คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.“ในหลวง” เสด็จฯ ทอดพระเนตรเจ้าพระยาครั้งแรกหลังผ่าตัด - “ฟ้าหญิงจุฬาภรณฯ” ทรงเผย “อีก 2 เดือน พ่อจะเดินให้ดู”!
เมื่อวันที่ 23 พ.ค. สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ความคืบหน้าพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลังคณะแพทย์ได้ถวายการตรวจทางรังสีวิทยาด้วยเครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อติดตามผลการผ่าตัดรักษาภาวะน้ำไขสันหลังในโพรงสมองมากกว่าปกติ ซึ่งผลปรากฏว่า น้ำไขสันหลังในโพรงพระสมองลดลงเป็นที่น่าพอใจของคณะแพทย์ และไม่พบโรคแทรกซ้อนใดใด เป็นผลให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเคลื่อนไหวพระอิริยาบถได้คล่องขึ้น อย่างไรก็ตาม คณะแพทย์ได้ขอให้ทรงออกกำลังพระกล้ามเนื้อ พระเพลา(ขา) และพระบาท(เท้า)ต่อไป
ทั้งนี้ วันต่อมา(24 พ.ค.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯ ประทับรถเข็นไฟฟ้าพระที่นั่งจากอาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ขึ้นไปยังบริเวณดาดฟ้า เพื่อทอดพระเนตรวิวทิวทัศน์โดยรอบโรงพยาบาล จากนั้นได้เสด็จฯ ลงมาทอดพระเนตรทัศนียภาพริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งนับเป็นครั้งแรกหลังพระองค์ทรงเข้ารับการผ่าตัดเมื่อวันที่ 2 พ.ค.
เป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างเสด็จฯ ไปยังท่าน้ำบริเวณลานสระว่ายน้ำสมาคมศิษย์เก่าแพทย์ศิริราช ในพระบรมราชูปถัมภ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระพักตร์สดใส ทรงแย้มพระสรวลพร้อมทั้งโบกพระหัตถ์ให้กับประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จบริเวณถนนโดยรอบโรงพยาบาลศิริราช โดยประชาชนต่างเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงใช้เวลาทอดพระเนตรทิวทัศน์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นเวลานานถึง 2 ชั่วโมง 30 นาที
อนึ่ง ก่อนหน้าที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จฯ ลงจากอาคารเฉลิมพระเกียรติเพื่อทอดพระเนตรทัศนียภาพริมแม่น้ำเจ้าพระยา 2 วัน(22 พ.ค.) สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ในฐานะประธานกิตติมศักดิ์มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี(พอ.สว.) ทรงเล่าถึงพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้คณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และอาสาสมัคร พอ.สว.ฟัง ระหว่างเสด็จฯ เยี่ยมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ที่ไปตรวจสุขภาพและรักษาโรคที่โรงเรียนชุมชนบ้านสร้างค้อ อ.ภูพาน จ.สกลนคร ตอนหนึ่งว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งว่า หลังจากที่พระองค์ทรงเข้ารับการผ่าตัดเมื่อวันที่ 2 พ.ค. พระองค์รู้สึกสบายพระวรกายมากขึ้น ยังรับสั่งกับข้าพเจ้าด้วยว่า อีกประมาณ 2 เดือน พระองค์จะทรงเดินให้ข้าพเจ้าดู พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังรับสั่งด้วยว่า รู้สึกมีกำลังพระทัยมากที่ได้เห็นประชาชนคนไทยเดินทางมาลงนามถวายพระพร พร้อมทั้งนำของมาทูลเกล้าฯ ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่นำมาทูลเกล้าฯ นั้น ได้ถึงพระเนตรพระกรรณของพระองค์ทุกอย่าง และมีกำลังพระหทัยที่ได้รับการเอาใจใส่จากประชาชน ใครไม่รักพระองค์ก็น่าแปลก เพราะพระองค์ท่านทำงาน 60 ปี ทรงตรากตรำ พร้อมทั้งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ดูทุกเรื่อง ทั้งศิลปาชีพ การค้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ต่างจังหวัดไม่หยุด เวลานี้พระกำลังถดถอย ธันวาคมปีนี้ก็มีพระชนมพรรษา 84 พรรษาแล้ว”
2. “เนวิน” ฟันธง “อภิสิทธิ์-ยิ่งลักษณ์” แห้วนั่งนายกฯ หลังเลือกตั้ง ด้านประธาน กกต. เล็งฟ้อง “ประเกียรติ” กล่าวหาพบ “ป๋าเปรม”!
สัปดาห์ที่ผ่านมา กระแสการเมืองนอกจากอยู่ที่เรื่องการรับสมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตจำนวน 375 เขตทั่วประเทศ ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เปิดรับสมัครระหว่าง 24-28 พ.ค. ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักแล้ว ยังมีกรณีที่นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ออกมาวิเคราะห์ว่า ทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยประเมินว่า พรรคประชาธิปัตย์จะได้ ส.ส.160 คน ส่วนพรรคเพื่อไทยจะได้ 210 คน และเหตุที่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะได้เสียงไม่ถึงครึ่งหนึ่ง เพราะยังมีกลุ่มพลังเงียบที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกใครมากถึง 50% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ดังนั้นหากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งจริง น.ส.ยิ่งลักษณ์คงไม่ได้เป็นนายกฯ เพราะจะทำให้เกิดความแตกแยกได้เหมือนสมัย พ.ต.ท.ทักษิณชูนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยเป็นนายกฯ ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณอาจตัดสินใจเปลี่ยนตัวนายกฯ จาก น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นคนอื่น
ส่วนที่เชื่อว่าหลังเลือกตั้ง นายอภิสิทธิ์ก็จะไม่ได้เป็นนายกฯ เช่นกันนั้น นายเนวิน ให้เหตุผลว่า “เมื่อพรรคประชาธิปัตย์แพ้การเลือกตั้ง เชื่อว่า นายอภิสิทธิ์ในฐานะผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 จะต้องแสดงสปิริตออกซ์ฟอร์ด ด้วยการลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพราะนายอภิสิทธิ์ไม่มีวันยอมนั่งอยู่ในตำแหน่งต่อไปแน่นอน เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์มีบรรทัดฐาน เหมือนเมื่อครั้งที่นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค เมื่อไม่สามารถนำทัพชนะเลือกตั้งได้ ก็ลาออกจากตำแหน่ง”
ทั้งนี้ การวิเคราะห์ของนายเนวิน ส่งผลให้พรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยไม่พอใจ โดยในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค ได้ออกมาชี้ว่า นายเนวินวิเคราะห์ผิด ฟันธงผิด พร้อมแนะให้นายเนวินกลับไปทำทีมฟุตบอลจะดีกว่า ส่วนที่นายเนวินระบุว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ยับเยิน นายอภิสิทธิ์ต้องลาออกนั้น นายอภิสิทธิ์ ไม่ปฏิเสธ โดยบอกว่า “ถ้าแพ้ยับเยิน ใครเขาจะอยู่ละครับ เป็นธรรมดาแหละ ผมก็บอกแล้วว่าในพรรคก็มีแนวทางในการบริหารงานอยู่แล้ว และผมก็มีแนวทางของผมชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าผมทำให้พรรคถดถอยลง ผมไม่อยู่หรอกครับ”
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก็ออกมาสวนกลับการวิเคราะห์ของนายเนวินเช่นกัน โดยบอกว่า เพิ่งรู้ว่านายเนวินตั้งตัวเป็นโหร และเป็นเจ้าสำนักโพลขึ้นมาอีกคน พร้อมแนะว่า นายเนวินไม่ควรมาทำนายทายทักอะไร แต่ควรไปดูแลอนาคตพรรคตัวเองให้ดี ให้ได้ ส.ส.อย่างที่ประกาศไว้ดีกว่า นายเนวินไม่มีสิทธิมาตัดสินอะไรแทนพรรคประชาธิปัตย์
ส่วนปฏิกิริยาของพรรคเพื่อไทย นายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะประธานภาคอีสานของพรรค ก็ได้ออกมาแขวะนายเนวินเช่นกัน โดยบอกว่า นายเนวินทำนายอย่างนี้ หมอดูคงตกงานหมด พร้อมย้อนถามนายเนวินว่า รู้จักมันสมองของ พ.ต.ท.ทักษิณดีแค่ไหน เมื่อผู้สื่อข่าวบอกว่า นายเนวินถูกมองว่าเป็นเซียนการเมือง นายพายัพ ได้สวนกลับว่า เซียนก็หมดตูดได้ทั้งนั้น เช่น เซียนไพ่ก็หมดตัว เซียนพระก็เจอพระปลอม นายพายัพ ยังยืนยันด้วยว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์จะได้เป็นนายกฯ
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 22 พ.ค. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และนักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ ได้ออกมาส่งสัญญาณทำนองว่า คนของพรรคเพื่อไทยที่จะเป็นนายกฯ นั้น อาจไม่ใช่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยบอกว่า ตอนนี้กำลังคิดอยู่ เพราะคนเป็นนายกฯ ไม่จำเป็นต้องเป็นปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 กำลังใคร่ครวญว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยเป็นเรื่องที่ควรหรือไม่ควร และว่า แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยมีหลายคน กำลังคิดว่า นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ,พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก และนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ เป็นอย่างไร
ด้านนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของนายเนวินเช่นกัน โดยเชื่อว่า หลังเลือกตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณน่าจะยังชู น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ก็น่าจะยังเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป “ต้องดูว่าพรรคเพื่อไทยได้เสียงเท่าไหร่ หากได้ไม่เกินกึ่งหนึ่งก็ต้องมีพรรคร่วมรัฐบาลมาก เมื่อโอกาสเป็นอย่างนี้ก็อยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งอาจชูคุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้ ซึ่งมันก็ดีนะ เพราะเมืองไทยไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีผู้หญิง ก็ไม่เลว ส่วนนายกฯ อภิสิทธิ์ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ก็ยังคงเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อยู่ดี”
นอกจากเรื่องการวิเคราะห์ของนายเนวินแล้ว ยังมีกรณีที่นายประเกียรติ นาสิมมา ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ออกมาปูดว่า นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ได้เข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ทำให้ กกต.ถูกมองว่าไม่เป็นกลางและรับคำสั่งใดใดจาก พล.อ.เปรมหรือไม่ ซึ่งนายอภิชาตไม่พอใจอย่างมากกับการกล่าวหาของนายประเกียรติ โดยถึงกับเขียนเอกสารชี้แจงด้วยลายมือ 5 หน้าเพื่อชี้แจงสื่อมวลชนเมื่อวานนี้(27 พ.ค.)ว่า วันที่นายประเกียรติอ้างว่าตนไปพบ พล.อ.เปรม 22 พ.ค. เป็นวันปลุกเสกพระไพรีพินาศ รุ่น กกต.ของสำนักงาน กกต.ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งตนอยู่ร่วมพิธีปลุกเสกทั้งวัน เมื่อเสร็จพิธีก็กลับบ้าน ไม่ได้ไปพบ พล.อ.เปรมตามที่นายประเกียรติกล่าวหา “การกระทำของนายประเกียรติเป็นการใส่ความผมต่อบุคคลที่สาม สร้างเรื่องขึ้นมาทำให้ผมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผมอาจจะต้องดำเนินคดีอาญานายประเกียรติต่อไป แต่ชั้นนี้ขอเตือนอย่าเอาผมไปเป็นตุ๊กตาเชิด พูดอะไรให้มีหลักฐาน ...ผมทำหน้าที่เป็นกลาง ตรงไปตรงมา ทำทุกอย่างโดยเปิดเผย ไม่มีแอบทำ ไม่เคยคิดเข้าข้างใคร ...ไม่เคยอยู่ใต้คำสั่งหรือคำบงการของใคร ผมมั่นใจว่าเป็นคนดี ถ้ามีหลักฐานว่าไปทำชั่วอย่างไร ขอให้แฉออกมา แต่ไม่ใช่พูดพล่อยๆ”
3. “พท.” ประเดิมฟ้องยุบ “ปชป.” อ้าง ใส่ร้ายแกนนำ นปช.เป็นผู้ก่อการร้าย ด้าน “สุเทพ” ยัน พูดความจริง มั่นใจ พรรคไม่ถูกยุบ!
แม้การเลือกตั้งจะยังไม่เกิดขึ้น แต่ก็เริ่มมีการฟ้องดำเนินคดีฐานหมิ่นประมาท และร้องต่อ กกต.ให้ยุบพรรคกันแล้ว ระหว่างพรรคเพื่อไทย(พท.) กับพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ชนวนเหตุมาจากการที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาตั้งข้อสังเกตว่า การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย เสนอตัวเป็นนายกฯ และประกาศแนวทางปรองดอง แต่ผู้สมัครในระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่เป็น ส.ส.แน่ๆ กลับมีชื่อนายจตุพร พรหมพันธุ์ ,นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ,นพ.เหวง โตจิราการ ที่มีส่วนร่วมการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เผาบ้านเผาเมืองมาแล้วทั้งนั้น ทำให้คนสงสัยว่า นี่มือถือสากปากถือศีลหรือไม่
ทั้งนี้ คำพูดของนายสุเทพทำให้แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และพรรคเพื่อไทยไม่พอใจอย่างมาก จึงได้หารือกับฝ่ายกฎหมายของพรรค(23 พ.ค.) ก่อนได้ข้อสรุปว่า จะยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ให้ตรวจสอบการกระทำของนายสุเทพ เพราะถือว่าเป็นการใส่ร้ายด้วยความเท็จ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในคะแนนเสียงตามมาตรา 53(5) ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. มีโทษถึงขั้นเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนาน 10 ปี และเนื่องจากนายสุเทพเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ จึงจะขอให้ กกต.พิจารณาด้วยว่า การกล่าวร้ายด้วยความเท็จนั้น ส่งผลให้ต้องยุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่
ด้านนายสุเทพ ได้ออกมายืนยันว่า ตนไม่ได้ใส่ร้าย เพียงแต่บอกให้ประชาชนพิจารณาว่า ในบรรดาผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยที่อยู่ในบัญชีรายชื่อประมาณ 22 คน บางคนมีพฤติกรรมเกี่ยวกับเรื่องการก่อการร้าย “ผมไม่ได้พูดอะไรที่เกินเลยจากความเป็นจริง คนเหล่านี้ได้สร้างความเสียหายให้กับบ้านเมือง แล้วคนเหล่านี้ก็ถูกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองรวบรวมพยานหลักฐานทำสำนวนส่งฟ้องศาลแล้ว และศาลก็รับฟ้องแล้ว แต่ขณะนี้ประกันตัวออกมา”
นายสุเทพ ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า แกนนำ นปช.พยายามผันตัวเองมาเป็น ส.ส. เพื่ออาศัยเอกสิทธิ์ ส.ส.ในการไม่ต้องขึ้นศาล และเพื่อประวิงเวลาในการต่อสู้คดี ตนจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพรรคเพื่อไทยถึงพยายามชูนโยบายล้างความผิดให้คนที่ทำผิดทางการเมือง ทั้งนี้ นายสุเทพ มั่นใจว่า สามารถสู้คดีได้ หากถูกฟ้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะตนพูดด้วยความระมัดระวัง และพูดเฉพาะที่จำเป็น นอกจากนี้ยังพูดในขณะที่ยังไม่ได้เป็นผู้สมัคร ส.ส.ด้วย
ด้านพรรคเพื่อไทย นอกจากได้เดินหน้ายื่นเรื่องให้ กกต.ตรวจสอบคำพูดของนายสุเทพว่าเข้าข่ายต้องยุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่เมื่อวันที่ 25 พ.ค.แล้ว ในส่วนของแกนนำ นปช.ทั้ง 3 คนที่ถูกนายสุเทพพาดพิง ประกอบด้วย นายจตุพร-นายณัฐวุฒิ และ นพ.เหวง ยังได้ส่งทนายเข้าแจ้งความต่อตำรวจกองปราบปรามเพื่อดำเนินคดีนายสุเทพ ฐานหมิ่นประมาทด้วย
ด้านนายสุเทพ ไม่หวั่น บอก ดีใจจะได้เอาความจริงไปพิสูจน์กันในศาล และดีใจเช่นกันที่มีการยื่นเรื่องต่อ กกต. อย่างไรก็ตาม นายสุเทพ ฝากถึง กกต.ว่า “ผมอยากจะเรียกร้อง กกต.ว่า นั่งทำอะไรอยู่ เพราะวันนี้มีพรรคการเมืองและมีมวลชนจัดตั้งมาข่มขู่คุกคามทุกวัน ทำงานร่วมกันระหว่างพรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แบ่งหน้าที่กันทำ อีกกลุ่มหนึ่งเล่นบทโอดโอย อีกกลุ่มเล่นบทคุกคามข่มขู่ทุกวัน อย่างนี้มันสอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ ถือว่าผิดหรือไม่ ซึ่งพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงมาจากรากเหง้าเดียวกัน ทำงานโดยมีเป้าหมายได้มาซึ่งอำนาจรัฐ โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องและครรลองประชาธิปไตย”
4. ไทย ยังกล่อม คกก.มรดกโลกเลื่อนพิจารณาแผนจัดการพระวิหารไม่สำเร็จ พร้อมลุ้น ศาลโลกจะสั่งไทยถอนทหารหรือไม่!
สัปดาห์ที่ผ่านมา มีความคืบหน้าที่น่าสนใจเกี่ยวกับสถานการณ์ไทย-กัมพูชา 3 เรื่อง เรื่องแรกกรณีที่อินโดนีเซียจะส่งคณะผู้สังเกตการณ์เข้ามาในประเทศไทย เพื่อเข้าไปสังเกตการณ์พื้นที่ 4.6 ตร.กม.ที่ไทยและกัมพูชาต่างอ้างความเป็นเจ้าของ เรื่องที่ 2 กรณีที่ไทยจะขอให้คณะกรรมการมรดกโลกเลื่อนประชุมพิจารณาแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารของกัมพูชาในเดือน มิ.ย.นี้ ไปเป็นปีหน้า และเรื่องที่ 3 กรณีที่กัมพูชาฟ้องศาลโลกให้ตีความพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารว่าเป็นของกัมพูชาหรือไม่ ซึ่งในส่วนของไทย ได้มีการประชุม ครม.นัดพิเศษเมื่อวันที่ 23 พ.ค.เพื่อเตรียมความพร้อมทั้ง 3 กรณีดังกล่าว
โดยหลังประชุม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เผยความคืบหน้ากรณีที่อินโดนีเซียจะส่งคณะผู้สังเกตการณ์มาไทยว่า มีขั้นตอนการดำเนินการอยู่ 2 ขั้นตอนตามที่รัฐมนตรีกลาโหมของไทยและกัมพูชาได้ตกลงกันระหว่างประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยขั้นตอนแรก จะมีการส่งคณะผู้สำรวจเข้ามาไทยก่อน เพื่อเตรียมที่พักอาศัย และกำหนดจุดที่จะให้คณะผู้สังเกตการณ์เข้ามา คาดว่าจะใช้เวลาอยู่ในไทย 2 วัน ส่วนขั้นตอนที่ 2 เมื่อคณะสำรวจเข้ามาไทยแล้ว จะมีการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา(จีบีซี) ที่ประเทศกัมพูชา โดยเนื้อหาที่จะคุยกันคือ กัมพูชาต้องถอนทหารและชาวบ้านออกจากพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.รอบปราสาทพระวิหารตามบันทึกความเข้าใจ(เอ็มโอยู)ที่ไทยและกัมพูชาทำไว้เมื่อปี 2543
นายอภิสิทธิ์ ยังย้ำด้วยว่า “ถ้าผลการประชุมจีบีซีเป็นที่น่าพอใจ ถึงจะมีการให้ผู้สังเกตการณ์เข้ามา ถ้าไม่มีการถอนทหาร จะไม่ให้ผู้สังเกตการณ์เข้ามา ยืนยันว่าจะไม่ทำให้ไทยเสียสิทธิ ทั้งเรื่องดินแดนและเรื่องอื่นๆ และเชื่อว่าจะไม่เปิดโอกาสให้ประเทศที่ 3 โดยเฉพาะอินโดนีเซียเข้ามาแทรกแซง”
ด้าน พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลง(24 พ.ค.)ว่า ชุดสำรวจดังกล่าว ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่สถานทูตของไทย กัมพูชา และอินโดนีเซียประเทศละ 3 คน ซึ่งทั้งหมดเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน และจะไม่ถืออาวุธเข้ามาในพื้นที่อย่างเด็ดขาด ส่วนจะเข้าเมื่อไหร่และเข้าพื้นที่ใดบ้างนั้น ยังไม่ได้กำหนดแน่ชัด
สำหรับความคืบหน้ากรณีที่ไทยต้องการให้คณะกรรมการมรดกโลกเลื่อนประชุมพิจารณาแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารของกัมพูชาที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 19-29 มิ.ย.นี้ ไปเป็นปีหน้านั้น นายอภิสิทธิ์ บอกว่า นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะไปหารือทวิภาคีกับตัวแทนฝ่ายกัมพูชาที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในวันที่ 25 พ.ค. ก่อนเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการที่เป็นกลไกของคณะกรรมการมรดกโลกในวันที่ 26 พ.ค.
อย่างไรก็ตาม การไปเจรจากับตัวแทนฝ่ายกัมพูชาของนายสุวิทย์ ยังไม่ประสบผลสำเร็จ โดยนายสุวิทย์เผยหลังเดินทางกลับมาในวันนี้(28 พ.ค.)ว่า หลังใช้เวลาเจรจา 3 วัน ยังไม่ได้ข้อยุติตามที่ไทยต้องการ แต่หลังจากนี้จะมีการประชุมกันอีกครั้ง ก่อนที่การประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 35 จะมีขึ้นในเดือน มิ.ย.
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายซก อาน รองนายกฯ และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ซึ่งเป็นตัวแทนของกัมพูชาที่เดินทางไปหารือกับนายสุวิทย์ ที่ฝรั่งเศส ได้ประกาศจุดยืนของกัมพูชาพร้อมทั้งกล่าวหาไทยก่อนจะออกเดินทางไปฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 24 พ.ค.ว่า “ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 35 ระหว่างวันที่ 19-29 มิ.ย. กัมพูชาจะนำเสนอรายงานให้ยูเนสโกทราบถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับปราสาทพระวิหาร หลังทหารไทยได้ยิงปืนใหญ่ถึง 414 ลูกเข้าไปในพื้นที่ปราสาทพระวิหารระหว่างการปะทะกันเมื่อวันที่ 4-7 ก.พ. โดยกัมพูชาจะร้องขอให้ยูเนสโกส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาประเมินความเสียหาย เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาเรื่องการบูรณะซ่อมแซมต่อไป”
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่ตอบโต้นายซก อาน รองนายกฯ ของกัมพูชา เพียงแต่บอกว่า คิดว่าข้อเท็จจริงต่างๆ จะเริ่มปรากฏ โดยเฉพาะกรณีที่มีทหารกัมพูชาอยู่ในบริเวณปราสาทพระวิหาร ซึ่งขัดต่อข้อตกลงระหว่างประเทศและข้อบังคับของคณะกรรมการมรดกโลก พร้อมย้ำว่า ไม่รู้สึกกังวลต่อท่าทีของกัมพูชา เพราะเชื่อว่าฝ่ายไทยสามารถยืนยันข้อเท็จจริงต่อยูเนสโกได้
ส่วนการเตรียมความพร้อมของไทยกรณีกัมพูชาฟ้องศาลโลกให้ตีความพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารว่าเป็นของกัมพูชาหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ เผยว่า ทีมกฎหมายของฝ่ายไทยจะไปยื่นความเห็นกรณีดังกล่าวต่อศาลโลกระหว่างวันที่ 30-31 พ.ค.นี้
ด้านนายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เผยว่า หลังศาลโลกได้รับฟังคำชี้แจงด้วยวาจาจากทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาในวันที่ 30-31 พ.ค.แล้ว น่าจะใช้เวลาประมาณ 1-3 สัปดาห์ในการพิจารณาว่า ระหว่างที่รอการพิจารณาคดีการตีความพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร ศาลโลกจะกำหนดมาตรการชั่วคราวตามที่กัมพูชาร้องขอหรือไม่ ซึ่งกัมพูชาขอไป 3 ประการ คือ 1.ขอให้ไทยถอนทหารออกจากบริเวณปราสาทพระวิหารทันทีและไม่มีเงื่อนไข 2.ห้ามไทยดำเนินกิจกรรมทางการทหารบริเวณปราสาทพระวิหาร และ 3.ขอให้ไทยยับยั้งการกระทำใดใดที่อาจกระทบต่อสิทธิของกัมพูชาหรือเพิ่มความขัดแย้งในคดีที่จะมีการตีความคำพิพากษา ทั้งนี้ นายธานี ยืนยันว่า หากศาลโลกมีคำวินิจฉัยออกมาตรการชั่วคราวตามที่กัมพูชาร้องขอ ก็ไม่ได้หมายความว่าศาลได้วินิจฉัยตีความคดีปราสาทพระวิหารแล้วแต่อย่างใด