1. “สุรยุทธ์” ยัน ไม่ได้อาสาเป็นคนกลางเจรจาสมานฉันท์ ด้าน “ทักษิณ” ส่งสัญญาณ “เพื่อไทย” เตรียมตัวเป็นรัฐบาล!
เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. รายการ “ลับ ลวง พราง”ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 100.5 เมกะเฮิตซ์ ได้เปิดเทปสัมภาษณ์ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ถึงความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหาความแตกแยกในบ้านเมืองด้วยการพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรว่า ไม่มีปัญหาอะไร คุยกันได้ เราต้องยอมรับความจริงว่าขณะนี้มีปัญหา แล้วจะหาทางแก้อย่างไร ซึ่งหากเราร่วมมือร่วมใจกัน ก็ไม่มีปัญหาใดที่แก้ไม่ได้ คงต้องค่อยๆ ปรับทำความเข้าใจกัน ให้เขาคิดด้วยตัวเอง และกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นสิ่งที่เราควรนำมาคิดให้ดี หากอยากให้ท่านได้สบายพระราชหฤทัย ผู้สัมภาษณ์ถามว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณ โทรศัพท์มาก็พร้อมที่จะรับหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ บอกว่า ก็ไม่มีปัญหา พร้อมจะรับ เพราะก่อนหน้านี้ก็รับอยู่แล้ว เมื่อถามว่า จะโทรศัพท์ไปหาเองเลยหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ บอกว่า คงไม่ได้ เพราะไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะไปทำอย่างนั้น...
ด้าน พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย และเพื่อนร่วมรุ่น ตท.10 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ในรายการ “ลับ ลวง พราง”เช่นกัน ถึงแนวโน้มที่จะมีการเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณเพื่อยุติความแตกแยกในบ้านเมืองว่า คงเป็นไปได้ เพราะประชาชนขณะนี้อยากให้เกิดสันติสุข พล.อ.อ.สุเมธ ยังบอกด้วยว่า พล.อ.สุรยุทธ์น่าจะเป็นคนกลางในเรื่องนี้ได้ “หากจะคุยกันในช่วงปีใหม่ก็ถือว่าดี จะได้อวยพรปีใหม่กันด้วย ขึ้นอยู่กับฝ่ายรัฐบาลด้วยว่าจะส่งใครมาเจรจาอย่างไร ทั้งนี้ ท่านน่าจะเป็นคนกลางให้ แต่ต้องประสานให้แน่ชัด”
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังรายการ “ลับ ลวง พราง” เปิดเทปสัมภาษณ์ พล.อ.สุรยุทธ์ รวมทั้งสัมภาษณ์ พล.อ.อ.สุเมธ ทำให้กระแสสังคมเข้าใจว่า พล.อ.สุรยุทธ์พร้อมจะเป็นตัวกลางเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณเพื่อยุติความแตกแยกในบ้านเมือง แม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เข้าใจเช่นนั้น โดยได้ทวิตข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ว่า “ฟังคำสัมภาษณ์คุณสุรยุทธ์แล้ว ไม่แน่ใจว่าพูดเองหรือได้รับอนุญาต? วันนี้สังคมไทยขัดแย้งกันมามากเกินไปแล้ว ...ผมคุยกับท่านในฐานะรุ่นน้องที่พูดกับรุ่นพี่และเป็นพลร่มเหมือนกันในระหว่างที่พี่เป็นนายกฯ ถึง 2 ครั้งว่า สมานฉันท์เปรียบเสมือนปรบมือข้างเดียวไม่ดัง”
ด้านนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ออกมาการันตีว่า พ.ต.ท.ทักษิณพร้อมพูดคุย แต่มีเงื่อนไข “พล.อ.สุรยุทธ์จะติดต่อมาที่ผมหรือติดต่อไปที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยินดีพูดคุย แต่หลักการพูดคุยต้องให้บ้านเมืองย้อนกลับไปก่อนวันที่ 19 ก.ย.2549 ต้องมีรัฐธรรมนูญที่เป็นธรรม ต้องเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการที่เอาข้อกล่าวหาไปถาโถมให้โดยที่ไม่เป็นธรรม ต้องพิจารณาที่ไปตั้ง คตส.แล้วเอาคนที่เป็นศัตรูมาสอบสวนเรื่องราวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ทุกส่วนมีความมั่นใจ” ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าการเจรจามีผล ยืนยันได้หรือไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะสั่งให้เสื้อแดงหยุดเคลื่อนไหวได้ นายนพดล บอกว่า มี 3 ข้อที่จำเป็นต้องอยู่ในการเจรจาด้วย คือ 1.มีรัฐธรรมนูญ 2540 หรือมีเนื้อหาใกล้เคียงมาประกาศใช้ 2.ยุบสภา และ 3.มีการเลือกตั้งใหม่ อีกทั้งทุกฝ่ายทุกสีต้องให้สัตยาบันร่วมกันว่า ต้องยอมรับผลการเลือกตั้งและไม่ไปดำเนินการใดใดนอกสภาที่จะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินหรือการบริหารประเทศเดินไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นมันก็วนกลับมาเหมือนเดิม
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง พูดถึงข้อเสนอของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ว่า การเจรจาเพื่อความสมานฉันท์ ต้องย้อนกลับไปสู่จุดเดิมก่อนมีการรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 ว่า เป็นข้อเสนอที่ไม่มีเหตุผลอย่างสิ้นเชิง เพราะการปฏิวัติจบไปนานแล้ว จนมีการเลือกตั้งใหม่ตามกระบวนการประชาธิปไตย นายสุเทพ ยังจับไต๋ พ.ต.ท.ทักษิณด้วยว่า ที่แท้แล้วเงื่อนไขทั้งหมดคือ 1.คืนอำนาจให้(พ.ต.ท.ทักษิณ) เหมือนเดิม 2.นำทรัพย์สิน(7.6 หมื่นล้าน) คืน พ.ต.ท.ทักษิณ และ 3.(พ.ต.ท.ทักษิณ) ต้องไม่ติดคุก ซึ่งสรุปก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ต้องการปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมือง ซึ่งตนไม่เห็นด้วย
ขณะที่แกนนำ นปช.ต่างพูดกันไปคนละทิศละทาง โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ดูเหมือนจะขานรับการเจรจาเพื่อความสมานฉันท์ หาก พ.ต.ท.ทักษิณบรรลุเงื่อนไขที่ต้องการ 3 ข้อ โดยนายจตุพร บอกว่า ก็ให้เปิดแถลงข่าวทำสัญญากันไปเลย ทั้งกลุ่มเสื้อแดง กลุ่มพันธมิตรฯ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย และกลุ่มเสื้อน้ำเงินว่า จะเอาผลเลือกตั้ง เอาเสียงประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศมาตัดสิน ใครแพ้หยุด ใครชนะได้ทำงาน เดิมพันแผ่นดินกันไปเลย ผลออกมาอย่างไรทุกฝ่ายต้องยอมรับ แต่ที่สำคัญอย่าใช้วิธีสกปรก ซึ่งขึ้นอยู่ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล้าหรือไม่... ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.อีกคน กลับพูดไปอีกทาง โดยบอกว่า พล.อ.สุรยุทธ์เข้าตาจนแล้วจึงออกมาเสนอให้มีการเจรจา “การออกมานำเสนอเรื่องการเจรจาของ พล.อ.สุรยุทธ์นั้น เป็นเพียงเล่ห์อำมาตย์ ที่ออกมาตบตาคนเสื้อแดง ดังนั้น ไม่ว่าการเจรจาจะเกิดขึ้นในมุมไหนอย่างไร ก็จะไม่มีผลกับการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง และยังจะดำเนินการตามมติแกนนำคนเสื้อแดงที่ได้มอบหมายให้นายสุพร อัตถาวงศ์ อดีต ส.ส.นครราชสีมา พรรคไทยรักไทยและแกนนำคนเสื้อแดง พาพี่น้องประชาชนไร้ที่ทำกินบุกขึ้นยึดที่ดินเขายายเที่ยงที่ พล.อ.สุรยุทธ์ถือครองและมีบ้านพักตากอากาศอยู่เพื่อทำกินเหมือนเดิมในวันที่ 11 ม.ค.”
ทั้งนี้ ก่อนที่กระแสจะเริ่มไปกันใหญ่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ได้เปิดแถลง(22 ธ.ค.)ปฏิเสธว่าตนไม่ได้เสนอเป็นตัวกลางเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อยุติความขัดแย้งในบ้านเมือง โดยบอกว่า ตนไม่ได้ให้สัมภาษณ์นักข่าว แต่เป็นการพูดคุยระหว่างเดินทางไปเปิดงานชาวไทยภูเขาเผ่าม้งที่บ้านน้ำจวง จ.พิษณุโลก “มีอยู่ตอนหนึ่งที่คุณวาสนา นาน่วม นักข่าวสายทหาร(ผู้ดำเนินรายการ “ลับ ลวง พราง”) ได้ถามถึงการแก้ปัญหาบ้านเมือง ผมตอบว่า มีโอกาสแก้ปัญหาได้ ทั้งเรื่องประเทศเพื่อนบ้านและปัญหาบ้านเมือง เป็นการมองในด้านที่ดีและเจตนาที่ไม่ให้เกิดปัญหาในด้านต่างๆ คุณวาสนายังได้ถามว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณโทรมาหาจะคุยหรือไม่ ซึ่งด้วยเจตนาที่เปิดเผย ไม่มีอะไร ผมจึงพูด เพราะว่าที่ผ่านมาเคยพูดกับ พ.ต.ท.ทักษิณทางโทรศัพท์ แต่ไม่ได้หมายความว่า ผมจะทำหน้าที่เป็นผู้เจรจาหรือเป็นตัวกลางในการเจรจาใดใดทั้งสิ้น เป็นเรื่องแค่การพูดคุย และพร้อมรับฟังปัญหาต่างๆ ทุกประการ แต่ผมไม่มีหน้าที่ที่จะต้องไปปฏิบัติหรือไปทำในสิ่งหนึ่งสิ่งใด”
ด้าน น.ส.วาสนา นาน่วม ผู้ดำเนินรายการ “ลับ ลวง พราง” ได้ออกมายืนยันว่า ในฐานะที่เป็นนักข่าวมา 20 กว่าปี ไม่ได้มีวาระซ่อนเร้นหรือพูดชี้นำในรายการว่า พล.อ.สุรยุทธ์จะเป็นตัวกลางเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณแต่อย่างใด “ขอให้รับทราบว่าไม่ได้มีวาระซ่อนเร้นหรือมีการชี้นำประเด็นให้เกิดขึ้น เข้าใจว่าฝ่ายเพื่อไทยหรือเสื้อแดง เมื่อมีประเด็นนี้ออกมา ก็กระโดดมาตะครุบเลยทันที จึงเป็นเรื่องเป็นราว โดยนำประเด็นเรื่องนี้ไปขยายผลเพื่อตนเอง เท่าที่ฟัง พล.อ.สุรยุทธ์ บอกว่า เราไม่ใช่วาสนาคนเดิม แสดงว่าท่านคิดว่า เมื่อก่อนเป็นพวกท่าน แล้วตอนนี้เป็นพวกทักษิณหรือยังไง ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นพวกใคร ท่านน่าจะรู้จักวาสนาดี เป็นนักข่าวต้องมีแหล่งข่าว 2 ด้าน ทุกสี ถ้าดิฉันรู้กันกับ พ.ต.ท.ทักษิณในการจุดประเด็นนี้ขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณก็ควรจะกระโดดตะครุบแล้ว แต่นี่กลับมาประชดประชัน พล.อ.สุรยุทธ์ และยื่นข้อเสนอถึง 3 ข้อ”
ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีจำคุก 2 ปี ได้วีดิโอลิงก์มายังงานเลี้ยงปีใหม่ของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่โรงแรมเอสซี ปาร์ค เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.โดยมีนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน และนายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำ นปช. ซึ่งหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นั่งขนาบข้าง พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทยว่า การที่ พล.อ.สุรยุทธ์ ชักเข้าชักออกเรื่องเจรจา แสดงว่าคงไม่ได้รับอนุญาตจริงๆ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคุยโวด้วยว่า ปีหน้าจะเป็นปีของตน และขอให้ ส.ส.ทุกคนเตรียมตัวเป็นรัฐบาล “ผมยังสบายดี ยังกินได้ ไม่ต้องห่วง ตรุษจีนนี้ขอเชียร์อยู่ข้างนอก ยังไม่ได้กลับไปตรุษจีนที่ประเทศไทย แต่กำลังคิดอยู่ว่าถ้าตรุษไทย(สงกรานต์) จะกลับไปดีหรือเปล่า...สำหรับปีใหม่ไม่รู้ว่า เดือนใดจะเป็นเดือนของพรรคเพื่อไทย แต่ที่เคยบอกว่า ทูเดย์ อีส มายเดย์ นั้น ปี 2553 จะเป็นดีส เยียร์ อีส มาย เยียร์ เพราะไม่มีครั้งใดแล้วที่ประชาชนจะออกจากบ้านมาต่อสู้กับเรามากขนาดนี้...ปีใหม่นี้ขอให้ทุกคนแข็งแรงและเตรียมตัวเป็นรัฐบาล”
2. “ฮุน เซน” อ้าง รัฐบาลไทยมีแผนปฏิวัติรัฐบาลเขมร ด้าน “อภิสิทธิ์” ยัน ไทยไม่ทำอะไรเช่นนั้น!
ความคืบหน้ากรณีสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา อ้างว่ารัฐบาลไทยมีแผนฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจรัฐบาลกัมพูชาและที่ปรึกษาส่วนตัวสมเด็จฯ ฮุน เซน ซึ่งสอดรับกับที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. อ้างว่ามีเอกสารลับของกระทรวงการต่างประเทศว่ารัฐบาลมีแผนประกาศสงครามกับกัมพูชา และมีแผนฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณนั้น
ปรากฏว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ออกมายืนยัน(20 ธ.ค.)ว่า เอกสารดังกล่าวเป็นการสรุปสถานการณ์ วิเคราะห์ และนำเสนอทางเลือกต่างๆ ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ก็ยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้คิดร้ายกับใครเป็นการส่วนตัวหรือตั้งเป้าไล่สังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมชี้ นายจตุพรควรหยุดได้แล้วเพื่อให้ประชาชนมีความสุข ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกส่วนตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ชี้ว่า นายจตุพรกำลังบิดเบือนข้อความในเอกสารลับดังกล่าว “เนื้อหาในเอกสารลับดังกล่าว แม้แต่เด็กอนุบาลที่พออ่านหนังสือออกก็ยังเข้าใจ แต่นายจตุพรกลับนำไปบิดเบือน จึงอยากถามว่า นายจตุพรเคยเรียนภาษาไทยและวิชาอ่านจับใจความบ้างหรือเปล่า จึงแปลความผิดไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ผมขอวิงวอนไปยังนายจตุพรว่า อย่านำประโยชน์ของชาติมาเป็นเกมการเมือง เพราะพฤติกรรมเหล่านี้คนไทยทั้งประเทศรู้ทัน ผมไม่อยากบอกว่า การกระทำของนายจตุพร คล้ายออกยาจักรีที่เปิดประตูเมืองพระนครศรีอยุธยาให้ทหารพม่าเข้ามาเผาเมือง”
ด้านนายจตุพร ได้ออกมาปฏิเสธว่า ตนไม่ได้เปิดประตูให้ศัตรูเข้ามาเผาเมืองตามที่โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวหา แต่เปิดประตูให้ประชาชน คนเสื้อแดงออกมาจัดการกับรัฐบาลที่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมด้วยการเร่งรัดคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณและมุ่งฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณ นายจตุพร บอกด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะแปลเอกสารลับเป็นภาษาอังกฤษเผยแพร่ในเว็บบล็อกทวิตเตอร์ส่วนตัว ให้รู้กันไปทั่วโลกว่า ไม่ใช่ขายชาติ แต่เป็นการเอาความเลวของคนในชาตินี้ออกมาให้คนอื่นได้รู้ว่าคนในประเทศนี้ไม่ได้เหมือนกันทั้งหมด นายจตุพร บอกอีกว่า ตนจะนำเอกสารลับส่วนที่ 2 จำนวน 9 หน้าออกมาเผยแพร่ในวันที่ 23 ธ.ค.เพื่อให้ตรงกับวันที่รัฐบาลจะแถลงผลงานในรอบ 1 ปี เนื่องจากเอกสารลับนี้ก็เป็นผลงานของรัฐบาลเช่นกัน
ซึ่งเมื่อถึงกำหนด(23 ธ.ค.) นายจตุพรได้นำเอกสารลับที่ว่าออกมาเปิดเผย โดยช่วงหนึ่ง เอกสารดังกล่าวมีการประเมินสถานการณ์ และระบุว่า เนื่องจากต้นเหตุของปัญหาความสัมพันธ์ไทยกับกัมพูชาในปัจจุบันมาจากการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มุ่งทำลายความอยู่รอดของรัฐบาล การจัดการกับปัญหานี้ก็จำเป็นต้องมุ่งไปที่ต้นตอของปัญหาด้วยการ 1.ขจัดภัยคุกคามหลัก 2.แยกหรือทอนความร่วมมือระหว่างอดีตนายกฯ ทักษิณกับนายกฯ กัมพูชา ทั้งนี้ นายจตุพรตีความคำว่า “ขจัดภัยคุกคามหลัก”ว่า หมายถึงการฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณ
ด้านนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เผยว่า นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงฯ ตรวจสอบหาข้อเท็จจริงว่าเอกสารลับดังกล่าวมีต้นตอมาจากที่ใด ออกมาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงฯ หรือไม่ เพราะประเทศเกิดความเสียหาย นายพนิช ยังยืนยันด้วยว่า คำว่าขจัดต้นตอของปัญหาไม่ได้หมายถึงการสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณแน่นอน
ด้าน พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการกองทัพอากาศ พูดถึงการนำเอกสารลับหรือความลับของราชการไปเปิดเผย ถือว่าผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ เช่น ระเบียบการรักษาความลับทางราชการ ที่หนักที่สุดคือ ประมวลกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของรัฐนอกราชอาณาจักร มาตรา 120 ,123 และ 124 “การไปคบคิดเพื่อให้ประโยชน์ต่อรัฐต่างประเทศหรือการกระทำอันใดที่เป็นอริเป็นปรปักษ์ต่อรัฐหรือการนำข้อมูลหรือนำเอกสารที่ปกปิดเป็นความปลอดภัยของประเทศ มีบทลงโทษที่รุนแรง โดยเฉพาะเอกสารที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของประเทศ แล้วเกิดไปเป็นประโยชน์ต่อรัฐต่างประเทศ อันนี้หนักที่สุด คิดว่าใครก็ตามที่ออกมาพูดหรือให้ข่าว ท่านต้องรับผิดชอบถ้ามีคนฟ้องร้อง”
ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าแจ้งความต่อตำรวจกองปราบปราม(23 ธ.ค.) เพื่อให้ดำเนินคดีนายจตุพร พรหมพันธุ์ ฐานนำความลับของราชการมาเปิดเผย และฐานหมิ่นประมาท เนื่องจากมีการบิดเบือนข้อเท็จจริงในเอกสารลับดังกล่าว ด้านนายจตุพร บอกว่า ไม่มีปัญหา แต่ตนจะดำเนินคดีกับนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ในฐานะปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ ละเมิดอำนาจศาล แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และมุ่งหมายเอาชีวิตของ พ.ต.ท.ทักษิณ รวมถึงการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศกัมพูชาด้วย
ด้านนายวัชระ เพชรทอง ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ได้เข้าแจ้งความต่อตำรวจ สน.นางเลิ้ง ให้ดำเนินคดีนายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช.กรณีนำเอกสารลับของทางราชการมาเผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ความจริงวันนี้ของคนเสื้อแดง ซึ่งมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 123 และ 124
เป็นที่น่าสังเกตว่า การนำเอกสารลับออกมาเปิดเผยของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ได้ทำให้สมเด็จฯ ฮุน เซน นายกฯ กัมพูชา นำไปขยายผลด้วยการนำเอกสารลับดังกล่าวรายงานให้สมเด็จนโรดม สีหมุนี กษัตริย์กัมพูชาทราบ พร้อมชี้ว่า เนื้อหาในเอกสารดังกล่าวสะท้อนถึง “บุคลิกเลวร้ายของผู้นำประเทศเพื่อนบ้าน” ไม่เท่านั้น สมเด็จฯ ฮุน เซน ยังตีความข้อความบางส่วนในเอกสารลับดังกล่าวว่าไทยมีแผนปฏิวัติรัฐบาลกัมพูชาด้วย “ในเอกสารลับบอกไว้ว่า แม้ว่ากระทรวงการต่างประเทศของไทยไม่ได้เห็นด้วยที่จะก่อรัฐประหารขึ้นในกัมพูชา ก็มีคนอื่นกำลังดำเนินการเรื่องดังกล่าวอยู่ ...อย่าแม้แต่จะคิด ผมรู้ดีว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้”
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาโต้ข้อกล่าวหาของสมเด็จฯ ฮุน เซน โดยยืนยันว่า ไทยไม่ทำอะไรเช่นนั้น นโยบายรัฐบาลไทยชัดเจนมาก 1.ต้องการรักษาความสัมพันธ์ที่ดี ไม่มีความคิดจะใช้ความรุนแรง ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะไปทำให้การค้าขายได้รับผลกระทบ 2.ไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการภายในกัมพูชา และไม่เคยเข้าไปแทรกแซงหรือเกี่ยวข้องกับการเมืองภายในกัมพูชา
ขณะที่ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า การที่สมเด็จฯ ฮุน เซน เข้าใจว่ารัฐบาลมีแผนปฏิวัติรัฐบาลกัมพูชานั้น เกิดจากความบิดเบือนของนายจตุพร พร้อมยืนยัน รัฐบาลชุดนี้ให้ความเคารพมิตรประเทศทุกประเทศ แต่ยอมรับว่า ในอดีตเคยมีการแทรกแซงและมีการปฏิวัติในกัมพูชามา 2 ครั้งแล้ว โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ร่วมมือกับสมเด็จฯ ฮุน เซน เพื่อกำจัดนายกรัฐมนตรีร่วมในขณะนั้นคือ สมเด็จเจ้านโรดม รณฤทธิ์ ที่ทำไม่สำเร็จ แต่มาสำเร็จในปี 2540 โดยผลจากการปฏิวัติครั้งนั้น คือการที่รัฐบาลกัมพูชาได้ขยายสัมปทานโทรศัพท์ให้กับบริษัทตระกูลชินวัตร จาก 15 ปี เป็น 35 ปี สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เข้าใจว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ พ.ต.ท.ทักษิณเคยมีต่อสมเด็จฯ ฮุน เซน และขณะเดียวกันการตอบแทนนั้นก็เกิดขึ้นโดยการสนับสนุนให้เกิดความวุ่นวายในประเทศไทย เพื่อโค่นล้มรัฐบาล
ด้านนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่พอใจคำพูดของ นพ.บุรณัชย์ ที่ชี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณร่วมมือกับสมเด็จฯ ฮุน เซน ทำการปฏิวัติในกัมพูชา โดยชี้ว่า เป็นการใส่ร้าย พ.ต.ท.ทักษิณด้วยความเท็จ ดังนั้นจะฟ้องร้อง นพ.บุรณัชย์ฐานหมิ่นประมาทอย่างเฉียบขาดภายในสัปดาห์หน้า
3. “เสื้อแดง” ขู่ กกต.ได้ผล “อภิชาต”ยื้อเวลาชี้ขาดยุบ-ไม่ยุบ “ปชป.” ด้าน “สดศรี” แบไต๋ พร้อมลงมติยุบ!
ความคืบหน้ากรณีที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มีมติเสียงข้างมาก 3 ต่อ 2 ให้นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะส่งกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ถูกกล่าวหาว่าได้รับเงินจากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด(มหาชน) จำนวน 258 ล้านบาท และกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวหาว่าใช้จ่ายเงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ให้อัยการสูงสุด เพื่อส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ โดยเสียงข้างมาก 3 เสียง คือ นายสมชัย จึงประเสริฐ ,นายประพันธ์ นัยโกวิท และนางสดศรี สัตยธรรม เห็นว่าควรให้นายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นผู้ใช้ดุลพินิจ ขณะที่อีก 2 เสียง คือ นายวิสุทธิ์ โพธิแท่น เห็นว่าควรส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนนายอภิชาต สุขัคคานนท์ เห็นว่าควรยกคำร้อง โดยนายอภิชาต บอกว่า หากตนเห็นว่าควรยุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็ต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุม กกต.พิจารณาเห็นชอบอีกครั้ง แต่หากตนเห็นควรให้ยกคำร้อง ก็ถือว่ายุติ แต่นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กลับออกมาพูดสวนทาง โดยบอกว่า หากนายอภิชาตเสนอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่ต้องนำเข้าที่ประชุม กกต.อีก แต่ถ้าเห็นควรให้ยกคำร้อง ต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุม กกต.พิจารณาอีกครั้ง ขณะที่แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาขู่ว่า หาก กกต.ตัดสินแบบ 2 มาตรฐาน ไม่เสนอยุบพรรคประชาธิปัตย์ ส.ส.พรรคเพื่อไทยจะเข้าชื่อยื่นถอดถอนและดำเนินคดีอาญา กกต.ทั้งคณะนั้น
ปรากฏว่า นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารการเลือกตั้ง ได้ออกมาบอกว่า การที่ กกต.เสียงข้างมากมีมติให้ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นผู้พิจารณาว่าจะยุบหรือไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่เป็นการโยนเผือกร้อนให้นายทะเบียนพรรคการเมือง แต่เป็นไปตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 และว่า หากนายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นควรให้ยุบพรรค จะต้องนำเข้าที่ประชุม กกต.เพื่อขอความเห็นชอบก่อนส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดเพื่อส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญตามกฎหมายพรรคการเมืองฉบับใหม่ พ.ศ.2550 ซึ่งต่างจากกฎหมายพรรคการเมืองฉบับเดิม พ.ศ.2541 ที่ไม่ว่านายทะเบียนพรรคการเมืองจะเห็นควรให้ยุบหรือไม่ยุบพรรค ก็ไม่ต้องขอความเห็นจากที่ประชุม กกต.ก่อน
ด้านนางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง ได้ออกอาการกลับลำโดยพูดใหม่(21 ธ.ค.)ว่า ถ้านายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นควรให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุม กกต.ก่อน แต่หากเห็นควรให้ยกคำร้อง ก็จบ ไม่ต้องนำเข้าที่ประชุม กกต.อีก
ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า พรรคยังเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์และอยากให้ กกต.พิจารณาเรื่องนี้โดยอิสระ ปราศจากแรงกดดันใดใด และไม่ควรหวั่นไหวต่อคำขู่ของพรรคเพื่อไทยที่จะยื่นถอดถอนและฟ้อง กกต. ส่วนกรณีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยเรียกร้องให้นายอภิชาต ประธาน กกต.ถอนตัวจากการพิจารณาคดีนี้ เพราะเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับนายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์นั้น นายเทพไท บอกว่า เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เพราะประธาน กกต.เป็นเพื่อนกับนักการเมืองพรรคเพื่อไทยหลายคน อีกทั้ง กกต.ทั้ง 5 คนก็เคยเรียนร่วมรุ่นและเคยรู้จักกับนายบัญญัติทั้งสิ้น ดังนั้นถ้าจะให้ถอนตัว ก็คงต้องถอนตัวกันทั้งหมด
ด้านนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้ออกมาบอก(22 ธ.ค.)ว่า ขอเวลาศึกษาสำนวนการสอบสวนของอนุกรรมการไต่สวนให้รอบคอบอีกครั้ง เพราะสำนวนมีความหนากว่า 7,000 หน้า และคาดว่าจะทำความเห็นไม่ทันในสิ้นปีนี้ “ขอความเห็นใจให้นายทะเบียนพรรคการเมืองด้วยนะครับ เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ถ้าจะให้ตัดสิน ผมก็เคยพูดแล้ว ถ้าผมตัดสินก็คงออกมาอย่างเดิม เพราะผมดูรายละเอียดแล้วว่า มีหลักฐานเพียงแค่นี้ ก็คงหมายความว่า เป็นไปตามที่ผมเคยลงมติไป(ยกคำร้อง) ดังนั้น ขอดูรายละเอียดอีกครั้งเพื่อพิจารณาและตัดสินใจ”
เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทยจะออกมาขู่ยื่นถอดถอนและดำเนินคดีอาญา กกต.หากไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ทางกลุ่มคนเสื้อแดง นำโดยนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ,นายสุพร อัตถาวงศ์ และนายประมวล ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ยังได้นำคนเสื้อแดงเกือบ 500 คนบุกไปปิดล้อมสำนักงาน กกต.เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. พร้อมเรียกร้องให้ กกต.ลงมาชี้แจงเหตุที่เลื่อนการวินิจฉัยคดีพรรคประชาธิปัตย์รับเงินจากบริษัท ทีพีไอฯ 258 ล้าน โดยขณะที่คนเสื้อแดงกำลังปิดล้อมสำนักงาน กกต.นั้น มี กกต.ทำงานอยู่ภายในสำนักงานเพียงคนเดียว คือ นายอภิชาต ประธาน กกต. ส่วน กกต.อีก 4 คนรีบกลับบ้านไปแล้วหลังทราบข่าวว่าคนเสื้อแดงจะมาปิดล้อมสำนักงาน ทั้งนี้ นอกจากแกนนำเสื้อแดงจะเผาโลงศพที่มีชื่อ กกต.4 คน ยกเว้นชื่อนายวิสุทธิ์ ที่เห็นควรให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์แล้ว นายอริสมันต์ แกนนำเสื้อแดงยังปราศรัยข่มขู่ว่าจะไปเผาบ้านประธาน กกต.ด้วย หาก กกต.ยัง 2 มาตรฐาน
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังกลุ่มเสื้อแดงปิดล้อม กกต.ได้ 1 วัน(24 ธ.ค.) นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง ได้ออกมาเปลี่ยนท่าทีใหม่อีก พร้อมส่งสัญญาณว่าตนอาจจะลงมติยุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยบอกว่า ไม่ว่านายทะเบียนพรรคการเมืองจะมีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์หรือให้ยกคำร้อง ก็ต้องนำเข้าที่ประชุม กกต. เพราะการพิจารณาของ กกต.อยู่ที่เสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุม และว่า หากนายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นว่าให้ยกคำร้อง ตนอาจจะลงมติเหมือนนายวิสุทธิ์ โพธิแท่น ที่มีมติให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นได้
ด้านนายอภิชาต ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ซึ่งวันก่อนได้ขอเวลาศึกษาสำนวนที่หนากว่า 7,000 หน้า ปรากฏว่า ล่าสุด(25 ธ.ค.) นายอภิชาต ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมา 1 ชุด เพื่อดูเรื่อง พ.ร.บ.พรรคการเมืองเกี่ยวกับการพิจารณาสำนวนที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวหาได้รับเงิน 258 ล้านจากบริษัท ทีพีไอฯ เนื่องจากขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกร้องเรื่องนี้ เป็นการร้องในความผิดตามกฎหมายพรรคการเมือง พ.ศ.2541 แต่ปัจจุบันเป็นการใช้กฎหมายใหม่ พ.ศ.2550 จึงต้องดูอย่างรอบคอบ
เป็นที่น่าสังเกตว่า ขณะที่ยังไม่รู้ผลว่า กกต.จะมีมติให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ ปรากฏว่า แกนนำพรรคพัฒนาชาติไทย หรือพรรคชาติไทยเดิม และอดีตแกนนำพรรคมัชฌิมาธิปไตยที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคจากกรณีซื้อเสียงเลือกตั้ง ต่างออกมาจี้ให้ กกต.อย่า 2 มาตรฐานในการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์
4. “สุรเกียรติ์” ให้การคดียึดทรัพย์มัด “ทักษิณ”ปล่อยกู้พม่า ด้าน “ศาล”ยังไม่ปิดคดี-สั่งสอบเพิ่มอีก 2 นัด!
เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดไต่สวนพยานอัยการ คดีที่อัยการยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ได้จากการขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น หรือชินคอร์ปจำนวน 7.6 หมื่นล้านบาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน เนื่องจากมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ และใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจของครอบครัว โดยอัยการได้นำนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้นขึ้นเบิกความประเด็นที่ ครม.ทักษิณอนุมัติให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือเอ็กซิมแบงก์ ปล่อยเงินกู้ 4,000 ล้านบาทแก่รัฐบาลพม่า ซึ่งเงินส่วนหนึ่งนำมาซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์โทรคมนาคมของบริษัท ชินแซทเทลไลท์ ของตระกูลชินวัตร
ทั้งนี้ นายสุรเกียรติ์ เบิกความสรุปได้ว่า รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของพม่า มีหนังสือขอความช่วยเหลือขอรับสินเชื่อจากไทย 3,000 ล้านบาท เพื่อนำไปพัฒนาประเทศ ตนจึงรายงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณทราบ ต่อมาพม่าขอเพิ่มวงเงินกู้อีก 24 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยบอกว่าจะนำไปพัฒนาโครงการโทรคมนาคม แต่ตนเสนอว่าไม่ควรอนุมัติเพิ่ม เพราะอาจถูกครหา เนื่องจากครอบครัวของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเจ้าของกิจการโทรคมนาคมรายใหญ่ของประเทศ “ต่อมาพม่าบอกว่า ถ้าไม่ให้เพิ่ม 24 ล้านเหรียญ ก็ขอเพิ่มวงเงินกู้จากที่อนุมัติ 3,000 ล้าน เป็น 5,000 ล้านได้หรือไม่... เมื่อรายงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณทราบ พ.ต.ท.ทักษิณได้สอบถามว่าเห็นอย่างไร จึงบอกว่าไม่เห็นด้วย แต่ พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่า งั้นก็พบกันครึ่งๆ เมื่อเขาขอมา 5,000 ล้าน ก็ให้ไป 4,000 ล้านแล้วกัน”
นอกจากนี้อัยการยังได้นำนายกล้านรงค์ จันทิก อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ซึ่งเป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน ขึ้นเบิกความ โดยนายกล้านรงค์ เบิกความสรุปได้ว่า คตส.ได้ตรวจสอบการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ พ.ต.ท.ทักษิณขณะดำรงตำแหน่งทางการเมืองตั้งแต่ปี 2540 กระทั่งพ้นจากตำแหน่งในเดือน ก.ย.2549 รวมทั้งบัญชีของคุณหญิงพจมาน คู่สมรส พบว่า มีทรัพย์สินมากผิดปกติ และมาจากผลประโยชน์ขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ส่วนรวม เป็นการกระทำที่เอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจของครอบครัวรวม 5 เรื่อง ประกอบด้วย การออก พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมการเก็บภาษีสรรพสามิตในกิจการโทรคมนาคม ทำให้บริษัท ทีโอที ซึ่งเป็นคู่สัญญาสัมปทานกับบริษัท เอไอเอส ต้องเสียหาย จัดเก็บรายได้ได้ลดลง ,การแก้ไขสัญญาการจัดเก็บรายได้ค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบบัตรเติมเงิน ทำให้บริษัท ทีโอทีเสียประโยชน์รวม 60,000 ล้านบาท ,การแก้ไขสัญญาลงทุนโครงข่ายสัญญาณร่วมกันหรือโรมมิ่ง ทำให้เอไอเอสสามารถลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนลงถึง 10,000 ล้านบาท ,การละเว้นหรืออนุมัติช่วยเหลือกิจการดาวเทียมของบริษัท ชินแซทเทลไลท์ ด้วยการไม่ส่งดาวเทียมไทยคม 4 และการให้เอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้แก่พม่า 4,000 ล้าน นายกล้านรงค์ บอกด้วยว่า คตส.ได้นำคำชี้แจงทั้งหมดของผู้ถูกกล่าวหามาพิจารณาแล้ว แต่เห็นว่าฟังไม่ขึ้น จึงส่งให้อัยการสูงสุดยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาฯ
ทั้งนี้ หลังนายกล้านรงค์เบิกความเสร็จ อัยการได้แถลงหมดพยานที่จะนำเข้าไต่สวน แต่องค์คณะผู้พิพากษาได้แจ้งให้คู่ความทราบว่า องค์คณะมีมติให้ไต่สวนเพิ่มเติมอีก 2 นัด ในวันที่ 12 และ 14 ม.ค.2553