1. “ฟ้าหญิงจุฬาภรณฯ” ทรงเผย พระอาการ “ในหลวง” ดีขึ้นมาก ใกล้เสด็จฯ ออกจาก รพ.แล้ว!
ความคืบหน้าพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 30 ต.ค. สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 34 ว่า คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษารายงานว่า ผลการตรวจพระอุระ(อก) ด้วยเครื่องเอ็กซเรย์ ไม่พบการอักเสบของพระปัปผาสะ(ปอด) ผลการตรวจพระโลหิตไม่บ่งชี้ว่ามีการอักเสบ พระอาการทั่วไปดีขึ้นมาก ทรงมีกำลังพระวรกายแข็งแรงขึ้นอีก เสวยพระกระยาหารได้เป็นปกติ คณะแพทย์จึงงดถวายพระโอสถปฏิชีวนะ แต่ยังถวายพระกระยาหารบำรุงตามหลักโภชนาการต่อไป
ด้าน ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเล่าถึงพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างทรงแถลงข่าวเรื่องเสด็จสานสัมพันธ์ไทย-จีน ที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์เมื่อวันที่ 30 ต.ค.ว่า พระอาการดีขึ้นมาก ทรงไม่มีไข้ ทรงทำกายภาพบำบัด ทรงสามารถลุกยืน และทรงเดินได้โดยใช้เครื่องประคอง คือ วอล์กเกอร์ ทรงหัดเดินทุกวัน คิดว่าอีกไม่นาน พระองค์จะทรงแข็งแรงเหมือนเดิม และเสด็จฯ กลับพระตำหนักได้
ด้านนายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เผยหลังเดินทางมาร่วมลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ศาลาศิริราช 100 ปีเมื่อวันที่ 30 ต.ค.ว่า แม้พระองค์จะทรงพระประชวร แต่พระองค์ยังทรงงานอยู่ตลอด “ผมได้ตามเสด็จฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเมื่อวันก่อน สมเด็จพระเทพฯ ตรัสว่า หลังกลับจากแม่ฮ่องสอน พระองค์ได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงถวายรายงานความคืบหน้าโครงการระบบกักเก็บน้ำในถ้ำตามพระราชดำริต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเมื่อพระองค์ทรงทราบ พระองค์ทรงดีพระทัยที่สิ่งที่พระองค์ทรงคิดไว้เป็นระยะเวลานาน ผลสุดท้ายก็ประสบความสำเร็จ ที่สำคัญพระองค์ทรงดีพระทัยที่ช่วยให้ชาวบ้านมีน้ำใช้ตลอดปี”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 ต.ค. ผู้นำอาเซียนและประเทศคู่เจรจาที่เดินทางมาร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 15 ที่ประเทศไทย ได้ร่วมลงนามถวายพระพรให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์และหายจากพระอาการประชวรด้วย ขณะที่นายเควิน รัตต์ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ได้กล่าวระหว่างหารือทวิภาคีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทย โดยนอกจากกล่าวถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว นายเควิน รัตต์ ยังเผยด้วยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงเป็นขวัญใจของชุมชนของคนไทยในออสเตรเลียเท่านั้น แต่ยังเป็นที่เคารพของคนออสเตรเลียเช่นเดียวกัน
2. “กฤษฎีกา” วินิจฉัยให้ถอดยศ “ทักษิณ” พร้อมเรียกคืนเครื่องราชฯ ด้าน“เจ้าตัว” รีบโวย!
เมื่อวันที่ 26 ต.ค.สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้มีหนังสือถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แจ้งผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 2 ที่มีความเห็นว่า เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก ไม่ว่าเป็นคำพิพากษาของศาลใด ย่อมอยู่ในหลักเกณฑ์ตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ.2547 จึงสามารถถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณได้ ส่วนการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ.2548 นั้น เมื่อข้าราชการตำรวจผู้ใดต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ย่อมอยู่ในเหตุตามข้อ 7(2) ของระเบียบดังกล่าว นอกจากนี้การเสนอขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องอิสริยาภรณ์นั้น ให้ดำเนินการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชั้นตรา เว้นแต่กรณีที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์แต่เพียงบางชั้นตรา
ทั้งนี้ การวินิจฉัยเรื่องถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีขึ้นหลังจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีหนังสือสอบถามไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาเมื่อวันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมาว่า กรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาเมื่อวันที่ 21 ต.ค.2551 ให้จำคุก 2 ปี เนื่องจากมีความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 100(1) วรรค 3 และมาตรา 122 วรรค 1 กรณีเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ จะเป็นเหตุให้ถูกถอดยศตำรวจตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ.2547 หรือไม่
ด้าน พล.ต.ต.ชนสิทธิ์ วัฒนวรางกูร รักษาราชการแทนผู้บังคับการกองกำลังพล เผยหลังคณะกรรมการกฤษฎีกามีคำวินิจฉัยเรื่องการถอดยศและการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า ยังไม่ได้รับหนังสือตอบข้อหารือจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา หากได้รับจะนำเสนอ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ด้านนายสุรชัย ภู่ประเสริฐ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี บอกว่า หลังจากได้รับความเห็นของกฤษฎีกาแล้ว สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี(สลค.) สามารถดำเนินการเรียกคืนเครื่องราชฯ จาก พ.ต.ท.ทักษิณได้เลย แต่ขั้นนี้ต้องรอตกลงกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)ก่อน โดย ตร.จะทำเรื่องถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชฯ ในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้มาตอนยังรับราชการตำรวจ แต่ในช่วงที่พ้นจากราชการแล้ว เป็นหน้าที่ของ สลค. ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณมีเครื่องราชฯ หลายชั้น ดังนั้น สลค.ต้องตรวจสอบอีกครั้ง เพื่อจะได้ดำเนินการพร้อมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อ สลค.ดำเนินการในส่วนของ สลค.แล้วเสร็จ จะส่งเรื่องไปยังนายกฯ เนื่องจากการเรียกคืนเครื่องราชฯ ต้องมีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา โดยนายกฯ จะต้องเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ทั้งนี้ หลังมีข่าวคณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยว่ากรณี พ.ต.ท.ทักษิณถูกศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก 2 ปี เข้าข่ายต้องถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชฯ ปรากฏว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทยและคนที่ใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณเองต่างออกมาโวยวายเป็นการใหญ่ โดยนายพิชิฏ ชื่นบาน อดีตทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณในคดีซื้อที่รัชดาฯ ที่เคยถูกศาลฎีกาสั่งจำคุก 6 เดือน ฐานละเมิดอำนาจศาลกรณีนำถุงขนมใส่เงิน 2 ล้านมอบให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกา ได้ออกแถลงการณ์ว่า กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีเหตุที่สมควรต่อการถอดยศและการเรียกคืนเครื่องราชฯ เพราะประชาชนหลายล้านคนได้เข้าชื่อยื่นฎีกาทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งการพระราชทานอภัยโทษหมายถึง การยกโทษทางอาญา ซึ่งเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ พร้อมอ้างว่า การถอดยศและการเรียกคืนเครื่องราชฯ เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ
ด้านนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ออกมาอ้างว่า เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่วินิจฉัยเรื่องถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกบีบบังคับจากฝ่ายการเมืองให้มีความเห็นเช่นนี้ ทั้งที่คดีของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ใช่คดีทุจริตคอร์รัปชั่น แต่เป็นผลจากการยึดอำนาจและนำไปสู่การตั้งคนที่เป็นปฏิปักษ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณมาทำหน้าที่เป็น คตส. ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้รับความเป็นธรรม ขณะที่นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ได้ออกมาปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณด้วยการอ้างว่า การถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชฯ พ.ต.ท.ทักษิณถือว่าเข้าข่ายขัดกับหลักสิทธิมนุษยชน เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นถึงอดีตผู้นำประเทศที่ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติมากมาย จึงไม่เป็นธรรมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ นายประชา ยังขู่ด้วยว่า หากรัฐบาลยังไม่ยุติการทำลายเกียรติและถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ตนจะนำกองทัพประชาชนออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณด้วยตัวเอง และเมื่อนั้นแผ่นดินจะลุกเป็นไฟ
ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ทวิตข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์(28 ต.ค.) ถึงกรณีที่กฤษฎีกาเสนอให้ถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชฯ ตน เนื่องจากต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกคดีที่ดินรัชดาฯ ว่า “ขอขอบคุณทุกท่านที่ห่วงใยเรื่องรัฐบาลจะถอดยศผม เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับรัฐบาลนี้ถ้าเขาสามารถหากฎหมายมาอ้างแล้วฆ่าผมได้เขาทำไปนานแล้ว”
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า การที่กฤษฎีกาให้ความเห็นว่ากรณี พ.ต.ท.ทักษิณเข้าข่ายถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชฯ นั้น เป็นไปตามขั้นตอนปกติ ไม่มีเรื่องนโยบายเข้าไปเกี่ยวข้อง และเมื่อกฤษฎีกาให้ความเห็นมาอย่างไร ปกติหน่วยงานต้องปฏิบัติตามคำแนะนำหรือคำปรึกษาของกฤษฎีกาอยู่แล้ว
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ด้านความมั่นคง พูดถึงกรณีที่นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ออกมาขู่ว่าถ้าถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ระวังแผ่นดินจะลุกเป็นไฟว่า “ขอให้เลิกขู่กันเสียที เพราะเป็นคนไทยด้วยกัน อีกทั้งทุกอย่างต้องว่ากันไปตามกฎเกณฑ์กติกา ไม่ได้เลือกปฏิบัติแน่นอน ถ้าใครสั่งให้ดำเนินการโดยผิดกฎหมายก็จะถูกดำเนินคดีและติดคุกเสียเอง ไม่มีที่จะไปกลั่นแกล้ง เพราะความจริงไม่ได้ให้ความสำคัญด้วยซ้ำไป แต่เจ้าหน้าที่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ แล้วไม่ปฏิบัติก็จะถูกข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และเสียหายอีก”
ทั้งนี้ นอกจากเรื่องถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชฯ พ.ต.ท.ทักษิณจะเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว ยังมีกรณีที่แกนนำ นปช.หรือแกนนำคนเสื้อแดง(นายวีระ มุสิงพงศ์-นายจตุพร พรหมพันธุ์-นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) พยายามเคลื่อนไหวให้มีการแก้ รธน.หมวดพระมหากษัตริย์ คือมาตรา 18-20 เพื่อไม่ให้ประธานองคมนตรีสามารถเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ โดยนายณัฐวุฒิ อ้างว่า “คนเสื้อแดงไม่ได้มีปัญหากับองคมนตรีหรือสถาบันองคมนตรี แต่คนเสื้อแดงไม่สามารถไว้วางใจ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เพราะแสดงสถานะชัดเจนว่าเลือกข้างทางการเมือง ขัดกับ รธน.จนเห็นได้ชัดว่า พล.อ.เปรมกลายเป็นส่วนสำคัญของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น และวันนี้ พล.อ.เปรมไม่อยู่ในสถานะที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในประเทศได้อีกต่อไป” ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.และ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ประกาศว่า “หากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไป นอกจากจะต้องนำ รธน.2540 กลับมาใช้แทน รธน.2550 แล้ว ยังจะต้องแก้ รธน.หมวดพระมหากษัตริย์ ไม่ให้ประธานองคมนตรีสามารถรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ และต้องกำหนดลงไปว่า ผู้ที่จะรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้น จะต้องเป็นองค์รัชทายาทเท่านั้น”
เป็นที่น่าสังเกตว่า การเคลื่อนไหวของแกนนำ นปช.เกี่ยวกับการแก้ รธน.หมวดพระมหากษัตริย์ ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง และไม่มีใครเห็นด้วย เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและส่อก้าวล่วงสถาบัน เพราะการตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้น เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ซึ่งบทบัญญัติใน รธน.เกี่ยวกับหมวดพระมหากษัตริย์ก็บัญญัติไว้เช่นนี้มาตลอด ไม่เคยมีใครคิดแก้ไขแต่อย่างใด ด้านนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานวิปรัฐบาล ชี้ว่า การเรียกร้องของแกนนำเสื้อแดงที่ให้แก้ รธน.หมวดพระมหากษัตริย์เรื่องการตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้น ชัดเจนว่าเป็นวาระซ่อนเร้นที่กลุ่มเสื้อแดงหวังผลสร้างประเด็นสู่ปัญหาความขัดแย้ง เพราะเรื่ององคมนตรีและหมวดพระมหากษัตริย์นั้น เป็นหมวดทั่วไป การแก้ รธน.ที่ผ่านมา ไม่มีใครคิดไปบังอาจที่จะทำเช่นนี้เลย ยกเว้นสามเกลอหัวขาด ส่วนจุดประสงค์ของคนที่เสนอประเด็นนี้ ก็เพื่อต้องการล้มอำมาตยาธิปไตย ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงข้อเรียกร้องของแกนนำเสื้อแดงที่ต้องการแก้ รธน.หมวดพระมหากษัตริย์ประเด็นการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ว่า “เข้าใจว่าการยกประเด็นนี้ขึ้นมาก็เพื่อกระทบชิ่ง พล.อ.เปรม ซึ่งอาจจะกระทบต่อสถาบันเบื้องสูงได้”
ขณะที่ พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ส.ว.สรรหา และ 1 ในคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ ก็แสดงความไม่เห็นด้วยกับการแก้ รธน.ประเด็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ โดยชี้ว่า เรื่องนี้ใหญ่เกิน เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไม่ควรไปยุ่งและไม่ควรแก้ไข และว่า ใน รธน.หมวดที่ว่าด้วยพระมหากษัตริย์เขียนไว้เหมาะสมแล้ว และเขียนแบบนี้มาทุกฉบับ ผ่านมาหลายยุคสมัยแล้ว ไม่มีปัญหา “ใครจะต่อสู้กับใคร ก็เป็นเรื่องความคิดคนสู้กัน ถ้าเอาทุกประเด็นคงไม่จบ แต่เรื่องผู้สำเร็จราชการเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ผมคิดว่าไม่ควรเอามาต่อความยาวสาวความยืด เพราะไม่ดี ไม่มีประโยชน์ ใครต่อสู้ทางการเมืองกัน ส.ว.ไม่ยุ่งเกี่ยว ไม่วิวาทะด้วย เราดูอะไรที่มันเป็นประโยชน์ และอย่าไปเติมเชื้อไฟอีกเลย”
3. “ทักษิณ” ยัน ไม่ไปเขมรวันลอยกระทง ด้าน “ฮุน เซน”หยุดพูดเรื่องทักษิณแล้ว หลัง รบ.ไทยชี้แจง!
ความคืบหน้ากรณีที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ท่ามกลางความกังขาว่าเข้าพรรคเพื่อไทยเพื่อช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรหรือไม่ จากนั้น พล.อ.ชวลิตได้เดินทางไปกัมพูชาและหารือกับสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกฯ กัมพูชา ก่อนที่สมเด็จฯ ฮุน เซน จะออกมาแสดงท่าทีปกป้องและช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ นักโทษหนีคดีจำคุก 2 ปี ด้วยการเชิญชวนให้ พ.ต.ท.ทักษิณมาพำนักอยู่ในกัมพูชา ซึ่งตนได้สร้างบ้านรอไว้แล้ว นอกจากนี้สมเด็จฯ ฮุน เซน ยังได้มากล่าวในประเทศไทยระหว่างเดินทางมาร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนเมื่อวันที่ 23 ต.ค.ว่า ได้เชิญ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของตน พร้อมประกาศว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณมาอยู่กัมพูชา จะไม่ส่งตัวให้ไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน กระทั่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ของไทย ได้ออกมาเตือนให้สมเด็จฯ ฮุน เซน คิดให้ดี อย่ายอมเป็นเหยื่อหรือเบี้ยให้ใครนั้น ปรากฏว่า หลายฝ่ายได้เสนอให้รัฐบาลออกแถลงการณ์ตอบโต้นายกฯ กัมพูชา โดยนายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ แนะว่า รัฐบาลต้องออกแถลงการณ์เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของคนไทย ซึ่งคำพูดของสมเด็จฯ ฮุน เซน เป็นการท้าทายกระบวนการยุติธรรมว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ผิด ดังนั้นรัฐบาลจะต้องออกแถลงการณ์เพื่อยืนยันกับประชาคมโลกว่า กระบวนการยุติธรรมของไทยน่าเชื่อถือ
ด้านกลุ่ม 40 ส.ว.นำโดยนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ,นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ,น.ส.สุมล สุตะวิริยะวัฒน์ ส.ว.เพชรบุรี ฯลฯ เปิดแถลงข่าว(26 ต.ค.) เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ แสดงท่าทีต่อกัมพูชาอย่างเป็นทางการ กรณีที่สมเด็จฯ ฮุน เซนให้สัมภาษณ์สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณและโจมตีกระบวนการยุติธรรมของไทย โดยขอให้หยุดการช่วยเหลือแก่รัฐบาลกัมพูชาที่จะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับสมเด็จฯ ฮุน เซน และพวก ซึ่งจะนำผลประโยชน์ที่ได้จากไทยไปซื้ออาวุธแล้วนำมาตรึงกำลังชายแดนเขาพระวิหาร นายไพบูลย์ ยังท้าให้ พ.ต.ท.ทักษิณไปอยู่กัมพูชาด้วย “หาก พ.ต.ท.ทักษิณไปอยู่กัมพูชาแล้วจะรู้ว่า คนภาคอีสานคิดอย่างไรกับกัมพูชา ซึ่งประวัติศาสตร์ไทยรบกับกัมพูชาก็คงจะถูกชาวอีสานนำมาศึกษากันอีกครั้ง เชื่อว่ากระแสในภาคอีสานของ พ.ต.ท.ทักษิณ และ พล.อ.ชวลิตจะต้องตกต่ำแน่นอน”
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ไปถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับจุดยืนของไทยต่อกัมพูชาหากไม่ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณให้ไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนว่าถึงขั้นต้องตัดความสัมพันธ์กันหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ บอกว่า “อย่าเพิ่งรีบกระโดดไปบอกว่าสิ่งนั้นจะเกิด สิ่งนี้จะเกิด เราเตรียมตัวไว้ แต่ในชั้นนี้ต้องดูจุดยืนที่ชัดเจนของกัมพูชาอีกครั้ง คิดว่ากัมพูชาน่าจะปฏิบัติตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่ตัวสนธิสัญญาเปิดโอกาสให้มีการต่อสู้ในทางคดี” นายอภิสิทธิ์ ยังฝากถึง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทยที่มีแผนเดินสายเยือนประเทศเพื่อนบ้านของไทยอีกว่า “พล.อ.ชวลิตจะไปประเทศเพื่อนบ้านในฐานะนักการเมืองและอดีตนายกฯ สามารถทำได้ แต่ขอให้ไปเพื่อผลประโยชน์ของประเทศ อย่าไปเพื่อผลประโยชน์ของคนของกลุ่ม ที่สำคัญคืออย่าทำให้ประเทศมีปัญหา”
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ด้านความมั่นคง เผย(27 ต.ค.)ว่า ตนและ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกลาโหม ได้หารือกับสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกฯ กัมพูชาขณะไปส่งกลับประเทศที่สนามบินบ่อฝ้าย จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 25 ต.ค.หลังประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนเสร็จสิ้น โดยใช้เวลาหารือกว่า 2 ชม. ซึ่งตนได้อธิบายสาระสำคัญ 2 ประเด็น 1.ที่สมเด็จฯ ฮุน เซน บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้น ตนได้อธิบายให้เข้าใจว่า ไม่เป็นความจริง และไม่ใช่การข่มเหงรังแก พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เป็นเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณทำผิดกฎหมาย เรื่องโทษจำคุกก็เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ส่วนที่สมเด็จฯ ฮุน เซน บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องอยู่ต่างประเทศ เพราะผลจากการปฏิวัติ ก็ไม่จริง เพราะรัฐบาลปฏิวัติอยู่บริหารแค่ 1 ปี จากนั้นได้จัดทำ รธน.มีการทำประชามติ ซึ่งคนส่วนใหญ่เห็นชอบ แม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณและบริวารก็ยอมรับ โดยส่งคนลงเลือกตั้งจนชนะและได้เป็นรัฐบาล มีทั้งนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯ แต่ที่ทั้งสองต้องพ้นตำแหน่ง เพราะทำผิดกฎหมาย ศาลเป็นผู้พิจารณาทั้งสิ้น ไม่ใช่เพราะการปฏิวัติ 2.ที่มีคนบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังมีอิทธิพลอยู่มากในไทยและมีแต่คนสนับสนุนนั้น บางทีอาจไม่ใช่ภาพจริงก็ได้
ด้านพรรคประชาธิปัตย์ได้ประชุม ส.ส.พรรคเมื่อวันที่ 27 ต.ค. หลังประชุม นพ.วรงค์ เดชวิกรม รองโฆษกพรรค แถลงว่า นายสุเทพได้ชี้แจงที่ประชุมว่า ได้พูดคุยกับสมเด็จฯ ฮุน เซน เป็นการส่วนตัวแล้ว ซึ่งสมเด็จฯ ฮุน เซนก็เข้าใจ และบอกว่า ไม่มีเจตนาที่จะแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย และยังจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย
ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า นายสุเทพได้บอกกับที่ประชุมพรรคว่า ได้ทำความเข้าใจกับสมเด็จฯ ฮุน เซนว่า รัฐบาลไทยไม่ได้กลั่นแกล้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งสมเด็จฯ ฮุน เซน ได้รับปากว่า “จะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว” นอกจากนี้สมเด็จฯ ฮุน เซน ยังฝากนายสุเทพมาบอกนายอภิสิทธิ์ด้วยว่า “ขอชมเชยว่านายอภิสิทธิ์เหมาะเป็นนายกฯ แม้จะถูกมองว่าอายุน้อย”
ด้านนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ได้ออกมาแย้มว่า วันที่ 2 พ.ย.นี้ ซึ่งเป็นวันลอยกระทง พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางโดยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวมายังกัมพูชา เพื่อร่วมงานประเพณีลอยกระทงและขอบคุณสมเด็จฯ ฮุน เซน ที่มีน้ำใจให้ นายประชา บอกด้วยว่า “ผมพร้อมด้วย ส.ส.เพื่อไทยประมาณ 4-5 คน เช่น นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ ชักชวนกันทำกระทงจากเมืองไทยและให้พี่น้องเสื้อแดงร่วมอธิษฐานให้ประเทศไทยกลับมามีประชาธิปไตยและเลิกแบ่งสีแบ่งฝ่าย นำไปลอยร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณที่ประเทศกัมพูชา และอีกใบจะลอยที่เมืองไทย ส่วนครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณจะไปสมทบร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณลอยกระทงที่กัมพูชาด้วยหรือไม่นั้น ผมไม่ทราบ”
อย่างไรก็ตาม พ.ต.ท.ทักษิณได้ทวิตข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์(30 ต.ค.)ถึงกรณีที่นายประชา ประสพดี บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางมาที่กัมพูชาในวันที่ 2 พ.ย.ว่า “ไม่หรอกครับ ผมอยู่ถิ่นชาวมุสลิมที่นี่แหละครับ ยังไม่ไปไหน มันปล่อยข่าวได้ อีกทั้งวันที่ 1 พ.ย.นี้ ผมก็สามารถเอสเอ็มเอสกับคนไทยได้โดยตรงแล้ว”
ด้านนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงกรณีที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย เตรียมเดินทางไปประเทศมาเลเซีย หลังเดินทางไปกัมพูชาแล้วเกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาว่า ตนไม่รู้และไม่เข้าใจว่าจะไปเจรจาอะไรกับมาเลเซีย เพราะปัญหาชายแดนภาคใต้ที่รุนแรงขึ้น เกิดมาตั้งแต่ปี 2547 มาจากความผิดพลาดในนโยบายของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณที่ไปยกเลิกศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) พตท.43 และพูดแบบดูถูก เรียกโจรก่อการร้ายว่าโจรกระจอก อีกทั้งยังมีนโยบายอุ้มฆ่า และสุดท้ายคือไม่ให้ความเป็นธรรมกับประชาชน หากไปเจรจาจริงๆ ขอให้ พล.อ.ชวลิตไปพูดความจริงให้มาเลเซียฟังว่า เหตุการณ์เกิดจากอะไร ความผิดพลาดอยู่ตรงไหน
4. “ราเกซ สักเสนา” ถูกส่งตัวกลับมาดำเนินคดีในไทยแล้ว หลังศาลสูงแคนาดาปฏิเสธคำอุทธรณ์!
เมื่อวันที่ 29 ต.ค.เวลา 21.45น.ตามเวลาในประเทศไทย ศาลสูงแคนาดา ได้พิพากษาคดีที่นายราเกซ สักเสนา อดีตที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ หรือบีบีซี ผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์ ยื่นฎีกาคัดค้านความเห็นของรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมประเทศแคนาดาที่เห็นชอบให้ส่งตัวนายราเกซกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ประเทศแคนาดามีคำสั่งให้ส่งตัว โดยศาลฯ พิพากษาให้ยกคำร้องของนายราเกซ ส่งผลให้กระบวนการอุทธรณ์ของนายราเกซเพื่อไม่ให้ถูกส่งตัวกลับมาประเทศไทยเป็นอันสิ้นสุด และต้องถูกส่งตัวให้เจ้าหน้าที่ไทยตามคำพิพากษาและคำตัดสินของกระทรวงยุติธรรมแคนาดา นับเป็นการต่อสู้ทางกฎหมายที่ยืดเยื้อยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์แคนาดา หลังจากนายราเกซพยายามดิ้นรนเพื่อหลีกเลี่ยงการส่งตัว โดยกินเวลายาวนานถึง 12 ปีเศษ
ทั้งนี้ แม้ศาลสูงแคนาดาจะไม่ให้เหตุผลประกอบการยกคำร้องของนายราเกซ แต่ในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แคนาดาเมื่อเดือน มิ.ย.2551 ผู้พิพากษาจอห์น ฮอลล์ สรุปไว้ในคำตัดสินว่า “คดีของนายราเกซได้รับการพิจารณามากเกินพอแล้วจากรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมหลายคนในหลายรัฐบาลของแคนาดาที่ผ่านมา ศาลได้ให้คำพิพากษากระชับรัดกุมชัดเจนไปเมื่อเดือน มี.ค.ปี 2006 แล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ถูกนำส่งมายังเราส่อแสดงถึงความเคลือบแคลงใดใดในความถูกต้องของการตัดสินดังกล่าวนั้น”
สำหรับคดียักยอกทรัพย์บีบีซีนี้ นายราเกซได้ร่วมกับนายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ อดีตกรรมการผู้จัดการบีบีซี อนุมัติเงินกู้ให้บริษัท ซิตี้เทรดดิ้ง จำกัด จำนวน 1,657 ล้านบาทโดยทุจริต เกินอำนาจหน้าที่และไม่มีการประเมินราคาหลักประกันอย่างถูกต้อง ซึ่งอัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้องตั้งแต่เดือน ก.ย.2539 ฐานร่วมกันยักยอกทรัพย์ตามกฎหมายอาญามาตรา 83 ,352 ,353 ,354 และฐานร่วมกับกรรมการผู้จัดการหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคล เบียดบังทรัพย์ช่วยเหลือให้ความสะดวกแก่กรรมการผู้จัดการเบียดบังทรัพย์นั้นไป อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 307-309 ,311 ,313 และ 315
ด้านนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด ยืนยันว่า “อัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจพร้อมยื่นฟ้องคดีนายราเกซได้ทันทีหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบปากคำนายราเกซแล้วเสร็จ และมั่นใจว่าจะยื่นฟ้องได้ก่อนคดีหมดอายุความในวันที่ 20 ก.ค.2553 อย่างแน่นอน และว่า เมื่อฟ้องคดีแล้วก็เท่ากับว่าต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ในการสืบพยาน” นายจุลสิงพ์ ยังเผยด้วยว่า นอกจากคดียักยักทรัพย์ดังกล่าวแล้ว นายราเกซยังตกเป็นผู้ต้องหาความผิดลักษณะเดียวกันอีก 20 สำนวน ความเสียหายกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งอัยการมีคำสั่งฟ้องและยื่นฟ้องผู้ต้องหาอื่นต่อศาลไปแล้วทุกคดี ในส่วนของนายราเกซอยู่ระหว่างรวบรวมเอกสารเพื่อดำเนินการยื่นฟ้องต่อไป
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจของไทยได้เดินทางไปรอรับตัวนายราเกซที่ประเทศแคนาดา โดยนำตัวนายราเกซมาถึงประเทศไทยเมื่อเวลา 23.30น.วันที่ 30 ต.ค.ก่อนนำตัวไปตรวจสุขภาพและสอบปากคำที่กองปราบปรามท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดโดยใช้ตำรวจคอมมานโดประมาณ 50 นาย โดยนายราเกซ ซึ่งอยู่ในวัย 57 ปี มีสีหน้าอิดโรยและเรียบเฉย ด้านเจ้าหน้าที่ได้ให้นายราเกซนอนเตียงผู้ป่วยมากับรถพยาบาล
หลังเจ้าหน้าที่ใช้เวลาสอบปากคำนายราเกซประมาณ 2 ชม.เจ้าตัวให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา จากนั้นนายราเกซอ้างว่าป่วยและขอไปรักษาตัว แต่แพทย์โรงพยาบาลตำรวจตรวจอาการแล้วพบว่าไม่รุนแรงถึงขั้นต้องนำไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจแต่อย่างใด ต่อมาในช่วงสาย เจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายราเกซไปยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอฝากขัง 12 วัน เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ต้องสอบพยานเพิ่มอีก พร้อมคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นชาวต่างชาติ เกรงจะหลบหนี ซึ่งคดีสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจอย่างร้ายแรง หลังศาลอนุญาตให้ฝากขัง เจ้าหน้าที่จึงได้นำตัวนายราเกซไปฝากขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ซึ่งทางเรือนจำได้แยกขังนายราเกซ เนื่องจากมีอาการป่วย โดยให้อยู่ในสถานพยาบาลที่ทางเรือนจำจัดไว้ให้ และเนื่องจากเป็นห่วงความปลอดภัยของนายราเกซ ทางเรือนจำจึงได้เตรียมเจ้าหน้าที่ผู้คุมเพื่อตามประกบนายราเกซขณะถูกคุมขังอย่างใกล้ชิด
5. “รักเกียรติ สุขธนะ” ได้รับอิสรภาพแล้ว หลังติดคุกคดีทุจริตยา 5 ปีเศษ!
เมื่อวันที่ 29 ต.ค. นายรักเกียรติ สุขธนะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 15 ปีในคดีทุจริตจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ และคดีความผิดตาม พ.ร.บ.การใช้เช็ค ได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระแล้วจากเรือนจำกลางคลองเปรม โดยมีภรรยาและลูกๆ มารอรับ
ทั้งนี้ แม้ศาลฎีกาฯ จะพิพากษาจำคุกนายรักเกียรติเป็นเวลา 15 ปี แต่นายรักเกียรติถูกจำคุกจริงประมาณ 5 ปีกว่า เนื่องจากได้รับพระราชทานอภัยโทษลดโทษ
ด้านนายรักเกียรติ เผยหลังได้รับการปล่อยตัวว่า “หลังได้รับพระราชทานอภัยโทษทำให้รู้สึกสำนึกผิด หลังจากนี้จะตั้งใจทำมาหากินอย่างสุจริต ไปใช้ชีวิตที่ จ.อุดรธานี ขณะอยู่ในเรือนจำได้ศึกษาธรรมจนได้นักธรรมตรี โชคดีที่ถูกจับมาติดคุก หากวันนั้นหนีไปคงใช้ชีวิตอยู่อย่างลำบากหรืออาจไม่มีแผ่นดินอยู่ หลังจากนี้ไม่คิดเล่นการเมืองแล้ว”
อนึ่ง นายรักเกียรตินับเป็นรัฐมนตรีคนแรกที่ต้องโทษจำคุกในคดีทุจริตรับสินบน 5 ล้านบาทจากบริษัทยา ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 15 ปี แต่นายรักเกียรติหลบหนี ต่อมามีพลเมืองดีเห็นนายรักเกียรติออกกำลังกายในสวนสาธารณะย่านปากเกร็ด จ.นนทบุรีเมื่อวันที่ 30 ต.ค.2547 จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ นายรักเกียรติจึงถูกจับกุมและถูกคุมขังในที่สุด.