1. “ในหลวง”ทรงแนะ 2 ศาลช่วยบ้านเมือง-ถ้าไม่ช่วย บ้านเมืองจะพังอีก!
เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.(เวลา 17.45น.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ นำตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 8 คน เฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ โอกาสนี้ พระองค์ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทโดยทรงขอให้ผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญทำตามคำปฏิญาณอย่างเคร่งครัด เพราะรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งสำคัญมากในประเทศ ถ้ามีหลักที่ดีในการปกครอง และมีบุคคลที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ตามหลักนี้ เชื่อว่าประเทศจะดำเนินต่อไปได้ด้วยดี ไม่มีความเดือดร้อน ต่อจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด นำตุลาการศาลปกครองสูงสุด 4 คนเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ โอกาสนี้ พระองค์ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทให้ผู้พิพากษาศาลปกครองสูงสุดทำตามคำปฏิญาณอย่างเคร่งครัดเช่นกัน ดังความตอนหนึ่งว่า “...การทำอะไร ถ้าไม่ทำตรงตามคำปฏิญาณก็จะยุ่ง ฉะนั้นขอให้ท่านเข้มงวดและเข้มแข็งยิ่งในการปฏิบัติงานภายใต้พระปรมาภิไธย คำนี้แปลว่า พระเจ้าอยู่หัวทำอะไร ท่านทำอย่างนั้น ถ้าท่านไม่ทำตามความสามารถ ท่านจะเดือดร้อน ท่านเห็นแล้วว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ถ้าท่านไม่ทำ หรือท่านไม่ช่วยทำ ไม่ใช่ท่าน 4-5 คนจะเดือดร้อน แต่จะเดือดร้อนกันทุกคน ถ้าเดือดร้อนแล้ว เราจะได้ผลที่ไม่ดี บ้านเมืองจะพัง ซึ่งพังมาแล้ว และจะพังอีก...” ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงอวยพรให้ผู้พิพากษาศาลปกครองสูงสุดประสบความสำเร็จในการทำหน้าที่ของตนในการช่วยกันปกครอง ขอให้ผ่านพ้นความลำบากบนการปกครองที่ล่มจม ขอให้การปกครองไม่ล่มจม และดำเนินไปด้วยดีต่อไป
“ในหลวง” ทรงแนะตุลาการฯยึด รธน.เป็นหลักเพื่อให้ ปท.ดำเนินไปได้ดี
2. “เฉลิม”สนอง “ทักษิณ-สมัคร”สั่งเคเบิลหยุดแพร่ภาพเอเอสทีวี ขณะที่ “พันธมิตรฯ”เตรียมฟ้องศาล ปค.16 มิ.ย.นี้!
หลังจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ปรับแผนการชุมนุมโดยนำยุทธการ “ดาวกระจาย”มาใช้ด้วยการแบ่งสายกลุ่มย่อยเพื่อเคลื่อนไหวไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกกล่าวโทษ เพื่อสอบถามความคืบหน้าของคดีและให้ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เช่น สำนักงานอัยการสูงสุด ,ดีเอสไอ ,สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(กลต.) นั้น ปรากฏว่า ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ก็ได้เดินหน้ายุทธศาสตร์ดาวกระจายต่อ ด้วยการยกพลกว่า 2 พันคนไปให้กำลังใจคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. หลัง คตส.ทั้ง 11 คนเริ่มถูกเช็คบิลจากการถูกตำรวจกองปราบฯ ออกหมายเรียกในคดีที่ถูกสำนักงานกฎหมายของทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ(สำนักงานกฎหมายนิติเอกราช)แจ้งความฐานหมิ่นประมาท ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า กรรมการ คตส.ทั้ง 11 คนต่างรู้สึกดีใจและไม่คาดคิดมาก่อนว่าผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ จะเดินทางไปให้กำลังใจมากมายถึงเพียงนี้ โดยนายแก้วสรร อติโพธิ 1 ใน คตส.ถึงกับซาบซึ้งใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ขณะที่นายกล้านรงค์ จันทิก 1 ใน คตส.ได้เป็นตัวแทนกล่าวขอบคุณผู้ชุมนุม พร้อมยืนยัน คตส.จะสู้เพื่อความถูกต้อง แม้ขณะนี้ คตส.แค่ละคนจะถูกฟ้องคนละไม่น้อยกว่าสิบคดี คิดเป็นวงเงินนับหมื่นนับแสนล้านบาทแล้วก็ตาม พร้อมกันนี้ คตส.ได้เรียกร้องให้ข้าราชการทำงานเพื่อแผ่นดิน และลุกขึ้นมาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยชีวิต ในช่วงค่ำวันเดียวกัน(9 มิ.ย.) ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ได้พร้อมใจกันจุดเทียนชัยถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวโรกาสทรงครองราชย์ครบ 62 ปีด้วย โดยมีประชาชนเรือนหมื่นพร้อมใจกันเดินทางมาร่วมชุมนุมเพื่อจุดเทียนชัยในครั้งนี้ สำหรับยุทธการดาวกระจายครั้งต่อไปของผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ จะมีขึ้นในวันที่ 16 มิ.ย. โดยจะเดินทางไปกำลังใจ 3 กกต.ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง คือ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ,นายสุเมธ อุปนิสากร และนายประพันธ์ นัยโกวิท ขณะเดียวกันจะขับไล่นายสมชัย จึงประเสริฐ 1 ใน กกต. ด้านนายสมชัย ได้แสดงความข้องใจว่า เหตุใดพันธมิตรฯ จะต้องขับไล่ตน ในเมื่อตนก็ยึดหลักการและเชื่อในความถูกต้องเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ พันธมิตรฯ ได้เริ่มใช้มาตรการ “อารยะขัดขืน” ด้วยการขอให้ประชาชนร่วมกันใช้กฎหมายในการตอบโต้ราชการและรัฐบาลที่ชั่ว โดยพันธมิตรฯ ได้ออกประกาศฉบับที่ 1 เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. เรื่อง “มาตรการตอบโต้ข้าราชการที่ทรยศชาติและเป็นปรปักษ์ต่อประชาชน”โดยขอให้ประชาชนฟ้องร้องดำเนินคดีข้าราชการ 4 กลุ่มต่อไปนี้ 1.ปลัดกระทรวงที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ยอมเป็นทาสรับใช้นักการเมือง ออกคำสั่งโยกย้ายข้าราชการโดยไม่เป็นธรรม 2.ข้าราชการตำรวจ ,ผู้ว่าราชการจังหวัด รวมถึงข้าราชการฝ่ายปกครองบางคนที่ขัดขวางประชาชนไม่ให้ใช้สิทธิเสรีภาพในการเดินทางมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ 3.ผู้ว่าราชการจังหวัด ,ผู้บังคับบัญชาตำรวจ และข้าราชการบางคนที่ใช้อำนาจเถื่อนสั่งผู้ประกอบการเคเบิลทีวีท้องถิ่นให้ยุติถ่ายทอดการออกอากาศของเอเอสทีวี หรือสั่งให้วิทยุชุมชนยุติการถ่ายทอดเสียงหรือข่าวการต่อสู้ของกลุ่มพันธมิตรฯ 4.ข้าราชการกรมประชาสัมพันธ์และพนักงาน อสมท ที่เกี่ยวข้องกับการบิดเบือนข่าวสารข้อมูลและใส่ร้ายป้ายสีพันธมิตรฯ และประชาชนที่ต่อสู้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้พันธมิตรฯ จะออกประกาศปรามไม่ให้ข้าราชการทรยศต่อชาติหรือยอมเป็นทาสนักการเมือง แต่ปรากฏว่า นักการเมืองในรัฐบาลก็ไม่วายออกมาแสดงอำนาจบาตรใหญ่ โดยนอกจากจะพยายามปิดปากสื่อมวลชนอย่างเอเอสทีวีและปิดกั้นการรับรู้ข่าวสารของประชาชนแล้ว ยังบีบบังคับ-ข่มขู่ให้ข้าราชการและประชาชนสนองคำสั่งตัวเองด้วย นั่นคือกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีมหาดไทย ได้สั่งการด้วยวาจา(13 มิ.ย.)ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศสำรวจว่ามีเคเบิลทีวีท้องถิ่นรายใดรับสัญญาณของเอเอสทีวีบ้าง พร้อมสั่งให้ยุติการรับสัญญาณเอเอสทีวีที่ถ่ายทอดสดการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ทันที โดยอ้างว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ผิดกฎหมายจราจร และผิดกฎหมายอาญมาตรา 215 ฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 ขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย...หรือกระทำการใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ร.ต.อ.เฉลิม อ้างต่อว่า เมื่อการชุมนุมของพันธมิตรฯ ผิดกฎหมาย ผู้ที่เผยแพร่หรือโฆษณาการชุมนุมดังกล่าว ก็ถือว่ามีความผิดด้วยตามประมวลกฎหมายมาตรา 85 ดังนั้น หากเคเบิลทีวีรายใดรับสัญญาณเอเอสทีวีที่ถ่ายทอดการชุมนุมดังกล่าว ให้ผู้ว่าฯ แจ้งความดำเนินคดีทันที หากผู้ว่าฯ และตำรวจไม่ทำ จะถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ มีความผิดเช่นกัน ร.ต.อ.เฉลิม บอกด้วยว่า เรื่องนี้เป็นการสั่งการจากนายกฯ ที่มอบหมายให้ตนดำเนินการ เป็นที่น่าสังเกตว่า ในช่วงค่ำวันเดียวกัน(13 มิ.ย.) ร.ต.อ.เฉลิม ได้พูดถึงกรณีที่ตนสั่งให้ผู้ว่าฯ คุมเข้มเคเบิลทีวีไม่ให้ถ่ายทอดสัญญาณเอเอสทีวีอีกครั้งระหว่างงานเลี้ยงผู้สื่อข่าวกระทรวงมหาดไทย โดยบอกว่า “ตนไม่ได้รู้สึกดีใจที่ได้โยนระเบิดใส่กลุ่มพันธมิตร แต่สุขใจที่ได้ช่วยเหลือเพื่อน 2 คน คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ...” ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวของ ร.ต.อ.เฉลิมส่งผลให้ผู้ว่าฯ บางจังหวัดรีบออกมารับลูกสนองคำสั่ง ขณะที่เคเบิลทีวีท้องถิ่นบางแห่งที่เกรงกลัวอำนาจรัฐก็รีบทำตามด้วยการยุติการรับสัญญาณเอเอสทีวีทันที เช่น ที่ จ.ขอนแก่น ส่งผลให้ประชาชนหลายร้อยคนได้ออกมารวมตัวประท้วงที่หน้าจวนผู้ว่าฯ พร้อมตะโกนขับไล่นายเจตน์ ธนวัฒน์ ผู้ว่าฯ ขอนแก่นให้ออกไป ขณะที่สมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทยได้ออกแถลงการณ์(14 มิ.ย.)ให้สมาชิกสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทยยืนหยัดในหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีและรักษาความเป็นกลางในเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอย่างรอบด้านตามสิทธิที่มีอยู่ใน รธน. ด้วยการให้แพร่สัญญาณภาพเอเอสทีวีต่อไปตามปกติ และว่า หาก ร.ต.อ.เฉลิมต้องการให้เคเบิลทีวียุติการแพร่ภาพสัญญาณเอเอสทีวี ขอให้ออกคำสั่งเป็นเอกสารและลงนามให้ถูกต้องขณะที่แกนนำพันธมิตรฯ ได้ตอบโต้คำสั่งของ ร.ต.อ.เฉลิม ด้วยการออกประกาศฉบับที่ 2 เรื่อง “การตอบโต้คำสั่งที่มิชอบในการปิดกั้นข่าวสารของรัฐมนตรีมหาดไทย” โดยยืนยันว่า การชุมนุมโดยสงบของกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นตาม รธน.2550 มาตรา 63 ขณะที่เคเบิลทีวีและวิทยุชุมชนก็มีสิทธิโดยชอบด้วย รธน.มาตรา 36 ,45 และ 56 ที่จะถ่ายทอดสดการออกอากาศการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อรัฐมนตรีมหาดไทยออกคำสั่งโดยมิชอบในการปิดกั้นข่าวสาร พันธมิตรฯ จึงมีมติที่จะฟ้องต่อศาลปกครองให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว และขอให้ศาลคุ้มครองชั่วคราวให้เคเบิลทีวีถ่ายทอดรายการของพันธมิตรฯ ต่อไปได้ พร้อมกันนี้พันธมิตรฯ ขอให้สมาชิกวุฒิสภาเข้าชื่อเพื่อถอดถอน ร.ต.อ.เฉลิม พ้นตำแหน่งรัฐมนตรี ฐานออกคำสั่งด้วยวาจาในลักษณะข่มขู่คุกคาม ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อ รธน. นอกจากนี้พันธมิตรฯ ยังขอเป็นกำลังใจให้เคเบิลทีวีที่เห็นแก่ประชาชนไม่ยุติการถ่ายทอดสัญญาณเอเอสทีวี และขอให้ผู้ประกอบการเคเบิลทีวีและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งของ ร.ต.อ.เฉลิม ร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.หรือฟ้องร้องต่อศาลปกครอง และโปรดสำแดงพลังต่อต้านอำนาจอธรรมของรัฐบาลหุ่นเชิด ด้วยการเข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์โดยทันที ด้านสนธิ ลิ้มทองกุล 1 ในแกนนำพันธมิตรฯ ชี้ คำสั่งของ ร.ต.อ.เฉลิมที่บีบให้เคเบิลทีวีหยุดถ่ายทอดสัญญาณเอเอสทีวีเท่ากับเป็นการราดน้ำมันบนกองเพลิง และว่า คำสั่งดังกล่าวเท่ากับเขียนใบมรณบัตรให้ตัวเอง ส่งผลให้อายุของรัฐบาลได้หมดสิ้นแล้ว นายสนธิ เผยด้วยว่า วันที่ 16 มิ.ย.นี้ จะส่งทนายของเอเอสทีวีไปร้องศาลปกครองว่า คำสั่งของ ร.ต.อ.เฉลิมไม่ชอบ โดยจะเปิดให้ประชาชนสามารถเป็นโจทก์ร่วมได้ นายสนธิ ชี้ด้วยว่า กฎหมายที่ ร.ต.อ.เฉลิมอ้างสารพัดในการให้ร้ายพันธมิตรฯ และเอเอสทีวีนั้น จะเหนือกว่ากฎหมาย รธน.ที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศที่ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนได้อย่างไร ด้านนายวรินทร์ เทียมจรัส ส.ว.สรรหา ชี้ หากมีการดำเนินคดีกับเอเอสทีวี จะถือเป็นการใช้อำนาจรัฐแทรกแซงสื่อ ซึ่งเป็นความผิดตาม รธน.พร้อมเชื่อว่า หากผู้ว่าฯ ห้ามเคเบิลทีวีถ่ายทอดสัญญาณเอเอสทีวี จะมีผลกระทบต่อ ร.ต.อ.เฉลิม ถึงขั้นต้องออกจากตำแหน่ง อนึ่ง ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. อาจารย์มหาวิทยาลัย 242 คน จาก 32 สถาบัน(เช่น นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล ,นายเจษฎ์ โทณะวณิก ฯลฯ) ได้เปิดแถลงเสนอทางออกของบ้านเมืองในขณะนี้ 4 ข้อ 1.ขอให้ทุกฝ่ายไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา 2.ขอให้ทุกฝ่ายไม่สร้างเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจหรือเพิ่มความขัดแย้ง 3.คดีเกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและไม่ล่าช้าเกินไป 4.ขอให้รัฐบาลและ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลชะลอการแก้ไข รธน. แต่ปรากฏว่า ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดใดจากรัฐบาล กระทั่ง 3 วันให้หลัง ร.ต.อ.เฉลิม ได้ออกมาสร้างเงื่อนไขให้เกิดความขัดแย้งเพิ่มด้วยการปิดหูปิดตาประชาชน-สั่งห้ามเคเบิลทีวีถ่ายทอดสัญญาณเอเอสทีวี แถมยังกล้าประกาศด้วยว่า ที่ทำเช่นนี้เพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณและนายสมัคร
“เหลิม” งานเข้า! พลิก กม.ฟ้นASTV รังควานเคเบิลรับแพร่สัญญาณ
พันธมิตรฯ ฮึ่ม “เหลิม”ละเมิดสิทธิขัด รธน.จุดชนวนลุกฮือทั่ว
ขำก๊าก! “เป็ดเหลิม” เจออารยะขัดขืนขนร่วง ขรก.เมินสั่งสกัด ASTV
3. แฉ “ทนายนักการเมือง”ติดสินบนศาล 2 ล. ด้าน “ทนายทักษิณ”ดาหน้าปฏิเสธ!
เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. นายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการศาลยุติธรรม เปิดแถลงกรณีมีการเผยแพร่ข่าวผ่านสื่อมวลชนว่า มีทนายความของนักการเมืองนำกล่องขนมบรรจุเงินสด 2 ล้านบาทมามอบให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงในศาลฎีกาเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. โดยยอมรับว่า มีเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจริง และว่า นายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวแล้ว พร้อมสั่งตั้งองค์คณะผู้พิพากษา 3 คนขึ้นมาไต่สวนข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป สำหรับองค์คณะไต่สวนข้อเท็จจริงประกอบด้วย 1.นายมงคล ทับเที่ยง รองประธานศาลฎีกา 2.นายวีระพล ตั้งสุวรรณ และนายอิศเรศ ชัยรัตน์ ผู้พิพากษาศาลฎีกา คาดว่าการไต่สวนจะแล้วเสร็จสัปดาห์หน้า นายสราวุธ เผยด้วยว่า เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบว่าเป็นเงินสด ได้ส่งคืนให้กับผู้นำมามอบให้ไปแล้ว ส่วนจะถ่ายรูปหรือจดบันทึกไว้เป็นหลักฐานหรือไม่ ตนไม่ทราบ ขณะที่นายเกรียงชัย จึงจตุรพิธ ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง บอก รู้สึกประหลาดใจว่าทำไมถึงกล้าเอาเงินมาฝากเจ้าหน้าที่ถึงบนศาล และว่า ถ้าตนรู้เรื่อง จะลงมาดูเองและจะไม่ปล่อยให้เอาเงินกลับไปแน่ แต่จะดำเนินคดีละเมิดอำนาจศาลไว้ก่อน นายเกรียงชัย บอกด้วยว่า เท่าที่ทราบ คนที่นำเงินมาเป็นอดีตทนายความคดีหนึ่ง ทั้งนี้ มีรายงานจากผู้พิพากษาท่านหนึ่งว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลา 12.30น.ของวันที่ 10 มิ.ย. โดยมีอดีตทนายความของนักการเมืองคนหนึ่งมายื่นคำร้องและยื่นถุงขนมให้เจ้าหน้าที่ เมื่อเจ้าหน้าที่เปิดดูพบเงินสด จึงสอบถามว่ามีความประสงค์อย่างไร อดีตทนายความดังกล่าวตอบว่า “เอาไปแบ่งๆ กัน” เจ้าหน้าที่จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาและผู้พิพากษาทราบ ระหว่างนั้น มีผู้พิพากษาคนหนึ่งเดินผ่านมา จึงสอบถามเบื้องต้น แล้วให้ถ่ายภาพธนบัตรกับถุงขนมไว้ ก่อนส่งเงินคืนให้อดีตทนายความกลับไป เป็นที่น่าสังเกตว่า การนำเงิน 2 ล้านใส่ถุงขนมมาให้เจ้าหน้าที่ศาลดังกล่าว มีขึ้นในวันเดียวกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร เดินทางมารายงานตัวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีซื้อที่รัชดาฯ อย่างไรก็ตาม นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ออกมาชี้ว่า การนำเงินใส่กล่องขนมไปให้ศาลถือเป็นเรื่องตลก และเป็นไปไม่ได้ เพราะคงไม่มีใครนำเงินมากถึง 2 ล้านไปให้ระดับเจ้าหน้าที่ของศาล ซึ่งไม่มีความสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงรูปคดีได้ พร้อมยืนยัน ทีมทนายของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่คิดที่จะทำแบบนี้ คนบ้าเท่านั้นที่จะทำ ขณะที่นายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานในคดีซื้อที่รัชดาฯ ก็ยืนยันเช่นกันว่า ไม่ได้นำเงิน 2 ล้านใส่กล่องขนมไปให้เจ้าหน้าที่ศาล โดยบอก แค่คิดยังไม่กล้าเลย และว่า คดีซื้อที่รัชดาฯ ที่ตนรับผิดชอบอยู่นั้น มั่นใจว่าจะสามารถแก้ข้อกล่าวหาได้ทุกข้อ และรู้สึกว่าองค์คณะผู้พิพากษาในคดีนี้ก็ให้โอกาสต่อสู้คดีอย่างเต็มที่เป็นธรรมอยู่แล้ว จึงไม่คิดจะทำอะไรที่ไม่เคารพต่อผู้พิพากษาหรือเปลี่ยนแปลงองค์คณะผู้พิพากษา ด้านนายธนา เบญจาทิกุล อดีตทีมทนายและทีมที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคไทยรักไทย ได้ออกมาแก้ต่างเรื่องเงิน 2 ล้านใส่ถุงขนมให้เจ้าหน้าที่ศาลเช่นกัน โดยบอก(13 มิ.ย.)ว่า มีบุคคลบางกลุ่มพยายามโยงและปล่อยข่าวมาถึงตน จึงขอยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้อง และไม่ได้เดินทางไปศาลในวันดังกล่าวแต่อย่างใด และว่า หากใครให้ข่าวพาดพิงทำให้ตนเสียหาย จะฟ้องร้องแน่ นายธนา ยังอ้างด้วยว่า การกระทำดังกล่าวน่าจะเป็นฝีมือของฝ่ายตรงข้ามมากกว่า ส่วนทางด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แม้จะอยู่ในประเทศไทย แต่ก็ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นกรณีมีทนายนักการเมืองนำเงินใส่กล่องขนม 2 ล้านไปมอบให้เจ้าหน้าที่ศาล ส่วนความคืบหน้าการไต่สวนข้อเท็จจริงเรื่องนี้ขององค์คณะผู้พิพากษานั้น หลังจากได้เริ่มไต่สวนเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการซี 7 ที่เป็นผู้รับถุงขนมใส่เงินสด 2 ล้าน ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ธุรการซี 7 ดังกล่าวยืนยันว่า ภายในถุงมีขนมและเงิน จึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทนายของนักการเมืองจะหยิบถุงขนมผิดโดยไม่รู้ว่ามีเงินอยู่ภายในแต่อย่างใด ทั้งนี้ มีรายงานว่า สัปดาห์หน้า องค์คณะผู้พิพากษาจะนำเทปจากกล้องวงจรปิดมาตรวจสอบภาพบุคคลและการสนทนายระหว่างทนายนักการเมืองกับเจ้าหน้าที่ธุรการซี 7 เพื่อเป็นหลักฐาน จากนั้นจะเชิญบุคคลดังกล่าวมาไต่สวนความจริง ส่วนจะเปิดบัลลังก์ไต่สวนอย่างเปิดเผยหรือไม่ องค์คณะผู้ไต่สวนจะหารือกันอีกครั้ง
“แม้ว” ดิ้นพล่าน! ปัดชักใยเงินสินบน 2 ล้าน - ยุศาลตั้ง กก.สอบ
ซี 7 ยันทนายอดีตนักการเมืองเสนอให้สินบนจริง ไม่ใช่หยิบผิดถุง
จนท.ศาลฎีกา แฉอดีตทนายหิ้ว2 ล้าน ฝากให้ “เอาไปแบ่งๆ กัน”
4. “รบ.”ปากกล้าขาสั่น ไม่กลัวถูกอภิปราย แต่ไม่เปิดสภาให้ ด้าน “ปชป.”ขู่เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ!
เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ส.ว.สรรหาและ ส.ว.เลือกตั้งจำนวน 61 คน(เช่น ประสาร มฤคพิทักษ์ ,รสนา โตสิตระกูล ,คำนูณ สิทธิสมาน ฯลฯ) ได้ร่วมกันลงชื่อยื่นญัตติต่อนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เพื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปรัฐบาลโดยไม่มีการลงมติแล้ว โดยยืนยันว่า การยื่นญัตติครั้งนี้ ไม่ได้มีเจตนาโค่นล้มหรือทำร้ายรัฐบาล แต่ต้องการสะท้อนปัญหาวิกฤตปากท้องประชาชนให้รัฐบาลได้รับรู้ ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีมหาดไทย รีบออกมาท้าให้ ส.ว.อภิปรายตน เพราะมีผลงานมากมายที่อยากอธิบาย ด้านพรรคประชาธิปัตย์เกิดไอเดียอยากอภิปรายรัฐบาลบ้าง จึงได้ยื่นหนังสือถึงนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ ให้ใช้อำนาจตาม รธน.มาตรา 179 เปิดการประชุมรัฐสภาเพื่อให้ ส.ส.และ ส.ว.ได้อภิปรายทั่วไป เพื่อลดการเผชิญหน้าและความขัดแย้งของกลุ่มต่างๆ ในสังคม พร้อมทั้งหาทางออกและยุติปัญหาวิกฤตด้านต่างๆ ด้านนายสมัคร ได้เรียกประชุมรัฐมนตรีของพรรคพลังประชาชน รวมทั้งวิปรัฐบาลในส่วนของพรรคฯ และแกนนำพรรค(12 มิ.ย.) หลังประชุมมีรายงานว่า ที่ประชุมได้มีมติจะไม่เปิดให้มีการอภิปรายทั่วไปรัฐบาลไม่ว่าจะในส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอ หรือในส่วนที่ ส.ว.เสนอก็ตาม โดยอ้างเรื่องเงื่อนเวลาว่า การประชุมสภาสมัยวิสามัญมีเวลาน้อยแค่ 3 สัปดาห์ ต้องพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ และกฎหมายลูกอีก 3 ฉบับ โดยนายสมัครได้กำชับให้ผู้เข้าร่วมประชุมห้ามพูดเรื่องนี้ เพราะตนจะอธิบายกับประชาชนเองในรายการ “สนทนาประสาสมัคร”วันที่ 15 มิ.ย. ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชี้ การอ้างเรื่องเงื่อนเวลาเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เพราะแม้สมัยประชุมวิสามัญจะสิ้นสุดลง ก็เป็นอำนาจของรัฐบาลที่จะขยายสมัยประชุมหรือเรียกประชุมอีกสมัยหนึ่งได้ จึงอยากให้รัฐบาลทบทวนเรื่องนี้ใหม่ ไม่อยากให้รัฐบาลปฏิเสธช่องทางการทำงานในระบบรัฐสภา เพราะจะทำให้ประชาชนรู้สึกว่าในที่สุดกลไกของรัฐสภาไม่สามารถช่วยคลี่คลายปัญหาต่างๆ ของบ้านเมืองได้ ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์จะรอดูท่าทีและความชัดเจนจากนายสมัครอีกครั้งในวันที่ 15 มิ.ย.นี้ว่า จะให้มีการอภิปราย 2 สภาหรือไม่ หากไม่เปิด พรรคฯ จะประชุมในช่วงบ่ายเพื่อกำหนดท่าทีว่า จะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแทนหรือไม่
“มาร์ค” แฉเหลี่ยม “หมัก-ชัย”อ้างเวลาเบี้ยวเปิดซักฟอก เตือนอย่ายุบสภาหนี
ปธ.วุฒิฯ ดักคอลูกกรอก อย่าเบี้ยวแจงญัตติ 61 ส.ว.
“หมัก” เบี้ยวนัด “มาร์ค”อ้ำอึ้งเปิดอภิปรายลูกกรอกโยนสภาพิจารณา
5. “ตร.อยุธยา”หน้าแตก “ศาลอุทธรณ์ภาค 1”สั่งเพิกถอนหมายจับ “สุนัย” ขณะที่ “เจ้าตัว” เตรียมฟ้องกลับ 2 พันล้าน!
หลังจากตำรวจ สภ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ได้ออกหมายจับนายสุนัย มโนมัยอุดม เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ(ปปท.)และอดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในคดีที่ถูก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แจ้งความว่าหมิ่นประมาทจากการให้สัมภาษณ์คดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสทฯ ซึ่งนายสุนัยได้เข้าร้องทุกข์ต่อ ป.ป.ช.ว่าการออกหมายจับของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นการกระทำโดยไม่ชอบ ทำให้ตนได้รับความเสียหาย ซึ่ง ป.ป.ช.ได้รับเรื่องและตั้งอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงแล้ว นอกจากนี้ นายสุนัยยังได้ร้องต่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้เพิกถอนหมายจับดังกล่าวด้วยนั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้มีคำสั่งให้เพิกถอนการออกหมายจับนายสุนัย โดยให้เหตุผลว่า คดีที่นายสุนัยถูกกล่าวหา ไม่ใช่ความผิดร้ายแรง อีกทั้งผู้ต้องหาก็มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เป็นข้าราชการระดับสูง และยังปฏิบัติหน้าที่ตามปกติที่กระทรวงยุติธรรม ประกอบกับที่ผ่านมาผู้ต้องหาได้มีหนังสือชี้แจงข้อกล่าวหาและชี้แจงการไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกรวม 3 ครั้ง โดยยืนยันว่ายังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ พร้อมระบุที่ตั้งสำนักงานอย่างชัดเจน จึงเป็นข้อแก้ตัวอันควรถึงเหตุที่ผู้ต้องหาไม่ไปพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก พฤติการณ์จึงยังไม่มีเหตุว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี อีกทั้งการสอบสวนผู้ต้องหานั้น พนักงานสอบสวนสามารถไปทำการสอบสวนผู้ต้องหาได้ด้วยตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องออกหมายเรียก ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจให้พนักงานสอบสวนออกหมายจับนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่เห็นพ้องด้วย จึงให้เพิกถอนหมายจับตามคำอุทธรณ์ ด้านนายสุนัย เปิดแถลงในเวลาต่อมาว่า ตนเป็นนักกฎหมาย ยึดมั่นและปฏิบัติตามกฎหมายมาตลอด เมื่อเห็นว่าพนักงานสอบสวน สภ.วังน้อยออกหมายเรียกโดยไม่ชอบ และไม่มีเหตุที่จะออกหมายจับ ตนจึงต่อสู้กับกระบวนการการใช้อำนาจรัฐที่มิชอบ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า การใช้อำนาจรัฐต้องไปเป็นตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ และผู้ใช้อำนาจรัฐจะใช้อำนาจกลั่นแกล้งบุคคลในทางหนึ่งทางใดมิได้ ด้านนายณฐพร โตประยูร ในฐานะทนายความของนายสุนัย ได้ออกมาแฉว่า สภ.วังน้อยได้ส่งตำรวจไปดักจับนายสุนัยที่หน้าสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อวันที่ 4 มิ.ย.ซึ่งเป็นวันที่นายสุนัยเดินทางกลับจากต่างประเทศ แต่เนื่องจาก สภ.วังน้อยยังไม่มีการส่งหมายให้ ตม.จึงไม่สามารถกักตัวนายสุนัยไว้ได้ นายณฐพร ยังแฉต่อว่า การออกหมายจับนายสุนัยของตำรวจ สภ.วังน้อยนั้น ตำรวจกระทำการโดยไม่ชอบหลายประเด็น เช่น มีนายตำรวจระดับนายพลไปสั่งร้อยเวรว่า “ถ้ามึงไม่ทำก็ออกไป”เป็นต้น ทนายของนายสุนัย ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า คดีที่นายสุนัยถูกกล่าวหาว่าหมิ่น พ.ต.ท.ทักษิณนั้น เป็นคดีมโนสาเร่ ตำรวจสามารถสอบสวน เสร็จแล้วส่งสำนวนให้อัยการพิจารณาได้ แต่ตำรวจกลับพยายามจะจับตัวนายสุนัยให้ได้ เพื่อนำตัวไปพิมพ์ลายนิ้วมือ เพื่อดิสเครดิตนายสุนัย ดังนั้น หาก ป.ป.ช.พิสูจน์ได้ว่า ตำรวจกระทำการโดยมิชอบในการออกหมายจับ ทีมทนายความจะฟ้องกลับเรียกค่าเสียหายให้นายสุนัย 2,000 ล้านบาท และจะนำเงินไปช่วยเหลือมูลนิธิต่างๆ ด้าน พล.ต.ต.นเรศ นันทโชติ ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.พระนครศรีอยุธยา ชี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพิกถอนหมายจับนายสุนัย ไม่กระทบต่อการทำงานของตำรวจ เพราะศาล จ.พระนครศรีอยุธยาเป็นผู้พิจารณาออกหมายจับ ซึ่งตำรวจได้เสนอขออนุมัติหมายจับต่อศาลตามกระบวนการและหลักฐานเท่านั้น และว่า แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะเพิกถอนหมายจับแล้ว แต่คดียังไม่สิ้นสุด ดังนั้นพนักงานสอบสวนจะทำหน้าที่ในคดีนี้ต่อไป โดยอาจจะต้องไปพบนายสุนัยเพื่อขอข้อมูลเอง ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตุลาการ(ก.ต.) ซึ่งมีนายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกาเป็นประธาน ได้มีมติเอกฉันท์รับโอนนายสุนัย กลับเข้าเป็นข้าราชการตุลาการอีกครั้ง หลังพิจารณาคำร้องขอโอนย้ายกลับศาลยุติธรรม รวมทั้งพิจารณาหนังสือชี้แจงเรื่องคดีความต่างๆ ของนายสุนัยแล้ว พบว่าไม่มีปัญหา ส่วนจะให้ดำรงตำแหน่งอะไรนั้น อยู่ระหว่างพิจารณาและดำเนินการตามขั้นตอน ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 45 วัน อนึ่ง นายสุนัยเคยเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ ก่อนโอนย้ายไปเป็นอธิบดีดีเอสไอหลังการปฏิวัติเมื่อ 19 ก.ย.2549 แต่เมื่อพรรคพลังประชาชนได้เป็นรัฐบาล ได้สั่งย้ายนายสุนัยไปเป็นเลขาธิการ ปปท. ทั้งนี้ นายสุนัย ได้แสดงความดีใจหลังทราบว่าที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตุลาการมีมติให้ย้ายกลับศาล โดยบอก รู้สึกดีใจที่จะได้กลับไปทำงานที่ชอบและรัก
“สุนัย” ชนะยกแรก! ศาลอุทธรณ์เพิกถอนหมายจับ-นัดแถลงเปิดใจเที่ยงนี้
ป.ป.ช.จับผิด “แก๊ง ตร.” รับใบสั่งขอหมายจับ “สุนัย”
“สุนัย” สู้อำนาจรัฐออกหมายจับมิชอบ เตรียมฟ้องกลับเรียก 2,000 ล้าน
6. แฉ “คนใน กกต.”ส่ออุ้ม “ยงยุทธ”คดีใบแดง-รีบปั่นหลักฐานในการสู้คดี!
เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. นายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ กำนัน ต.จันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย พยานปากเอกในคดีที่ กกต.ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง(ใบแดง)นายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน และให้จัดการเลือกตั้งใหม่(ใบเหลือง)น.ส.ละออง ติยะไพรัช ส.ส.เชียงราย น้องสาวนายยงยุทธ ฐานทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ได้เข้ายื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ ขอให้ไต่สวนหนังสือของสำนักสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย 5 สำนักงาน กกต.ที่นายยงยุทธได้ยื่นต่อศาลในการเบิกความเมื่อวันที่ 14 พ.ค.โดยระบุว่าตนเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่ตนเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยมาตลอด เมื่อพรรคไทยรักไทยถูกยุบ ก็มาเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชน จึงสงสัยว่าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลให้ผิดไปจากความเป็นจริง เพื่อให้สอดคล้องกับข้อต่อสู้ของนายยงยุทธที่อ้างว่า ถูกจัดฉากโดยพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม ด้าน น.ส.รัศมี เพ็ญสุข ทนายความของนายชัยวัฒน์ เผยว่า เอกสารที่นายยงยุทธยื่นต่อศาลมีพิรุธหลายจุด เช่น เอกสารลงวันที่ 8 พ.ค.2551 โดย พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ นานาวัน ผอ.สำนักสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย 5 ทั้งที่วันดังกล่าว พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ว่าความอยู่ที่ศาลฎีกาตลอดทั้งวัน จึงสงสัยว่าหนังสือออกโดยไม่ถูกต้อง ซึ่งหากเป็นการยื่นเอกสารเท็จต่อศาล จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 180 และถือว่าละเมิดอำนาจศาล ทั้งนี้ นอกจากนายชัยวัฒน์จะยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ ให้ตรวจสอบหนังสือดังกล่าวแล้ว ยังได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อประธาน กกต.นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ด้วย หลังจากนายอภิชาตได้เรียกผู้เกี่ยวข้องชี้แจงแล้วทราบว่า พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ไม่ได้เป็นผู้เซ็นชื่อในเอกสารที่นายยงยุทธนำไปยื่นต่อศาลแต่อย่างใด กกต.จึงได้มีมติตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จใน 7 วัน นายอภิชาต ยังบอกด้วยว่า หากตรวจสอบแล้วพบว่ามีการปลอมแปลงลายเซ็นจริง ต้องมีโทษทางวินัยและอาญาฐานละเมิดอำนาจศาลที่นำหลักฐานเท็จไปแสดงต่อศาล ด้านนายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย กล่าวถึงเอกสารที่ระบุการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ของนายชัยวัฒน์ที่อาจมีการปลอมลายเซ็นของเจ้าหน้าที่ กกต.ว่า คดีเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนายยงยุทธนั้น นายยงยุทธได้ต่อสู้ประเด็นที่นายชัยวัฒน์เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ แต่นายชัยวัฒน์อ้างว่าไม่ได้เป็น ทำให้นายถวิล อินทรักษา หัวหน้าชุดสืบสวนที่ได้รับมอบหมายจาก กกต.ให้ไปชี้แจงในศาล ให้หาเอกสารประกอบคดี และว่า ทนายของนายยงยุทธก็สอบถามมาด้วยเช่นกัน แต่ พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์อยู่ศาลทั้งวัน เมื่อนายถวิลเรียกหาเอกสาร พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์จึงโทรศัพท์ประสานให้ว่าที่ พ.ต.ท.กฤษณ์ ณ เชียงใหม่ พนักงานสอบสวน สำนักสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย 5 ดำเนินการโดยเร็ว ดังนั้นว่าที่ พ.ต.ท.กฤษณ์ จึงได้ทำเอกสารขึ้นมาเองและเซ็นแทน พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ ข้อผิดพลาดก็คือ แทนที่ ว่าที่ พ.ต.ท.กฤษณ์จะเซ็นชื่อตัวเอง กลับไปอ้างชื่อ พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ นายสมชัย ยังยืนยันด้วยว่า เอกสารดังกล่าวถูกต้องแล้ว จะผิดก็ตรงที่ไปลงชื่อแทนคนอื่นเท่านั้น ขณะที่นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง ได้นำทีมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ กกต.เปิดแถลง(12 มิ.ย.)ว่า เมื่อวันที่ 8 พ.ค.สำนักสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย 5 ได้ทำหนังสือขอให้ตรวจสอบการเป็นสมาชิกพรรคของนายชัยวัฒน์ โดยอ้างว่า นายสาคร ศิริชัย ทนายความของนายยงยุทธขอให้ตรวจสอบว่า นายชัยวัฒน์เคยเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชาชน หรือพรรคมัชฌิมาธิปไตยหรือไม่ เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่า นายชัยวัฒน์เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เพียงพรรคเดียว โดยสมัครเมื่อวันที่ 20 ก.ย.2547 และว่า ต่อมาวันที่ 15 พ.ค.สำนักสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย 5 ได้ทำหนังสือสอบถามความเป็นสมาชิกพรรคของนายชัยวัฒน์เป็นครั้งที่ 2 ว่า เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชนหรือไม่ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า นายชัยวัฒน์เคยเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย โดยสมัครเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2548 อย่างไรก็ตาม ข้อมูลล่าสุดของ กกต.ยังระบุด้วยว่า นายชัยวัฒน์เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 ต.ค.2550 ทั้งนี้ นางสดศรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ กกต.ยืนยันว่า กกต.ได้ปรับปรุงฐานข้อมูลสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ ผู้ที่จะเข้าระบบได้ต้องมีรหัสผ่าน และคนที่มีรหัสก็มีเพียง 3 คน คือ ประธาน กกต.,เจ้าหน้าที่ที่ดูแล และนางสุนทรี ไพรหิรัญ ผอ.ฝ่ายวิจัยและพัฒนาฐานข้อมูลพรรคการเมือง(ซึ่งร่วมแถลงกับนางสดศรีด้วย) เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากการเปิดแถลงข่าวแล้ว วันต่อมา(13 มิ.ย.)นางสดศรียังได้ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเปิดห้องฐานข้อมูลของ กกต.ให้สื่อมวลชนดูด้วย เพื่อชี้ให้เห็นว่า มีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างดี ด้านนายถวิล อินทรักษา ที่ปรึกษา กกต.ที่ได้รับมอบหมายให้ชี้แจงคดีใบแดงนายยงยุทธในศาล ยอมรับว่า ในสำนวนที่ กกต.ฟ้องศาลนั้น ไม่มีเอกสารที่ระบุการเป็นสมาชิกพรรคของนายชัยวัฒน์ เมื่อนายยงยุทธได้กล่าวอ้างในศาลว่านายชัยวัฒน์เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์จึงอยากทราบข้อเท็จจริง และให้ว่าที่ พ.ต.ท.กฤษณ์ดำเนินการตรวจสอบ จึงไม่ทราบว่าเอกสารดังกล่าวไปอยู่ที่ทนายของนายยงยุทธได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม นายถวิล เชื่อว่า เอกสารที่ระบุการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ของนายชัยวัฒน์จะไม่ส่งผลกระทบต่อการให้ใบแดงนายยงยุทธ เพราะศาลน่าจะพิจารณาเรื่องหลักฐานการทุจริตซื้อเสียงมากกว่า ด้านนายศิริโชค โสภา กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ได้จับพิรุธ กกต.ว่าพยายามปกปิดการเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยของนายชัยวัฒน์ โดยบอกว่า พรรคฯ มีเอกสารที่ได้จาก กกต.เมื่อวันที่ 8 พ.ค.ก่อนที่จะมีการสืบพยานคดีใบแดงนายยงยุทธ ปรากฏว่า ผลการตรวจสอบพบ นายชัยวัฒน์เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์พรรคเดียว แต่เมื่อมาถึงวันที่ 9 มิ.ย. หลังจากมีการสืบพยานเรียบร้อยแล้ว ตรวจสอบอีกครั้งกลับพบว่า นายชัยวัฒน์เป็นสมาชิก 2 พรรค คือเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยด้วย จึงขอถาม กกต.ว่านี่คืออะไรกันแน่ ด้าน น.ส.รัศมี เพ็ญสุข ทนายความของนายชัยวัฒน์ ชี้ ขณะนี้ยังไม่ได้รับความกระจ่างในการออกเอกสารของ กกต.และว่า เรื่องนี้ประเด็นไม่ได้อยู่ที่นายชัยวัฒน์เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดหรือไม่ แต่ที่น่าสงสัยคือ กระบวนการจัดทำข้อมูลของ กกต.ว่าส่อพิรุธหรือเอื้อต่อใครหรือไม่.
แฉ! เจ้าหน้าที่ กกต.ปั้นหลักฐานเท็จช่วย “ยงยุทธ” สู้คดีใบแดง
ปชป.ถลกหนัง กกต.สุมหัวปกปิดบัญชีพยานคดี “ยุทธ ตู้เย็น”