xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 18-24 ก.ย.2554

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ และคณะข้าราชการกรมชลประทานเข้าเฝ้าฯ (20ก.ย.)
คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. “ในหลวง” ทรงแนะวิธีแก้น้ำท่วม เปิดปิดประตูน้ำให้ถูก-ผันน้ำลงทะเลให้เร็ว พร้อมยก “คลองลัดโพธิ์”เป็นตัวอย่างความสำเร็จ!

ขณะที่หลายจังหวัดยังคงประสบปัญหาน้ำท่วม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นห่วงความเดือดร้อนของราษฎรที่ประสบอุทกภัยเช่นกัน โดยนอกจากพระองค์ได้พระราชทานสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมแล้ว ยังทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยแก่นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะข้าราชการกรมชลประทานที่เข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูลถวายรายงานผลการดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริด้วยเมื่อวันที่ 20 ก.ย. โดยทรงแนะให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการเปิดปิดประตูระบายน้ำให้ถูกจังหวะเวลา จะช่วยลดปัญหาน้ำท่วมได้ ดังความว่า ทุกฝ่ายทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยต้องสนใจว่าน้ำ มันลงมาได้อย่างไร ต้องสนใจว่าประตูน้ำจะต้องเปิดปิดเมื่อไหร่ ถ้าสามารถเปิดปิดให้ตรงเวลา ก็จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของทั้งระบบให้น้อยลง น้ำอาจท่วมบ้างแต่ก็น้อยมาก ถ้าเปิดปิดให้ถูกต้องก็ไม่ต้องใช้พลังงาน ประหยัดทั้งเงินและเวลา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรงยกตัวอย่างด้วยว่า การสร้างประตูระบายน้ำแบบคลองลัดโพธิ์ เห็นชัดเจนแล้วว่าสามารถระบายน้ำลงทะเลได้ผลดี ดังนั้น หากพัฒนาวิธีนี้เพิ่มเติม จะสามารถป้องกันน้ำท่วมได้

ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รีบน้อมนำกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการผันน้ำออกสู่ทะเลเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมมาปฏิบัติ โดยนำกระแสพระราชดำรัสไปหารือกับผู้เกี่ยวข้องในการประชุมยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาอุทกภัยในเขต กทม.และจังหวัดใกล้เคียงช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค. เพื่อเตรียมการป้องกันและบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในระยะเร่งด่วนและระยะกลาง พร้อมเร่งรัดให้การระบายน้ำลงสู่ทะเลเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ บอกว่า “ปัจจุบันอยู่ในช่วงที่น้ำทะเลลดลง ก่อนที่ฝนจะตกหนักและพายุจะเข้าในช่วงเวลาอันใกล้ ก็ได้สั่งการให้บริหารจัดการ โดยน้อมนำกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการผันน้ำ โดยมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระดมเรือ 30 ลำ ปั่นกระแสน้ำ เพื่อระบายน้ำออกสู่ทะเล เบื้องต้นได้ดำเนินการที่คลองลัดโพธิ์แล้ว”

ด้านนายต่อศักดิ์ วานิชขจร อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา แถลงเตือนประชาชนว่า ระหว่างวันที่ 26-28 ก.ย.นี้ ร่องมรสุมที่พาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และภาคอีสาน จะมีกำลังแรงขึ้น ขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย จะมีกำลังแรงขึ้นเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลให้ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคตะวันออกมีฝนหนาแน่นกับมีฝนตกหนักในบางพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณ จ.เพชรบูรณ์ ,ลพบุรี ,สระบุรี ,ชัยภูมิ ,ร้อยเอ็ด ,นครราชสีมา ,บุรีรัมย์ ,สุรินทร์ ,ศรีสะเกษ ,อุบลราชธานี ,นครนายก ,ปราจีนบุรี ,จันทบุรี และตราด อาจทำให้สภาวะน้ำท่วมรุนแรงมากขึ้น จึงขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยตามที่ลาดเชิงเขา ที่ราบลุ่ม และใกล้ทางน้ำไหลผ่าน ระมัดระวังอันตรายจากน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากที่อาจเกิดขึ้นได้ในระยะนี้

ด้านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) เผยเมื่อวันที่ 24 ก.ย.ว่า ขณะนี้ยังคงมีพื้นที่ที่ประสบภาวะน้ำท่วม 23 จังหวัด ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตมีจำนวนทั้งสิ้น 152 ราย สูญหาย 3 ราย มีราษฎรได้รับความเดือดร้อน 581,099 ครัวเรือน คิดเป็นจำนวน 1,923,920 คน

2. อาจารย์ มธ.กลุ่ม “นิติราษฎร์”ออกแถลงการณ์ชงลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 ก.ย. ขณะที่สังคมสวดยับ หวังฟอกผิดให้ “ทักษิณ”!

คณะนิติราษฎร์ เปิดแถลงพร้อมออกแถลงการณ์ 4 ข้อ โดย 1 ในนั้นคือ ให้ล้มล้างคดีความที่เกิดขึ้นหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย.2549
เมื่อวันที่ 18 ก.ย. คณะนิติราษฎร์ ซึ่งประกอบด้วย อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.)จำนวน 7 คน คือ นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ,นางจันทจิรา เอี่ยมมยุรา ,นายฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล ,นายธีระ สุธีวรางกูร ,น.ส.สาวิตรี สุขศรี ,นายปิยบุตร แสงกนกกุล และนายปูนเทพ ศิรินุพงศ์ ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง “5 ปี รัฐประหาร 1 ปีนิติราษฎร์” โดยมีข้อเสนอ 4 ข้อ คือ 1.ให้มีการลบล้างผลพวงของการรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 โดยประกาศให้การรัฐประหารและการกระทำใดใดที่มุ่งผลในทางกฎหมายของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(คปค.) และรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2549 มาตรา 36 และ 37 ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นและไม่เคยมีผลในทางกฎหมาย รวมทั้งให้คำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ,ศาลรัฐธรรมนูญ และคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่อาศัยอำนาจตามประกาศ คปค.และเป็นผลต่อเนื่องจากการรัฐประหาร ตลอดจนคำวินิจฉัยและคำพิพากษาที่เกิดจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ซึ่งได้รับแต่งตั้งจาก คปค.ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นและไม่เคยมีผลในทางกฎหมาย ทั้งนี้ คณะนิติราษฎร์ ยืนยันว่า ข้อเสนอดังกล่าวไม่ใช่การนิรโทษกรรมหรือการอภัยโทษหรือการล้างมลทินแก่ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด เพราะหากจะดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าวก็สามารถทำตามกระบวนการทางกฎหมายปกติได้

2.เสนอให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 (เกี่ยวกับการหมิ่นพระมหากษัตริย์) คณะนิติราษฎร์เสนอให้คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน เพื่อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
3.การเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย. คณะนิติราษฎร์ไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อยุติกระบวนการพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ขณะที่ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดโดยมีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง ต้องได้รับการประกันตัว ส่วนการเยียวยา เสนอให้ออกเป็นมติ ครม.พร้อมแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมารับผิดชอบ และ 4.เสนอให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 และจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยให้ ครม.เสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม “หมวด 16 การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่” และหลังจากสภาร่างรัฐธรรมนูญให้ความเห็นชอบแล้ว ให้นำร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวไปทำประชามติเพื่อให้ความเห็นชอบ

หลังคณะนิติราษฎร์ออกแถลงการณ์ 4 ข้อเสนอให้ล้มล้างคดีความที่เกิดขึ้นหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย. ปรากฏว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทยและแกนนำคนเสื้อแดงต่างออกมาขานรับ ซึ่งอาจเป็นเพราะน่าจะช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พ้นผิดในคดีต่างๆ โดยเฉพาะกรณีถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 2 ปีในคดีซื้อที่รัชดาฯ โดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ออกปากชมว่า อาจารย์คณะนิติราษฎร์เป็นกลุ่มที่มีความสามารถและมีเหตุมีผล ขณะที่นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ก็สนับสนุนข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์เช่นกัน โดยบอกว่า เป็นการแก้ปัญหาด้วยการกลับไปเริ่มต้นใหม่ ซึ่งเป็นหนทางที่ฝ่ายการเมืองอย่างพรรคเพื่อไทยเสนอไม่ได้ แต่พยายามจะทำอยู่ 2 แนวทาง คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย ซึ่งจะเริ่มแก้ไขในเดือน ธ.ค.2554 และ 2.ในส่วนของความเป็นธรรม ได้พยายามตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆ

ด้านนายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) และอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.)2550 ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ โดยบอกว่า เป็นเพียงการพูดกันไป แต่การจะทำอะไรต้องมีเหตุผล ไม่สามารถทำอะไรตามใจชอบได้ และว่า ยุคสมัยนี้ไม่ใช่บอกว่าตัวเองมีมวลชน แล้วจะทำอะไรตามใจชอบได้

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะฝ่ายค้านก็ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอคณะนิติราษฎร์เช่นกัน โดยนายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรค ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเงา ตั้งข้อสังเกตว่า พื้นฐานของอาจารย์บางคนในคณะนิติราษฎร์เอื้อต่อระบอบทักษิณมาตลอด มีการเคลื่อนไหวโดยไม่สนใจความจริงของบ้านเมือง ทำให้ประชาชนแตกแยก จึงขอร้องให้ยุติการอ้างเอาหลักวิชาการบริสุทธิ์มาใช้เพื่อช่วยเหลือคนคนเดียว

ด้านนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) แถลงว่า วิปฝ่ายค้านเห็นว่าข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์เป็นการล้างผิดให้ใครบางคน ซึ่งหากปล่อยให้ดำเนินการ จะทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง พร้อมเชื่อว่า ความพยายามที่จะล้างผิดให้ใครบางคนจะไม่หยุดอยู่แค่นี้ แต่จะดำเนินต่อไปทั้งเรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษ ,การตั้งคณะกรรมการนิติธรรมแห่งชาติ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งทุกอย่างล้วนนำไปสู่การช่วยเหลือบุคคลเพียงคนเดียว

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) พูดถึงข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ที่ให้ผลพวงจากการรัฐประหาร 19 ก.ย.เป็นโมฆะว่า นักวิชาการมีเสรีในการคิด แต่เวลาจะพูดหรือทำอะไรต้องระวังว่าจะทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นมาหรือไม่ ส่วนกรณีที่แกนนำคนเสื้อแดงวิจารณ์ว่า กองทัพมีความเข้มแข็งมากเกินไปเป็นอันตรายต่อประชาธิปไตย พร้อมท้าทายว่าไม่กลัว ผบ.ทบ.นั้น พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า “ก็ไม่เห็นมีใครต้องมากลัวผม ผมไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ กลัวหรือไม่กลัวก็ไม่เป็นไร ผมไม่ใช่มาเฟีย”

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังคณะนิติราษฎร์ได้ออกแถลงการณ์ 4 ข้อเสนอให้ล้มล้างคดีความที่เกิดขึ้นหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย.ปรากฏว่า ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่ารับเงินใครมาหรือไม่ และทำไปเพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือไม่ ร้อนถึงอาจารย์กลุ่มดังกล่าวต้องนัดชี้แจงเรื่องแถลงการณ์อีกครั้งในวันที่ 25 ก.ย.เวลา 13.00น.ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 1 ในคณะนิติราษฎร์ บอกว่า “พร้อมจะเคลียร์ในสิ่งที่กล่าวหาว่า คณะนิติราษฎร์รับเงินจากใครมาหรือไม่ หรือทำไปเพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ หรือไม่ และจะเคลียร์ด้วยว่า ข้อเสนอดังกล่าวจะล้างคำพิพากษาที่เกิดในช่วงรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 ได้จริงหรือไม่ เมื่อลบล้างผลพวงรัฐประหารแล้ว จะส่งผลให้เกิดการนิรโทษกรรมหรือไม่ อีกทั้งทำไมคณะนิติราษฎร์ถึงต้องเสนอข้อเสนอทั้งหมดในช่วงนี้ด้วย”

นายวรเจตน์ ยังย้ำด้วยว่า “ถ้าไม่ยอมรับการรัฐประหาร ก็ต้องไม่รับกระบวนการที่เกิดขึ้นจากการรัฐประหารด้วย และจะต้องประกาศให้คำพิพากษาเป็นโมฆะหรือเสียเปล่าไป เท่ากับว่า เมื่อไม่ยอมรับก็เท่ากับว่าไม่เคยมีกระบวนการในการสอบสวนคดีต่างๆ เกิดขึ้นเลย ไม่เคยมีคำพิพากษาเกิดขึ้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

3. พันธมิตรฯ ฟ้องศาลปกครอง ขอให้เพิกถอนการขายหุ้น “ปตท.” เหตุกระจายหุ้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เอื้อประโยชน์ญาตินักการเมือง!

แกนนำพันธมิตรฯ เข้ายื่นฟ้อง ปตท.และกระทรวงการคลังต่อศาลปกครองกลาง(22 ก.ย.)
เมื่อวันที่ 22 ก.ย. แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกอบด้วย นายสนธิ ลิ้มทองกุล ,พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ,นายพิภพ ธงไชย ,นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ,นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ และนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ในฐานะตัวแทนมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน พร้อมด้วยประชาชนประมาณ 30 คน ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดจองซื้อหุ้นของบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ได้เข้ายื่นฟ้องบริษัท ปตท.และกระทรวงการคลังต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้เพิกถอนใบหุ้นและบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขอให้ศาลพิพากษาให้หุ้นในโรงกลั่นน้ำมันจำนวน 4 โรง ที่บริษัท ปตท.ถือครองอยู่ ตกเป็นของแผ่นดิน รวมทั้งขอให้ศาลพิพากษาให้กระทรวงการคลังทวงคืนสาธารณสมบัติอันได้มาจากอำนาจตามกฎหมายมหาชน ได้แก่ โรงกลั่น ท่อส่งก๊าซ และอุปกรณ์ ที่ยังไม่ได้คืน ทั้งบนบกและในทะเล ตลอดจนเงินค่าใช้บริการท่อส่งก๊าซและดอกผลของการใช้ท่อส่งก๊าซทั้งหมด ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ทั้งนี้ ศาลได้รับคำร้องไว้พิจารณา

ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ พูดถึงการยื่นฟ้อง ปตท.ครั้งนี้ว่า เป็นการทำตามจุดยืนของพันธมิตรฯ ที่ต้องปกป้องสมบัติชาติ ซึ่ง ปตท.ถือเป็นสมบัติชาติ เมื่อการแปรรูปและกระจายหุ้นของ ปตท.ทำโดยไม่เป็นธรรมและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือเป็นความผิดที่ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ “อย่ามาถามว่าทำไมพันธมิตรฯ ถึงเพิ่งมาทำเรื่องนี้ ทำไมไม่ทำตั้งแต่ต้น คนที่ตั้งคำถามเช่นนี้ถือว่าเป็นคนที่ด้อยปัญญา และอย่ามาถามว่าก็แปรรูปไปแล้วจะฟ้องอีกทำไม ถามอย่างนี้ก็ด้อยปัญญาอีก เรื่องนี้ข้อมูลมันหายาก ต้องใช้เวลา ไม่ใช่ว่าแปรรูป ปตท.ไปแล้ว ถึงไม่ถูกเราก็ต้องยอมรับ คิดแบบนี้ไม่ได้ เพราะในเมื่อเรามีจุดยืนว่าต้องรักษาคุณธรรม จริยธรรมให้กับสังคม เมื่อมันผิดก็ไม่ควรที่จะปล่อยทิ้งไว้ จึงต้องมาทวงคืนสมบัติชาติ”

ขณะที่นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ในฐานะตัวแทนมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เผยพฤติการณ์การกระจายหุ้นที่ไม่ชอบของ ปตท.ว่า จากการสืบค้นข้อมูลพบว่า ปตท.ขายหุ้นกว่า 900 ล้านหุ้นไม่เป็นไปตามหนังสือชี้ชวนที่กำหนดให้ผู้สนใจสามารถซื้อหุ้นได้ตั้งแต่เวลา 09.30น.ของวันที่ 15 พ.ย.2544 แต่ปรากฏว่า เมื่อถึงเวลาเปิดขายหุ้น ประชาชนที่มาร่วมฟ้องครั้งนี้ ซึ่งได้ไปรอซื้อหุ้นตั้งแต่ก่อนเปิดขาย กลับไม่สามารถซื้อได้ โดยได้รับคำตอบว่าหุ้นหมดแล้ว ทั้งที่เปิดขายได้เพียงนาทีเศษ เมื่อไปสืบค้นทำให้พบว่า ผู้ที่ซื้อหุ้นได้จำนวน 863 ราย ล้วนแต่เป็นญาติของนักการเมืองทั้งสิ้น

นอกจากนี้ ยังมีการออกใบจองหุ้นให้แก่ผู้จองซื้อหุ้นมากกว่า 1 ใบจองจำนวน 428 ราย ทั้งที่หนังสือชี้ชวนกำหนดให้จองได้คนละ 1 ใบจอง ใบจองละไม่เกิน 1 แสนหุ้น ซึ่งข้อมูลที่ได้มา พบว่า ผู้ที่จองซื้อหุ้น ปตท.ได้มากกว่า 1 ใบจอง ได้แก่ นางสุวิมล มหากิจศิริ โดยได้มาถึง 11 ใบจอง จำนวน 1,100,000 หุ้น นอกจากนี้ยังมีอีกหลายตระกูล รวมทั้งตระกูล “จิราธิวัฒน์” ด้วย นายสุวัตร ยังย้ำด้วยว่า การแปรรูป ปตท.เป็นไปอย่างไม่โปร่งใส และผลประโยชน์ตกอยู่ในมือนักการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็มีผลประโยชน์อยู่อย่างมหาศาล การที่คณะกรรมการ ปตท.เอา ปตท.ไปแปรรูป เป็นการวางหมากแบบเป็นขั้นเป็นตอน สังเกตได้จาก โรงกลั่น มูลค่าในท้องตลาดอยู่ที่ 1.2 แสนล้านบาท แต่คณะกรรมการกลับไปตีค่าเท่ากับศูนย์บาท นี่จึงเป็นตัวอย่างของการฉ้อโกงทรัพย์สินของประชาชน

4. รัฐบาล ไฟเขียวโครงการบ้านหลังแรกราคาไม่เกิน 5 ล้าน หักภาษีได้ 10% ขณะที่ “ปชป.” แฉ บ.เอสซี แอสเสทฯ ได้ประโยชน์กว่าพันยูนิต!
 โครงการทาวน์โฮมของ บ.เอสซี แอสเสทฯ ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ เคยเป็นประธาน ออกมาขานรับโครงการบ้านหลังแรกทันที
เมื่อวันที่ 20 ก.ย. ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการคืนภาษีให้ผู้ที่ซื้อบ้านหลังแรก โดยครอบคลุมทั้งบ้านและห้องชุดที่มีราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ด้านนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ขยายความโครงการดังกล่าวว่า มาตรการภาษีบ้านหลังแรก เป็นการยกเว้นเงินได้พึงประเมินที่จ่ายเป็นค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดินหรือห้องชุดในอาคารชุด ที่มีมูลค่าไม่เกิน 5 ล้านบาท โดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สรุปก็คือ เงินที่จ่ายค่าบ้านตามจำนวนที่จ่ายจริงในอัตราไม่เกินร้อยละ 10 ของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ แต่ไม่เกิน 5 แสนบาท โดยได้สิทธิหักลดหย่อนภาษีเป็นเวลา 5 ปี สามารถเลือกใช้สิทธิครั้งแรกสำหรับเงินได้ในปีที่ได้โอนกรรมสิทธิ์หรือปีถัดไปก็ได้ แต่ต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้เสร็จตั้งแต่วันที่ 22 ก.ย.2554-31 ธ.ค.2555 โดยต้องเป็นบ้านหลังแรกเท่านั้น และผู้มีเงินได้ต้องไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยมาก่อน รวมทั้งต้องมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อมาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ปี

เป็นที่น่าสังเกตว่า รัฐบาลได้ขยายฐานมูลค่าบ้านหลังแรกที่มีสิทธิเข้าร่วมโครงการจากเดิมไม่เกินหลังละ 3 ล้านบาท เป็น 5 ล้านบาท โดยนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยเหตุที่ต้องขยายมูลค่าบ้านหลังแรกว่า เพราะต้องการช่วยเหลือผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นโครงการในเมืองตามแนวรถไฟฟ้าที่จะมีมูลค่าบ้านสูงขึ้น ถือเป็นการช่วยให้ประชาชนประหยัดได้ระดับหนึ่งและยังครอบคลุมมากขึ้นด้วย

ด้านนายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร ยอมรับว่า มาตรการลดหย่อนภาษีโครงการบ้านหลังแรกของรัฐบาล จะส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บภาษีอากรประมาณ 1,700 ล้านบาท แต่จะทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวเพิ่มขึ้น และว่า ผู้ที่ได้สิทธิประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว ต้องมีเงินเดือน 20,000 บาทขึ้นไป พร้อมเชื่อว่า มาตรการนี้จะจูงใจให้คนยื่นแบบเสียภาษีให้ถูกต้องมากขึ้น ขณะที่รัฐสามารถขยายฐานภาษีเพื่อให้มีรายได้กลับคืน ทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีนิติบุคคลจากผู้ประกอบการขายบ้าน ภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้าและวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างบ้าน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม นายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร มองว่า มาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับโครงการบ้านหลังแรก มีผู้ได้ประโยชน์ไม่มาก เพราะประชาชนส่วนใหญ่จะซื้อบ้านหลังแรกราคาประมาณ 1.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้ประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน เมื่อนำค่าใช้จ่ายมาหักรายได้ต่อปีแล้วไม่เกิน 150,000 บาท ก็ไม่จำเป็นต้องเสียภาษีอยู่แล้ว คนที่ได้ประโยชน์มากคือคนที่ซื้อบ้านราคา 5 ล้านบาท ซึ่งต้องมีรายได้สูงปีละประมาณ 4 ล้านบาทขึ้นไป และคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีบ้านอยู่แล้ว จึงเห็นว่ามาตรการดอกเบี้ย 0% ของรัฐบาลชุดก่อนน่าจะดีกว่า ช่วยคนได้กว้างกว่า

ขณะที่การประชุมคณะรัฐมนตรีเงาของพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.)เมื่อวันที่ 21 ก.ย. ได้มีการตำหนิการเพิ่มมูลค่าในโครงการบ้านหลังแรกจาก 3 ล้านบาท เป็น 5 ล้านบาทว่า เป็นการนำภาษีของคนชั้นกลางไปเอื้อประโยชน์แก่คนบางกลุ่ม โดยเฉพาะโครงการของบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเคยเป็นประธานบริษัท จะได้รับประโยชน์

ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ รีบออกมาปฏิเสธว่า โครงการบ้านหลังแรกไม่ได้เอื้อประโยชน์ต่อบริษัท เอสซี แอสเสทฯ “ดิฉันเองทำงานทำให้ประชาชนทั้งหมดในภาพรวม ไม่ได้คำนึงว่าต้องเอื้อประโยชน์ให้กับใครทั้งสิ้น สามารถเข้าตรวจสอบได้ หากดูจากโครงการของเอสซี แอสเสทฯ จะเห็นว่าบ้านของเอสซี แอสเสทฯ ขายตั้งแต่ราคา 8-100 ล้านบาท จะไม่ค่อยมีบ้านต่ำกว่าราคา 5 ล้านบาทด้วยซ้ำไป”

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาตั้งข้อสังเกตว่า หากรัฐบาลบอกว่าโครงการบ้านหลังแรกไม่เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจบริษัท เอสซี แอสเสทฯ อยากให้ลองเข้าไปดูเว็บไซต์ของบริษัท เอสซี แอสเสทฯ ดู เพราะมีการเตรียมรับโครงการนี้อย่างเต็มที่

ขณะที่นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม.ในฐานะโฆษก ครม.เงาพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้ออกมาชี้ว่า คนที่ได้ประโยชน์จากโครงการบ้านหลังแรกของรัฐบาลก็คือ คนที่มีเงินเดือนตั้งแต่ 5 หมื่นบาทขึ้นไป เพราะผู้ที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 5 หมื่นบาท เมื่อนำมาคิดภาษีแล้ว ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ส่วนผู้ที่มีรายได้เดือนละ 5 หมื่นบาทขึ้นไปจะได้รับประโยชน์ โดยหลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน รวมทั้งค่าลดหย่อน 100,000 บาท จากโครงการบ้านหลังแรกแล้ว จะเหลือเงินได้หลังหักค่าลดหย่อน 371,500 บาท หากนำมาหักกับฐานเงินได้ที่ไม่ต้องจ่ายภาษีตามกฎหมายที่ 150,000 บาท จะเหลือเงินที่ต้องนำมาคำนวณในการจ่ายภาษีเพียง 75,000 บาท ซึ่งจะต้องเสียภาษี 10% ของวงเงินดังกล่าว คือประมาณ 7,500 บาทเท่านั้น

ส่วนกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ปฏิเสธว่า โครงการบ้านหลังแรกไม่ได้เอื้อประโยชน์ต่อบริษัท เอสซี แอสเสทฯ เพราะราคาบ้านของบริษัท เอสซี แอสเสทฯ ราคา 8 ล้านบาทขึ้นไปนั้น นายอรรถวิชช์ แฉว่า ความจริงแล้ว บริษัท เอสซี แอสเสทฯ มีโครงการทำบ้านทาวน์โฮม ชื่อ วิสต้า วันเอทโอ 180 รวม 116 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 3.99 ล้านบาท ,โครงการคอนโดมิเนียมอีก 3 โครงการ คือ เซ็นทริค ซีน 696 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.3 ล้านบาท ,โครงการเซ็นทริค 270 ยูนิต ราคาตั้งแต่ 2.9-5.5 ล้านบาท และโครงการเดอะเครสท์ 163 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3.9 ล้านบาท รวม 1 พันกว่ายูนิต ซึ่งถือเป็นโครงการที่เข้าร่วมโครงการบ้านหลังแรกได้

ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ เริ่มเสียงอ่อย ไม่กล้าตอบว่า บริษัท เอสซี แอสเสทฯ มีบ้านราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาทอยู่จำนวนเท่าใด โดยขอให้ทางบริษัท เอสซี แอสเสทฯ เป็นผู้ชี้แจงเอง

5. ศาลพิพากษาจำคุก “เสี่ยขาว-เจ้าของ บ.เอฟเฟ็กต์” 3 ปีไม่รอลงอาญา คดีไฟไหม้ซาติก้าผับ ส่วนนักร้องนำ “วงเบิร์น” ยกฟ้อง!
น.ส.รัตนา แซ่ลิ้ม อายุ 29 ปี เหยื่อเพลิงไหม้ซานติก้าผับ
เมื่อวันที่ 20 ก.ย. ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการกับผู้เสียหายและญาติผู้เสียชีวิต รวมทั้งผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ซานติก้าผับ 57 คน ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวิสุข เสร็จสวัสดิ์ หรือเสี่ยขาว กรรมการผู้จัดการบริษัท ไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส (2003) จำกัด ผู้ดำเนินกิจการ “ซานติก้าผับ” กับพวกเป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดฐานทำให้เกิดเพลิงไหม้ เป็นเหตุให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย และเป็นอันตรายกับชีวิตผู้อื่น รวมทั้งทำผิด พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ.2509

เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 31 ธ.ค.2551 ต่อเนื่องวันที่ 1 ม.ค.2552 พวกจำเลยจัดให้มีงานรื่นเริง รวมทั้งการแสดงแสง สี เสียง ในโอกาสฉลองเทศกาลวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ภายในตัวอาคารซานติก้าผับ ย่านเอกมัย โดยอาคารมีพื้นที่ให้บริการลูกค้าจุคนได้ไม่เกิน 500 คน แต่ขณะเกิดเหตุมีลูกค้าเข้าไปใช้บริการมากกว่า 1,000 คน จากนั้นนักร้องได้จุดพลุไฟที่หน้าเวที จนเกิดลูกไฟขึ้นไปชนเพดานเวที ทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้ มีผู้เสียชีวิต 67 คน และบาดเจ็บอีกกว่าร้อยคน

ทั้งนี้ จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ ด้านศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 (เสี่ยขาว) ,จำเลยที่ 6(บริษัท โฟกัส ไลท์ แอนด์ ซาวด์ ซิสเต็ม จำกัด) และจำเลยที่ 7(นายบุญชู เหล่าสีนาท ผู้แทนบริษัท โฟกัส ไลท์ แอนด์ ซาวด์ ซิสเต็ม จำกัด) เป็นการกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ให้จำคุกจำเลยที่ 1 และ 7 คนละ 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา และปรับจำเลยที่ 6 จำนวน 2 หมื่นบาท นอกจากนี้ให้จำเลยที่ 6-7 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 4-6 เป็นเงินรายละ 1,540,000 บาท พร้อมทั้งชดใช้ให้โจทก์ร่วมที่ 7-8 เป็นเงินรายละ 2,040,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2-5 ประกอบด้วย นายธวัชชัย ศรีทุมมา ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการบริษัท ไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส (2003) จำกัด ,นายพงษ์เทพ จินดา ผู้จัดการฝ่ายบันเทิง ,นายวุฒิพงศ์ ไวลย์ลิกรี ผู้จัดการฝ่ายการตลาด และนายสราวุธ อะริยะ นักร้องนำวงเบิร์น ศาลพิพากษายกฟ้อง

ศาลยังชี้เหตุที่ไม่รอการลงโทษจำเลยที่ 1 และ 7 ด้วยว่า แม้จำเลยที่ 1 จะให้เงินช่วยเหลือทายาทผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บแล้วเป็นเงินกว่า 3 ล้านบาท แต่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้บริหารสถานบริการต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้อาคารเป็นสำคัญ โดยเฉพาะสถานบริการจะต้องมีระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัย แต่จำเลยกลับไม่ยอมปฏิบัติตามกฎหมาย ดังนั้น เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้ประกอบการรายอื่น จึงไม่มีเหตุสมควรให้รอการลงโทษจำเลยที่ และ 7

ด้านนายวิสุข เสร็จสวัสดิ์ หรือเสี่ยขาว ได้ใช้เงินสด 1 ล้านบาทเป็นหลักทรัพย์ขอปล่อยตัวชั่วคราว พร้อมเผยว่า จะยื่นอุทธรณ์ตามความเป็นจริงที่ปรากฏ ขณะที่นายฤชา ไกรฤกษ์ อัยการผู้เชี่ยวชาญสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ เจ้าของสำนวนคดี เผยว่า อัยการจะยื่นอุทธรณ์เช่นกันในทุกประเด็น โดยเฉพาะกรณีที่ศาลยกฟ้องจำเลยที่ 5(นักร้องนำวงเบิร์น) ซึ่งมีประจักษ์พยาน 2 ปาก เห็นว่าเป็นคนจุดไฟแช็ก ทำให้เอฟเฟ็กต์ระเบิด

ด้าน น.ส.รัตนา แซ่ลิ้ม อายุ 29 ปี โจทก์ร่วมในคดีนี้ ซึ่งถูกไฟไหม้ทั้งตัวจนใบหน้าเสียโฉม ส่วนมือขวากุด เผยว่า พอใจคำพิพากษาแค่ครึ่งเดียว หลังจากนี้จะนำผลคำพิพากษาไปประกอบคดีแพ่งเพื่อฟ้องเรียกค่าสินไหม 8 ล้านบาท ที่ศาลจังหวัดพระโขนง และว่า ที่ผ่านมา เสี่ยขาวให้เงินมา 15,000 บาทเท่านั้น แต่เมื่อ 2 วันก่อนศาลพิพากษา เสี่ยขาวได้ติดต่อมาจะมอบเงินให้อีก 1 แสนบาท เพื่อขอให้ยอมความ แต่ตนปฏิเสธไป
กำลังโหลดความคิดเห็น