xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 14-19 ธ.ค.2552

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. “ฮุน เซน” ประสานเสียง “เพื่อไทย”กล่าวหา รบ.ไทยจ้องฆ่า “ทักษิณ” ด้าน “คำรบ” เปิดใจ ไม่ได้จารกรรมข้อมูล!
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช.อ้างว่า มีเอกสารลับที่รัฐบาลมีแผนฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณ
ความเคลื่อนไหวกรณีนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทย ถูกศาลกัมพูชาพิพากษาจำคุก 7 ปี กรณีถูกกล่าวหาว่าจารกรรมข้อมูลการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีจำคุก 2 ปี และที่ปรึกษาส่วนตัวสมเด็จฯ ฮุน เซน และที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจรัฐบาลกัมพูชา โดยหลังศาลพิพากษา นายศิวรักษ์ไม่อุทธรณ์ และขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งในที่สุด กษัตริย์นโรดม สีหมุนี ของกัมพูชาได้พระราชทานอภัยโทษให้เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.หลังศาลตัดสินแค่ 3 วัน โดยทางการกัมพูชากำหนดวันทำพิธีปล่อยตัวนายศิวรักษ์ในวันที่ 14 ธ.ค. ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปกัมพูชาเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ซึ่งทันทีที่เดินทางถึง พ.ต.ท.ทักษิณได้ไปเยี่ยมนายศิวรักษ์ที่เรือนจำ พร้อมถามว่าใครเป็นคนสั่งให้นายศิวรักษ์จารกรรมข้อมูลนั้น

ปรากฏว่า เมื่อถึงกำหนดปล่อยตัว(14 ธ.ค.) นายศิวรักษ์ได้ถูกนำตัวจากเรือนจำไปยังบ้านพักของสมเด็จฯ ฮุน เซน เพื่อรับหนังสือพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า สมเด็จฯ ฮุน เซน ได้พูดคุยกับนายศิวรักษ์โดยใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า “อา” และเรียกนายศิวรักษ์ว่า “หลาน” ด้านนายเอียง โสพัลเลธ ผู้ช่วยนายกรัฐมนตรีกัมพูชา พูดถึงการได้รับพระราชทานอภัยโทษของนายศิวรักษ์ว่า “นายศิวรักษ์ได้รับอิสระ เพราะนายกรัฐมนตรี(ฮุน เซน) เป็นห่วงถึงความรักระหว่างแม่และลูก และเป็นเพราะท่านที่ปรึกษาทักษิณเข้าแทรกแซงในเรื่องนี้”

ด้านนายศิวรักษ์ ให้สัมภาษณ์หลังเดินกลับถึงประเทศไทยในช่วงเย็นวันเดียวกัน(14 ธ.ค.)โดยยืนยันว่า การที่ตนถูกจับและได้รับการปล่อยตัวไม่ได้เป็นการจัดฉาก เพราะคงไม่มีใครอยากให้ลูกต้องเข้าไปอยู่ในคุก นายศิวรักษ์ ยังยืนยันความบริสุทธิ์ใจของตน พร้อมมองว่า การขอข้อมูลการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะใครๆ ก็อยากทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นอย่างไรบ้าง “ผมยังยืนยันในความบริสุทธิ์ของตัวเอง และสาเหตุหลักที่เป็นปัญหาคือ คนที่โทร.มาคือนายคำรบ (ปาลวัฒน์วิไชย) เป็นเลขานุการเอก(สถานทูตไทยในกัมพูชา) ทางรัฐบาลกัมพูชาก็เลยโยง เลยมองไปเป็นประเด็นว่า นายคำรบมีเจตนาจะปองร้ายอะไรหรือไม่ แต่ตอนที่คุยกับนายคำรบ ผมไม่ได้สนใจในประเด็นดังกล่าวเลย เพื่อนผมก็มาถามข้อมูลการบินของท่านทักษิณ ซึ่งผมก็มองเป็นเรื่องธรรมดา ใครๆ ทุกคนก็อยากจะทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นอย่างไรบ้าง”

นายศิวรักษ์ ยังบอกด้วยว่า ช่วงนั้นนายคำรบถามว่า เป็นเครื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ ก็บอกเลยว่า เท่าที่ทราบมีเครื่องบินวีไอพีลงจอด แต่ไม่ทราบว่ามีใครอยู่ข้างใน แต่เป็นการบอกหลังจากเครื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณลงจอดแล้ว 20 นาที

ด้าน ส.ส.พรรคเพื่อไทยพยายามขยายผลกรณีนายศิวรักษ์ เพื่อให้นายคำรบและนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศออกมารับผิดชอบ โดยคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทยเป็นประธาน ได้เชิญนายกษิตและนายคำรบมาชี้แจง แต่นายกษิตและนายคำรบได้ส่งตัวแทนมาชี้แจง สร้างความไม่พอใจให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยอย่างมาก

ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เผยว่า นางสิมารักษ์ ณ นครพนม มารดานายศิวรักษ์ได้โทรศัพท์หาตน บอกว่าไม่สบายใจต่อท่าทีของกระทรวงการต่างประเทศที่ไม่มีความรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น และยังมีการขุดคุ้ยความสัมพันธ์ของครอบครัวนายศิวรักษ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยกล่าวหาว่าจัดฉาก ตนจึงได้บอกนางสิมารักษ์ว่า ถ้าไม่สบายใจก็สามารถฟ้องร้องดำเนินคดีได้ เนื่องจากเป็นการกระทำที่เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ซึ่งนางสิมารักษ์อยู่ระหว่างปรึกษาหารือกับญาติพี่น้องว่าจะดำเนินการอย่างไรในเรื่องนี้

ด้านกระทรวงการต่างประเทศได้เผยแพร่แถลงการณ์ของนายกษิต โดยย้ำว่า กระทรวงการต่างประเทศไม่เคยกล่าวหาว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการจัดฉากของนายศิวรักษ์และครอบครัว พร้อมตระหนักเสมอว่า นายศิวรักษ์เป็นคนไทยที่เดือดร้อนในต่างประเทศ ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือและคุ้มครองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐอย่างเต็มที่ แถลงการณ์ของนายกษิต ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า แต่เดิมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชายังคงเป็นปกติ กระทั่งการเดินทางเยือนกัมพูชาของผู้นำพรรคฝ่ายค้าน จึงได้เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างสองประเทศตามมา

เป็นที่น่าสังเกตว่า กรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช.เคยออกมาบอกว่า กัมพูชามีหลักฐานเป็นเทปการสนทนาระหว่างนายคำรบกับนายศิวรักษ์เรื่องขอข้อมูลการบิน พ.ต.ท.ทักษิณ แต่แกนนำในรัฐบาลกัมพูชา(พล.อ.เตีย บัน รองนายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชา) ได้ปฏิเสธไปแล้วว่ากัมพูชาไม่ได้ดักฟังโทรศัพท์หรือมีเทปดังกล่าวแต่อย่างใด เนื่องจากหากกัมพูชาดักฟังโทรศัพท์จะถือว่าผิดกฎหมายทั้งของกัมพูชาและในแง่สนธิสัญญาระหว่างประเทศนั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.นายศิวรักษ์ได้ให้สัมภาษณ์โดยยอมรับว่า กัมพูชาได้ดักฟังโทรศัพท์และบันทึกการสนทนาระหว่างตนกับนายคำรบจริง ส่วนสาเหตุที่ตนทราบเพราะทางฝ่ายกัมพูชามีการบันทึกการสนทนาและรายละเอียดการโทรศัพท์เอาไว้

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พูดถึงข่าวกัมพูชาดักฟังโทรศัพท์การสนทนาระหว่างนายศิวรักษ์กับนายคำรบว่า “ผมว่าอันนี้ก็เป็นเรื่องที่ถ้าเป็นจริง ทางกัมพูชาก็จะต้องเป็นผู้ชี้แจง เพราะมันจะกระทบกระเทือนในแง่ภาพลักษณ์ของกัมพูชาเองในสายตาประชาคมโลก”

ด้านสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนกัมพูชา(16 ธ.ค.)โดยโจมตีรัฐบาลไทยอย่างรุนแรงในหลายประเด็น เช่น เรื่องกัมพูชาดักฟังโทรศัพท์การสนทนาระหว่างนายศิวรักษ์กับนายคำรบนั้น สมเด็จฯ ฮุน เซน ปฏิเสธว่าไม่จริง เพราะกัมพูชามีกฎระเบียบและยึดถือกฎหมาย “ผู้พูดเรื่องนี้ในไทยพูดไม่รู้เรื่อง...คุณไม่มีหลักฐานใดที่แสดงว่า มีการดักฟังการสนทนาของคุณ และจะมีหรือไม่ บริษัทที่ไม่บันทึกเวลาการสนทนาของคุณ นี่เป็นใบเสร็จ ผมเอามาให้ดูอีก ถ้าคุณยังขาด เชิญมาเอาจากผม จงอย่ามาอธิบาย อย่ามาโง่ อย่ามาทำให้ไฟใหญ่ขึ้น ผมเพียงแต่ป้องกันชาติของผม ผมคิดไม่ออกว่า ทำไมพวกคุณโง่ในการอธิบายและการใช้ถ้อยคำถึงขนาดนี้” ส่วนกรณีที่มีการมองว่าการจับและปล่อยนายศิวรักษ์เป็นการจัดฉากนั้น สมเด็จฯ ฮุน เซน ก็ออกมาโต้กลับเช่นกัน “เขาหาว่า เราได้จัดฉากเรื่องนายศิวรักษ์ ทั้งที่มารดาของนายศิวรักษ์ได้กล่าวว่า ในโลกใบนี้ จะมีการจัดฉากให้ลูกไปติดคุกหรือ ขอให้ชั้นผู้นำกรุงเทพฯ ทุกท่านลองจัดฉากนำลูกของตนเองเข้าเรือนจำเลย คุณได้หมิ่นประมาทแม่กับลูก ดูถูกรัฐบาลกรุงพนมเปญ ดูหมิ่น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร”

สมเด็จฯ ฮุน เซน ยังนำแผนที่ที่อ้างว่ากลุ่มเสื้อแดงที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณนำมาเปิดเผย เพื่อแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลไทยมีแผนฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณเมื่อบินผ่านประเทศไทยด้วย พร้อมยกความดีให้ตัวเองที่สามารถสกัดกั้นไว้ได้ทัน “หากไม่สกัดกั้นให้ทันเวลา ณ เวลานี้ พ.ต.ท.ทักษิณคงเสียชีวิต หรือเข้าเรือนจำไปแล้ว เพราะเขาได้ทำแผนที่เส้นทางการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องถือว่าจะเป็นโศกนาฏกรรมที่กัมพูชาต้องรับเคราะห์กรรมไปด้วย หากสกัดกั้นไม่ทันเวลา” สมเด็จฯ ฮุน เซน ยังอ้างด้วยว่า เหตุที่ความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชา-ไทยมีปัญหา และกัมพูชาต้องเรียกเอกอัครราชทูตกลับประเทศ เพราะไทยรุกรานกัมพูชากรณีประสาทพระวิหาร ไม่ใช่เพราะกัมพูชาแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษาแต่อย่างใด “กัมพูชายินดีที่จะรอให้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของไทยแล้วค่อยส่งทูตกลับไปก็ได้ สาเหตุที่ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาไม่ปกตินั้น เนื่องจากไทยส่งกองทัพมารุกรานกัมพูชา มิใช่เรื่องการแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณหรอก”

ด้าน นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เปิดแถลงยืนยันว่า รัฐบาลไทยไม่ได้มีแผนใช้ความรุนแรงกับ พ.ต.ท.ทักษิณตามที่สมเด็จฯ ฮุน เซน นายกฯ กัมพูชาระบุแต่อย่างใด และว่า การพูดดังกล่าวถือเป็นเรื่องเท็จที่อาจทำให้ประชาคมโลกเข้าใจผิดได้ นพ.บุรณัชย์ บอกด้วยว่า พรรคประชาธิปัตย์มองว่า ปัญหาที่ทำให้บรรยากาศระหว่างไทย-กัมพูชากลับมาน่าห่วงอีกครั้งมาจาก 3 สาเหตุ 1.การดักฟังโทรศัพท์ระหว่างนายศิวรักษ์กับนายคำรบ ซึ่งอาจขัดต่ออนุสัญญากรุงเวียนนา พ.ศ.2504 และขัดต่อข้อตกลงระหว่างประเทศ ซึ่งกัมพูชาจะได้รับผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะการไม่ปฏิบัติตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน และการแทรกแซงการเมืองประเทศเพื่อนบ้าน จะถือเป็นการฝ่าฝืนกฎบัตรอาเซียน 2.การให้ที่พักพิง พ.ต.ท.ทักษิณและนายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำ นปช. และ 3.การที่สมเด็จฯ ฮุน เซน ให้สัมภาษณ์พาดพิงการเมืองไทย

ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. พยายามขยายผลว่ารัฐบาลมีแผนฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยการอ้างว่ามีเอกสารลับที่ได้รับมาจากนายสงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย ซึ่งได้มาจากเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ ทั้งนี้ นายจตุพร อ้างว่า เนื้อหาในเอกสารดังกล่าวมีการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนที่จะพัฒนาไปสู่การประกาศสงครามกับประเทศกัมพูชา หาก พ.ต.ท.ทักษิณและนายกรัฐมนตรีกัมพูชาร่วมกันกระทำการใดใด จนเกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในวงกว้าง คุกคามอำนาจและอธิปไตยไทยและสถาบันสำคัญ ซึ่งรวมถึงการดำเนินกิจกรรมเสมือนการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในกัมพูชาของ พ.ต.ท.ทักษิณ นายจตุพร ยังบอกอีกว่า ประเด็นสำคัญในเอกสารดังกล่าวระบุด้วยว่า ปัญหาทั้งหมดมาจากการที่ พ.ต.ท.ทักษิณมุ่งทำลายความอยู่รอดของรัฐบาล ดังนั้น จำเป็นต้องมุ่งไปที่ต้นตอของปัญหาด้วยการขจัดภัยคุกคามหลัก ซึ่งทำให้คิดได้ว่าการขจัดภัยคุกคามหลักคือการฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณให้สิ้นซากภายในสิ้นปี 2552 ถ้าไม่ได้ ต้องแล้วเสร็จภายใน เม.ย.2553

ด้านนายธานี ทองภักดี รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่า กระทรวงฯ ไม่มีแผนฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณเด็ดขาด แต่เอกสารลับที่นายจตุพรระบุ น่าจะเป็นเอกสารการวิเคราะห์เรื่องความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และว่า การนำเอกสารที่มีชั้นความลับและมีความละเอียดอ่อนไปเผยแพร่ เป็นเรื่องที่มีผลกระทบรุนแรงและสร้างความเสียหายต่อประเทศชาติ ต้องพิจารณาว่า การเผยแพร่นั้นมีความผิดทางอาญา และขัดต่อ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารหรือไม่ ต้องดูว่าสิ่งที่นายจตุพรเผยแพร่ต่อสาธารณชนนั้นเป็นไปในลักษณะใด และต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น อัยการสูงสุดว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

ด้านนายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย เลขานุการเอก สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ให้สัมภาษณ์เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. ถึงกรณีที่ได้ติดต่อนายศิวรักษ์เพื่อขอทราบเที่ยวบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยยืนยันว่า สิ่งที่ตนทำไป เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ “ผมได้ทราบข้อมูลข่าวสารว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางถึงกัมพูชาแล้ว ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองสถานทูต มีหน้าที่ต้องรายงานความเคลื่อนไหวต่างๆ ทางการเมือง ทั้งภายใน-ภายนอกของกัมพูชา หรือความเคลื่อนไหวซึ่งมีนัยเกี่ยวข้องกับประเทศไทย ก็ต้องตรวจสอบยืนยันข้อมูลให้แน่ชัดและรายงานให้ต้นสังกัดทราบ ซึ่งการปฏิบัติเช่นนี้เป็นแนวทางปฏิบัติทั่วไปของนักการทูตทุกๆ ประเทศ เหตุที่ต้องรายงานการเดินทางถึงของ พ.ต.ท.ทักษิณ เนื่องจากเป็นบุคคลที่เป็นที่สนใจและทางราชการติดตามความเคลื่อนไหว อีกทั้งสื่อต่างๆ ทั้งไทยและกัมพูชาเสนอข่าวก่อนหน้านั้นนานแล้วว่าจะเดินทางไปกัมพูชา ก็ต้องตรวจสอบข้อมูลว่ามาถึงแล้วจริงหรือไม่ อย่างไร ผมได้ติดต่อไปหน่วยงานต่างๆ รวมถึงติดต่อหาคุณศิวรักษ์ ชุติพงษ์ เพื่อขอความอนุเคราะห์ตรวจสอบว่าอดีตนายกฯ มาถึงแล้วจริงหรือไม่ อย่างไร ...ต่อมาไม่นาน คุณศิวรักษ์โทรศัพท์แจ้งว่า เมื่อเวลา 09.30น. มีเครื่องบินพิเศษลงแล้วที่ท่าอากาศยานกรุงพนมเปญ ซึ่งขณะที่เขาแจ้งข้อมูลให้ทราบนั้น สถานเอกอัครราชทูตก็ได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งอื่นๆ ด้วยแล้ว เช่น จากทีวี และเว็บไซต์ทั้งไทยและกัมพูชา”

นายคำรบ ยังยืนยันด้วยว่า “กระทรวงการต่างประเทศไม่เคยมีนโยบายหรือคำสั่งให้ผมในฐานะนักการทูตไทยกระทำการใดใดที่ผิดกฎหมาย เช่น การล้วงความลับ ทำจารกรรมใดใด หรือกระทำเพื่อให้ได้ข้อมูลมาด้วยวิธีอื่นใดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ...ผมอยากแสดงความเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้นที่คุณศิวรักษ์ต้องได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติโดยความบริสุทธิ์ใจของผม ผมไม่ได้ประสงค์จะให้เกิดผลกระทบในทางลบกับใคร และรู้สึกไม่สบายใจมาตลอดกับสิ่งที่เกิดขึ้น อยากวิงวอนคนในสังคมให้มองคุณศิวรักษ์อย่างเข้าใจว่าเขาเป็นผู้ได้รับผลกระทบในเชิงลบทั้งที่เขาเป็นผู้บริสุทธิ์...”

2. “กกต.” โยนเผือกร้อนให้ “อภิชาต”ชี้ขาดส่งศาล รธน.ยุบ “ปชป.”หรือไม่ ด้าน “สดศรี” ดักคอ ถ้าไม่ส่ง ต้องให้ กกต.ตัดสินอีกครั้ง!

นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง
เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ได้ประชุมพิจารณาผลการไต่สวนของคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีที่พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ถูกกล่าวหาว่าได้รับเงินจากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด(มหาชน) เมื่อปี 2548 จำนวน 258 ล้านบาท โดยที่ประชุม กกต.พิจารณา 2 ประเด็น คือ 1.กรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวหาว่ารับเงินจากบริษัท ทีพีไอฯ ดังกล่าว เพื่อทำสื่อประชาสัมพันธ์ อาจเป็นการทำนิติกรรมอำพรางเรื่องการบริจาคเงิน ซึ่งอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายพรรคการเมือง พ.ศ.2541 มาตรา 66(2) และ (3) รวมทั้งกฎหมายพรรคการเมือง พ.ศ.2550 มาตรา 94(3) (4) และ (5) และ 2.กรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวหาว่าไม่ได้ใช้จ่ายเงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองให้เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งเป็นการกระทำที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายพรรคการเมือง พ.ศ.2541 มาตรา 62 และ 65 รวมทั้งกฎหมายพรรคการเมือง พ.ศ.2550 มาตรา 82 และ 93

เป็นที่น่าสังเกตว่า ที่ประชุม กกต.ไม่ได้ลงมติว่าจะยกคำร้องที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวหาหรือจะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ แต่ กกต.มีมติด้วยเสียงข้างมากให้เป็นดุลพินิจของนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองที่จะพิจารณาส่งหรือไม่ส่งคำร้องไปยังอัยการสูงสุด เพื่อส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญต่อไป ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า มติดังกล่าวเป็นการโยนเผือกร้อนให้ประธาน กกต.เป็นผู้ตัดสินใจ

ทั้งนี้ มีรายงานว่า มติเสียงข้างมาก คือ 3 ต่อ 2 โดยนายสมชัย จึงประเสริฐ ,นางสดศรี สัตยธรรม และนายประพันธ์ นัยโกวิท เห็นว่าเรื่องนี้ควรเป็นอำนาจการตัดสินใจของประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ส่วนเสียงข้างน้อย 2 เสียงมีความเห็นแตกเป็น 2 ทาง คือ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ มีความเห็นให้ยกคำร้องดังกล่าว ขณะที่นายวิสุทธิ์ โพธิแท่น เสนอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์

ด้านนายอภิชาต บอกว่า เมื่อ กกต.3 คนลงมติว่าเป็นเรื่องของนายทะเบียนพรรคการเมืองจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าเป็นความผิดถึงขั้นยุบพรรคหรือไม่ ตนก็จะพิจารณาเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด นายอภิชาต บอกด้วยว่า หากตนเห็นว่าต้องเสนอให้ยุบพรรค คงจะต้องส่งกลับไปให้ที่ประชุม กกต.5 คนพิจารณาเห็นชอบอีก แต่ถ้าเห็นสอดคล้องกับอนุกรรมการไต่สวน(ให้ยกคำร้อง) ก็ถือว่ายุติ

ด้านนางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง ได้ออกมาแย้งและพูดสวนทางกับนายอภิชาตโดยยืนยันว่า หากนายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นควรให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อยุบพรรค ทาง กกต.ไม่จำเป็นต้องลงมติอีก แต่ถ้านายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นว่าควรยุติเรื่องดังกล่าว ต้องนำเข้าที่ประชุม กกต.เพื่อพิจารณาอีกครั้งว่าจะเห็นตามนายทะเบียนพรรคการเมืองหรือไม่ โดยคาดว่าอาจจะส่งความเห็นมาให้ที่ประชุมรับทราบได้ภายในสัปดาห์หน้า นางสดศรี ยังบอกด้วยว่า ถ้าประธาน กกต.ยังเข้าใจอีกอย่าง ต้องเรียกประชุม กกต.อีก นางสดศรี ยังขู่นายอภิชาต ประธาน กกต.ด้วยว่า “กฎหมายพรรคการเมือง 2550 แตกต่างจากกฎหมายปี 2541 ที่ให้อำนาจ กกต.ควบคุมนายทะเบียนพรรคการเมืองได้ นายอภิชาตก็รู้กฎหมาย หากไม่ทำตามนี้ ผู้ร้องเรียนอาจจะฟ้องร้องประธาน กกต.ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ได้”

ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาอ้างว่า นายอภิชาต ประธาน กกต.มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับนายบรรญัติ บรรทัดฐาน แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเรียนหนังสือมาด้วยกัน ซึ่งแสดงถึงความไม่เป็นกลาง ดังนั้นหาก กกต.ยังเดินหน้าให้นายอภิชาตตัดสินใจคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทยจะขอให้ ส.ส.เข้าชื่อถอดถอนและดำเนินคดีอาญาต่อ กกต.ทั้งคณะ

ด้าน นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงยืนยันว่า ที่ผ่านมา พรรคฯ เปิดเผยถึงแหล่งที่มาของรายได้มาโดยตลอด ไม่ว่าเงินสนับสนุนพรรคการเมืองที่ได้จากกองทุนพรรคการเมือง หรือเงินบริจาคที่ได้จากการระดมทุนครั้งต่างๆ ซึ่งยืนยันว่า ในจำนวนเงินบริจาคไม่มีตัวเลข 258 ล้านบาทที่ได้จากบริษัท ทีพีไอฯ อย่างแน่นอน

3. “สหรัฐฯ” ชมไทย ยึดอาวุธสงครามจากเกาหลีเหนือได้ ด้าน “เพื่อไทย” รีบโวย รบ.ชักศึกเข้าบ้าน!

เจ้าหน้าที่นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 5 คนไปขอศาลเพื่อฝากขังผลัดแรกเป็นเวลา 12 วัน(14 ธ.ค.)
ความคืบหน้ากรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจกองปราบปราม ตำรวจสันติบาล และเจ้าหน้าที่ศุลกากร ประจำคลังสินค้าภายในประเทศ ท่าอากาศยานดอนเมือง เข้าตรวจสอบเครื่องบินลำเลียงแบบทหารสัญชาติจอร์เจีย ที่แวะเติมน้ำมันที่ดอนเมืองเมื่อวันที่ 11 ธ.ค. โดยพบว่ามีการบรรทุกอาวุธสงครามมาเต็มลำ เช่น ท่อส่งจรวด หัวจรวด จรวดอาร์พีจี ฯลฯ น้ำหนักรวม 35 ตัน มูลค่าหลายร้อยล้านบาท เจ้าหน้าที่จึงได้ยึดอาวุธดังกล่าวไปเก็บไว้ที่คลังสรรพาวุธ กองบิน 4 อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เพื่อตรวจสอบ ขณะเดียวกันได้นำตัวชาวต่างชาติที่มากับเครื่องบินดังกล่าวจำนวน 5 คนไปสอบปากคำ ประกอบด้วย นายอเล็กซานดรา ไซรเนฟ ,นายวิคเตอร์ อัลดุลลายาฟ ,นายวิทาลี ซุนดอฟ ,นายอิลยาส อิสซาคอฟ ซึ่งทั้ง 4 คนสัญชาติคาซักสถาน ส่วนอีกคนคือ นายมิคาอิล พีทูคู สัญชาติเบลารุส

ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า การตรวจยึดอาวุธดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามมติสหประชาชาติและกฎหมายภายในของไทย ผู้สื่อข่าวถามว่า ทราบหรือไม่ว่าประเทศปลายทางของอาวุธสงครามดังกล่าวอยู่ที่ใด นายอภิสิทธิ์ บอกว่า เท่าที่ทราบ เนื่องจากของที่บรรทุกมาหนัก จึงต้องเติมน้ำมันเป็นระยะๆ เข้าใจว่าจะไปเติมน้ำมันต่อที่ประเทศศรีลังกา ส่วนจะไปไหนต่อ เราไม่ทราบ

ด้านพรรคเพื่อไทย เชื่อว่า การที่ไทยตรวจยึดอาวุธดังกล่าวเป็นการทำตามความต้องการของสหรัฐฯ โดยนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ รีบออกมาโวยว่ารัฐบาลกำลังชักศึกเข้าบ้านครั้งใหญ่ และว่า รัฐบาลเข้าข้างและเอาใจประเทศสหรัฐฯ เกินไป ถ้าวันข้างหน้าเกาหลีเหนือและคาซักสถานไม่พอใจไทย โกรธแค้นมาวางระเบิดก่อวินาศกรรมในไทย ถามว่าสหรัฐฯ จะมาช่วยเหลือดูดำดูดีไทยหรือไม่ หรือที่ทำไปเป็นเพราะโอบามาร์ค อยากเป็นญาติกับโอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือ ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ก็ออกมาอ้างว่า การที่ไทยตรวจยึดอาวุธดังกล่าว ได้รับการประสานจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีรางวัลนำจับให้ 7 ล้านดอลลาร์ จึงอยากให้รัฐบาลออกมาชี้แจงว่า ใครเป็นผู้จัดการและรับเงินรางวัลดังกล่าว รวมทั้งคุ้มค่าหรือไม่ เพราะไทยอาจตกเป็นเป้าโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายค้าอาวุธข้ามชาติ

ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ยืนยันว่า ตนไม่เคยได้ยินเรื่องรางวัลนำจับมาก่อน ไม่ว่าจากฝ่ายไหน และว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อแหล่งข่าวแจ้งให้จับตาเครื่องบินลำดังกล่าว เพราะอาจขนอาวุธ ซึ่งโดยข้อตกลงที่ไทยทำไว้ ทำให้ต้องยอมให้บินผ่าน โดยเครื่องบินลำดังกล่าวเมื่อมาแวะเติมน้ำมันที่ไทยครั้งแรก ตรวจสอบแล้วไม่มีอาวุธ จึงยอมให้ผ่าน แต่เมื่อเครื่องบินดังกล่าวบินกลับมาเติมน้ำมันอีก ก็ตรวจสอบแล้วพบอาวุธ ยืนยันว่าไม่มีสินบนหรืออะไรที่เขาพยายามกุเรื่องขึ้นมา

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยันอีกครั้งว่า การตรวจยึดอาวุธสงครามดังกล่าว ไม่ได้เป็นเรื่องของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่หน่วยงานทางการข่าวทำงานกันเป็นเครือข่ายหลายประเทศ และที่ทำไป ได้ดำเนินการตามมติของสหประชาชาติ ส่วนที่ถามว่าไทยได้อะไรนั้น นายอภิสิทธิ์ ชี้ว่า ทำเพื่อคนไทย และโลก และพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นสมาชิกที่ดี ขณะเดียวกันก็ไม่ได้นำตัวเองเข้าไปอยู่ในความขัดแย้งใดใดทั้งสิ้น

ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ได้นำตัวผู้ต้องหาชาวต่างชาติทั้ง 5 คนไปขอศาลเพื่อฝากขังผลัดแรกเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 14-25 ธ.ค.พร้อมคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากต้องรอผลตรวจพิสูจน์ของกลางซึ่งมีจำนวนมาก พร้อมเชื่อว่ามีพฤติการณ์ทำเป็นขบวนการลักษณะองค์กรอาชญากรรม ประกอบกับผู้ต้องหาเป็นชาวต่างชาติ เกรงว่าจะหลบหนี รวมทั้งต้องสอบพยานเพิ่มอีก 10 ปาก ด้านศาลพิจารณาคำร้องแล้วอนุญาตให้ฝากขังได้ ส่วนเหตุผลที่ศาลยกคำร้องขอประกันตัว เนื่องจากพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่า คดีมีอัตราโทษสูง เชื่อว่าหากปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาอาจจะหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงนำตัวไปควบคุมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยผู้คุมได้แยกผู้ต้องหาอยู่คนละแดน และให้เจ้าหน้าที่ดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเน้นป้องกันไม่ให้มีโอกาสพบปะกับนายวิกเตอร์ บูต นักค้าอาวุธชาวรัสเซีย ซึ่งถูกคุมขังอยู่ที่แดน 8 ซึ่งเป็นแดนความมั่นคงสูง

ด้าน พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาท รักษาราชการแทนผู้บังคับการกองปราบปราม เผยหลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบอาวุธสงครามที่ยึดได้และลำเลียงไปเก็บไว้ที่คลังสรรพาวุธ กองบิน 4 อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ว่า “จากการตรวจสอบ จะแจ้งข้อหาเพิ่มกับผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ที่ได้จากพยานหลักฐานและวัตถุที่ตรวจพบเพิ่มเติมคือ วัตถุระเบิด ซึ่งมีโทษสูงกว่าที่แจ้งข้อหาไว้ คือ โทษจำคุก 2 ปีถึงประหารชีวิต ส่วนการสอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 5 คนให้การปฏิเสธและไม่ขอให้การ อย่างไรก็ตามเท่าที่ตรวจสอบไม่มีคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง”

ด้านรัฐบาลสหรัฐฯ ได้แสดงความชื่นชมรัฐบาลไทยที่ตรวจยึดอาวุธสงครามดังกล่าวได้ โดยนางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ บอกว่า สหรัฐฯ พอใจและยินดีอย่างยิ่งที่ไทยสามารถยึดอาวุธที่ลักลอบขนออกมาจากเกาหลีเหนือได้ และว่า ความสำเร็จครั้งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นถึงความสำคัญของความร่วมมือและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือภายใต้ข้อมติของสหประชาชาติ และแสดงให้เห็นว่าการคว่ำบาตรสามารถช่วยป้องกันการแพร่ขยายอาวุธทำลายล้างได้

4. “ไทย” พบ หมูติดหวัด 2009 ครั้งแรก ด้าน รมว.เกษตรฯ วอน ปชช.อย่าตระหนก – ยังบริโภคเนื้อหมูได้ตามปกติ!
ภาพจากแฟ้ม
เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้นำทีมผู้เกี่ยวข้อง เช่น ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดแถลงข่าวพบการแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 ในสุกร ที่ฟาร์มสุกรสถานีวิจัยทับกวาง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี โดยบอกว่า พบสุกรติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 เพียง 1 ตัวอย่าง จากทั้งหมด 80 ตัวอย่าง โดยได้รับการยืนยันผลอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา นับเป็นการตรวจพบเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ในสุกรเป็นครั้งแรกของประเทศไทย นายธีระ บอกด้วยว่า จนถึงขณะนี้สุกรที่ติดเชื้อยังไม่เสียชีวิต ขณะที่สุกรตัวอื่นในฟาร์มเดียวกันก็ยังไม่พบอาการติดเชื้อแต่อย่างใด

สำหรับมาตรการควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ในสุกรที่ฟาร์มดังกล่าวนั้น นายธีระ บอกว่า กรมปศุสัตว์ได้กักสุกรทุกตัวในฟาร์ม และจะให้เจ้าหน้าที่ของกรมฯ เข้าตรวจสอบทุก 3 วัน โดยจะทำลายเชื้อโรคในฟาร์มสุกร ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์และยานพาหนะเข้า-ออกฟาร์ม และเฝ้าระวังโรคในพื้นที่รัศมี 5 กิโลเมตรรอบฟาร์ม ส่วนมาตรการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ในสุกรทั่วประเทศนั้น กรมปศุสัตว์ยังคงเข้มงวดตรวจสอบสัตว์นำเข้า โดยต้องเป็นสัตว์ที่แพทย์ต้นทางรับรองว่าปลอดโรคและไม่มีอาการป่วยขณะนำเข้า ห้ามผู้ที่มีอาการหวัด ไอ จามเข้าฟาร์มและคอกเลี้ยงสุกรเด็ดขาด และเข้มงวดเรื่องห้ามเลี้ยงสุกรปะปนกับสัตว์ชนิดอื่น โดยเฉพาะสัตว์ปีก นายธีระ ยังขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกกับการพบสุกรติดเชื้อไข้หวัด 2009 ครั้งนี้ “การตรวจพบเชื้อไข้หวัด 2009 ในหมูครั้งนี้ ขอให้ประชาชนและผู้บริโภคอย่าได้วิตกกังวล สามารถบริโภคเนื้อสุกรได้ตามปกติ ซึ่งประเทศต่างๆ ทั่วโลกก็ไม่ได้มีการตื่นตระหนกเรื่องนี้แต่อย่างใด”

ด้านนายยุคล ลิ้มแหลมทอง ปลัดกระทรวงเกษตรฯ เผยว่า ขณะนี้มีประเทศทั่วโลกกว่า 10 ประเทศที่พบสุกรติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เป็นต้น โดยสาเหตุส่วนใหญ่ติดจากคน อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวลว่าเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ในสุกรจะติดต่อมายังคน เพราะกรมปศุสัตว์มีมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด “ในทางวิชาการ ไม่เคยมีรายงานตรวจพบว่าเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่ตรวจพบในสุกรจะมีการกลายพันธุ์และติดต่อไปยังคน แต่เรื่องนี้เราไม่ควรประมาท กรมปศุสัตว์จะวางมาตรการป้องกันอย่างใกล้ชิด เช่นเดียวกับเชื้อไข้หวัดนก ซึ่งมาตรการที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้เข้มงวดมาก ขอให้ประชาชนและผู้บริโภคสบายใจได้”
กำลังโหลดความคิดเห็น