21 เมษายน 2554 เป็นวันสถาปนาศาลยุติธรรมครบรอบ 129 ปี ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาศาลยุติธรรมทำหน้าที่ในการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนมาโดยตลอด มีการพัฒนากระบวนการพิจารณาให้เหมาะสมกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงปัจจุบันที่สังคมโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก การติดต่อสื่อสารหรือการเดินทางระหว่างประเทศเป็นไปด้วยความรวดเร็วและสะดวกสบายมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ดังนั้น โอกาสที่ชาวต่างชาติจะเป็นผู้เสียหาย เป็นพยานหรือเป็นผู้กระทำความผิดในคดีที่ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยจึงมีมากขึ้นด้วยเช่นกัน คดีชาวต่างชาติที่อยู่ในความสนใจของประชาชนได้แก่ คดีวิคเตอร์ บูท และคดีราเกซ สักเสนา เป็นต้น
ปัญหาที่ตามมา คือ หากชาวต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับคดีไม่ว่าจะเป็นโจทก์ จำเลย เป็นผู้ต้องหา ผู้เสียหายหรือพยานนั้น ไม่สามารถสื่อสารภาษาของประเทศนั้นๆได้ กระบวนการยุติธรรมจะดำเนินไปอย่างไร....?
“ล่าม” จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญเป็นตัวกลางในการสื่อสารแปลความหมายจากภาษาหนึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่ง สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีที่เป็นชาวต่างชาติในระหว่างดำเนินกระบวนการพิจารณา เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมสามารถดำเนินต่อไปได้
ในระดับสากลกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง พ.ศ. 2509 (International Covenant on Civil and Political Rights,1966) ซึ่งประเทศไทยเข้าเป็นภาคีกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองโดยการภาคยานุวัติเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2539 โดยมีผลใช้บังคับกับประเทศไทยเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2540 ระบุว่า
“ในการตัดสินคดีข้อหาทางอาญา ทุกคนชอบที่จะได้รับหลักประกันขั้นต่ำอย่างเสมอภาคโดยเต็มที่ คือ ต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างไม่คิดมูลค่าหรือไม่มีค่าตอบแทนในเรื่องล่าม ถ้าผู้นั้นไม่สามารถเข้าใจภาษาที่ใช้ในศาลนั้นได้
สำหรับประเทศไทยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 13 บัญญัติให้การสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้อง หรือพิจารณาคดีให้ใช้ภาษาไทย แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องแปลภาษาไทยท้องถิ่นหรือภาษาถิ่นหรือภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทยหรือต้องแปลภาษาไทยเป็นภาษาไทยท้องถิ่นหรือภาษาถิ่นเป็นภาษาต่างประเทศให้ใช้ล่ามแปล กรณีที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นชาวต่างประเทศไม่สามารถพูดหรือเข้าใจภาษาไทยได้ หากผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่ได้นำล่ามมาแปลเอง กฎหมายกำหนดให้พนักงานอัยการหรือศาลจัดหาล่ามให้
กรณีผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่สามารถพูดหรือได้ยินหรือสื่อความหมายได้ เช่น หูหนวกหรือเป็นใบ้ กฎหมายบัญญัติให้ศาลจัดหาล่ามภาษามือให้
ผู้ที่จะมาทำหน้าที่ล่ามนั้นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในภาษานั้นๆ สำหรับภาษาที่เป็นสากลเช่น ภาษาอังกฤษ สำนักงานศาลยุติธรรมได้จัดให้มีการอบรมเพื่อสร้างความเชี่ยวชาญให้แก่ล่าม แต่สำหรับภาษาอื่นๆ เช่น ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาพม่า หรือภาษามือฯลฯนั้นยังไม่ได้จัดการอบรมเช่นภาษาอังกฤษ หากล่ามไม่มีความรู้ ความสามารถ หรือมีความเชี่ยวชาญเพียงพออาจก่อให้เกิดปัญหาในการดำเนินกระบวนพิจารณาได้
สำนักงานศาลยุติธรรมได้ตระหนักถึงความสำคัญของการทำหน้าที่ล่าม จึงจัดทำประมวลจริยธรรมล่ามในศาลยุติธรรม ทั้งหมด 5 ข้อ เพื่อให้การทำหน้าที่ ”ล่าม” เป็นไปในแนวทางเดียวกัน เป็นไปอย่างถูกต้อง เที่ยงตรง เป็นธรรมและสามารถตรวจสอบได้
ประมวลจริยธรรมล่ามในศาลยุติธรรมได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2554 โดยมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้
ข้อ 1 หน้าที่ที่สำคัญของล่ามในศาลยุติธรรมคือ แปลภาษาไทยท้องถิ่น ภาษาถิ่น ภาษาต่างประเทศ ภาษามือ หรือสื่อความหมายโดยวิธีอื่น โดยจักต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เป็นกลาง ปราศจากอคติ ประพฤติตนตามกฎหมายและทำนองคลองธรรม อยู่ในกรอบศีลธรรมและจริยธรรม มีความรู้และความเข้าใจในภาษาที่แปลอย่างถ่องแท้และมีความพร้อมที่จะเสียสละเพื่อส่วนรวมเป็นสำคัญ ทั้งจักต้องแสดงให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนด้วยว่าตนปฏิบัติเช่นนี้อย่างเคร่งครัดครบถ้วน
กรณีที่ล่ามมีหรืออาจมีผลประโยชน์ขัดกันในคดี ล่ามจักต้องแจ้งถึงผลประโยชน์ขัดกันที่มีอยู่หรืออาจจะมีในคดีให้ศาลแจ้งผู้รับผิดชอบราชการศาลทราบ พฤติการณ์ที่อาจสันนิษฐานได้ว่าจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ขัดกันในคดีดังกล่าวรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้เช่น ล่ามเป็นเพื่อน หรือญาติของคู่ความหรือทนายความของคู่ความ ล่ามเคยปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวข้องกับคดีหรือเคยตระเตรียมคดีนั้นมาก่อน ล่าม คู่สมรสของล่ามหรือบุตรมีส่วนได้เสียทางการเงินในเรื่องที่พิพาทหรือกับคู่ความในกระบวนพิจารณาคดี หรือมีส่วนได้เสียอื่นใดกับคดี
ข้อ 2 ในขณะปฏิบัติหน้าที่ ล่ามต้องปฏิบัติหน้าที่¬ให้อยู่ในขอบเขตของการแปล และไม่ให้คำแนะนำ หรือแสดงความคิดเห็นแก่บุคคลที่ตนปฏิบัติหน้าที่เป็นล่าม ทั้งต้องไม่กระทำการใดๆ ที่อาจถือได้ว่าเป็นการทำหน้าที่อื่นนอกจากการแปล
ล่ามควรจำกัดบทบาทของตนเองไว้เฉพาะการแปล ทั้งการแปลคำพูด เอกสาร ภาษามือ หรือสื่อความหมายโดยวิธีอื่นใด และต้องแปลให้ถูกต้องและครบถ้วน โดยไม่เปลี่ยนแปลง ตัดทอน หรือเพิ่มเติมข้อความหรือสิ่งอื่นใด ทั้งต้องไม่อธิบายความหมายเพิ่มเติมในการแปลด้วย
ข้อ 3 ล่ามต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเรียบร้อยและเคารพนับถือศาล ทั้งควรทราบและปฏิบัติตามกระบวนพิจารณาคดีในศาล ระเบียบ กฎเกณฑ์ ตลอดจนขั้นตอนในการแปล
ล่ามควรพูดในอัตราความเร็วและระดับเสียงที่สามารถได้ยินทั่วทั้งห้องพิจารณา และควรแต่งกายให้สุภาพเพื่อเป็นการให้ความเคารพศาลในการดำเนินกระบวนพิจารณา อีกทั้งล่ามควรหลีกเลี่ยงการกระทำใด ๆ ไม่ว่าในทางส่วนตัวหรือทางวิชาชีพที่จะก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อศาล
ข้อ 4 กรณีที่ศาลมีคำสั่ง ล่ามต้องแสดงหนังสือรับรองการฝึกอบรมหรือประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการแปลอย่างถูกต้องและครบถ้วน และ
ข้อ 5 ล่ามต้องรักษาข้อมูลเกี่ยวกับคดีที่ตนปฏิบัติหน้าที่ไว้เป็นความลับ
แม้ว่าล่ามจะต้องรักษาความลับในข้อเท็จจริงที่ตนได้ล่วงรู้จากการปฏิบัติหน้าที่ก็ตาม แต่หากข้อมูลที่ตนล่วงรู้มานั้นเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงแก่บุคคลหรือเป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับอาชญากรรมซึ่งจะเกิดขึ้นในระหว่างกระบวนพิจารณา ล่ามพึงแจ้งข้อมูลดังกล่าวต่อผู้รับผิดชอบราชการศาลในทันที
ล่ามต้องไม่สนทนา รายงาน หรือให้ความเห็นใดๆ ต่อสาธารณะเกี่ยวกับคดีที่ตนมีส่วนเกี่ยวข้อง แม้ว่าข้อมูลดังกล่าวจะมิใช่ข้อมูลลับเฉพาะหรือมีกฎหมายบัญญัติไว้ให้เป็นความลับก็ตาม
หากมีการบังคับใช้และปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมล่ามอย่างเคร่งครัด ย่อมเป็นหลักประกันความยุติธรรมให้กับประชาชนอีกทางหนึ่ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่าทุกคนสามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้โดยไม่มีการแบ่งแยกแม้จะต่างชาติต่างภาษา เป็นมาตรฐานเพื่อนำไปสู่ความยุติธรรมที่ก้าวไกล โปร่งใส และเป็นธรรม
สราวุธ เบญจกุล
รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม
ปัญหาที่ตามมา คือ หากชาวต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับคดีไม่ว่าจะเป็นโจทก์ จำเลย เป็นผู้ต้องหา ผู้เสียหายหรือพยานนั้น ไม่สามารถสื่อสารภาษาของประเทศนั้นๆได้ กระบวนการยุติธรรมจะดำเนินไปอย่างไร....?
“ล่าม” จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญเป็นตัวกลางในการสื่อสารแปลความหมายจากภาษาหนึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่ง สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีที่เป็นชาวต่างชาติในระหว่างดำเนินกระบวนการพิจารณา เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมสามารถดำเนินต่อไปได้
ในระดับสากลกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง พ.ศ. 2509 (International Covenant on Civil and Political Rights,1966) ซึ่งประเทศไทยเข้าเป็นภาคีกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองโดยการภาคยานุวัติเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2539 โดยมีผลใช้บังคับกับประเทศไทยเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2540 ระบุว่า
“ในการตัดสินคดีข้อหาทางอาญา ทุกคนชอบที่จะได้รับหลักประกันขั้นต่ำอย่างเสมอภาคโดยเต็มที่ คือ ต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างไม่คิดมูลค่าหรือไม่มีค่าตอบแทนในเรื่องล่าม ถ้าผู้นั้นไม่สามารถเข้าใจภาษาที่ใช้ในศาลนั้นได้
สำหรับประเทศไทยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 13 บัญญัติให้การสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้อง หรือพิจารณาคดีให้ใช้ภาษาไทย แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องแปลภาษาไทยท้องถิ่นหรือภาษาถิ่นหรือภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทยหรือต้องแปลภาษาไทยเป็นภาษาไทยท้องถิ่นหรือภาษาถิ่นเป็นภาษาต่างประเทศให้ใช้ล่ามแปล กรณีที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นชาวต่างประเทศไม่สามารถพูดหรือเข้าใจภาษาไทยได้ หากผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่ได้นำล่ามมาแปลเอง กฎหมายกำหนดให้พนักงานอัยการหรือศาลจัดหาล่ามให้
กรณีผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่สามารถพูดหรือได้ยินหรือสื่อความหมายได้ เช่น หูหนวกหรือเป็นใบ้ กฎหมายบัญญัติให้ศาลจัดหาล่ามภาษามือให้
ผู้ที่จะมาทำหน้าที่ล่ามนั้นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในภาษานั้นๆ สำหรับภาษาที่เป็นสากลเช่น ภาษาอังกฤษ สำนักงานศาลยุติธรรมได้จัดให้มีการอบรมเพื่อสร้างความเชี่ยวชาญให้แก่ล่าม แต่สำหรับภาษาอื่นๆ เช่น ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาพม่า หรือภาษามือฯลฯนั้นยังไม่ได้จัดการอบรมเช่นภาษาอังกฤษ หากล่ามไม่มีความรู้ ความสามารถ หรือมีความเชี่ยวชาญเพียงพออาจก่อให้เกิดปัญหาในการดำเนินกระบวนพิจารณาได้
สำนักงานศาลยุติธรรมได้ตระหนักถึงความสำคัญของการทำหน้าที่ล่าม จึงจัดทำประมวลจริยธรรมล่ามในศาลยุติธรรม ทั้งหมด 5 ข้อ เพื่อให้การทำหน้าที่ ”ล่าม” เป็นไปในแนวทางเดียวกัน เป็นไปอย่างถูกต้อง เที่ยงตรง เป็นธรรมและสามารถตรวจสอบได้
ประมวลจริยธรรมล่ามในศาลยุติธรรมได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2554 โดยมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้
ข้อ 1 หน้าที่ที่สำคัญของล่ามในศาลยุติธรรมคือ แปลภาษาไทยท้องถิ่น ภาษาถิ่น ภาษาต่างประเทศ ภาษามือ หรือสื่อความหมายโดยวิธีอื่น โดยจักต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เป็นกลาง ปราศจากอคติ ประพฤติตนตามกฎหมายและทำนองคลองธรรม อยู่ในกรอบศีลธรรมและจริยธรรม มีความรู้และความเข้าใจในภาษาที่แปลอย่างถ่องแท้และมีความพร้อมที่จะเสียสละเพื่อส่วนรวมเป็นสำคัญ ทั้งจักต้องแสดงให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนด้วยว่าตนปฏิบัติเช่นนี้อย่างเคร่งครัดครบถ้วน
กรณีที่ล่ามมีหรืออาจมีผลประโยชน์ขัดกันในคดี ล่ามจักต้องแจ้งถึงผลประโยชน์ขัดกันที่มีอยู่หรืออาจจะมีในคดีให้ศาลแจ้งผู้รับผิดชอบราชการศาลทราบ พฤติการณ์ที่อาจสันนิษฐานได้ว่าจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ขัดกันในคดีดังกล่าวรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้เช่น ล่ามเป็นเพื่อน หรือญาติของคู่ความหรือทนายความของคู่ความ ล่ามเคยปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวข้องกับคดีหรือเคยตระเตรียมคดีนั้นมาก่อน ล่าม คู่สมรสของล่ามหรือบุตรมีส่วนได้เสียทางการเงินในเรื่องที่พิพาทหรือกับคู่ความในกระบวนพิจารณาคดี หรือมีส่วนได้เสียอื่นใดกับคดี
ข้อ 2 ในขณะปฏิบัติหน้าที่ ล่ามต้องปฏิบัติหน้าที่¬ให้อยู่ในขอบเขตของการแปล และไม่ให้คำแนะนำ หรือแสดงความคิดเห็นแก่บุคคลที่ตนปฏิบัติหน้าที่เป็นล่าม ทั้งต้องไม่กระทำการใดๆ ที่อาจถือได้ว่าเป็นการทำหน้าที่อื่นนอกจากการแปล
ล่ามควรจำกัดบทบาทของตนเองไว้เฉพาะการแปล ทั้งการแปลคำพูด เอกสาร ภาษามือ หรือสื่อความหมายโดยวิธีอื่นใด และต้องแปลให้ถูกต้องและครบถ้วน โดยไม่เปลี่ยนแปลง ตัดทอน หรือเพิ่มเติมข้อความหรือสิ่งอื่นใด ทั้งต้องไม่อธิบายความหมายเพิ่มเติมในการแปลด้วย
ข้อ 3 ล่ามต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเรียบร้อยและเคารพนับถือศาล ทั้งควรทราบและปฏิบัติตามกระบวนพิจารณาคดีในศาล ระเบียบ กฎเกณฑ์ ตลอดจนขั้นตอนในการแปล
ล่ามควรพูดในอัตราความเร็วและระดับเสียงที่สามารถได้ยินทั่วทั้งห้องพิจารณา และควรแต่งกายให้สุภาพเพื่อเป็นการให้ความเคารพศาลในการดำเนินกระบวนพิจารณา อีกทั้งล่ามควรหลีกเลี่ยงการกระทำใด ๆ ไม่ว่าในทางส่วนตัวหรือทางวิชาชีพที่จะก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อศาล
ข้อ 4 กรณีที่ศาลมีคำสั่ง ล่ามต้องแสดงหนังสือรับรองการฝึกอบรมหรือประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการแปลอย่างถูกต้องและครบถ้วน และ
ข้อ 5 ล่ามต้องรักษาข้อมูลเกี่ยวกับคดีที่ตนปฏิบัติหน้าที่ไว้เป็นความลับ
แม้ว่าล่ามจะต้องรักษาความลับในข้อเท็จจริงที่ตนได้ล่วงรู้จากการปฏิบัติหน้าที่ก็ตาม แต่หากข้อมูลที่ตนล่วงรู้มานั้นเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงแก่บุคคลหรือเป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับอาชญากรรมซึ่งจะเกิดขึ้นในระหว่างกระบวนพิจารณา ล่ามพึงแจ้งข้อมูลดังกล่าวต่อผู้รับผิดชอบราชการศาลในทันที
ล่ามต้องไม่สนทนา รายงาน หรือให้ความเห็นใดๆ ต่อสาธารณะเกี่ยวกับคดีที่ตนมีส่วนเกี่ยวข้อง แม้ว่าข้อมูลดังกล่าวจะมิใช่ข้อมูลลับเฉพาะหรือมีกฎหมายบัญญัติไว้ให้เป็นความลับก็ตาม
หากมีการบังคับใช้และปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมล่ามอย่างเคร่งครัด ย่อมเป็นหลักประกันความยุติธรรมให้กับประชาชนอีกทางหนึ่ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่าทุกคนสามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้โดยไม่มีการแบ่งแยกแม้จะต่างชาติต่างภาษา เป็นมาตรฐานเพื่อนำไปสู่ความยุติธรรมที่ก้าวไกล โปร่งใส และเป็นธรรม
สราวุธ เบญจกุล
รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม