงต้นเดือน ก.พ.นี้ เพราะนายชัยวัฒน์ไม่ได้มีความผิด ส่วนเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ที่ถูกดำเนินคดีเผาซากช้างก็สิ้นสุดกระบวนการของตำรวจแล้ว ต้องเข้าสู่กระบวนการทางศาลต่อไป โดยถูกผิดก็ว่ากันไปตามกฎหมาย แต่หน้าที่ในการรักษาอุทยานฯ แก่งกระจานยังต้องดำเนินต่อไป

นายดำรงค์ เล่าด้วยว่า “ตั้งแต่เกิดเรื่องกรณีการฆ่าช้าง และผมได้ย้ายนายชัยวัฒน์ออกจากพื้นที่ ได้มีนักการเมืองพยายามฝากเด็กของตัวเองให้เข้าไปเป็นหัวหน้าอุทยานฯ แก่งกระจาน แทนนายชัยวัฒน์ อย่างวันนี้มีนักวิ่งให้นักการเมืองโทรศัพท์เข้ามาขอเป็นหัวหน้าอุทยานฯ แก่งกระจานถึง 2 ราย เพราะคิดว่าเป็นหัวหน้าอุทยานฯ แก่งกระจานแล้วจะทำงานง่าย ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจผิด สถานการณ์อย่างนี้ต้องใช้คนอย่างนายชัยวัฒน์และทีมงาน เพราะเป็นคนในพื้นที่ มีการข่าวดีมาก ถ้าคนอื่นไปทำแทนรับรองป่าหมด สัตว์หมด เพราะไม่รู้สภาพพื้นที่”

นายดำรงค์ ยังเผยด้วยว่า หลังเกิดปัญหาช้างป่าอุทยานฯ แก่งกระจานถูกฆ่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงห่วงใยและติดตามสถานการณ์ช้างอย่างใกล้ชิด พร้อมกันนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานหนังสือสรุปพระราชดำริของพระองค์ในโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าสงวนแห่งชาติกุยบุรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาช้างป่าในอุทยานฯ แก่งกระจาน ความว่า “ให้ปลูกสับปะรดที่คุณภาพไม่จำเป็นต้องดีนัก สำหรับเป็นอาหารช้าง โดยที่ลูกค้าของสับปะรดคือช้าง เพื่อให้คนและช้างสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข โดยให้ชาวบ้านมาช่วยดูแลพืชอาหารช้าง พร้อมทั้งให้ค่าตอบแทนเขาด้วย ในลักษณะเป็นกองทุนอาหารช้าง ผู้ใจบุญจะร่วมบริจาคเงินหรืออาหารสดให้ช้างก็ได้” ทั้งนี้ นายดำรงค์ ย้ำว่า กรมอุทยานฯ พร้อมทำตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
กำลังโหลดความคิดเห็น