xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 2-8 มี.ค.2552

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. สื่อฮ่องกง ตีข่าว ใกล้บรรลุข้อตกลงส่ง “แม้ว”กลับไทย ด้าน “นปช.”ขู่ “ทักษิณ”ติดคุก-แผ่นดินลุกเป็นไฟ!
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีซื้อที่รัชดาฯ ที่ศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก 2 ปี
ความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มเสื้อแดงในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มจากกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้แจ้งยกเลิกไม่เดินทางไปปาฐกถาพิเศษที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งฮ่องกง(เอฟซีซี)เรื่อง “วิกฤตการเงิน ความไม่แน่นอนทางการเมือง : บทเรียนจากประเทศไทย” ในวันที่ 2 มี.ค.โดยอ้างว่า ไม่อยากให้กระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน หลังรัฐบาลนายอภิสิทธิ์เดินหน้าประสานทางการฮ่องกงและจีนให้ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาดำเนินคดีในไทย อย่างไรก็ตาม ทางเอฟซีซี ยังให้โอกาส พ.ต.ท.ทักษิณปาฐกถาพิเศษผ่านระบบวิดีโอลิงก์ในวันที่ 12 มี.ค.นี้(เวลา 13.05น.) ขณะที่หนังสือพิมพ์ซันเดย์ มอร์นิ่ง โพสต์ ของฮ่องกง รายงานในวันนี้(8 มี.ค.)โดยอ้างแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือว่า ขณะนี้ทางการฮ่องกงใกล้จะบรรลุข้อตกลงกับไทยในการทำสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกันแล้ว ซึ่งอาจมีผลถึงการส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมารับโทษจำคุก 2 ปีในคดีซื้อที่รัชดาฯ ที่ประเทศไทยด้วย ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ได้ออกมาติงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ว่าตื่นตูมและตระหนกกับการกล่าวปาฐกถาพิเศษของ พ.ต.ท.ทักษิณเกินเหตุ จึงได้ออกมาพูดว่าจะจับ พ.ต.ท.ทักษิณในงานดังกล่าว และว่า รัฐบาลพูดเพื่อสะใจก็พูดได้ แต่ในทางปฏิบัติคงทำได้ยาก เพราะรัฐบาลต้องคิดด้วยว่าจะรับมือไหวหรือไม่ หากแผ่นดินลุกเป็นไฟ “ต้องคิดด้วยว่ารัฐบาลจะรับมือไหวหรือไม่ เนื่องจากคนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณนั้นถ้าเข้าคุก คุกก็แตก หากรัฐบาลดำเนินการอะไรที่ขัดต่อหลักยุติธรรม ประชาชนผู้รักความยุติธรรมก็จะออกมาเต็มไปหมด แล้วสุดท้ายแผ่นดินจะลุกเป็นไฟ...” ทั้งนี้ แกนนำ นปช.จะทยอยเปิดเวทีคนเสื้อแดงในจังหวัดต่างๆ เพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณโฟนอินด้วย โดยประเดิมที่ จ.ขอนแก่น ในวันนี้(8 มี.ค.) นอกจากเรื่องการปาฐกถาพิเศษและการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ยังมีการปล่อยข่าวออกมาจากคนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณด้วยว่า ทางการอังกฤษได้ออกเรสซิเด้นท์ วีซ่า(วีซ่าอยู่อาศัยถาวร)ที่มีระยะเวลา 5 ปี ให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว จากที่ก่อนหน้านี้อังกฤษได้เพิกถอนวีซ่าของ พ.ต.ท.ทักษิณตั้งแต่เมื่อเดือน พ.ย.2551 และว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางเข้ากรุงลอนดอนช่วงต้นเดือน มี.ค. ซึ่งสอดคล้องกับที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณเปรยกับตนเมื่อไม่นานมานี้ว่า “ถ้าวันหนึ่ง ผมไปยืนถ่ายรูปหน้าห้างแฮร์รอดส์(ห้างสรรพสินค้าชื่อดังในลอนดอน ประเทศอังกฤษ) คนจะแปลกใจไหม” ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดแถลงกรณีมีข่าวว่าอังกฤษให้วีซ่าแก่ พ.ต.ท.ทักษิณอีกครั้งว่า ได้สอบถามทางการอังกฤษแล้ว พบว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ส่งทนายความไปยื่นอุทธรณ์คำสั่งระงับวีซ่าของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นสิทธิที่อุทธรณ์ได้ แต่การจะให้หรือไม่ให้เป็นสิทธิของประเทศนั้นๆ นายเทพไท ยังดักคอ พ.ต.ท.ทักษิณและ ส.ส.พรรคเพื่อไทยด้วยว่า “ที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยอ้างว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะไปถ่ายรูปที่ห้างแฮร์รอดส์มาให้ดูนั้น ไม่แน่ใจว่า ถ่ายรูปหน้าห้างแอร์รอดส์หรือหน้าเรือนจำกันแน่” ขณะที่นายควินตัน เควลย์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ก็ออกมาดับข่าวที่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้วีซ่าจากอังกฤษอีกครั้ง โดยยืนยันว่า “สถานะของ พ.ต.ท.ทักษิณยังคงเหมือนเดิม เป็นแบบเดิม ข่าวลือนี้ไม่มีมูล” ส่วนกรณีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยบางส่วนได้เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่ฮ่องกงเมื่อเร็วๆ นี้ พร้อมปิดบังที่อยู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยอ้างว่าเพื่อความปลอดภัยจากความพยายามลอบสังหาร แต่หลายฝ่ายมองว่าเป็นการปิดบังแหล่งกบดานของนักโทษหนีคดีจำคุก 2 ปีนั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 3 มี.ค. นายสาธิต ปิตุเตชะ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ได้เข้ายื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) เพื่อให้ดำเนินคดีกลุ่ม ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ในความผิดฐานซ่อนเร้นหรือช่วยเหลือจำเลยเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 189 ทั้งนี้ นายสาธิต ได้มอบตัวอย่างรายชื่อ ส.ส.ที่เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณให้ ผบ.ตร.ด้วยจำนวน 4 คน คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ,นายประชา ประสพดี ,นายสุชาติ ลายน้ำเงิน และนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล นายสาธิต ยังบอกด้วยว่า การแจ้งความครั้งนี้ไม่ได้ให้ดำเนินคดี แต่เป็นการชี้ช่องให้ตำรวจดำเนินการ โดยจะให้เวลา 2 สัปดาห์ หากไม่คืบหน้า จะแจ้งความดำเนินคดี ด้านนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ได้ออกมาส่งสัญญาณว่า รัฐบาลจะไม่ให้ความสำคัญกับเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะถ้ามัวเสียเวลาคิดตอบโต้การเคลื่อนไหวทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ประชาชนอาจสงสัยว่า รัฐบาลเอาแต่หาเรื่องทะเลาะกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้น จากนี้ไป รัฐบาลจะต้องทำงานให้เห็นผลชัดเจน โดยนายกฯ จะเดินสายลงพื้นที่ทั่วประเทศด้วย ซึ่งหวังว่าประชาชนจะได้เห็นว่า รัฐบาลทำอะไรให้กับประชาชน และไม่กังวลหากกลุ่มคนเสื้อแดงจะออกมาต่อต้าน ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ แถลงหลังประชุม ครม.(3 มี.ค.)ว่า ได้ให้รัฐมนตรีทุกคนลงพื้นที่คนละ 2 จังหวัด จนครอบคลุมทั้งประเทศ เพื่อติดตามนโยบายที่รัฐบาลได้อนุมัติไปหลายมาตรการ โดยเริ่มต้นตั้งแต่สุดสัปดาห์วันที่ 7-8 มี.ค. ส่วนตนจะลงพื้นที่ จ.ลพบุรี วันที่ 7 มี.ค.เพื่อดูเรื่องผู้สูงอายุ ชุมชนพอเพียง และงานสาธารณสุข เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังทราบว่านายอภิสิทธิ์และรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ ทางนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช.ก็ได้ออกมาปลุกคนเสื้อแดงให้พร้อมขับไล่นายกฯ และรัฐมนตรีทันที “ขณะนี้คนเสื้อแดงได้ยกระดับการต่อสู้ขึ้นมาอีกระดับหนึ่งแล้ว เมื่อเจอนายอภิสิทธิ์หรือรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ที่ไหนก็ไล่ที่นั่น โดยจะเริ่มจาก จ.ลพบุรี วันที่ 7 มี.ค.ที่นายอภิสิทธิ์จะลงพื้นที่เลย” ด้านนางมยุรี เศวตาศัย แกนนำชมรมคนเสื้อแดงอยุธยา ได้ออกมาขู่ว่า จะนำคนเสื้อแดงอยุธยาและจังหวัดใกล้เคียงกว่า 1,000 คนไปต้อนรับนายอภิสิทธิ์ และว่า จะนำปลาร้าใส่ถุงไปขายให้ถึงมือนายกฯ เลยทีเดียว แต่หากมีการกีดกัน ปลาร้าบรรจุถุงอาจลอยตามกระแสลมไปยังกลุ่มคนที่ขัดขวาง ทั้งนี้ ถือว่าโชคดีที่นางมยุรีและแนวร่วมไม่สามารถทำตามแผนที่วางไว้ เพราะถูกเจ้าหน้าที่สกัดไว้ได้ก่อน อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่นายอภิสิทธิ์ลงพื้นที่ จ.ลพบุรี ได้มีกลุ่มเสื้อแดงออกมาโห่ไล่นายอภิสิทธิ์บ้างประปรายในแต่ละจุดที่นายอภิสิทธิ์เดินทางไป โดยเสื้อแดงบางส่วนได้ขว้างปาขวดน้ำและตีนตบใส่รถนายกฯ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องตั้งกำแพงป้องกันไม่ให้สิ่งของเหล่านั้นโดนรถนายกฯ ด้านนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเดินทางลงพื้นที่ จ.ขอนแก่น(7 มี.ค.) ก็ถูกหญิงเสื้อแดงคนหนึ่งตะโกนด่าด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย แม้นายชวนไม่ได้ตอบโต้ แต่ชาวบ้านบางส่วนทนไม่ได้ จึงลุกขึ้นมาไล่หญิงคนดังกล่าว ทั้งนี้ นายชวนได้กล่าวปราศรัยให้ประชาชนมีสติ ใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ยึดมั่นในหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และขอให้สามัคคีกันไว้ ให้รักในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะสถาบันพระมหากษัตริย์ ประเทศชาติอยู่รอดปลอดภัย เพราะเรามีสถาบันกษัตริย์เป็นหลักยึด

2. “เพื่อไทย”ลังเล เลื่อนซักฟอก รบ.หรือไม่ หลัง “ป๋าเหนาะ-12 เพื่อแผ่นดิน”ไม่เอาด้วย!

เสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช  ประกาศ ไม่ร่วมอภิปรายไม่ไว้วางใจ รบ.กับพรรคเพื่อไทย จะร่วมก็ต่อเมื่อเป็นการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ
ความคืบหน้าการเตรียมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยฝ่ายค้าน หลังมีรายงานว่าพรรคเพื่อไทยจะอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรีอีก 3 คน คือ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีคลัง ,นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ และนายอิสสระ สมชัย รัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมทั้งจะเสนอชื่อ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วนและประธาน ส.ส.ของพรรค ให้เป็นนายกฯ แนบไปพร้อมกับญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ได้ออกมาเตือนพรรคเพื่อไทยว่า ไม่ควรเสนอชื่อ ร.ต.อ.เฉลิม เพราะเป็นคนที่ยังมีอดีตที่ล้างไม่ออก หากเสนอไปจะเหมือนกับเอาน้ำมันไปราดให้บ้านเมืองวิกฤตมากขึ้นนั้น ปรากฏว่า ที่ประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 3 มี.ค.มีมติที่จะเดินหน้ายื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรีบางคนในวันที่ 11 มี.ค. และมีมติเอกฉันท์ให้เสนอชื่อ ร.ต.อ.เฉลิมเป็นนายกฯ โดยจะนำมติของ ส.ส.เข้าที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคเพื่อรับรองอีกครั้งในวันที่ 9 มี.ค. ทั้งนี้ มีรายงานว่า ระหว่างประชุม ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ส.ส.บางคนได้ออกมาตำหนินายเสนาะที่ท้วงติงการเสนอชื่อ ร.ต.อ.เฉลิมเป็นนายกฯ โดยนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน บอกว่า “การตำหนิติเตียนเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราต้องให้ความสำคัญกับมติของเรา ท่านเสนาะอาจมีอเจนดา(วาระ)บางอย่างก็ได้...” ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม ได้ขอบคุณ ส.ส.ในที่ประชุมที่เสนอชื่อตนให้เป็นนายกฯ พร้อมยืนยันว่า “ผมจะไม่ทำให้ผิดหวัง และมั่นใจว่ามีหมัดเด็ด ...ถ้าผมทำให้พรรคผิดหวัง ผมจะลาออกจากประธาน ส.ส.ทันที” ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยมีมติเสนอชื่อ ร.ต.อ.เฉลิมเป็นนายกฯ ว่า “เชื่อว่าคนที่นายใหญ่ไว้ใจมากที่สุดในขณะนี้ก็คือ ร.ต.อ.เฉลิม และว่า ที่ผ่านมา แม้แต่นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ยังเคยเป็นนายกฯ มาแล้ว แล้วทำไมคนอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม จะเป็นไม่ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น” ขณะที่นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็น 1 ในรัฐมนตรีที่จะถูกฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ยืนยันว่า พร้อมชี้แจงทุกเรื่อง และว่า “ฝ่ายค้านจะอภิปรายอะไรผมก็ได้ ผมพร้อมเป็นกระสอบทรายให้ ไม่มีปัญหา...” ด้านนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ได้เปิดแถลงร่วมกับนายสุทธิชัย จันทอารักษ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน(4 มี.ค.) โดยแสดงความไม่เห็นด้วยที่พรรคเพื่อไทยจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในช่วงนี้ เพราะบ้านเมืองอยู่ในภาวะวิกฤต ไม่ใช่เวลาที่จะมาทะเลาะหรือเอาชนะคะคานกัน ข้อมูลที่จะอภิปรายก็ไร้สาระ ทั้งนี้ นายเสนาะ ได้เสนอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติแทนการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งหากพรรคเพื่อไทยเห็นด้วย ตนก็พร้อมจะร่วมอภิปราย “ถ้าเห็นด้วยพร้อมจะร่วมอภิปราย แต่ถ้าไม่ ก็จะไม่ร่วมด้วย เพราะพูดไปก็เสียน้ำลายเปล่า แล้วตอนโหวตก็ไม่ร่วมด้วย เพราะโหวตไปก็เสียมือ และยืนยันว่า ลูกพรรคไม่มีแตกแถวแน่นอน...” ขณะที่ กลุ่ม 12 ส.ส.ของพรรคเพื่อแผ่นดินสาย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ส.ส.สัดส่วนของพรรค(เช่น นพ.วัลลภ ไทยเหนือ ส.ส.สัดส่วน ,นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ ส.ส.สัดส่วน ฯลฯ) ก็ได้เปิดแถลงข่าววันเดียวกัน(4 มี.ค.) โดยยืนยันว่า กลุ่ม 12 มีมติไม่ร่วมลงชื่อเพื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลร่วมกับฝ่ายค้าน เพราะกลุ่มให้ความสนใจการบริหารราชการแผ่นดินและการทุจริตคอร์รัปชั่นมากกว่า ส่วนประเด็นส่วนตัว(ที่ฝ่ายค้านจะอภิปราย)ไม่ถือเป็นสาระสำคัญ อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มฯ พร้อมจะรับฟังเหตุผลและรอดูข้อมูลของพรรคเพื่อไทยก่อนตัดสินใจลงมติไปในทิศทางเดียวกัน ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วนและประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย เผยหลังประชุมคณะทำงานการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล(4 มี.ค.) ว่า ที่ประชุมมีมติที่จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรีอีก 3 คน คือ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีคลัง ,นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ และนายอิสสระ สมชัย รัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ส่วนรัฐมนตรีคนอื่น จะหารือให้ได้ข้อสรุปอีกครั้งในวันที่ 10 มี.ค. ขณะที่นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ได้ออกมาย้ำอีกครั้ง(5 มี.ค.)ว่าจะไม่ร่วมลงชื่อกับพรรคเพื่อไทยยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เพราะการเอาเรื่องส่วนตัวมาเล่นหรือเล่นการเมืองแบบเก่า เป็นเรื่องที่ไร้สาระ อาจทำให้บ้านเมืองพังพินาศได้ ดังนั้นตนไม่เอาด้วยแน่ “...เหมือนกับว่าอยู่เรือลำเดียวกัน และเรารู้ว่าเรือลำนี้กำลังจะพาเราไปชน ถามว่าเราจะตายไปด้วยหรือ อย่างนี้จะยอมหรือ ที่สำคัญต้องดูว่าไอ้ที่จะทำกันอยู่ ทำเพื่อประชาชนหรือทำเพื่อตัวเอง” ทั้งนี้ ได้เกิดปรากฏการณ์ที่สะท้อนถึงความไม่เป็นเอกภาพในพรรคเพื่อไทยหลายลักษณะ เช่น เริ่มมีปรากฏการณ์ “งูเห่า” ขึ้นในพรรค โดยนายปรพล อดิเรกสาร ส.ส.สระบุรี พรรคเพื่อไทย ได้ประกาศตัวย้ายไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทย พร้อมเผยว่า ขณะนี้มี ส.ส.เพื่อไทยที่กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะย้ายไปอยู่พรรคภูมิใจไทยเหมือนกับตนหรือไม่จำนวนไม่ต่ำกว่า 20 คน ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพราะ รธน.2550 ให้เอกสิทธิ์ ส.ส.ไม่ต้องฟังมติพรรค จึงอยากให้จับตาการลงชื่อสนับสนุนมติไม่ไว้วางใจครั้งนี้ เพราะเชื่อว่า คนที่ตัวอยู่กับพรรค แต่ใจไปอยู่พรรคอื่นจะเปิดตัวออกมามาก ส่วนความไม่เป็นเอกภาพอีกลักษณะหนึ่งคือ กรณีที่แกนนำพรรคบางส่วนไม่เห็นด้วยกับการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในขณะนี้ จึงได้เสนอให้เลื่อนการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่กำหนดไว้ในวันที่ 11 มี.ค.ออกไปเป็นเดือน พ.ค.แทน เนื่องจากเห็นว่าควรทอดระยะเวลาให้รัฐบาลบริหารงานไปอีก 2 เดือน เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลไม่สามารถบริหารงานและแก้ปัญหาบ้านเมืองได้ แต่แกนนำพรรคอีกส่วนหนึ่งเห็นว่าควรทำตามแผนเดิมคือ ยื่นญัตติอภิปรายฯ ในวันที่ 11 มี.ค.นี้เลย เพราะไม่ว่าจะอย่างไร ฝ่ายค้านก็ไม่สามารถที่จะล้มรัฐบาลได้อยู่แล้ว ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย บอกว่า กรรมการบริหารพรรคจะประชุมพิจารณาอีกครั้งในวันที่ 9 มี.ค.ว่า จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในวันที่ 11 มี.ค.หรือไม่ นายพร้อมพงศ์ ยังพูดทำนองไม่เห็นด้วยกับการเลื่อนการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลออกไปด้วยว่า “เมื่อพรรคมีมติออกมาแล้วว่าจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ และให้ถอดถอนนายกฯ ทำไมเราจะเลื่อนการยื่นญัตติออกไป ตอนนี้ข้อมูลการอภิปรายพร้อมแล้วที่จะยื่นญัตติในวันที่ 11 มี.ค.ได้ ...ฝากบอกทางพรรคประชาธิปัตย์ว่า หากเห็นเอกสารหลักฐานที่พรรคฯ จะอภิปราย รับรองอาการหนักแน่ และจะทำให้เห็นว่านายอภิสิทธิ์มีความไม่โปร่งใสอย่างไร”

3. “ป.ป.ท.”ชี้ “ครม.ทักษิณ”ต้นเหตุทุจริตนมโรงเรียน-ส่งไม้ต่อให้ “ป.ป.ช.”จัดการแล้ว!

เจริญ เดชเกิด ผู้รับสัมปทานรายใหญ่ส่งนมในโซน 2 ภาคใต้ ผู้ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตนมโรงเรียน
เมื่อวันที่ 2 มี.ค. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.) แถลงถึงผลการตรวจสอบกรณีทุจริตโครงการอาหารเสริม(นม)โรงเรียนว่า จากที่ได้ส่งชุดเฉพาะกิจสุ่มตรวจสอบข้อเท็จจริงจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.)87 แห่ง รวม 16 จังหวัด พบว่าส่อทุจริต โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม 14 เรื่อง เช่น ความผิดที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างของ อปท. พบว่า มีการกำหนดให้บริษัทที่มีสิทธิเสนอราคา เป็นผู้จัดส่งนมโรงเรียนในเขตพื้นที่รวม 18 ราย แต่มีผู้ประกอบการเสนอราคาเพียง 1-2 ราย และพบว่า ผู้เสนอราคาทั้ง 2 รายตกลงสมยอมราคากันมาก่อนยื่นซองประมูล ,ผู้ประกอบการที่ยื่นเสนอราคาทั้ง 2 ราย ไม่ได้ดำเนินการเอง แต่มอบอำนาจให้บุคคลคนเดียวกัน(คนเดินนม) มาดำเนินการเสนอราคาแข่งกันเอง ,อปท.บางแห่งทำสัญญาจัดซื้อนมจากผู้ประกอบการข้ามเขตพื้นที่(ข้ามโซน) ,อปท.จัดซื้อนมจากผู้ประกอบการที่ไม่ได้รับการรับรองสิทธิให้จำหน่ายนมโรงเรียน ,ผู้ชนะการประมูลโอนสิทธิจำหน่ายนมให้ผู้ประกอบการรายอื่น ฯลฯ นอกจากนี้ ป.ป.ท.ยังพบด้วยว่า การจัดซื้อนมโรงเรียนส่วนใหญ่จะพบปัญหาเกี่ยวกับรสชาติ กลิ่น สี หรือความเข้มข้นของนม รวมถึงการบูดเน่าของนม จึงเชื่อว่ามีกระบวนการผลิตที่ไม่ได้คุณภาพ มีการนำนมผงผสมน้ำหรือทำให้เจือจางเพื่อลดต้นทุนการผลิต ก่อให้เกิดผลเสียต่อรัฐและเด็กนักเรียน นายธาริต เผยด้วยว่า ปัญหาการทุจริตนมและนมโรงเรียนไม่ได้คุณภาพนี้ เป็นผลมาจากการดำเนินการในระดับนโยบายที่ได้กำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการบริหารจัดการ เช่น การกำหนดจำนวนผู้ประกอบการ และการจัดแบ่งโซนนิ่งจำหน่ายนม อันเป็นการกีดกันการจำหน่ายนมอย่างเสรี ซึ่งเข้าข่ายผิดตาม พ.ร.บ.การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ(ฮั้วประมูล) ซึ่งต้นเหตุของการกระทำผิด เกิดจากมติ ครม.วันที่ 26 พ.ย.2545 (สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ด้านนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม บอก(3 มี.ค.)ว่า ได้รับรายงานด้วยวาจาเกี่ยวกับการทุจริตนมโรงเรียนจากนายธาริตแล้ว หากได้รับผลสอบสวนทั้งหมด ก็จะนำส่งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ต่อไป เนื่องจากผู้เกี่ยวข้องเป็นนักการเมืองและข้าราชการระดับสูง ซึ่งถือเป็นอำนาจการสอบสวนของ ป.ป.ช. ขณะที่นายเมธี ครองแก้ว กรรมการ ป.ป.ช. เผยว่า ที่ประชุม ป.ป.ช.ยังสงสัยว่า ป.ป.ท.มีอำนาจสอบสวนหรือไม่ เพราะกฎหมายที่ให้อำนาจ ป.ป.ท.ยังไม่ผ่านสภา การที่ ป.ป.ท.สอบเรื่องทุจริตนมโรงเรียน จึงอาจเป็นการทำหน้าที่ก่อนที่กฎหมายจะรองรับให้ทำ นายเมธี ยังชี้ด้วยว่า หากสำนวนที่ ป.ป.ท.สอบ มาถึงมือ ป.ป.ช.เมื่อใด ก็เป็นเพียงแค่เอกสารข้อมูลชิ้นหนึ่ง ยังไม่ใช่สำนวนที่ ป.ป.ช.จะนำไปสอบสวนต่อได้ทันที และว่า หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้าราชการระดับ 7 ลงไป ป.ป.ช.อาจจะไม่สามารถไต่สวนได้ เพราะ รธน.2550 ระบุให้การไต่สวนการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐระดับ 7 ลงไป เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ท. ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ เลขาธิการ ป.ป.ท. ยืนยัน ป.ป.ท.มีอำนาจสอบกรณีทุจริตนมโรงเรียน โดยเป็นอำนาจตาม พ.ร.บ.มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2551 ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2551 และตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ พ.ศ.2551 ของกระทรวงยุติธรรม ที่ให้ ป.ป.ท.เข้าไปตรวจสอบเหตุที่น่าเชื่อว่าเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปร่วมทุจริต และว่า ขณะนี้ ป.ป.ท.ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบข้อมูลที่เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทุจริตแล้วจำนวน 400 เรื่อง ทั้งนี้ ล่าสุด(6 มี.ค.) ป.ป.ท.ได้รับไฟเขียวจากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ให้ส่งมอบข้อมูลการตรวจสอบทุจริตนมโรงเรียนให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบต่อแล้ว ด้านนายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการ ป.ป.ช.บอก หากข้อมูลที่ได้รับจาก ป.ป.ท.พิสูจน์ได้ว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นจริง ป.ป.ช.ก็ต้องตั้งอนุกรรมการขึ้นมาไต่สวน อย่างไรก็ตาม นายวิชัย บอกว่า คงต้องรอดูข้อมูลที่จะได้รับรายงานในวันที่ 9 มี.ค.นี้ก่อน จึงจะบอกรายละเอียดที่ชัดเจนได้ ส่วนความพยายามของรัฐบาลในการแก้ปัญหาการทุจริตนมโรงเรียนนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ได้ประชุมแก้ปัญหานมโรงเรียนทั้งระบบเมื่อวันที่ 4 มี.ค. โดยที่ประชุมมีมติให้เสนอ ครม.วันที่ 10 มี.ค.นี้ เพื่อของบฯ 2,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบฯ จัดซื้อนมให้นักเรียนเพิ่มขึ้นในชั้น ป.5 และ ป.6 จำนวน 1,300 ล้านบาท ส่วนอีก 700 ล้านบาท จะจัดซื้อนมกล่อง(ยูเอชที)เพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 70% ส่วนนมถุง(พาสเจอไรซ์)จะลดสัดส่วนเหลือ 30% ซึ่งน่าจะแก้ปัญหานมบูดเน่าได้ ทั้งนี้ วันเดียวกัน(4 มี.ค.) คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงปัญหานมโรงเรียนไม่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า นายเจริญ เดชเกิด ผู้รับสัมปทานรายใหญ่ส่งนมในโซน 2 ภาคใต้ ซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตนมโรงเรียน และนายวิศวะ คงแก้ว ผอ.วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโยลีชุมพร ได้เข้าชี้แจงด้วย โดยระหว่างชี้แจง นอกจากนายเจริญจะมีสีหน้าเคร่งเครียดและตอบตะกุกตะกักแล้ว ยังยอมรับด้วยว่า ตนไม่ได้เสียภาษีจากการประกอบธุรกิจส่งนมเป็นเวลา 2 ปีแล้ว ด้านนายสุวโรช พะลัง ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ 1 ในกรรมาธิการดังกล่าว เผยว่า การเลี่ยงภาษีของนายเจริญในช่วง 2 ปี น่าจะเป็นเงินเกือบพันล้านบาท ดังนั้นกรมสรรพากรควรไปดำเนินการต่อไป นายสุวโรช ยังชี้ด้วยว่า สำหรับนายวิศวะ คงแก้ว ผอ.วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีชุมพรนั้น เป็นอาจารย์เก่าของนายเจริญ ดังนั้นต้องร่วมรับผิดชอบด้วย เพราะมีส่วนร่วมให้นายเจริญหลีกเลี่ยงภาษี ขณะที่นายสาธิต รังคสิริ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษีและโฆษกกรมสรรพากร รีบรับลูก โดยบอก กรมฯ ได้สั่งการให้สรรพากรพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วว่า นายเจริญเลี่ยงภาษีจริงหรือไม่ และเป็นระยะเวลานานเท่าใด หากพบว่าเลี่ยงภาษีจริง จะมีโทษปรับ 2 เท่าของภาษีที่ค้าง พร้อมทั้งคิดค่าปรับ 1.5% ของภาษีที่ค้างต่อเดือน หากไม่ยื่นแบบชำระภาษี จะสอบย้อนหลังไปเป็นเวลา 10 ปี และกรณีที่ตรวจพบว่าเสียภาษีไม่ครบถ้วน กรมฯ จะตรวจสอบย้อนหลังไป 5 ปี

4. “รบ.”รับไม่ได้ ยกเลิก กม.หมิ่นสถาบัน ด้าน “อัยการ”สุดยื้อคดี “จักรภพ”หมิ่น!

จักรภพ เพ็ญแข ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบัน
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากมีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับคดีหมิ่นสถาบันโดยแกนนำ นปช.แล้ว ยังมีปฏิกิริยาของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ต่อกรณีที่นักวิชาการเสื้อแดงและนักวิชาการต่างประเทศบางส่วนพยายามเดิมเกมให้มีการยกเลิกหรือแก้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ รวมถึงกรณีนายใจ อึ๊งภากรณ์ ผู้ต้องหาหลบหนีคดีหมิ่นสถาบัน ที่กำลังใช้ต่างประเทศเป็นฐานบ่อนทำลายประเทศไทยและสถาบันอยู่ในขณะนี้ เริ่มกันที่ความพยายามของนักวิชาการต่างชาติบางส่วนที่เรียกร้องให้ไทยยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ได้พูดถึงเรื่องนี้ในงานวันนักข่าวประจำปี 2552 เมื่อวันที่ 5 มี.ค.โดยยืนยันว่า ประเทศจำเป็นต้องมีกลไกลักษณะนี้ และว่า สิ่งที่ตนรับไม่ได้ก็คือ การที่คนธรรมดายังถูกฟ้องได้เมื่อไปหมิ่นหรือละเมิดคนอื่น แล้วทำไมถึงจะมาอ้างสิทธิเสรีภาพเพื่อละเมิดสถาบัน “คุณทำกับคนธรรมดายังถูกฟ้อง นักการเมืองบางคนฟ้องเป็นพันล้านบาท มันจึงไม่มีเหตุผลว่าอยู่ดีๆ จะไปละเมิดสถาบัน ...ผมไม่ยอมให้ใครมาอ้างสิทธิเสรีภาพ แล้วมาทำร้ายสถาบัน ถ้ามีวาระซ่อนเร้น ผมไม่รับฟัง” ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ด้านความมั่นคง ก็ยืนยันเช่นกันว่า ในฐานะคนไทยเห็นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมของประชาชน เป็นหลักชัยของประเทศ มีกฎหมายกำหนดไว้เคร่งครัดว่า ใครจะไปลบหลู่ดูหมิ่นไม่ได้ ดังนั้นในฐานะรองนายกฯ ดูแลเรื่องนี้ จะไม่ยอมให้ใครละเมิดสถาบันและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ขณะเดียวกัน จะดูแลไม่ให้ใครใช้สถาบันเป็นเครื่องมือรังแกใคร ด้านนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ พูดถึงกรณีนายใจ อึ๊งภากรณ์ อดีตอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้ต้องหาหลบหนีคดีหมิ่นสถาบันไปอยู่ประเทศอังกฤษ และเคลื่อนไหวโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในต่างประเทศว่า ถ้าจะมาล้มประเทศไทยที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ ก็ต้องต่อสู้กัน หากจะบ่อนทำลายประเทศไทย เราก็ต้องดำเนินการกับนายใจ นายกษิต เผยด้วยว่า กระทรวงการต่างประเทศจะประสานประเทศต่างๆ เพื่อไม่ให้ปล่อยให้นายใจใช้ประเทศของเขาเป็นเวทีล้มล้างประเทศไทย ซึ่งประเทศเหล่านั้นน่าจะได้อ่านสิ่งที่นายใจให้สัมภาษณ์ที่ว่าอยากให้ประเทศไทยเป็นสาธารณรัฐ ดังนั้นใครที่ไปร่วมกับนายใจ ถือว่าพยายามจะล้มล้างประเทศไทย ส่วนกรณีที่นักวิชาการต่างชาติส่วนหนึ่งลงชื่อให้มีการยกเลิกหรือแก้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยมีนายธงชัย วินิจจะกูล นักวิชาการไทยรวมอยู่ด้วยนั้น นายกษิต ชี้ว่า นายธงชัยเป็นคนไทยที่ไปอยู่อเมริกานานแล้ว และเพ้อฝันอยู่นอกประเทศ ซึ่งนายธงชัยควรจะบอกให้ชัดเจนว่า อยากให้ประเทศไทยเป็นสาธารณรัฐอีกคนหรือไม่ ด้าน นพ.บูรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงกรณีมีนักวิชาการสายเสื้อแดงบางส่วนเสนอให้ยกเลิกหรือแก้กฎหมายหมิ่นสถาบันว่า พรรคฯ ไม่เห็นด้วย เพราะเป็นขบวนการที่มีวาระซ่อนเร้น และว่า อยากให้นักวิชาการทบทวนและหาทางออกร่วมกันในการปกป้องสถาบันอันเป็นที่รักมากกว่า ส่วนความคืบหน้าคดีนายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำ นปช.และผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบัน จากกรณีกล่าวปาฐกถาที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทยเมื่อวันที่ 29 ส.ค.2550 ทำนองดูหมิ่นสถาบัน ซึ่งตำรวจสรุปสำนวนส่งฟ้องต่ออัยการไปแล้ว แต่อัยการยังไม่ยอมสั่งคดี โดยอ้างว่าสำนวนยังไม่สมบูรณ์ และให้พนักงานสอบสวนไปสอบเพิ่มเติมนั้น ล่าสุด(4 มี.ค.) อัยการก็ยังไม่ยอมสั่งคดีอีกเช่นกัน โดยนายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา บอกว่า คณะทำงานอัยการยังพบข้อบกพร่องบางประการเกี่ยวกับการแปลความถ้อยคำในสำนวน จึงมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามสอบสวนเพิ่มเติมให้ครบถ้วน จึงจำเป็นต้องเลื่อนนัดฟังคำสั่ง ซึ่งเดิมครบกำหนดนัดในวันที่ 5 มี.ค.ออกไปอีก 30 วัน ด้านนายจักรภพ เพ็ญแข ยังคงยืนยันว่า ตนเองถูกกลั่นแกล้งให้ต้องรับโทษ เพราะเห็นได้ชัดว่าเป็นการนำเรื่องเก่าที่ตนไปบรรยายไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งบ้านเมืองไม่มีประชาธิปไตย มีการยึดอำนาจโดย คมช.มาแจ้งความดำเนินคดี โดยหวังให้ตนพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี และว่า ตนได้ส่งคำแปลภาษาไทยปาฐกถาที่ตนพูดให้คณะทำงานอัยการพิจารณาแล้วว่าเป็นการดูหมิ่นสถาบันหรือไม่ รวมทั้งจะจัดทำคำแปลที่ถูกต้องเผยแพร่ทางเว็บไซต์ให้ประชาชนที่สนใจได้ศึกษาต่อไป

5. “ชาวมาบตาพุด” เฮ ศาล ปค.สั่งประกาศเขตควบคุมมลพิษ ด้าน “เหยื่อแม่เมาะ”ชนะคดี กฟผ.-ศาลฯ สั่งจ่ายค่าชดเชย!
ชาวแม่เมาะดีใจ ศาลปกครองเชียงใหม่ สั่งให้  กฟผ.จ่ายค่าชดเชยจากการเจ็บป่วยเพราะก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์(4 มี.ค.)
สัปดาห์ที่ผ่านมา มีผลคดีเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่น่าสนใจ 2 คดี คดีแรกเป็นคดีที่นายเจริญ เดชคุ้ม ผู้นำชุมชนมาบตาพุด กับพวก ยื่นฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติว่าละเลย ไม่ได้ประกาศให้พื้นที่ ต.มาบตาพุด และเทศบาลเมืองมาบตาพุด ตลอดจนพื้นที่ใกล้เคียงที่มีปัญหาสิ่งแวดล้อมร้ายแรง เป็นเขตควบคุมมลพิษ เพื่อดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 ซึ่งศาลปกครองระยอง ได้อ่านคำวินิจฉัยคดีนี้เมื่อวันที่ 3 มี.ค. โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า รายงานของกรมควบคุมมลพิษ ระบุว่า พบสารอินทรีย์ระเหยมากกว่า 40 ชนิด เป็นสารก่อมะเร็ง 20 ชนิด ในพื้นที่มาบตาพุด ประกอบกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติได้นำเสนอข้อมูลที่พบสถิติการเกิดโรคมะเร็งทุกชนิดใน อ.เมืองระยอง สูงกว่าอำเภออื่นๆ นอกจากนี้ยังมีเอกสารทางวิชาการอีกหลายรายการ ที่ระบุว่า ปัญหามลพิษในท้องที่มาบตาพุดกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน จึงรับฟังได้ว่า เขตเทศบาลเมืองมาบตาพุดเป็นพื้นที่ที่มีปัญหามลพิษ ซึ่งมีแนวโน้มที่ร้ายแรงถึงขนาดเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน หรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบเสียหายต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม จึงสมควรให้ผู้ถูกฟ้อง(คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ)ประกาศให้ท้องที่เขตเทศบาลเมืองมาบตาพุดทั้งหมด รวมทั้ง ต.เนินพระ ต.มาบข่า และ ต.ทับมา อ.เมืองระยอง และ ต.บ้านฉาง อ.บ้านฉาง เป็นเขตควบคุมมลพิษ เพื่อดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 60 วันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังทราบคำวินิจฉัยของศาลปกครอง ตัวแทนจากกรมควบคุมมลพิษที่เข้ารับฟังคำสั่งศาล ไม่ยอมให้สัมภาษณ์ใดใด ขณะที่ชาวบ้านมาบตาพุดที่นั่งฟังคำสั่งศาลทางโทรทัศน์วงจรปิด ต่างแสดงความดีใจกันถ้วนหน้า ด้านนายเจริญ เดชคุ้ม กับพวก ในฐานะผู้ฟ้องคดี ได้ฝากถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ให้ช่วยแจ้งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยว่า อย่าอุทธรณ์คดีนี้เลย เพราะต้องใช้เวลานานหลายปี ขอให้ยึดหลักธรรมาภิบาลในการอยู่ร่วมกัน เพื่อพี่น้องประชาชนชาวระยอง นอกจากคดีมาบตาพุดแล้ว ยังมีคดีแม่เมาะ จ.ลำปาง ซึ่งชาวบ้านแม่เมาะได้ฟ้อง กฟผ.2 คดี คดีแรกเป็นคดีที่ชาวแม่เมาะฟ้องว่า ได้รับมลพิษในอากาศจากการที่ กฟผ.ปล่อยฝุ่นละอองและก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซต์ ซึ่งศาลปกครองเชียงใหม่ พิพากษา(4 มี.ค.)ว่า จากรายงานการตรวจวัดอากาศของกรมควบคุมมลพิษระหว่างเดือน พ.ย.2535-ส.ค.2541 วัดค่าก๊าซซัลเฟอร์ฯ ในอากาศเกินกว่า 1,300 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร เป็นเวลา 50 เดือน ซึ่งสูงกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดว่าไม่เกิน 780 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ทำให้ราษฎรเจ็บป่วยจากก๊าซซัลเฟอร์ฯ เป็นจำนวนถึง 868 คน การกระทำของ กฟผ.จึงเป็นการละเมิดและผิดกฎหมาย ศาลจึงสั่งให้ กฟผ.ชดใช้เงินเป็นค่าเสื่อมสุขภาพให้แก่ราษฎรแม่เมาะที่ได้รับผลกระทบจากก๊าซซัลเฟอร์ฯ รายละ 246,900 บาท พร้อมดอกเบี้ย ส่วนคดีที่ 2 เป็นเรื่องการทำเหมืองถ่านหินของ กฟผ. ซึ่งชาวแม่เมาะฟ้องว่า กฟผ.ไม่ทำตามเงื่อนไขในประทานบัตร และมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมนั้น ศาลฯ มีคำสั่งให้ กฟผ.อพยพราษฎรออกนอกรัศมี 5 กม. ส่วนกรณีที่ กฟผ.จะนำที่ดินไปสร้างสนามกอล์ฟ โดยอ้างว่า สนามกอล์ฟสามารถลดผลกระทบจากการชะล้างของน้ำและลมได้ ทั้งยังเป็นที่พักผ่อนของชาวบ้านนั้น ศาลฯ เห็นว่า ตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมนั้น ระบุชัดเจนว่าให้ปลูกป่าทดแทน เพราะจะได้ทั้งไม้ยืนต้น แหล่งต้นน้ำ และสัตว์ป่า อีกทั้งที่ดินของรัฐมีเพื่อกิจการทำเหมืองเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า มิใช่สนามกอล์ฟ ศาลฯ จึงสั่งให้ กฟผ.ปลูกป่าแทนการสร้างสนามกอล์ฟ ส่วนความเสียหายนั้น ศาลฯ เห็นว่า ไม่ปรากฏว่า การฝ่าฝืนของ กฟผ.ทำให้รัฐหรือผู้ฟ้องคดีเสียหายอย่างไร จึงไม่กำหนดค่าเสียหายให้ ทั้งนี้ คำตัดสินของศาลปกครอง ส่งผลให้ชาวแม่เมาะที่เป็นผู้ฟ้องคดี มีทั้งดีใจและเสียใจ ผู้ที่ดีใจคือผู้ที่ได้รับค่าชดเชยจากคดีแรกที่ฟ้องกรณีได้รับผลกระทบจากก๊าซซัลเฟอร์ฯ เช่น นางมะลิวัลย์ นาควิโรจน์ แกนนำเครือข่ายกลุ่มสิทธิผู้ป่วยแม่เมาะ บอกว่า พอใจคำตัดสินของศาล โดยเฉพาะเรื่องชดเชยค่าเสียหาย พร้อมวอนผู้ว่าการ กฟผ.อย่าอุทธรณ์เลย เพราะค่าเสียหายที่ต้องชดเชยให้ราษฎรนั้นน้อยนิดมาก หากจะเปรียบเทียบกับการสร้างสนามกอล์ฟ ขอให้เห็นใจและมีใจเมตตากับราษฎร เพราะการอุทธรณ์คดีจะทำให้ราษฎรสูญเสียชีวิตและได้รับผลกระทบไปอีกนานแค่ไหน ส่วนชาวแม่เมาะที่ไม่พอใจคำตัดสินของศาลฯ เป็นเพราะไม่ได้รับค่าชดเชยจากคดีที่ 2 ที่ฟ้องว่า กฟผ.ไม่ทำตามเงื่อนไขในประทานบัตร ดังนั้นชาวแม่เมาะกลุ่มนี้จะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อปกป้องสิทธิต่อไป ด้านนายวิรัช กาญจนพิบูลย์ รองผู้ว่าการกิจการสังคมและสิ่งแวดล้อม ในฐานะโฆษก กฟผ.เผยว่า กฟผ.พิจารณาเบื้องต้นแล้วจะไม่อุทธรณ์คดีที่ศาลฯ ให้ กฟผ.ชดใช้ค่าเสื่อมสภาพแก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษในอากาศ แต่คดีเหมืองแม่เมาะนั้น จะปรึกษาอัยการที่แก้ต่างคดีให้ ก่อนตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป.
กำลังโหลดความคิดเห็น