ปชป.ประเมินสถานการณ์ประเทศ ฟุ้งปัญหาภาคใต้-เศรษฐกิจ กำลังดีขึ้น แต่ยอมรับแก้ปัญหาคอร์รัปชันไม่ตก เชื่อปีหน้าวุ่นไม่เลิก ดักคอเสื้อแดง คดียึดทรัพย์กับคดีเงินบริจาคโรงปูน คนละมาตรฐาน อย่าโยงเป็นเรื่องเดียวกัน
วันนี้(26ธ.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวสรุปประเมินสถานการณ์ประเทศไทยรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ว่า จากการประเมินเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจและการเมือง ในการติดตามการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลนั้นแสดงให้เห็นว่าสามารถผ่านพ้นวิกฤตการณ์ของบ้านเมืองได้ดีขึ้น ขณะเดียวกันยังสามารถแก้เหตุการณ์จลาจลและความรุนแรงได้ สะท้อนถึงทิศทางการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยเสี่ยง คือ การดำเนินนโยบาย เรื่องการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน โดยพรรคได้ให้ความสำคัญในข้อร้องเรียนทุกกรณี จึงมีการตั้งคณะทำงานติดตามแก้ไขเรื่องดังกล่าว รวมถึงวางหลักเกณฑ์ ข้อกำหนด กับบุคคลที่ข้องเกี่ยว ต้องถูกดำเนินการด้วยมาตรฐานเดียวกัน
นพ.บุรณัชย์ กล่าวถึงมาตการแก้ปัญหาสามจังหวัดชายแดนใต้ ว่า ทางพรรคได้ติดตามอย่างใกล้ชิด มีการผลักดันตั้ง ศอ.บต.ขึ้นมาอีกครั้ง รวมทั้งเร่งพิจารณากฎหมายต่างๆที่ค้างอยู่ในสภา นอกจากนี้พรรคยังห่วงถึงผลโพลล์ของประชาชนที่ติดตามสถานการณ์ดังกล่าว รวมถึงแนวทางการแก้ปัญหาที่ได้มีการเสนอตั้งแต่รัฐบาลของนายสมัคร และนายสมชาย แต่กลับไม่ได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง ทำให้การแก้ปัญหาในรัฐบาลปัจจุบันต้องเริ่มต้นใหม่ ส่วนความคืบหน้าในการประกาศยกเลิกกฎอัยการศึก และการประเมินการใช้ พรบ.ความมั่นคงนั้น ถือเป็นการเร่งคลี่คลายสถานการณ์ และเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น ที่สำคัญการยกระดับกรอบความร่วมมือระดับประเทศที่ นายอภิสิทธิ์ได้พบ นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ซึ่งถือเป็นการดำเนินการครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ทั้งสองประเทศร่วมมือกัน
ส่วนการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ พรรคสนับสนุนในการบริหารฟื้นความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยการขับเคลื่อนแผนนโยบายไทยเข้มแข็ง ส่งเสริมการลงทุน การสนับสนุนการท่องเที่ยว การขับเคลื่อนความสามารถการส่งออก ขณะเดียวกันรัฐบาลยังช่วยเหลือประชาชนจากวิกฤติเศรษฐกิจ โดยการจัดระบบสวัสดิการชุมชน ที่จะรองรับผลกระทบปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองทั้งภายในและภายนอก ซึ่งวันนี้การสนับสนุนสวัสดิการให้เข้มแข็งนั้น จะทำให้หม้อข้าวของคนไทยไม่เหือดแห้ง ทั้งนี้โครงการที่จะรอองรับสวัสดิการคือ โครงการประกันรายได้ โครงการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การจัดตั้งกองทุนเงินออม ที่ถือเป็นนโยบายสำคัญ ขณะเดียวกัน พรรคยังเสริมสร้างความเป็นธรรมในสังคม ไม่ว่าปัญหาหนี้นอกระบบ ที่ประชาชนต้องเผชิญภาวะดอกเบี้ยที่สูง การแก้ปัญหากองทุนฟื้นฟู และการสนับสนุนเรื่องภาษีมรดก ที่รัฐบาลดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า แต่ส่วนที่พรรคยอมรับว่าเป็นห่วงมากที่สุด คือ สถานการณ์ทางการเมือง ที่ถือเป็นรอบปีแห่งการต่อต้าน เพื่อไม่ให้รัฐบาลสามารถทำงานได้ตามปกติ และยังมีการสร้างเงื่อนไขความขัดแย้งเพื่อหวังสร้างปฏิกิริยาตอบโต้ทางการเมือง ไม่ให้บ้านเมืองกลับสู่ภาวะสงบ ให้บ้านเมืองมีการแตกแยกต่อไป พรรคมองว่าจำเป็นต้องมุ่งสร้างความปรองดองในชาติ โดยเฉพาะแนวทางการเคลื่อนไหวของ กลุ่ม นปช. พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคฝ่ายค้าน ที่ล้มเลิกการเข้าร่วมกระบวนการสมานฉันท์ และหวังขับเคลื่อนทางการเมือง สร้างความวุ่นวายนอกสภา เช่นการประกาศของ กลุ่มนปช.ว่าจะล้มรัฐบาลทุกวิถีทาง ด้วยเหตุนี้ทางพรรควิเคราะห์ว่าปี 53 ที่จะถึง จะมีการสร้างสถานการณ์ความวุ่นวาย นอกจากนำมิตรประเทศเข้ามาแทรกแซงแล้ว ยังมีเรื่องของกระบวนการยุติธรรม 2 คดี คือ 1 เงินบริจาค 258 ล้านที่อยู่ในการพิจารณาของ กกต.และ 2 คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ที่มีความพยายามที่จะโยงให้เห็นว่าทั้งคดีนั้น 2 มาตรฐาน ซึ่งถือว่าเป็นความพยายามโกหกบิดเบือนข้อเท็จจริง ทั้งที่สองคดีมีความแตกต่างในเรื่องพื้นฐานอย่างสิ้นเชิง
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า ในส่วนของคดี ยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน เกิดจากการทุจริต มีการตรวจสอบต่อเนื่องมาหลายรัฐบาล ซึ่งแม้กระทั่งรัฐมนตรีที่เคยร่วมรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ เองก็ยังมีส่วนให้ข้อมูลสำคัญ และยืนยันว่าคดีดังกล่าวจะเข้าสู่กระบวนการขั้นสุดท้ายที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขณะเดียวกันคดี เงินบริจาค 258 ล้านพรรคประชาธิปัตย์นั้น ถือเป็นเรื่องการพิจารณาตามกฎหมายพรรคการเมือง แต่ได้ดำเนินการบนพื้นฐานความถูกต้อง มีการแจกแจงทั้งรายได้และรายจ่าย การดำเนินการกิจการรมทางการเมืองอย่างต่อเนื่องตลอด ทั้งนี้ไม่ต้องการให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดใช้เป็นเงื่อนไขกดดันองค์กรอิสระ และศาล ไม่ว่าจะใช้วิธีการข่มขู่คุกคาม ทั้งสองคดีมีบรรทัดฐานที่แตกต่างอย่างชัดเจน
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า จากสถานการณ์ปัจจุบัน จะต้องอาศัยการเริ่มต้นใหม่ ทั้งการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชนในวงกว้างที่ ต้องการความปรองดองและระวังไม่ให้เหตุการณ์ความวุ่นวายในบ้านเมืองกลับมาอีกครั้งหนึ่ง มองว่าหากทุกฝ่ายให้ความร่วมมือ ถือว่าสังคมได้เรียนรู้ร่วมกันว่าความเคลื่อนไหวเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม หรือวิธีการใช้ความรุนแรงทางการเมืองนั้น ไม่สามารถบรรลุวัติประสงค์ของทางการเมือง หรือวัตถุประสงค์ของชาติได้ พรรคมองว่ากรเดินไปข้างหน้านั้นต้องใช้กระบวนการที่อยู่บนพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข คำนึงถึงหลักกฎหมาย ต้องยึดถือประโยชน์ส่วนรวม และต้องใช้กลไกทางสภามาหาทางแก้ไขให้ประเทศเดินไปได้