xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 19-25 มิ.ย.2554

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ลงจากที่ประทับชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ รพ.ศิริราช(21 มิ.ย.)
คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. “ในหลวง” ทรงย้ำ ผู้พิพากษาต้องเป็นกลางในทุกกรณี เพื่อความสงบสุขของประเทศ!

เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายสบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกา นำผู้พิพากษาประจำศาล สำนักงานศาลยุติธรรม เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ณ ห้องประชุมสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช

โอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่แก่ผู้พิพากษาประจำศาล ความตอนหนึ่งว่า “...ท่านจะต้องทำหน้าที่เพื่อความยุติธรรม เพื่อความสงบสุขของประเทศชาติ ฉะนั้นถ้าท่านปฏิบัติดี ก็ทำให้ประเทศชาติมีความสงบได้ เพราะว่าคนก็ต้องมีการขัดแย้งกัน ท่านต้องเป็นกลางในทุกกรณี ทั้งเวลาอยู่ในโรงศาลและนอกโรงศาล ฉะนั้นขอให้ท่านรักษาคำปฏิญาณที่ได้เปล่งด้วยความเข้มแข็งนี้ จงรักษาไว้ทุกเมื่อและถือว่าเป็นหน้าที่ในชีวิต...”

สำหรับการเข้าเฝ้าฯ ของประธานศาลฎีกาและผู้พิพากษาประจำศาลครั้งนี้ มีขึ้นหลังที่ประชุมคณะกรรมการตุลาการ(ก.ต.) มีมติเลือกประธานศาลฎีกาคนใหม่แทนนายสบโชคที่จะอายุครบ 65 ปีและจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้ โดยที่ประชุม ก.ต.มีมติเอกฉันท์เลือกนายมนตรี ยอดปัญญา รองประธานศาลฎีกาคนที่ 4 ซึ่งอาวุโสสูงสุดในบรรดารองประธานศาลฎีกาทั้ง 6 คน เพื่อเป็นประธานศาลฎีกาคนใหม่

วันต่อมา(21 มิ.ย.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จลงจากที่ประทับชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ ไปยังท่าน้ำสมาคมศิษย์เก่าแพทย์ศิริราช เพื่อทอดพระเนตรการทดสอบสมรรถนะของเรือตรวจการณ์และเรือยนต์พระที่นั่ง โดยตลอดเส้นทางเสด็จ มีประชาชนเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอย่างเนืองแน่น พร้อมเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ขณะที่พระองค์ทรงโบกพระหัตถ์ พร้อมแย้มพระสรวลให้ประชาชนที่มาเฝ้าฯ รับเสด็จ ยังความปลาบปลื้มแก่ประชาชนเป็นอันมาก

ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงใช้เวลาทอดพระเนตรเรือตรวจการณ์ เรือยนต์พระที่นั่ง และทัศนียภาพริมแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นเวลา 2 ชั่วโมง 43 นาที ก่อนเสด็จฯ กลับขึ้นที่ประทับชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โดยระหว่างเสด็จฯ กลับ พระองค์ทรงยกกล้องขึ้นฉายภาพประชาชนที่มารอเฝ้าฯ รับเสด็จด้วย

2. “สุวิทย์” ประกาศนำไทยถอนตัวจากภาคีมรดกโลกแล้ว หลังที่ประชุมไม่เลื่อนพิจารณาแผนจัดการพระวิหาร!

นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทย โชว์หนังสือแสดงเจตจำนงการถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก(25 มิ.ย.)
เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เผยความคืบหน้าการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่ไทยเสนอให้มีการเลื่อนพิจารณาแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารของกัมพูชาออกไปว่า ได้คุยกับนายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนเจรจาฝ่ายไทยที่ไปประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 19-29 มิ.ย. ทราบว่า กำลังอยู่ในขั้นตอนที่ไทยเสนอร่างข้อมติต่อองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(ยูเนสโก) โดยเสนอให้เลื่อนการพิจารณาแผนบริหารจัดการของกัมพูชาออกไป ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาก็เสนอข้อมติของตนเองต่อยูเนสโกเช่นกัน จึงอยู่ในช่วงของการเจรจา

ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ยอมรับว่า เป็นห่วงกลัวฝ่ายไทยจะแพ้โหวตในที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก หากเสียงส่วนใหญ่เห็นชอบให้รับรองแผนบริหารจัดการของฝ่ายกัมพูชา ส่วนไทยควรจะถอนตัวจากคณะกรรมการมรดกโลกหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ เลี่ยงตอบ โดยบอกว่า ต้องดูท่าทีของคณะกรรมการมรดกโลกก่อน

ด้าน ศ.อดุล วิเชียรเจริญ อดีตประธานคณะกรรมการมรดกโลก แนะว่า หากคณะกรรมการมรดกโลกไม่เลื่อนการพิจารณาแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารหรือมีมติใดใดที่เอื้อประโยชน์ต่อกัมพูชาออกมา ไทยควรลาออกจากการเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลก พร้อมทั้งลาออกจากกรรมการมรดกโลก 21 ประเทศ เพื่อคัดค้านแผนบริหารจัดการดังกล่าว

ขณะที่นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ออกมาเผยความคืบหน้าการประชุมของคณะกรรมการมรดกโลกเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ว่า ผู้อำนวยการยูเนสโกได้เสนอร่างข้อมติที่คาดว่าทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาจะยอมรับได้ขึ้นมา เพื่อเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกพิจารณา แต่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ เนื่องจากร่างข้อมติของผู้อำนวยการยูเนสโกเสนอว่า ให้เลื่อนแผนบริหารจัดการพระวิหารของกัมพูชาออกไป ซึ่งแม้ไทยจะได้ประโยชน์ แต่กัมพูชาก็จะสามารถบูรณะตัวปราสาทพระวิหารได้ ซึ่งนายสุวิทย์ ยืนยันไม่รับร่างดังกล่าว เพราะเกรงว่าการบูรณะปราสาทพระวิหารจะสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดนและอำนาจอธิปไตยของไทย นายสุวิทย์ ยังบอกด้วยว่า หากผู้อำนวยการยูเนสโกดึงดันจะพิจารณาร่างข้อมติดังกล่าว ไทยอาจจะต้องประกาศถอนตัวจากการเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลก

ทั้งนี้ มีรายงานว่า สมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ไม่เห็นด้วยกับร่างข้อมติของผู้อำนวยการยูเนสโกเช่นกัน โดยได้สั่งให้นายซก อาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาของฝ่ายกัมพูชา เดินหน้าชนแบบแตกหัก ไม่ต้องรับร่างข้อมติของผู้อำนวยการยูเนสโก แต่ให้เดินหน้าผลักดันให้ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกเห็นชอบแผนบริหารจัดการของกัมพูชาให้ได้ เพราะมั่นใจว่า เสียงคณะกรรมการที่เห็นด้วยกับข้อเสนอกัมพูชานั้นมีเกินครึ่งของคณะกรรมการทั้งหมดแน่

ขณะที่นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ของไทย นายเทพมนตรี ลิมปพยอม แนะว่า นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต้องลาออกจากการเป็นภาคีสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลก อย่ารอให้มีการประชุมและแพ้โหวตเด็ดขาด เพราะจะถือว่าประเทศไทยแพ้ราบคาบ

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลายฝ่ายได้ออกมาสนับสนุนให้นายสุวิทย์ลาออกจากการเป็นภาคีสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลก เช่น นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา โดยแนะว่า หากคณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารของกัมพูชา ไทยก็ควรถอนตัวจากการเป็นคณะกรรมการมรดกโลก เพื่อสะท้อนว่าไทยไม่ยอมรับมติของคณะกรรมการมรดกโลก และคณะกรรมการมรดกโลกก็ไม่สามารถนำมติมาบังคับไทยให้ยอมรับได้

ทั้งนี้ เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา(25 มิ.ย.) มีข่าวว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบจากนายสุวิทย์ คุณกิตติ ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกได้มีมติให้เลื่อนการพิจารณาแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารออกไปแล้ว แต่ให้กัมพูชาบูรณะซ่อมแซมตัวปราสาทพระวิหารได้ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ ยังย้ำว่า ไทยต้องเคารพมติที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก แต่ต้องดูว่าการบูรณะตัวปราสาทพระวิหารจะส่งผลกระทบต่อไทยหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ได้มีข่าวด่วนจากนายสุวิทย์ในช่วงดึกวันเดียวกัน(25 มิ.ย.) โดยนายสุวิทย์ ได้ทวิตข้อความผ่าน @Suwitkhunkitti ว่า คณะกรรมการมรดกโลกได้บรรจุวาระการพิจารณาแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารของกัมพูชาเข้าไว้ในวาระการประชุมแล้ว โดยไม่ยอมเลื่อนการพิจารณาตามที่ไทยร้องขอ ตนในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทย จึงได้ประกาศถอนตัวจากการเป็นภาคีสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลกเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากไม่มีประโยชน์อะไรที่ประเทศไทยจะอยู่ในสังคมที่ไม่มีกติกาแบบนี้ พร้อมยืนยันว่า ทุกคนได้ทำหน้าที่ในการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศอย่างเต็มความสามารถแล้ว ทำทุกอย่างเท่าที่ควรและจำเป็นต้องทำไปหมดแล้ว

ด้านนายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ และตัวแทนคณะกรรมการปกป้องราชอาณาจักรไทย ที่ได้ร่วมเดินทางไปสังเกตการณ์การประชุมคณะกรรมการมรดกโลกด้วย ได้โฟนอินมายังเวที “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยแสดงความชื่นชมนายสุวิทย์ที่ตัดสินใจลาออกจากการเป็นภาคีสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลก เพราะเมื่อคณะกรรมการมรดกโลกไม่ยอมเลื่อนพิจารณาแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร ไทยก็ต้องลาออก เนื่องจากแผนบริหารจัดการดังกล่าวรุกล้ำอธิปไตยของไทย ส่วนผลที่จะเกิดขึ้นหลังจากไทยถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลกนั้น นายเทพมนตรี บอกว่า กัมพูชาจะไม่สามารถใช้พื้นที่รอบปราสาทพระวิหารได้อีกต่อไป โดยทหารไทยต้องยกกำลังไปตรึงพื้นที่เอาไว้ เพราะพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทย หากไม่สามารถเจรจากันได้ ก็ต้องใช้กำลังทหารผลักดันออกไป

อนึ่ง การถอนตัวออกจากภาคีสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลก เป็น 1 ในข้อเรียกร้อง 3 ข้อที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรียกร้องต่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์มาตั้งแต่เริ่มชุมนุมเมื่อวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากพันธมิตรฯ เห็นว่า หากคณะกรรมการมรดกโลกมีมติเห็นชอบแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารของกัมพูชา จะส่งผลให้ไทยต้องสูญเสียดินแดนโดยรอบปราสาทพระวิหาร

3. “นปช.” ซัด “ปชป.” ปราศรัยใส่ร้ายเป็นชายชุดดำ ด้าน “พันธมิตรฯ” ยื่นยุบ พท. แล้ว เล็งยุบ “ปชป.”ต่อ!

บรรยากาศการปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ที่แยกราชประสงค์(23 มิ.ย.)
กระแสการเมืองในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ไฮไลต์อยู่ที่การจัดปราศรัยหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ที่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. ซึ่งก่อนหน้าจะถึงวันปราศรัย หลายฝ่ายได้ออกมาคัดค้านว่าเป็นสถานที่ที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดงที่ชี้ว่า จะเป็นการเหยียบย่ำและเยาะเย้ยวีรชนที่เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันไม่เปลี่ยนที่ปราศรัย เพราะทุกคนมีสิทธิจะใช้พื้นที่ดังกล่าว ไม่มีคนกลุ่มใดสีใดสามารถผูกขาดพื้นที่แยกราชประสงค์ได้ พร้อมยืนยันว่า พื้นที่ราชประสงค์ไม่มีใครเสียชีวิต เพราะเจ้าหน้าที่ไม่เคยเข้าไปสลายการชุมนุมในพื้นที่ดังกล่าว มีแต่บริเวณสวนลุมพินีที่เป็นจุดซ่องสุมคนและอาวุธ ส่วนเหตุที่เกิดในวัดปทุมวนารามยังต้องค้นหาความจริงต่อไป

ขณะที่นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ได้ออกมาแสดงความกังวลว่า การปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะมีขึ้นที่แยกราชประสงค์จะก่อให้เกิดความวุ่นวายตามมาหรือไม่ เพราะหากมีการพูดโยงไปถึงเหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมาและพูดลึกเกินไป อีกฝ่ายคงไม่ยอมแน่ นายบรรหาร ยังแนะด้วยว่า คนไทยต้องหัดลืม ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองจะเดินหน้าไปไม่ได้ “ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ผมได้เตรียมวัดไปบวชแล้ว ไปเป็นหลวงตา ผมยังเคยคิดว่าบั้นปลายชีวิตจะบวชสักพรรษาหนึ่ง เพราะเห็นการเมืองแล้วเบื่อ ไม่รู้เป็นไง แต่ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าถ้าพ้นจากการถูกตัดสิทธิ(ทางการเมือง)อาจจะเลิกเบื่อบ้างก็ได้”

ส่วนบรรยากาศการปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์เมื่อเย็นวันที่ 23 มิ.ย.นั้น ปรากฏว่ามีประชาชนมาร่วมฟังประมาณ 2,000 คน ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มารักษาความปลอดภัยการปราศรัยครั้งนี้จำนวน 1,500 นาย และก่อนที่การปราศรัยจะเริ่มขึ้น ได้มีแนวร่วมของกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวน 5 คน แต่งตัวแต่งหน้าเหมือนศพนอนเรียงกันทำเหมือนคนตาย เพื่อประชดว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์สั่งฆ่าประชาชน

สำหรับไฮไลต์ของการปราศรัยในวันดังกล่าว ได้แก่ กรณีที่นายสุเทพปราศรัยแฉว่าคนชุดดำที่ปะปนอยู่กับกลุ่มเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 เป็นผู้ที่ใช้อาวุธสงครามยิงใส่ทหารและประชาชนจนเสียชีวิตจำนวนมาก “การปฏิบัติการของคนชุดดำ โดยใช้ปืนเอ็ม 79 ยิงใส่ทหาร เป็นเหตุให้ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม อดีตรอง เสธ.พล ร.2 รอ.และนายทหารอีก 5 นายเสียชีวิต นายทหารระดับล่างบางคนยังนอนอยู่ที่โรงพยาบาลจนวันนี้ เพราะถูกสะเก็ดระเบิดที่ศีรษะ มีบางคนที่สลดใจกว่านั้น คือตอนที่มีมือปืนชุดดำที่ใช้กล้องเลเซอร์ช่วยในการเล็งเป้า ยิงใส่ประชาชน ทั้งจากบนตึกและแนวราบ ยืนยันว่าที่คนฆ่าประชาชนคือชายชุดดำที่ติดอาวุธสงครามแฝงตัวเข้ามาปะปนกับกลุ่มผู้ชุมนุม หลังก่อเหตุ ส่วนหนึ่งหลบหนี ส่วนหนึ่งก็ถอดชุดดำมาทำหน้าที่การ์ด นปช.ปล้นอาวุธของเจ้าหน้าที่ไปก่อเหตุรุนแรง”

ทั้งนี้ การปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ที่แยกราชประสงค์ ส่งผลให้แกนนำคนเสื้อแดงไม่พอใจ โดยนางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้ออกมาติงพรรคประชาธิปัตย์ว่า แทนที่จะปราศรัยหาเสียงกลับเป็นการหาเรื่อง และใส่ร้ายป้ายสีภาคประชาชน “สิ่งที่ทำนั้นเป็นการแก้ตัวและฟอกตัวเอง เพราะสิ่งที่พูดนั้น เปลี่ยนจากยุทธศาสตร์การหาเสียงมาเป็นยุทธศาสตร์ในการทำลาย เพราะการหาเสียงการชูนโยบายเช่นเดิมต่อไปนั้นน่าจะไม่มีเสียงเพิ่มขึ้น จึงเปลี่ยนยุทธศาสตร์มาเป็นการทำลายล้าง แบบที่พรรคการเมืองนี้ใช้มาโดยตลอด”

ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย(พท.) อ้างว่าการปราศรัยของแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ที่แยกราชประสงค์ มีข้อความที่อาจเข้าข่ายใส่ร้ายป้ายสีทำให้ประชาชนเข้าใจพรรคเพื่อไทยผิด ซึ่งอาจมีผลต่อคะแนนนิยมของพรรค ดังนั้นอาจจะให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)เพื่อตรวจสอบต่อไป เช่น กรณีที่นายสุเทพนำคลิปการปราศรัยของตนไปเปิดและระบุว่าเป็นการสั่งให้ประชาชนลงมือเผาสถานที่ต่างๆ ทั้งที่คลิปดังกล่าวเป็นคนละเหตุการณ์ โดยเป็นการปราศรัยที่เวทีสอยดาว จ.จันทบุรี ไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมใหญ่ที่แยกราชประสงค์แต่อย่างใด

ขณะที่พรรคเพื่อไทยได้ออกแถลงการณ์โวยว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์ จงใจปราศรัยใส่ร้ายพรรคเพื่อไทยด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ เช่น กล่าวหาว่าพรรคมีนโยบายจะนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเอาเงิน 46,000 ล้านบาทคืนให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งที่พรรคไม่เคยมีนโยบายเช่นนั้นเลย

สำหรับความเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น นอกจากเดินหน้ารณรงค์โหวตโนในช่วงโค้งสุดท้ายแล้ว นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ยังได้ให้ตัวแทนไปยื่นเรื่องต่อ กกต.เพื่อให้พิจารณายุบพรรคเพื่อไทยด้วยเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. เนื่องจากมองว่ากรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้กำหนดนโยบายให้กับพรรคเพื่อไทย โดยมีป้ายหาเสียงชัดเจนว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” นั้น อาจเข้าข่ายถูกยุบพรรคตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 94(1) ทั้งนี้ นอกจากยื่น กกต.เพื่อให้ยุบพรรคเพื่อไทยแล้ว พันธมิตรฯ ยังอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานเพื่อยื่นยุบพรรคอื่นๆ ต่อไปด้วย เช่น พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ที่มีข้อความบนป้ายหาเสียงในลักษณะสัญญาว่าจะให้ ซึ่งมีโทษถึงขั้นยุบพรรคเช่นกัน

4. “พระราชินี” พระราชทานดอกไม้เยี่ยม “หมอมุก” ขณะที่ “พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์” เสด็จฯ เยี่ยม พร้อมรับสั่งจะตามเรื่องให้ได้รับความเป็นธรรมจนถึงที่สุด!
พ.ต.พญ.หทัยพร อิ่มวิทยา หรือหมอมุก แพทย์ รพ.พระมงกุฎเกล้า
ความคืบหน้าคดี พ.ต.พญ.หทัยพร อิ่มวิทยา หรือหมอมุก อายุ 34 ปี แพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ถูกรถยนต์นิสสัน ทะเบียน วค 1355 กรุงเทพมหานคร พุ่งชนอย่างแรง ขณะเตรียมถอยรถเข้าบ้านพักที่เสาวรสคลินิค ย่านถนนเศรษฐศิริ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า จนถึงขณะนี้ยังอยู่ในห้องไอซียูและไม่รู้สึกตัวนั้น

พญ.พรรณกร อิ่มวิทยา มารดาหมอมุก วัย 70 ปี ซึ่งได้เข้าแจ้งความไว้ที่ สน.พญาไท ได้ให้การกับตำรวจว่า วันเกิดเหตุหมอมุกขับรถโตโยต้า คัมรี สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน ษต 4045 กรุงเทพมหานคร กลับจากไปนมัสการหลวงปู่ท่อนที่ รพ.วิชัยยุทธ ประมาณ 21.00น. จึงกลับบ้านที่เสาวรสคลินิค ปรากฏว่า พบรถเก๋งนิสสัน ซันนี่ สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน วค 1355 กรุงเทพมหานคร จอดขวางหน้าบ้าน จึงจดทะเบียนรถไปให้ร้านอาหารสามเสนวิลล่า ซึ่งมักจะให้ลูกค้าที่มาใช้บริการจอดรถริมถนน จากนั้นหมอมุกได้จอดรถคู่กับรถคันดังกล่าวพร้อมดึงเบรกมือและเข้าห้องน้ำ กระทั่งคนขับรถคันที่จอดขวาง ซึ่งเป็นชายคล้ายนายทหารมาเลื่อนรถ โดยกลับรถไปจอดฝั่งตรงข้ามริมทางรถไฟ ถนนกำแพงเพชรตัดถนนเศรษฐศิริ หลังจากนั้นหมอมุกได้เดินไปเพื่อเตรียมจะถอยรถเข้าบ้าน ปรากฏว่าได้ยินเสียงบีบแตรดังลั่น ก่อนจะเห็นรถคันที่จอดขวางพุ่งชนหมอมุกจนลอยไปไกลกว่า 30 เมตรต่อหน้าต่อตา ตนจึงวิ่งเข้าไปดู โดยมีพยานเก็บที่ปัดน้ำฝนของรถคันที่ก่อเหตุซึ่งติดอยู่กับร่างของหมอมุกไว้เป็นหลักฐาน ทั้งนี้ พญ.พรรณกร ย้ำว่า คนขับรถคันก่อเหตุจงใจพุ่งชนหมอมุกและจะต้องมีคนคุ้มครองหรือเป็นคนมีสี จึงกล้าทำผู้หญิงได้ถึงขนาดนี้ จึงอยากขอความเป็นธรรมกับตำรวจด้วย

ทั้งนี้ ต้นสังกัดของรถคันที่ก่อเหตุ คือ สำนักงานปลัดบัญชีทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ซึ่งหลังจากตำรวจประสานไปเพื่อขอรถมาตรวจสอบ พล.ต.พิสุทธิ์ เปาอินทร์ รองปลัดบัญชีทหาร จึงได้นำรถคันดังกล่าวมาให้ตำรวจตรวจสอบที่ สน.พญาไท พล.ต.พิสุทธิ์ บอกด้วยว่า รถคันดังกล่าวเบิกจากกรมยุทธบริการมาใช้งานในสำนักงานปลัดบัญชีทหาร โดยทหารที่ดูแลรถคันนี้แจ้งว่า รถมีปัญหาหม้อน้ำรั่วซึมตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย. และใช้วิ่งภายในกรมเท่านั้น ไม่ได้นำออกไปไหน อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า รถคันดังกล่าวเป็นคันเดียวกับที่ก่อเหตุจริง

ต่อมาเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. พล.ต.พิสุทธิ์ ได้นำ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ภู่กลั่น อายุ 51 ปี ผู้อำนวยการกองกลาง สำนักงานปลัดบัญชีทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย เข้าพบพนักงานสอบสวน สน.พญาไท โดย พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ อ้างว่าตนเป็นผู้ขับรถชนหมอมุก พร้อมเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นว่า ตนขับรถพาครอบครัวไปรับประทานอาหารที่สามเสนวิลล่า โดยมีภรรยา บุตรสาว และเพื่อนบุตรสาวรวม 4 คน หลังรับประทานอาหารเสร็จ ได้เดินกลับมาที่รถ ปรากฏว่ามีรถจอดขวางอยู่ บุตรสาวจึงเขียนข้อความไว้ที่หน้ากระจกรถคันดังกล่าวว่า “จอดรถไม่มีมารยาท” ระหว่างนั้นหมอมุกเดินมาพอดี จึงมีปากเสียงกับตน ก่อนที่ตนจะขับรถออกไป โดยหมอมุกพยายามทุบกระโปรงรถ จากนั้นตนได้กลับรถไปจอดฝั่งตรงข้าม ก่อนโทรศัพท์แจ้งไปยัง 191 แต่ติดต่อไม่ได้ จึงขับรถไปต่อท้ายรถหมอมุก พร้อมหยิบกล้องมาถ่ายทะเบียนท้ายรถหมอมุกไว้ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่หมอมุกออกมายืนดู ตนจึงได้เบนหัวรถออก แต่หมอมุกได้ตรงเข้ามาขวางหน้ารถไว้ ทำให้รถเคลื่อนชนร่าง และจังหวะนั้นหมอมุกได้กระโดดเกาะกระโปรงหน้ารถ พร้อมกับคว้าที่ปัดน้ำฝนติดมือไว้ ก่อนที่ตนจะเบรกรถแล้วถอยหลังเพราะกลัวว่าจะทับร่างหมอมุก แล้วจึงขับรถออกไป ทั้งนี้ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ยืนยันด้วยว่า เหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้เจตนาจะชนหมอมุก

ด้านตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การของ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากมีความขัดแย้งในตัวเองและไม่สอดคล้องกับพยานหลักฐาน เช่น กรณีที่ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ อ้างว่า ไม่ได้ขับรถชนหมอมุก แต่หมอมุกกระโดดใส่รถเองนั้น จากการตรวจสอบไม่พบว่ามีรอยบุบหรือการทำสีใหม่ที่กระโปรงหน้ารถแต่อย่างใด ประกอบกับร่างกายหมอมุกก็ไม่มีบาดแผลจากการกระทบกระแทกกับรถแต่อย่างใด มีแต่อาการบาดเจ็บที่ศีรษะเท่านั้น

เมื่อคำให้การยังแย้งกับพยานหลักฐาน ประกอบกับต้องสอบปากคำผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เพิ่มเติม คือ ภรรยาและบุตรสาว รวมทั้งเพื่อนของบุตรสาว พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ตำรวจจึงยังไม่ตั้งข้อกล่าวหา พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ได้นำนางสภาวัน ภูกลั่น ภรรยา เข้าให้ปากคำกับตำรวจแล้ว โดยให้การสอดคล้องกับ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ อขณะที่บุตรสาวและเพื่อนของบุตรสาวนั้น ยังไม่ได้เข้าให้ปากคำ โดยอ้างว่าติดเรียน คาดว่าจะเข้าให้ปากคำในสัปดาห์หน้า

ด้าน พ.ต.อ.วีรวิทย์ จันทร์จำเริญ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เผยว่า ขณะนี้สำนวนคดีหมอมุกคืบหน้าไปกว่าร้อยละ 70 แล้ว แต่ตัวละครที่ได้มายังไม่ครบ ต้องเรียกสอบเพิ่ม ส่วนกล้องซีซีทีวีที่บันทึกเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุอยู่ระหว่างทำให้ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งตัวกล้องจะบอกได้ว่าใครเป็นคนขับรถคันที่ก่อเหตุ คาดว่าสำนวนคดีจะเสร็จสิ้นในสัปดาห์หน้า พ.ต.อ.วีรวิทย์ ยังบอกด้วยว่า ยังไม่สามารถตอบได้ว่า หมอมุกถูกรถชนหรือกระโดดใส่รถ เพราะต้องรอผลพิสูจน์จากพยาน รวมถึงความน่าจะเป็น ซึ่งกองพิสูจน์หลักฐานอาจส่งข้อมูลให้ในวันที่ 27-28 มิ.ย. ส่วนพยานอาจนัดมาสอบเพิ่มในวันที่ 28-29 มิ.ย. จากนั้นต้องนำพยานหลักฐานทั้งหมดมารวมกันจึงจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนอีกครั้ง

สำหรับหมอมุกที่ยังคงรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าโดยใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่นั้น ปรากฏว่าในแต่ละวันนอกจากมีญาติและเพื่อนๆ รวมทั้งประชาชนทั่วไปที่ทราบข่าวไปลงชื่อในสมุดเยี่ยมเพื่อให้กำลังใจให้หมอมุกหายโดยเร็วแล้ว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้โปรดเกล้าฯ ให้ผู้แทนพระองค์อัญเชิญแจกันดอกไม้พระราชทาน พร้อมกระเช้าของเครื่องใช้พระราชทานให้หมอมุกเมื่อวันที่ 22 มิ.ย. และทรงรับหมอมุกเป็นคนไข้ในพระราชินูปถัมภ์ ขณะที่พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ ได้เสด็จฯ เยี่ยมอาการของหมอมุกเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. พร้อมรับสั่ง จะติดตามเรื่องให้หมอมุกได้รับความเป็นธรรมจนถึงที่สุด
กำลังโหลดความคิดเห็น