xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 9-15 ต.ค.2554

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าเฝ้าฯ เมื่อวันที่ 12 ต.ค.
คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. “ยิ่งลักษณ์” เครียด วิกฤตน้ำท่วม - “ในหลวง” ทรงแนะ เร่งระบายน้ำลงทะเล เปิด-ปิดประตูน้ำให้สัมพันธ์กับระดับน้ำทะเล ขณะที่ กทม. ยังลุ้น จม-ไม่จม!

สถานการณ์น้ำท่วมสัปดาห์ที่ผ่านมา วิกฤตอย่างมาก เนื่องจากหลายพื้นที่หลายจังหวัดประสบภาวะน้ำท่วมอย่างหนัก โดยหลังจากน้ำได้ทะลักเข้าท่วมนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนครที่ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยาเมื่อสัปดาห์ก่อน ปรากฏว่า นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ อ.อุทัย ก็ไม่รอดจากน้ำท่วมเช่นกัน หลังคันดินกั้นน้ำที่สูงถึง 6.50 เมตรได้พังทลายลงเพราะทนแรงดันน้ำไม่ไหว ส่งผลให้ทางนิคมอุตสาหกรรมฯ ต้องอพยพคน และประกาศหยุดงาน ทั้งนี้ ภายในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ มีโรงงานต่างๆ อยู่ถึง 234 แห่ง และมีพนักงานกว่า 1 แสนคน ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่อื่นๆ เช่น อ.มหาราช ,อ.บางปะหัน ,อ.พระนครศรีอยุธยา ต่างได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า โดยบางพื้นที่ระดับน้ำท่วมสูงถึง 5 เมตร

ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ตัดสินใจยกเลิกการเยือนประเทศมาเลเซียในวันที่ 11 ต.ค.และประเทศสิงคโปร์ในวันที่ 12 ต.ค. เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ประชุมศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.) เมื่อวันที่ 10 ต.ค. โดยได้ข้อสรุปว่า จะทำแนวคันกั้นน้ำใหม่ 3 จุดรอบ กทม.เพื่อป้องกันน้ำท่วม ได้แก่ 1.บริเวณหมู่บ้านเมืองเอก 2.บริเวณคลอง 5 รังสิต และ 3.เขตตลิ่งชัน ด้านหลังมหาวิทยาลัยมหิดล ส่วนที่มีผู้เสนอให้รัฐบาลประกาศให้วันที่ 12-14 ต.ค.เป็นวันหยุดราชการเพื่อให้ประชาชนเตรียมขนของหนีน้ำท่วม ก่อนที่น้ำเหนือจะเข้ากรุงในวันที่ 15 ต.ค. ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับน้ำทะเลหนุนสูง และฝนตกหนักระหว่างวันที่ 15-18 ต.ค.นั้น ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ไม่เห็นด้วย เนื่องจากนายกรัฐมนตรีต้องการให้ข้าราชการได้ช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ แต่หากใครประสบปัญหาก็อนุญาตให้หยุดได้ นอกจากนี้ ครม.ยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินภัยพิบัติ เพราะอาจกระทบต่อการท่องเที่ยวและทำให้ประชาชนตื่นตระหนกได้

นอกจากวิกฤตน้ำท่วมที่อยุธยาแล้ว ปรากฏว่าที่ จ.นครสวรรค์ก็วิกฤตไม่แพ้กัน หลังพนังกั้นน้ำพัง เพราะเรือชน ส่งผลให้มวลน้ำทะลักเข้าท่วมพื้นที่อย่างรวดเร็วเมื่อวันที่ 10 ต.ค. ซึ่งในเวลาต่อมา นายชัยโรจน์ มีแดง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ ต้องตัดสินใจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ประสบอุทกภัย พร้อมให้ประชาชนเร่งอพยพไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย

เป็นที่น่าสังเกตว่า วิกฤตน้ำท่วม ส่งผลให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ค่อนข้างเครียด ขนาดนายอนุสรณ์ อมรฉัตร สามี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังออกมายอมรับ(12 ต.ค.)ว่า หากตนจะคุยกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องสังเกตอารมณ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก่อน “ช่วงนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะบ่นให้ฟังบ้างว่า การช่วยประชาชนที่น้ำท่วมไม่สามารถทำได้ทั่วถึง ซึ่งผมจะดูอารมณ์ก่อนว่า ในวันนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์กลับบ้านมา มีเหตุน้ำท่วมมากก็จะคุยให้น้อยลง อีกทั้งเวลามีเสียงโทรศัพท์มา น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ผวา เพราะโทรศัพท์เข้ามาส่วนใหญ่จะแจ้งว่าน้ำเข้าที่นี่-ที่นั่นแล้ว ยอมรับว่าตอนนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์มีอาการเครียดพอควร ผมพอจะช่วยได้ก็คือรับฟัง”

ทั้งนี้ ช่วงค่ำวันที่ 12 ต.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าเฝ้า ณ ห้องประชุมสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เผยในเวลาต่อมาว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งเรื่องน้ำว่าปีนี้น้ำมากจริงๆ และสร้างความเสียหายเป็นอันมาก ซึ่งพระองค์ทรงเป็นห่วงประชาชนที่เดือดร้อนจากอุทกภัย พร้อมกันนี้พระองค์ทรงให้ความสำคัญเรื่องการเร่งระบายน้ำลงทะเลทั้งด้านตะวันออกและตะวันตก รวมทั้งให้เร่งขุดลอกคลองระบายน้ำ “พระองค์ท่านยังให้หลักการในการระบายน้ำว่า สิ่งที่ดีที่สุดคือการระบายน้ำลงสู่ทะเล ดังนั้นการทำงานในส่วนของประตูเปิด-ปิดประตูระบายน้ำนั้น เป็นส่วนสำคัญต้องบริหารจัดการให้สัมพันธ์กับระดับน้ำทะเลขึ้นลง ซึ่งต้องใช้หลักการทำงานเปิด-ปิดประตูระบายน้ำให้เต็มที่”

วันต่อมา(13 ต.ค.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ตรวจสถานการณ์น้ำและสำรวจการระบายน้ำ ก่อนสรุปว่า จะมีการขุดลอกคลองหลักตั้งแต่ จ.ชัยนาทถึง จ.สมุทรสาคร เพื่อถ่ายน้ำลงสู่โครงการพระราชดำริคลองมหาชัย-คลองสนามชัย ซึ่งเป็นโครงการแก้มลิงที่เชื่อมกับทะเล ส่วนแม่น้ำท่าจีน จะให้กองทัพช่วยขุดเส้นทางลัดและติดตั้งเครื่องผันน้ำ เพื่อให้น้ำเดินทางลัดลงสู่ทะเลได้เร็วขึ้น โดยจะเร่งทำให้เสร็จภายใน 5 วัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังให้ความมั่นใจกับประชาชนด้วยว่า กทม.น่าจะปลอดภัยจากปัญหาน้ำท่วม “ในส่วนของ กทม.อยากให้ประชาชนสบายใจ เพราะทำแนวป้องกันอยู่ ซึ่งทาง กทม.ออกมายืนยันการดูแลเขตพื้นที่ กทม. สิ่งที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนคือ แนวกั้นน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาในฝั่งปทุมธานีและนนทบุรีให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ยืนยันว่าตอนนี้ใช้คำว่า กทม.ปลอดภัยได้ โดยเฉพาะส่วนที่อยู่ภายในแนวกั้นน้ำ ส่วนด้านนอกแนวกั้นน้ำอาจจะเจอน้ำบ้าง แต่ไม่ใช่น้ำในปริมาณสูง”

เป็นที่น่าสังเกตว่า ขณะที่รัฐบาลกำลังพยายามหาทางป้องกันน้ำท่วม กทม.ปรากฏว่า ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา น้ำก็ยังคงทะลักท่วมพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยหลังจากเข้าท่วมนิคมอุตสาหกรรมโรจนะแล้ว ก็ได้ทะลักเข้าท่วมนิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า(ไฮเทค) อ.บางปะอินเมื่อวันที่ 13 ต.ค. ก่อนทะลักเข้าท่วมนิคมอุตสาหกรรมบางปะอินในวันนี้(15 ต.ค.) ขณะที่วิกฤตน้ำท่วมเริ่มลามมาที่ จ.ปทุมธานี โดยน้ำได้เอ่อล้นท่วม อ.เมืองปทุมธานีแล้ว และหลายฝ่ายกำลังหวั่นว่าน้ำอาจทะลักเข้าท่วมนิคมอุตสาหกรรมนวนคร อ.คลองหลวง เป็นลำดับต่อไป โดยได้พยายามป้องกันอย่างเต็มที่

สำหรับการตั้งรับในส่วนของ กทม.นั้น ล่าสุด(15 ต.ค.) ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ได้แถลงแจ้งให้ประชาชนใน 27 ชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำอพยพมายังศูนย์พักพิงที่จัดไว้ให้ในพื้นที่ 22 เขต รวม 166 อาคาร เพื่อความปลอดภัยจากระดับน้ำที่เพิ่มสูงจนเกือบถึงแนวสูงสุดของคันกั้นน้ำ

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก เผยก่อนหน้านี้ว่า นายกรัฐมนตรีกำชับให้ป้องกันน้ำในพื้นที่ กทม. โดยตรวจดูความเรียบร้อยการสร้างแนวกั้น 3 แนว โดยได้เตรียมแผนสำรองไว้แล้ว หากแนวกั้นที่ 1 เสียหาย น้ำก็จะมาเจอกับแนวกั้นที่ 2 พร้อมกับเตรียมอพยพผู้คน ซึ่งแผนในขณะนี้คือทำแนวกั้นทีละแนว หากแนวไหนเกิดความเสียหาย ก็อพยพคนออกมา ต้องบล็อกทีละโซน แต่ยังเชื่อว่า กทม.ชั้นในน่าจะป้องกันเอาไว้ได้ และว่า ที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.) ประเมินว่า วันที่ 16 ต.ค.ระดับน้ำจะสูงที่สุด เพราะน้ำเหนือจะเริ่มไหลลงมา และน้ำทะเลจะหนุน แต่ต้องติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 13-19 ต.ค.

2. กองปราบฯ สั่งไม่ฟ้อง “พสิษฐ์” อ้าง ไม่มีพยานยันว่าเป็นมือถ่ายคลิปศาล รธน.-โพสต์ขึ้นยูทูบ โยนอัยการชี้ขาดอีกครั้ง!
นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการส่วนตัวประธานศาลรัฐธรรมนูญ
ความคืบหน้าคดีที่เลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ ได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม(บก.ป.) ว่า นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการส่วนตัวประธานศาลรัฐธรรมนูญ และ น.ส.ชุติมา หรือพิมพ์พิจญ์ แสนสินรังสี เจ้าหน้าที่ระดับ 3 หน้าห้องประธานศาลรัฐธรรมนูญ นำกล้องเว็บแคมไปซ่อนในห้องประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แล้วบันทึกภาพขณะตุลาการกำลังหารือกันในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยเป็นคลิปวิดีโอรวม 5 คลิป และมีการเผยแพร่ในระบบอินเตอร์เน็ตผ่านทาง “ยูทูบ” ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนสัญชาติสหรัฐฯ โดยผู้กระทำเจตนาให้มีการเผยแพร่ข้อมูลลับทางเครือข่ายดังกล่าวทั่วโลก ขณะที่ผู้ต้องหาได้รับการประกันตัวหลังตำรวจสอบสวนแล้วเสร็จ ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งนายพสิษฐ์ให้เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการปูนบำเหน็จให้คนที่เคยทำประโยชน์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทยนั้น

ล่าสุด มีรายงานแจ้งว่า พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม นำโดย พ.ต.อ.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต รองผู้บังคับการปราบปราม ได้นำสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งไม่ฟ้องนายพสิษฐ์ และ น.ส.ชุติมา เสนอให้พนักงานอัยการพิจารณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 142 ที่กำหนดให้อัยการสูงสุดเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบและทำความเห็นชี้ขาดว่า จะมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาหรือไม่

สำหรับการพิจารณาของพนักงานสอบสวนนั้นมีหลายประเด็น ได้แก่ 1.พิจารณาว่าผู้ต้องหาเป็นเจ้าพนักงานที่ต้องรับผิดตามมาตรา 164 หรือไม่ พนักงานสอบสวนเห็นว่า แม้นายพสิษฐ์และ น.ส.ชุติมาเป็นบุคคลทั่วไป แต่เมื่อประธานศาลรัฐธรรมนูญแต่งตั้งให้เป็นเลขานุการ จึงถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย 2.นายพสิษฐกับพวกมีการกระทำผิดหรือไม่ พนักงานสอบสวนเห็นว่า คลิปที่เผยแพร่มี 5 คลิป คลิปแรกเป็นภาพบุคคลระดับสูง คลิปที่สองเป็นภาพทนายความของพรรคการเมืองหนึ่งไปพบบุคคลหนึ่ง และพูดคุยกันเรื่องยุบพรรคประชาธิปัตย์ คลิปที่สามเป็นภาพตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกำลังพูดคุยกันเรื่องยุบพรรคการเมือง โดยน่าเชื่อว่าภาพถูกบันทึกมาจากเก้าอี้ของนายพสิษฐ์ คลิปที่สี่ เป็นการสนทนาต่อเนื่องกับคลิปที่สาม และมีการพูดว่า “เพื่อป้องกันการครหา ให้ดึงนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.มาร่วมรับผิดชอบด้วย” คลิปที่ห้า เป็นการสนทนาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพูดคุยกันเรื่องให้ความช่วยเหลือ ส.ส.คนหนึ่ง

ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนพิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่มีพยานปากใดเห็นผู้ต้องหาเป็นผู้นำกล้องไปซ่อนในห้องประชุม หรือบันทึกภาพ และไม่มีใครเห็นว่าผู้ต้องหานำคลิปเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์แล้วเผยแพร่ทางยูทูบ มีแต่ผู้ใช้ยูสเซอร์เนมว่า “โอ้มายก็อต 3009” โดยไม่ระบุอีเมล์แอดเดรส จึงไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ นอกจากนี้พนักงานสอบสวนได้พยายามขอตรวจสอบข้อมูลจากบริษัท ยูทูบ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท กูเกิล สัญชาติสหรัฐฯ แต่ได้รับแจ้งกลับมาว่า คดีลักษณะดังกล่าวไม่ตรงกับความผิดในสหรัฐฯ จึงไม่อาจสนับสนุนข้อมูลให้ได้ พนักงานสอบสวนจึงยุติการสอบสวนพร้อมทำความเห็นเสนออัยการสมควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสอง และปล่อยผู้ต้องหาไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 โดยขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการกลั่นกรองของคณะทำงานอัยการสูงสุด ก่อนเสนอความเห็นต่อนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด พิจารณาชี้ขาดต่อไป

3. บอร์ด อสมท มีมติเลิกจ้าง “ธนวัฒน์” ผอ.อสมท อ้าง บกพร่องหลายประการ ขณะที่เจ้าตัว เล็งฟ้องศาล ชี้ ไม่เป็นธรรม!
นายธนวัฒน์ วันสม อดีตกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท
เมื่อวันที่ 13 ต.ค. นายสุรพล นิติไกรพจน์ ประธานกรรมการ บริษัท อสมท จำกัด(มหาชน) ได้เปิดแถลงหลังประชุมคณะกรรมการ(บอร์ด) อสมท ว่า ที่ประชุมมีมติว่า การปฏิบัติหน้าที่ของนายธนวัฒน์ วันสม กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท มีข้อบกพร่อง ไม่เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของบริษัทหลายประการ บอร์ดจึงมีมติให้บอกเลิกสัญญาจ้างนายธนวัฒน์ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย. เนื่องจากสัญญาระบุว่า การเลิกสัญญาจ้างก่อนครบกำหนดเวลา โดยที่ผู้รับจ้างไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา ต้องมีหนังสือบอกกล่าวล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน ทั้งนี้ บริษัทจะจ่ายเงินค่าจ้างให้เท่ากับค่าจ้างเดือนสุดท้าย แต่ไม่เกิน 6 เดือน เป็นเงินกว่า 2 ล้านบาท นอกจากนี้ที่ประชุมบอร์ดยังมีมติให้นายธนวัฒน์หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ทันทีตั้งแต่เวลา 13.00น.วันที่ 13 ต.ค.เป็นต้นไป พร้อมให้ส่งมอบงานภายในวันดังกล่าว ระหว่างนี้ บอร์ด อสมท ได้แต่งตั้งให้นายสุระ เกนทะนะศิล รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ปฏิบัติงานแทนนายธนวัฒน์ ส่วนการคัดสรรกรรมการผู้อำนวยการใหญ่คนใหม่นั้น บอร์ด อสมท คาดว่าจะเปิดรับสมัครได้ในวันที่ 20 พ.ย.นี้ โดยจะเร่งรัดกระบวนการสรรหาให้เร็วที่สุด คือภายใน 3-4 เดือน

นายสุรพล ยังเผยเหตุที่บอร์ด อสมท มีมติเลิกจ้างนายธนวัฒน์ด้วยว่า มาจากหลายสาเหตุ 1.ปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า 2.ไม่ปฏิบัติตามมติบอร์ดตามที่มอบหมาย 3.บกพร่องเกี่ยวกับงานบริหารบุคคล 4.ขัดต่อระเบียบและข้อบังคับบริษัท และ 5.ปฏิบัติหน้าที่ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล นอกจากนี้ยังมีอีก 19 ประเด็น แต่เป็นประเด็นที่จะมีการตรวจสอบต่อเพียง 10 ประเด็น โดยไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด แต่จะมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป

เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหน้าที่บอร์ด อสมท จะมีมติเลิกจ้างนายธนวัฒน์ ที่ประชุมบอร์ด อสมท เมื่อวันที่ 28 ก.ย. ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการทำหน้าที่ของนายธนวัฒน์ พร้อมมีมติตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยนางสุนทรีย์ แก้วกรณ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท และนายพลชัย วินิจฉัยกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ โดยชี้ว่า บุคคลทั้งสองเป็นพนักงานที่ไม่รักษาวินัยตามข้อบังคับบริษัท เนื่องจากเป็นแกนนำรวบรวมรายชื่อพนักงาน อสมท ไปยื่นให้ น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ที่กำกับดูแล อสมท โดยกล่าวหาบอร์ด อสมท ว่าปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นไปตามข้อบังคับบริษัท มีการโยกย้ายแต่งตั้งไม่เป็นธรรม

ต่อมา น.ส.กฤษณาได้ทำหนังสือถึงนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท อสมท โดยระบุว่า ข้อร้องเรียนดังกล่าวสำคัญและอาจมีผลกระทบต่อนโยบายของรัฐบาลและการบริหารงานของ อสมท ดังนั้นขอให้กระทรวงการคลังแจ้งไปยังประธานบอร์ด อสมท ให้ระงับการประกาศและการปรับปรุงแก้ไขโครงสร้างของบริษัท อสมท ตามมติที่ประชุมบอร์ดไว้ก่อน จนกว่าการสอบสวนจะแล้วเสร็จ รวมทั้งให้ระงับการแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารและพนักงานตามมติที่ประชุมบอร์ดเมื่อวันที่ 16 ก.ย. จนกว่าการสอบสวนจะแล้วเสร็จเช่นกัน โดยให้รายงานรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ที่กำกับดูแล อสมท ทราบ เมื่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เห็นชอบแล้ว จึงดำเนินการต่อได้ หากผลสอบสวนไม่พบความไม่เป็นธรรมตามที่มีการร้องเรียน ให้การพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายมีผลย้อนหลังได้

ด้านนายธีระชัย หลังจากได้รับหนังสือจาก น.ส.กฤษณา ได้ส่งเรื่องต่อให้นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.) แจ้งความประสงค์ของ น.ส.กฤษณา ไปยังประธานบอร์ด อสมท อีกทอดหนึ่ง จากนั้น นายสมชัย จึงได้ทำหนังสือถึงประธานบอร์ด อสมท

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ มองว่า การกระทำของ น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นการแทรกแซงการบริหารงานของบอร์ด อสมท โดยนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เงา บอกว่า พรรคอยู่ระหว่างเตรียมยื่นถอดถอน 2 รัฐมนตรีดังกล่าว “ขอตั้งสังเกตถึงการเร่งรัดดำเนินการของ น.ส.กฤษณาและนายธีระชัย โดยออกหนังสือจาก น.ส.กฤษณาถึงนายธีระชัย และจากนายธีระชัยถึง สคร. ซึ่งทั้งหมดทำภายในวันเดียวกัน คือวันที่ 30 ก.ย. ใช้เวลาเดินหนังสือ 3 หน่วยงานนั้นภายใน 3 ชั่วโมง เมื่อมีหลักฐานอันปรากฏชัดว่ารัฐมนตรีทั้งสองคนมีการกระทำความผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 48 ,266 ,268 เห็นควรที่จะต้องดำเนินการถอดถอน ตามมาตรา 270 แห่งรัฐธรรมนูญ จึงมอบหมายฝ่ายกฎหมายของพรรคยกร่างหนังสือถอดถอนเพื่อเสนอต่อที่ประชุม ส.ส.พรรคให้ลงชื่อ 125 รายชื่อในวันที่ 18 ต.ค.เพื่อยื่นถอดถอนต่อประธานวุฒิสภาต่อไป”

ส่วนความเคลื่อนไหวของนายธนวัฒน์ วันสม ก่อนที่จะถูกที่ประชุมบอร์ด อสมท มีมติปลดออกจากตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท ปรากฎว่า นายธนวัฒน์ได้ชิงแถลงตัดหน้าบอร์ด อสมท เมื่อช่วงสายวันที่ 13 ต.ค. โดยตอบโต้กรณีที่บอร์ด อสมท ตั้งคณะกรรมการสอบสวนตน 4 ประเด็น เช่น กรณีที่ถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่ล่าช้านั้น นายธนวัฒน์ บอกว่า ถ้าตนทำงานล่าช้าจริง ผลประกอบการขององค์กรคงไม่ก้าวกระโดดขนาดปีแรกที่ตนเข้ามาทำงาน รายได้ทะลุ 5,000 ล้านบาท สูงสุดในประวัติศาสตร์ แถมยังได้รับรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่นประจำปี นายธนวัฒน์ ยังแฉด้วยว่า การที่ตนถูกบอร์ด อสมท ตั้งคณะกรรมการสอบ มาจากการปรับปรุงโครงสร้างพนักงานเพื่อรองรับกฎหมาย กสทช.แล้วมีการแต่งตั้งผู้บริหารบางตำแหน่งโดยผ่านมติของบอร์ด แต่ไม่ผ่านคณะกรรมการสรรหาตามระเบียบบริษัท ซึ่งบอร์ดไม่พอใจที่มีพนักงาน และผู้บริหารบางคนไปยื่นขอความเป็นธรรมต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้ นายธนวัฒน์ บอกหลังทราบมติบอร์ด อสมท ที่เลิกจ้างตนว่า กำลังศึกษาข้อมูลว่ามติของบอร์ด อสมท ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และคณะทำงานตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของตน ทำงานถูกต้องตามหลักธรรมาภิบาลหรือไม่ ก่อนจะดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งส่วนตัวแล้วมองว่า มติดังกล่าวไม่เป็นธรรม ขณะที่กระบวนการตรวจสอบก็ไม่ถูกต้อง เพราะคณะทำงานฯ ไม่เคยเรียกตนไปชี้แจงเลย สิ่งที่ตนได้รับมีแต่ให้ออกเท่านั้น

4. ศาลฎีกา พิพากษาจำคุก “จินตนา แก้วขาว” แกนนำกลุ่มอนุรักษ์ฯ บ้านกรูด 4 เดือน ไม่รอลงอาญา ขณะที่ชาวบ้านชุมนุมร้องขอความเป็นธรรม!
นางจินตนา แก้วขาว ประธานกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูด
เมื่อวันที่ 11 ต.ค. ศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่อัยการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางจินตนา แก้วขาว ประธานกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูด ต.ธงชัย อ.บางสะพาน ข้อหาบุกรุกและรบกวนการครอบครองที่ดินของเอกชน มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา หลังนางจินตนานำชาวบ้านกลุ่มเสื้อเขียวบุกรุกเข้าไปในงานเลี้ยงโต๊ะจีนจำนวน 2,000 โต๊ะ ของบริษัท ยูเนี่ยน พาวเวอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เจ้าของโครงการโรงไฟฟ้าหินกรูด ที่บ้านโคกตาหอม ต.ธงชัย เมื่อวันที่ 13 ม.ค.2544 ทำให้ทรัพย์สินเสียหายและบริษัทต้องยกเลิกการจัดงานดังกล่าว

สำหรับคดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาเมื่อปี 2548 ให้จำคุกนางจินตนา 6 เดือน ด้านศาลฎีกาได้พิพากษาแก้ศาลอุทธรณ์โดยให้ลดโทษเหลือจำคุก 4 เดือน ไม่รอลงอาญา เนื่องจากพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นางจินตนามอบตัวกับพนักงานสอบสวน ไม่มีเจตนาหลบหนีและไม่ได้เป็นผู้มีอิทธิพลตามสำนวนคำฟ้อง ทั้งนี้ หลังศาลอ่านคำพิพากษาแล้วเสร็จ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าควบคุมตัวนางจินตนา เพื่อนำตัวไปควบคุมที่เรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ขณะที่ชาวบ้านเสื้อเขียวจาก 8 กลุ่มพันธมิตรสิ่งแวดล้อมของ จ.ประจวบคีรีขันธ์ รวมทั้งตัวแทนจากสภาทนายความ แกนนำองค์กรพัฒนาเอกชนระดับประเทศ และศิลปินเพลงเพื่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเดินทางมาให้กำลังใจนางจินตนาที่ศาลจำนวนมาก บางรายถึงกับร้องไห้หลังฟังคำพิพากษา ทำให้บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า

เป็นที่น่าสังเกตว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวนางจินตนาไปควบคุมที่ด้านหลังศาล เพื่อรอส่งตัวไปคุมขังที่เรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชาวบ้านได้เดินตามไปส่ง พร้อมขอให้ตำรวจเปิดประตูห้องควบคุมเพื่อขอถูกคุมขังกับนางจินตนาด้วย แต่ตำรวจไม่อนุญาต

ด้านนางจินตนากล่าวทั้งน้ำตาว่า ที่ผ่านมาทำใจมาตลอดว่าต้องมีวันนี้ เนื่องจากเป็นการต่อสู้ตามวิถีของประชาชนที่ยึดกติกาตามรัฐธรรมนูญ และจะต้องถูกมองว่าละเมิดสิทธิผู้อื่น แต่ไม่ได้มองว่าบางกิจกรรม กลุ่มทุนได้ละเมิดสิทธิของชาวบ้าน ทั้งนี้ นางจินตนายืนยันว่า หลังออกจากคุกก็จะเดินหน้าสู้ต่อไป เพราะเป็นเส้นทางชีวิตที่เลือกเดิน เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในบ้านของตัวเอง และต้องไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ “แค่ติดคุกยังมีวันออก ไม่ได้ถูกยิงทิ้ง ไม่ได้เสียชีวิตเหมือนการต่อสู้ของนายเจริญ วัดอักษร ประธานกลุ่มรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก แกนนำต้านโรงไฟฟ้าบ่อนอก แต่ไม่ทราบว่าในระหว่างที่ติดคุกจะเจออะไรบ้าง ขอไม่ให้มีการอภัยโทษ เพราะต้องการให้สังคมรับรู้บทบาทการต่อสู้ และขอให้มองเรื่องความเป็นธรรมมากกว่าการใช้กฎหมายมาจัดการกับแกนนำเหมือนกลุ่มทุน”

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเจ้าหน้าที่นำตัวนางจินตนาไปคุมขังที่เรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชาวบ้านทั้งหมดได้เดินเท้าไปรวมตัวกันที่บริเวณถนนประจวบคีรีขันธ์ขาเข้าตัวเมือง ด้านหน้าเรือนจำ ห่างจากศาลจังหวัดประมาณ 400 เมตร ก่อนจะปิดการจราจรด้วยการนำไม้ไผ่มาทำกรงขัง พร้อมเขียนข้อความเรียกร้องเพื่อขอความเป็นธรรมให้นางจินตนา ในฐานะนักต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อมที่เสียสละและอุทิศตัวเพื่อผลประโยชน์ของชาวบ้านในท้องถิ่น นอกจากนี้แกนนำกลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูดบางส่วนยังปราศรัยโจมตีกลุ่มทุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ พร้อมยืนยัน การทำกิจกรรมของชาวบ้านกลุ่มเสื้อเขียวเป็นการปกป้องสิทธิชุมชน จากนั้นได้นำเต็นท์มากางบนถนน รวมทั้งนำข้าวสารอาหารแห้งมากักตุนไว้จำนวนมาก พร้อมประกาศว่า จะปักหลักชุมนุมต่อเนื่องเป็นเวลา 4 เดือน เพื่อเยียวยาวิกฤตทางจิตใจของชาวบ้านเสื้อเขียวหลังจากนางจินตนาติดคุก โดยจะมีกิจกรรมเสวนาของนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมดนตรีจากศิลปินเพลงเพื่อชีวิตมาขับกล่อมทุกวัน ท่ามกลางการรักษาความสงบเรียบร้อยและอำนวยความสะดวกการใช้เส้นทางของตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ
กำลังโหลดความคิดเห็น