xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 11-18 ต.ค.2552

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. “ฟ้าหญิงจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ” ทรงเผย พระอาการ “ในหลวง”ดีขึ้น ไม่มีอะไรอันตรายแล้ว!

ความคืบหน้าพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 11 ต.ค. สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 22 ว่า พระอาการโดยทั่วไปคงที่ ผลการตรวจพระโลหิต พบว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ วันต่อมา(12 ต.ค.) สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 23 ว่า พระอาการโดยทั่วไปคงที่ ผลการตรวจพระวรกายและพระอุระ(อก) พบว่า การอักเสบของพระปัปผาสะ(ปอด) ทุเลาลงจนเกือบปกติ คณะแพทย์จึงงดถวายการรักษาด้วยการทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพพระปัปผาสะ แต่ยังคงถวายการรักษาด้วยการทำกายบำบัดทั่วไป เพื่อเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อต่อไป วันต่อมา(13 ต.ค.) สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 24 ว่า พระอาการทั่วไปคงที่ เสวยพระกระยาหารและทรงพระบรรทมได้ดี ต่อมา วันที่ 14 ต.ค. สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 25 ว่า พระอาการโดยทั่วไปดี แต่การอักเสบของพระปัปผาสะ(ปอด)ที่ทุเลาลงแล้ว ยังคงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะหายเป็นปกติ ซึ่งเป็นธรรมดาของผู้สูงอายุ คณะแพทย์ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานให้ประทับในโรงพยาบาลต่อไป เพื่อถวายพระโอสถบำรุงและถวายการรักษาฟื้นฟูพระวรกายให้มีพระพลานามัยแข็งแรงเป็นปกติเร็วขึ้น วันต่อมา(15 ต.ค.) สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 26 ว่า เสวยพระกระยาหารได้มากขึ้น คณะแพทย์ยังคงถวายพระโอสถบำรุงและถวายการรักษาฟื้นฟูพระวรกายต่อไป ต่อมา วันที่ 16 ต.ค. สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 27 ว่า พระอาการโดยทั่วไปดี เสวยพระกระยาหารได้มากขึ้น คณะแพทย์ยังคงถวายการรักษาด้วยการทำกายภาพบำบัดต่อไป และถวายพระโอสถปฏิชีวนะจนครบกำหนด วันต่อมา(17 ต.ค.) สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 28 ว่า ผลการตรวจพระวรกายและเอ็กซเรย์พระอุระ(อก) เพื่อติดตามพระอาการ พบว่า การอักเสบของพระปัปผาสะ(ปอด) ยังไม่ปกติ จึงได้ถวายพระโอสถปฏิชีวนะ ปรากฏว่า ในเวลาต่อมา พระปรอท(ไข้) ได้ลดลงจากเดิม ทรงพระบรรทมและเสวยพระกระยาหารได้ดี

ล่าสุด วันนี้(18 ต.ค.) สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 29 ว่า พระอาการโดยทั่วไปดี พระปรอท(ไข้) ลดลง เสวยพระกระยาหารและทรงพระบรรทมได้ดี คณะแพทย์ยังคงถวายพระโอสถปฏิชีวนะต่อไป

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 ต.ค. โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยได้เผยแพร่พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ที่ทรงอยู่ระหว่างเสด็จฯ เยือนประเทศเยอรมนี โดยทรงมีรับสั่งกับคณะข้าราชการสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศเยอรมนีถึงพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า พระองค์ทรงพระประชวรตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย. ด้วยพระอาการทรงมีไข้ แพทย์ตรวจพบว่า ทรงมีอาการปอดอักเสบ จึงเข้ารับการรักษาพระองค์ที่โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย.เป็นต้นมา พระอาการทรงดีขึ้นเป็นลำดับ แต่ช่วงสัปดาห์แรก ทรงมีไข้สูงมาก ทำให้ทรงไม่สามารถพระดำเนินได้ เนื่องจากทรงไม่มีแรง ขณะนี้ไข้ลดลงแล้ว “ขณะนี้คณะแพทย์ติดตามพระอาการว่าปอดเป็นอย่างไรบ้าง จากผลเอ็กซเรย์ทรงดีขึ้นเป็นลำดับ ไม่มีน้ำในปอด อาการทางพระหทัยก็เป็นปกติดี ขณะนี้แพทย์ดูแลเรื่องการถวายกายภาพบำบัดอยู่ ซึ่งเป็นธรรมดาของผู้สูงอายุ หากทรงประทับอยู่บนเตียงหลายวัน อาจทำให้พระราชดำเนินไม่มั่นคง ตอนที่ข้าพเจ้าประสูติพระธิดา อยู่บนเตียงสองวัน ก็ยังเดินไม่มั่นคง ดังนั้น เพื่อให้ในหลวงพระราชดำเนินคล่องแคล่วเหมือนเดิม ทรงต้องใช้เวลาสักระยะทำกายภาพบำบัด จึงเป็นเหตุผลให้ไม่สามารถเสด็จฯ ออกจากโรงพยาบาลศิริราชได้ อย่างไรก็ตาม แพทย์แจ้งว่า พระอาการไม่มีอะไรที่เป็นอันตรายแล้ว ทุกวันนี้พระองค์รับสั่งและเสวยพระกระยาหารได้เกือบปกติ ตอนเสด็จฯ เข้าโรงพยาบาลใหม่ๆ ต้องถวายพระกระยาหารทางหลอดพระโลหิต เพราะว่าทรงมีไข้สูง พระองค์ก็ไม่อยากเสวย กระทั่งพระองค์เสวยได้ตามปกติ”

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเล่าด้วยว่า ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับรักษาพระอาการประชวรอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเฝ้าฯ พระอาการไข้อยู่ตลอด ไม่ได้เสด็จฯ ไหนเลย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระองค์ก็ทรงค้างที่โรงพยาบาลเช่นกัน


2. “ป๋าเปรม” ยัน เปล่ากล่าวหา “จิ๋ว”ทรยศชาติ แค่เตือนสติเข้า “พท.” ด้าน “นปช.-พท.”สวนกลับไม่ยั้ง!


พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
หลังจาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตรองนายกฯ สมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ก่อนหน้านี้ได้อาสาเป็นโซ่ข้อกลางเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมือง แต่แล้วจู่ๆ ได้ตัดสินใจสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย(พท.) เมื่อวันที่ 2 ต.ค. โดยให้เหตุผลว่า ทนเห็นความความแตกแยกในบ้านเมืองไม่ได้ จึงต้องแก้ปัญหาด้วยการลงมาเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง พร้อมอ้างว่า ได้สอบถามประชาชนคนยากจนและด้อยโอกาสแล้ว ทุกคนต่างชี้ให้มาอยู่พรรคเพื่อไทยนั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 13 ต.ค. พล.อ.ชวลิตได้พูดถึงกรณีที่มีข่าวว่า ตนจะเข้ามาไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่าง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่า จนถึงตอนนี้ยังไม่มีโอกาสเข้าไปกราบ พล.อ.เปรมเลย และว่า ตอนไปขออโหสิกรรมเพื่อลาบวช ก็ยังไม่ได้เข้าพบเลย “คิดว่าท่านคงจะเกิดความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องในบางเรื่องราว ก็ต้องเข้าใจท่าน เมื่อท่านเป็นผู้ใหญ่ แล้วเราเป็นเด็ก ก็ต้องให้ความเคารพ แต่เมื่อถึงเวลาก็น่าจะพูดคุยกันได้...”

ด้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้กล่าวหลังเป็นประธานพิธีเปิดโครงการสานใจไทยสู่ใจใต้ รุ่นที่ 13 ที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อวันที่ 15 ต.ค.ถึงกรณีที่ พล.อ.ชวลิตตัดพ้อกรณีที่ไม่ให้เข้าพบเพื่อขออโหสิกรรมในการลาบวชว่า “จิ๋วกับผมเป็นเพื่อนรักกันมานานหลายปีแล้ว และต่างคนต่างทำงานให้กันและกันมา ดังนั้น ความเป็นเพื่อนระหว่างผมกับจิ๋วยังคงอยู่ ส่วนที่มีคนพูด ซึ่งไม่รู้ว่าใครพูด อาจเป็นจิ๋วพูดเองก็ได้ว่า เขาไปลาบวช แล้วไม่ให้ลา อันนี้ไม่ใช่เพื่อนแล้ว เมื่อเพื่อนเขาจะไปลาบวชจะต้องให้อโหสิกรรม เรื่องจริงผมไม่ทราบว่าเขาจะบวช จนบัดนี้ผมยังไม่รู้ว่าเขาบวชที่ไหนเมื่อไหร่”

พล.อ.เปรม ยังยืนยันด้วยว่า ไม่เคยว่า พล.อ.ชวลิตว่าเป็นคนที่ทรยศต่อชาติ “ที่มีคนไปเขียนลงในหนังสือพิมพ์ทำนองว่า ผมไปว่าเขาเป็นคนทรยศต่อชาติ ซึ่งไม่ถูกต้อง แต่สิ่งที่ถูกต้องคือ วันนั้น ก่อนที่จิ๋วจะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ผมให้คนไปบอกเขาว่า จะทำอะไร ขอให้คิดให้รอบคอบ ไตร่ตรองให้รอบคอบ ผมใช้คำว่า ไตร่ตรองให้รอบคอบ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นการกระทำที่เป็นการทรยศต่อชาติ นี่เป็นข้อความที่ผมขอให้เขาสื่อไปถึงจิ๋วในตอนเช้าวันนั้น ดังนั้น ผมไม่ได้กล่าวหาว่าเขาเป็นคนไม่ดีทรยศต่อชาติบ้านเมือง มันไม่ใช่”

พล.อ.เปรม ยังย้ำด้วยว่า ที่เตือน พล.อ.ชวลิต ก็เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อน จึงคิดว่ามีสิทธิที่จะเตือนได้ “ขอย้ำว่า ความเป็นเพื่อนยังเป็นอยู่ตลอดไป เราเป็นเพื่อนกัน เคยทำงานสำคัญด้วยกัน และจบจากสถาบันเดียวกันที่เคยให้คำสัตย์ปฏิญาณเหมือนกัน เมื่อเพื่อนจะทำอะไร ผมก็เตือน เพราะคิดว่ามีสิทธิที่จะเตือนได้ เตือนเขาด้วยความเป็นเพื่อน ด้วยความปรารถนาดี ไม่ได้มีความต้องการที่จะตำหนิจิ๋วเลย”

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง พล.อ.เปรมออกมาชี้แจงเรื่องดังกล่าว ปรากฏว่า ทั้งแกนนำพรรคเพื่อไทยและแกนนำ นปช.ต่างออกมาสวนกลับและโจมตี พล.อ.เปรมแบบไม่ไว้หน้า โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. บอกว่า “พล.อ.ชวลิตควรได้รับความเคารพมากกว่า พล.อ.เปรม และการเข้าพรรคเพื่อไทยดีที่สุดแล้ว พล.อ.เปรมอย่ามาเตือนคนอื่นเรื่องความไม่เป็นกลาง เพราะ พล.อ.เปรมไม่มีความเป็นกลาง ที่มาเตือนว่า หากจะเป็นโซ่ข้อกลางไม่ควรเข้าพรรคการเมือง แล้วตัว พล.อ.เปรมเคยเป็นกลางบ้างแล้วหรือยัง” นายจตุพร ยังประกาศด้วยว่า ต่อไปนี้ ใครที่เข้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ จะถือว่าทรยศต่อชาติบ้านเมือง

ด้านพรรคเพื่อไทยได้ออกแถลงการณ์โจมตี พล.อ.เปรม เมื่อวันที่ 17 ต.ค. โดยนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรค อ่านแถลงการณ์ตอนหนึ่งว่า คำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.เปรมมีลักษณะดูถูกเหยียดหยามพรรคเพื่อไทย เป็นคำพูดที่สื่อให้เข้าใจว่า การเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองที่ชั่วร้าย มีเป้าหมายทำลายประเทศไทย เป็นคำพูดที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อพรรคเพื่อไทยอย่างร้ายแรง “ขอเรียนให้ประชาชนทราบว่า พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีสมาชิกที่เป็น ส.ส.188 คน มีนโยบายแน่วแน่ที่จะสถาปนาประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง และพรรคมีความจงรักภักดีและมั่นคงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นที่สุด” ขณะที่นายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ก็โจมตี พล.อ.เปรมว่า คำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.เปรม เป็นการตอกย้ำความจริงว่า ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญที่ พ.ต.ท.ทักษิณเคยพูดไว้ และผู้ที่ก่อให้เกิดความแตกแยกของคนในสังคมคือใคร “ผมรู้สึกเป็นห่วงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมากว่าอาจเกิดการนองเลือดกันของคนไทย โดยคนไทยจะลุกขึ้นมารบกันเอง เพราะขณะนี้ พล.อ.เปรมทำให้สังคมแตกแยกออกเป็น 2 ขั้วอย่างชัดเจนแล้ว ระหว่างฝ่ายที่ทรยศต่อชาติคือคนที่มาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย และฝ่ายที่รักชาติ ดังนั้น พล.อ.เปรมควรออกมาดำเนินการแก้ไขในสิ่งที่ได้กระทำผิดพลาด ด้วยการออกมาสารภาพผิดต่อคนไทย หรือลาออกจากตำแหน่ง”

ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงกรณีที่ พล.อ.เปรมเตือน พล.อ.ชวลิตว่า “ผมคิดว่า พล.อ.เปรมเป็นผู้ใหญ่ที่ให้เกียรติ พล.อ.ชวลิตเป็นอย่างยิ่ง โดยยกให้ พล.อ.ชวลิตในฐานะที่เคยเป็นลูกน้องเก่าว่าเป็นเหมือนเพื่อน และคำพูดของ พล.อ.เปรมก็ไม่ได้ทำให้ พล.อ.ชวลิตเสียหายแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่ พล.อ.ชวลิตควรจะนำคำเตือนของ พล.อ.เปรมไปไตร่ตรองดู เพราะ พล.อ.ชวลิตมีวันนี้มาได้ และเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานจนได้รับตำแหน่งสูงสุดทางทหารก็เพราะอาศัยใบบุญของ พล.อ.เปรม และเมื่อ พล.อ.ชวลิตเข้ามาสังกัดพรรคเพื่อไทย ก็อยากให้ใช้ความเป็นผู้นำพรรค เตือนสติคนรอบข้างและสมาชิกพรรคเพื่อไทยที่กล่าวพาดพิงทำให้ พล.อ.เปรมเสียหาย”

3. แกนนำเสื้อแดง ขู่ป่วนอาเซียนที่หัวหิน-ชะอำ ด้าน รบ. ลั่น จะไม่ให้ซ้ำรอยพัทยาเด็ดขาด!

กลุ่มเสื้อแดงชุมนุมที่เชิงสะพานชมัยมรุเชฐ(17 ต.ค.)
ความเคลื่อนไหวกรณีที่ไทยเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนระหว่างวันที่ 23-25 ต.ค.นี้ ที่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี และ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ขณะที่กลุ่ม นปช.หรือกลุ่มเสื้อแดงประกาศชุมนุมใหญ่ในวันที่ 17 ต.ค.ที่ข้างทำเนียบรัฐบาล บริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชฐ โดยอ้างว่า เพื่อทวงคำตอบจากรัฐบาลกรณีที่กลุ่มเสื้อแดงยื่นรายชื่อประชาชน 3.5 ล้านชื่อเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ครบ 60 วันแล้ว แต่รัฐบาลยังไม่ทำความเห็นเสนอสำนักราชเลขาธิการเพื่อประกอบพระราชวินิจฉัย ปรากฏว่า ก่อนที่การชุมนุมจะเริ่มขึ้น รัฐบาลได้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักรในพื้นที่ชะอำ-หัวหินระหว่างวันที่ 12-27 ต.ค. เพื่อรักษาความปลอดภัยการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน โดยมีการจัดตั้งศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกลาโหม เป็นผู้ดูแล นอกจากนี้ยังได้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ในเขตพื้นที่ดุสิต กทม.ด้วย ระหว่างวันที่ 15-25 ต.ค. โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เป็นผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย

ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ เผยเหตุผลที่รัฐบาลต้องประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ในพื้นที่เขตดุสิตว่า เนื่องจากมีรายงานข่าวการเชื่อมโยงกันว่า จะมีการชุมนุมใหญ่และต้องดูแลให้การชุมนุมไม่มีเหตุการณ์อะไรที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและความเชื่อมั่นต่อการจัดประชุมสุดยอดอาเซียนที่ อ.หัวหิน ระหว่างวันที่ 23-25 ต.ค.

ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ยืนยันว่า ในวันที่ 17 ต.ค. กลุ่มเสื้อแดงจะชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธบริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชฐ ทำเนียบรัฐบาล ก่อนจะสลายตัวในเวลา 24.00น. พร้อมขู่ว่า หากรัฐบาลสกัดขัดขวางหรือใช้ความรุนแรงหรือเล่ห์เหลี่ยมจากคนเสื้อสีต่างๆ มาทำร้ายคนเสื้อแดง จะขอมติจากคนเสื้อแดงเพื่อร้องเรียนต่อผู้นำประเทศต่างๆ ในการประชุมอาเซียนที่จะมีขึ้นที่ อ.ชะอำ และ อ.หัวหิน เพราะถือว่าเป็นฝีมือของรัฐบาล 100% ซึ่งรัฐบาลคงไม่อยากเห็นภาพนั้นเกิดขึ้น ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. พูดถึงการชุมนุมวันที่ 17 ต.ค.เพื่อทวงถามความคืบหน้าการยื่นรายชื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณครบ 60 วันว่า “คนเสื้อแดงทวงกับรัฐบาลให้ส่ง(ความเห็น)กลับไปยังสำนักราชเลขาธิการ ไม่ได้ทวงกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หากรัฐบาลดำเนินการส่งความเห็นประกอบไปยังสำนักราชเลขาฯ แล้ว คนเสื้อแดงก็จะไม่ทวงถามอีกต่อไป เพราะขึ้นอยู่กับพระบรมราชวินิจฉัย”

ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ รักษาการอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในฐานะโฆษกกระทรวงยุติธรรม ชี้แจงเกี่ยวกับการพิจารณาฎีกาของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของฝ่ายข้าราชการประจำ ส่วนสาเหตุที่พิจารณาล่าช้ากว่าปกติ ซึ่งมีระยะเวลา 60 วัน เนื่องจากฎีกาของกลุ่มคนเสื้อแดงมีรายละเอียดหลายส่วน ทั้งร้องทุกข์ เล่าเหตุการณ์การยึดอำนาจ การดำเนินคดีที่ดินรัชดาฯ และการขอพระราชทานอภัยโทษ เจ้าหน้าที่จึงต้องแยกแต่ละประเด็น ที่สำคัญการเขียนหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษของกลุ่มคนเสื้อแดงต่างจากฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษในเรือนจำ ซึ่งกรมราชทัณฑ์ไม่เคยพิจารณามาก่อน จึงต้องตรวจสอบอย่างละเอียด รวมทั้งต้องตรวจสอบรายชื่อของผู้ยื่นถวายฎีกาที่มีจำนวนมาก ว่าเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ จึงใช้เวลานานกว่าฎีกาปกติ

ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงกรณีที่แกนนำ นปช.ขู่ว่า หากมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น จะเดินทางไปร้องเรียนผู้นำประเทศต่างๆ ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนว่า เป็นการแสดงให้เห็นว่า นปช.มีการเตรียมหาเหตุเพื่อไปชุมนุมประท้วงระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน

ทั้งนี้ การตั้งข้อสังเกตของนายเทพไท ส่อเค้าว่าจะเป็นจริง เพราะนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำคนเสื้อแดง ได้ออกมาส่งสัญญาณในวันที่กลุ่มเสื้อแดงชุมนุมใหญ่เมื่อวันที่ 17 ต.ค.ว่า “ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มคนเสื้อแดงได้เดินทางไปยื่นหนังสือยังสถานทูตประเทศต่างๆ ที่จะมาร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน เพื่อแจ้งว่าหากเจอคนเสื้อแดงที่ อ.หัวหิน ก็อย่าตกใจ เพราะคนเสื้อแดงจะไม่บุกที่ประชุม แต่จะไปยื่นหนังสือและหลักฐานที่รัฐบาลใช้ความรุนแรงกับประชาชนให้ได้รับทราบ เมื่อยื่นหนังสือเสร็จเรียบร้อยก็จะปราศรัยเรียกร้องให้รัฐบาลทำประชามติการแก้รัฐธรรมนูญว่าจะใช้ฉบับ 2540 หรือฉบับ 2550 จากนั้นจะเดินทางกลับ ไม่มีการชุมนุมยืดเยื้อ เว้นแต่รัฐบาลจะใช้ความรุนแรงกับกลุ่มคนเสื้อแดง”

ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ในฐานะ ผอ.ศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย พูดถึงกรณีที่แกนนำคนเสื้อแดงขู่จะไปชุมนุมที่หัวหินและชะอำขณะที่มีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนว่า ตนยืนยันมาตลอดว่า การชุมนุมสามารถทำได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย แต่ที่ขู่ว่าจะไปป่วนอาเซียน อย่างนี้ไม่ได้ โดยเฉพาะที่ชะอำและหัวหิน จะไม่ยอมให้เกิดเหตุเหมือนที่พัทยา จ.ชลบุรีอย่างเด็ดขาด

ด้านนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช. ได้ปราศรัยบนเวทีในการชุมนุมใหญ่เมื่อวันที่ 17 ต.ค. โดยนอกจากโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษแล้ว ยังคุยโวด้วยว่า ช่วงปลายเดือน พ.ย.คนเสื้อแดงนับล้านคนจะชุมนุมใหญ่ที่ทำเนียบรัฐบาลอีกครั้ง “วันนี้(17 ต.ค.) เรามาซ้อมๆ กันเพื่อสำรวจตรวจสอบว่า จังหวัดไหน เสื้อแดงมีพลัง เพื่อมาร่วมมือกัน โดยปลายเดือน พ.ย. เราจะเอาคนล้านคนมาเยี่ยมทำเนียบฯ ดังนั้น ตอนนี้มีอะไรจะพูดแก้ตัวก็พูดไป จะโยนความผิดก็โยน แต่คนเสื้อแดงยืนยันว่าชุมนุม เราต้องการประชาธิปไตยและความเป็นธรรมในสังคม”

ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีจำคุก 2 ปี ไม่สามารถวีดิโอลิงก์มายังเวทีคนเสื้อแดงที่ข้างทำเนียบฯ ได้ เพราะอยู่ระหว่างเดินทาง จึงใช้วิธีโฟนอินแทน โดยนอกจากจะโจมตีรัฐบาลนายอภิสิทธิ์แล้ว ยังปลุกให้คนเสื้อแดงเรียกร้องทวงคืน รธน.2540 ด้วย “วันนี้เศรษฐกิจแย่ เพราะไม่มีใครอยากมาอยู่ประเทศไทย เพราะต้องการจัดการคนคนเดียว แล้วยังบอกให้ผมหยุด ก็คุณไม่ให้ความเป็นธรรม แล้วมาบอกให้ผมหยุด เมื่อไรจะหยุดความยุติธรรมให้ผม ผมคิดว่าความอดทนของทุกคนมีจำกัด แต่อยากให้พี่น้องใจเย็นๆ ผมไม่ยอมแพ้แน่นอน เราจะไม่มีการแพ้ต่อความเลวความอยุติธรรม ต่อเผด็จการ เราจะต้องต่อสู้กันต่อ เราต้องเรียกร้อง รธน.ปี 2540 คืนมาให้ได้ ไม่เช่นนั้น หากพี่น้องอยู่อย่างนี้ สื่อมวลชนไม่อิสระ ไม่เปิดเผยความเลวร้ายของสังคม ในที่สุดระบบยุติธรรมก็แย่”

4. นายกฯ เตรียมปลด “พัชรวาท”เซ่นคดี 7 ตุลาฯ หลัง 4 หน่วยงานมีมติเอกฉันท์ให้ปลดแทนไล่ออก!

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ 15 ต.ค.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ เผยความคืบหน้าการพิจารณาโทษทางวินัย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) หลังถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดทางอาญาและวินัยร้ายแรง กรณีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 ว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง(คณะกรรมการกฤษฎีกา ,คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) ,สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) ,สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี จะส่งรายงานที่เป็นลายลักษณ์อักษรมาให้ในวันนี้(15 ต.ค.) และว่า แนวทางลงโทษมี 2 แนวทางเท่านั้น คือ ไล่ออกกับปลดออก วันต่อมา(16 ต.ค.) นายอภิสิทธิ์ พูดถึงเรื่องนี้อีกครั้งว่า ทุกหน่วยงานได้ทำความเห็นร่วมกันมาแล้ว โดยใช้หลักเกณฑ์การชี้มูลของ ป.ป.ช.เทียบเคียงกับที่เคยชี้มูล รวมถึงกรณีอื่นที่เคยเกิดขึ้นในอดีต และการพิจารณาชั้นการลงโทษ ซึ่งทั้งคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ก.พ. และ ก.ตร.มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า ควรจะปลด พล.ต.อ.พัชรวาท ซึ่งตนจะดำเนินการตามนั้น

ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เทียบเคียงความผิดของ พล.ต.อ.พัชรวาท กับกรณีอื่นว่า การปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อราชการ แต่ไม่ถือเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ จึงเห็นควรลงโทษปลดออก ไม่ถึงกับไล่ออก สำหรับการปลดออกนั้นแตกต่างจากไล่ออก คือยังสามารถได้รับบำเหน็จบำนาญ

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะลงโทษให้มีผลย้อนหลังหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ บอกว่า ขอไปดูอีกครั้ง หากจำไม่ผิด น่าจะเป็นวันที่ ป.ป.ช.ชี้มูล ซึ่งตนต้องสั่งภายใน 30 วัน แต่ให้มีผลตั้งแต่เมื่อไหร่ ต้องไปดูตามข้อกฎหมาย ขณะนี้กำลังให้ทำการยกร่างรายละเอียดคำสั่งอยู่ ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า กรณีของ พล.ต.อ.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และอดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทางอาญาและวินัยร้ายแรงเช่นกัน จะตัดสินในลักษณะเดียวกันหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ บอกว่า ขึ้นอยู่กับ ก.ตร.

ส่วนความเคลื่อนไหวกรณีที่นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ซึ่งได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการนายกฯ โดยคาดว่าปัญหามาจากปัญหาการแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ที่ยังไม่สามารถตั้งได้ เนื่องจากนายนิพนธ์หนุน พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รอง ผบ.ตร.โดยอ้างว่าได้รับสัญญาณพิเศษมา ขณะที่นายอภิสิทธิ์ หนุน พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ ให้เป็น ผบ.ตร. เนื่องจากไม่อยากตั้งตำรวจที่ใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเกรงจะทำคดีเอื้อประโยชน์ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 12 ต.ค. มีข่าวว่า นายนิพนธ์ได้เปิดใจกับเพื่อน ส.ส.ที่ไปร่วมงานสังสรรค์ที่บ้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ที่ อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี โดยชี้แจงถึงเหตุผลที่ลาออกจากเลขาธิการนายกฯ ว่า เป็นความผิดของตนที่สื่อสารเรื่องการแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ไปยังนายกฯ จนทำให้นายกฯ เข้าใจว่าเป็นใครก็ได้ นายนิพนธ์ ยังบอกด้วยว่า ขณะนี้ปัญหาทุกอย่างได้คลี่คลายไปในทางที่ดีแล้ว โดยหลังจากนี้ให้จับตาดูว่าจะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ปัญหาเรื่องการแต่งตั้ง ผบ.ตร.ยุติลง

อย่างไรก็ตาม วันต่อมา(13 ต.ค.) นายนิพนธ์ได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว โดยยืนยันว่า “ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง ข่าวที่ออกมาเหมือนเป็นแผนล่อเสือออกจากถ้ำ เพื่อให้ผมออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน แต่ยืนยันว่า ในงานดังกล่าวผมไม่ได้พูดอะไรเลย” ผู้สื่อข่าวถามว่า แล้วข่าวที่บอกว่าให้จับตาดูหลังจากนี้จะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งส่งผลให้ปัญหาการแต่งตั้ง ผบ.ตร.ยุติลง นายนิพนธ์ บอกว่า “ผมไม่ได้พูดอะไรเลย”

5. ศาลฎีกา พิพากษายืนประหารชีวิต “ชลอ เกิดเทศ”คดีอุ้มฆ่า 2 แม่ลูกตระกูล “ศรีธนะขัณฑ์”!

พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ อดีตผู้บัญชาการประจำกรมตำรวจ
เมื่อวันที่ 16 ต.ค. ศาลอาญาได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 และนายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ อดีตผู้บัญชาการประจำกรมตำรวจ จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 9 คน ในความผิดฐานเป็นตัวการสนับสนุนให้ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ในคดีที่ร่วมกันอุ้มฆ่านางดาราวดี และ ด.ช.เสรี ศรีธนะขัณฑ์ สองแม่ลูก ซึ่งเป็นภรรยาและบุตรชายนายสันติ เจ้าของร้านเพชรชื่อดัง

ทั้งนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 ก.ค.-1 ส.ค.2537 จำเลยที่ 1-4 ซึ่งเป็นตำรวจสืบสวนหาเพชรและทรัพย์สินมีค่าของเจ้าชายไฟซาล บินฟาฮัด อับดุลอาซิซ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ที่นายเกรียงไกร เตชะโม่ง อดีตคนงานไทยที่เข้าไปทำงาน ได้ขโมยเพชรและนำเข้ามาในประเทศไทย ได้สืบสวนแล้วเชื่อว่า นายสันติ เจ้าของร้านเพชรชื่อดัง รู้ว่าเพชรที่นายเกรียงไกรขโมยมาอยู่ที่ใด แต่จำเลยทั้งสี่ไม่ออกหมายเรียกนายสันติมาสอบสวน กลับร่วมกับจำเลยที่ 5-9 ลักพาตัวนางดาราวดีและ ด.ช.เสรี ไปจากบ้านพักย่านตลิ่งชัน และนำตัวไปกักขังไว้ที่บังกะโล อ.สระแก้ว จ.ปราจีนบุรี แล้วใช้ของแข็งตีทีศีรษะและร่างกายของทั้งสองจนถึงแก่ความตาย ก่อนจะลักทรัพย์สินรวมมูลค่า 560,000 บาทไป จากนั้นนำร่างผู้ตายทิ้งไว้ในรถยนต์เบนซ์ของนางดาราวดี แล้วขับรถมาจอดทิ้งไว้ที่ทางเข้าหมู่บ้านริมบึง ถ.มิตรภาพ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี ให้รถบรรทุกชนเพื่ออำพรางคดีว่า ถึงแก่ความตายเนื่องจากอุบัติเหตุ เพื่อปกปิดความผิดของจำเลย

สำหรับคดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.2545 ให้จำคุกตลอดชีวิต พล.ต.ท.ชลอ จำเลยที่ 1 ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อนและให้จำคุกตลอดชีวิตจำเลยอีก 3 คน ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ประกอบด้วย พ.ต.ท.พันศักดิ์ มงคลศิลป์ (จำเลยที่ 2) อดีต สว.สส.สภ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ,นายนิคม หรือป๊อด มนต์ศิริ (จำเลยที่ 6) และนายสำราญ แจ่มจำรัส หรือพงษ์ ปากกว้าง (จำเลยที่ 7) นอกจากนี้ให้จำคุก จ.ส.ต.ยงค์ กล่ำนาค (จำเลยที่ 3) อดีต ผบ.หมู่ สภ.เมืองปราจีนบุรี(เสียชีวิตแล้ว) 4 ปี ฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ส่วนจำเลยที่ 4 คือ ด.ต.สมนึก เวชศรี อดีต ผบ.หมู่ สภ.อ.สระแก้ว พิพากษายกฟ้อง สำหรับนายวีระชัย พลทิแสง จำเลยที่ 5 และนายสมหมาย พุดเทศ (เสียชีวิตแล้ว) พิพากษาให้จำคุกคนละ 2 ปี 8 เดือน ฐานร่วมกันสนับสนุนให้เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ซึ่งหลังศาลชั้นต้นพิพากษา โจทก์และโจทก์ร่วมได้อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษจำเลย ขณะที่จำเลยที่ 1 ,2 ,6 และ 7 ได้อุทธรณ์ขอให้ศาลยกฟ้อง โดยอ้างว่าไม่ได้กระทำผิด

ต่อมา วันที่ 3 มี.ค.2549 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยให้ประหารชีวิต พล.ต.ท.ชลอ จำเลยที่ 1 แทนจำคุกตลอดชีวิต เนื่องจากเป็นตัวการสนับสนุนให้ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 มีโทษสูงสุดประหารชีวิต ส่วนจำเลยที่ 2 ,6 และ 7 ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

หลังจากนั้น พล.ต.อ.ชลอ จำเลยที่ 1 ได้ยื่นฎีกาต่อเพียงคนเดียว โดยอ้างว่า นางดาราวดี และ ด.ช.เสรี เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ มิใช่ฆาตกรรม พร้อมระบุว่า โจทก์ไม่มีพยานเห็นจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยอื่นกักขังหน่วงเหนี่ยวและเรียกค่าไถ่ผู้ตาย และว่า คำให้การของ พ.ต.ท.พันศักดิ์ จำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้เป็นไปโดยสมัครใจ จึงเป็นคำซัดทอดที่ไม่สามารถรับฟังได้ อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกแบ่งหน้าที่กันทำความผิดตามฟ้องจริง ข้อเท็จจจริงรับฟังได้เป็นที่ยุติตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย จึงพิพากษายืนให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1

เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนที่ศาลจะอ่านคำพิพากษา พล.ต.ท.ชลอ ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยและพูดคุยกับทนายความ แต่เมื่อได้ฟังศาลอ่านคำพิพากษาประหารชีวิต พล.ต.ท.ชลอถึงกับน้ำตาคลอเบ้า ขณะที่กลุ่มเพื่อนและลูกน้อง รวมทั้งญาติต่างเดินเข้าไปปลอบใจ ซึ่ง พล.ต.ท.ชลอได้แต่รับไหว้ แต่ไม่ระบายความรู้สึกของตนแต่อย่างใด

ด้านนายปรอย พุ่มหมัน ทนายความของ พล.ต.ท.ชลอ บอกว่า เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์แล้ว ทางคดีไม่อาจดำเนินการใดใดได้อีก คงมีเพียงการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ดำเนินการได้เมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุด แต่ที่ผ่านมา พล.ต.ท.ชลอยังไม่ได้หารือกับตนเรื่องการยื่นฎีกา ดังนั้นคงจะได้หารือกันอีกครั้ง.
กำลังโหลดความคิดเห็น