คตส.ลั่นไม่ยุติการปฏิบัติหน้าที่ จวกพฤติกรรมกองปราบออกหมายจับ ทั้งๆ ปฏิบัติงานตามหน้าที่ ไม่คิดหลบหนี ยันสู้จนกว่าจะหมดวาระ เฉ่งตำรวจไร้ความยุติธรรมสะท้อนฝ่ายบริหาร ด้าน ป.ป.ช.รับลูก "สุนัย" ตั้งอนุกรรมไต่สวนกรณีตำรวจออกหมายจับ ด้าน ครม.เงา ห่วง รัฐใช้อำนาจเล่นงานกระบวนการยุติธรรมกรณีสอบการทุจริตของรัฐบาลชุดที่แล้ว ฟื้นรัฐตำรวจทำลายฝ่ายตรงข้าม ด้านตำรวจไม่สำนึก สร้างภาพรถติดโยนผิดพันธมิตรฯ
วานนี้ (5 มิ.ย.) นายอุดม เฟื่องฟุ้ง คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กล่าวถึงกรณีกองปราบปรามออกหมายเรียก คตส.ในคดีหมิ่นประมาทพร้อมเตรียมออกหมายจับหากไม่ไปให้ปากคำในวันที่ 10 มิ.ย.นี้ว่า เป็นเรื่องของกองปราบปรามเพราะไม่รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไรอยู่ ซึ่งพฤติกรรมของ ฝ่ายตำรวจก็พอจะทำให้มองเห็นว่าฝ่ายบริหารต้องการทำอะไร แต่คตส.ไม่หวั่นไหว และจะทำงานจนถึงวันสุดท้าย ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามที่ได้รับแต่งตั้งเข้ามาตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ แต่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังทำอะไรอยู่ คตส.ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐฟ้องบริษัททนายความของผู้ถูกกล่าวหาในข้อหาหมิ่นประมาท จากนั้น คตส.ถูกบริษัทดังกล่าวฟ้องกลับ เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับพยายามเร่งดำเนินคดีกับ คตส.ส่วนคดี ที่ คตส.แจ้งความไปกลับไม่เห็นความคืบหน้าแม้แต่คดีเดียว ทั้งๆ ที่ คตส.เป็นองค์กรตรวจสอบตามกฎหมาย
"เราเป็นผู้ฟ้อง แต่ถูกฟ้องกลับ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาดำเนินคดีกับเรา ส่วนผู้ที่เราฟ้องกลับไม่ถูกดำเนินการใดๆ ตรงนี้สะท้อนให้เห็นพฤติกรรมการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานว่า สมควรที่จะได้รับความเชื่อถือหรือไม่ และเป็นการสะท้อนพฤติกรรมของฝ่ายบริหารด้วย คิดในทางกลับกันหากเป็นประชาชนธรรมดา แล้วถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐปฎิบัติเช่นนี้แล้วประชาชนจะพึ่งใครได้ สุดท้ายก็หาความยุติธรรมไม่ได้"
ไม่หวั่นลั่นเดินหน้าเช็คบิลพวกโกง
นายอุดม ยอมรับว่าการออกหมายจับ คตส.อาจมีปัญหาในทางปฎิบัติของ คตส.บ้างคือไม่ให้เกิดความสะดวกในการปฎิบัติหน้าที่แต่จะไม่ส่งกระทบต่อสำนวน อย่างไรก็ตามการออกหมายจับ คตส.ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ศาลจะต้องพิจารณาเหตุผลอย่างรอบด้าน เพราะ คตส.ตั้งขึ้นมามีกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน และเหตุผลการออกหมายจับคือเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ถูกกล่าวหาหลบหนี แต่ คตส. มีที่ทำงานอย่างชัดเจนไม่ได้หนีไปไหน ยังทำงานต่อจนถึงวันหมดวาระ ส่วนเป็นการเช็คบิล คตส.หรือไม่นั้น นายอุดม กล่าวว่า ไม่รู้ต้องไปถามตำรวจ และฝ่ายบริหารเพราะสิ่งที่ คตส.ได้แจ้งความไปนั้นเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คตส.ก็จะไม่ยุติการปฏิบัติหน้าที่
ถามหามาตรฐานการทำงานตำรวจ
ด้านนายนายสัก กอแสงเรือง โฆษก คตส.ยืนยันว่า ไม่รู้สึกหวั่นไหวหรือกดดัน ขณะเดียวก็เชื่อมั่นในชั้นศาลที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้อย่างเป็นธรรม จากกองบังคับการปราบปรามได้ออกหมายเรียกคดีแจ้งความเท็จ โดยจงใจกลั่นแกล้งเลือกปฏิบัติให้เกิดความเสียหาย กรณีอายัดทรัพย์สินของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว แต่ตั้งข้อสังเกตถึงมาตรฐานการทำงานของกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะต้นทางของการสอบสวนคดี
"เป็นเรื่องปกติที่ คตส.จะถูกฟ้องร้องในการปฏิบัติหน้าที่หรือการฟ้องกลับจากผู้ที่ถูกตรวจสอบ แต่การทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และอดีตคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.)รวมถึงอธิบดีผู้พิพากษาศาลต่างๆ เพราะอยากเห็นกระบวนการยุติธรรมที่โปร่งใส และมีบรรทัดฐาน
"
ป.ป.ช.ตั้งกก.ไต่สวนกรณี"สุนัย"
นายกล้านรงค์ จันทิก โฆษกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)แถลงภายหลังการประชุมถึง กรณีนายสุนัย มโนมัยอุดม เลขาธิการ ปปท. ได้ร้องเรียนเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.วังน้อย ถึงกรณีที่ ออกหมายจับนายสุนัย โดยพฤติการณ์ตามคำร้องได้ยืนยันว่า ตามคำร้องไม่สามารถ ขอออกหมายจับได้โดยนายสุนัย ได้อ้างข้อเท็จริงและข้อกฎหมายหลายประการ ซึ่ง คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าคำร้องดังกล่าวอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช.ที่จะต้องดำเนินการไต่สวนตามกฎหมาย ป.ป.ช. จึงมีมติให้ตั้งอนุกรรมการ ไต่สวน โดยมีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนในเรื่องนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า คตส.ได้ประสานมายัง ป.ป.ช.เหมือนที่ นายสุนัย ร้อง ป.ป.ช. มาแล้วหรือไม่ นายกล้านรงค์ กล่าวว่า คตส.ได้มีการประสานงานไปยังกองปราบ เช่นเดียวกัน และ คตส.ได้มอบอำนาจให้บุคคลไปแจ้งความดำเนินคดีกับสำนักงานทนายความแห่งหนึ่ง ซึ่งได้มีหนังสือการเพิกถอนการยึดอายัดทรัพย์ ซึ่งในหนังสือดังกล่าว คตส.เห็นว่ามีข้อความเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานที่ปฎิบัติหน้าที่ คตส. จึงได้มอบให้บุคคลไปแจ้งความ พร้อมแนบเอกสารทนายความแห่งนั้นไปด้วย เพื่อให้กองปราบได้พิจารณา ทราบว่าต่อมาสำนักงานแห่งนั้นได้แจ้งความกลับ คตส.ว่า หมิ่นประมาทและแจ้งข้อความเท็จ ซึ่งคตส.เห็นว่าในข้อเท็จจริงนั้นไม่ได้เป็นการ แจ้งความเท็จ เพราะเป็นการแจ้งข้อความตามที่ปรากฏอยู่ในหนังสือของบุคคลดังกล่าวนั้น ที่ คตส.แจ้งความ จึงไม่ได้เป็นการแจ้งเท็จแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ได้มีหนังสือแจ้งไปยังกองปราบแล้ว ทางกองปราบฯ จึงมีหมายเรียก ครั้งที่ 2 ให้ คตส.ไปรายงานตัวในวันอังคารที่ 10 มิ.ย.นี้ คตส.จึงมีมติแจ้งไปยังพนักงานสอบสวนกองปราบ ยืนยันความเห็นเดิมอีกครั้งหนึ่ง
ในกรณีที่มีการออกหมายจับซึ่งเราไม่ทราบ ว่าพนักงานจะขอหมายจับเมื่อไหร่ อย่างไร จึงได้มีมติให้แจ้งไปยังอธิบดีศาล หรือ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง ส่งเอกสารหลักฐาน ทั้งหมดไป โดยแจ้งว่าถ้ามีการขอออกหมายจับ คตส.ทั้ง 11 คนนั้น ทางกรรมการ คตส.ขอแต่งตั้งอัยการขึ้นทำการซักค้าน ฝ่ายพนักงานสอบสวน นี้คือกระบวนการขั้นตอนที่ คตส.ดำเนินงาน
“สุนัย”ขอตรวจหมายจับมิชอบ
นายสุนัย มโนมัยอุดม เลขาธิการ ป.ป.ท.กล่าวว่า ตนกำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องการถูกออกหมายจับในคดีหมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะการออกหมายจับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 66 วรรค 2 จะต้องมีหลักฐานตามสมควรว่าผู้นั้นกระทำผิดอาญา และมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน แต่ตนเป็นข้าราชการระดับสูง ไม่มีความคิดจะหลบหนี หรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
“ขณะนี้ตนยังไปทำงาน แต่ยังสอนหนังสือตามปกติส่วนเรื่องการเข้ามอบตัวยังไม่ทราบกำหนดแน่ชัด เพราะขอเวลารวบรวมหลักฐานและตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนตนจะแถลงชี้แจงทุกข้อสงสัยหลังการเข้ามอบตัว”
สร้างภาพรถติดโยนผิดพันธมิตรฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเช้า เวลา 06.45 น.พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รอง ผบช.น.รับผิดชอบงานด้านจราจร นำคณะสื่อมวลชนขึ้นเฮลิคอปเตอร์เพื่อตรวจสอบการจราจรในช่วงเช้า โดยบินขึ้นตรวจการณ์ตั้งแต่บริเวณถนนรัชดาภิเษก ถนนประชานุกูล ถนนจรัญสนิทวงศ์ ถนนบางพลัด สะพานกรุงธน ถนนสิรินทร ถนนตลิ่งชัน ถนนพระปิ่นเกล้า ถนนวงเวียนใหญ่ ถนนพระราม 8 ย่านสาทร สะพานกรุงเทพ ถนนพระราม 5 ย่านประตูน้ำ และถนนพระราม 9 โดยใช้เวลาประมาณ 50 นาที
พล.ต.ต.ภาณุ กล่าวว่า สาเหตุการบินสำรวจถนนหลายสายในกรุงเทพฯ เนื่องมาจากกลุ่มพันธมิตรฯปิดถนนราชดำเนินนอก จึงทำให้รถที่เกิดการจราจรติดขัดต่อเนื่องจากสะพานปิ่นเกล้า สะพานพระราม 8 ที่มุ่งหน้าเข้าเมืองและต้องใช้ถนนราชดำเนินนอก ต้องเลี่ยงไปใช้ถนนเส้นอื่นแทนจึงทำให้การจราจรติดขัดอย่างต่อเนื่องไปถึงถนนเส้นอื่นๆ
ตำรวจแก้ปัญหาไม่ได้กลับโทษม็อบ
อย่างไรก็ตาม จากการบินตรวจสภาพการจราจรของคณะ พล.ต.ต.ภาณุ ในครั้งนี้ กองบรรณาธิการข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการรายวันได้รับแจ้งจากประชาชนว่า เครื่องบินของตำรวจจำนวน 3 ลำ ได้บินตรวจตราบริเวณซอยจรัญสนิทวงศ์ 71 ในช่วงเวลา 07.10 น.ซึ่งเป็นย่านบ้านจันทร์ส่องหล้า บ้านพักของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นกรณีพิเศษ โดยบินต่ำประมาณ 50 เมตร ทำให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวต่างแตกตื่นและเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
นอกจากนั้น ผู้แจ้งให้กล่าวอีกว่า ในพื้นที่ดังกล่าวปกติในชั่วโมงเร่งด่วนสภาพการจราจรก็ติดขัดอยู่แล้ว โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และหากตำรวจอ้างว่าการชุมนุมของพันธมิตรทำให้รถติดก็เป็นการใส่ร้ายการชุมนุมของพันธมิตรฯ เหมือนกับตำรวจไม่รักชาติ รักแผ่นดิน
ขณะที่ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนอีกรายได้แจ้งเข้ามาอีกว่า ในช่วงเช้าตนจะเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่านเพื่อตรวจจับผู้ขับขี่รถที่ทำผิดกฎหมายจราจรอยู่เป็นจำนวนมาก โดยที่ไม่สนใจที่จะอำนวยการจราจร และพฤติกรรมดังกล่าวของตำรวจก็เกิดขึ้นมานานแล้ว ดังนั้น เมื่อมีการชุมนุมเกิดขึ้น ทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องโยนความผิดให้กับกลุ่มผู้ชุมนุม ทั้งๆ ที่ทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ อีกทั้งตนไม่เห็นด้วยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชอบรีดไถประชาชนแทนการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องดูแลความปลอดภัยให้แก่ประชาชน
ให้โอกาส"จักรภพ"ส่งทนายเจรจา
พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รอง ผบช.ก.ในฐานะรองโฆษก ตร.กล่าวถึงคืบหน้าในการดำเนินคดีนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ถูกคณะกรรมการพิจารณาคดีหมิ่นฯกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางระบุว่ามีความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า ขณะนี้นายจักรภพ ได้ส่งทนายเป็นตัวแทนมาเจรจาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นของพนักงานสอบสวนที่จะรวบรวมพยานหลักฐานส่งให้คณะกรรมการระดับ บช.ก.ลงความเห็นเสนอให้คณะกรรมการระดับ ตร. เพื่อส่งอัยการดำเนินคดีต่อ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในขั้นตอนของพนักงานสอบสวนจะต้องมีการเรียกตัวนายจักรภพ มาให้ปากคำ แต่นายจักรภพ ยังไม่เข้ามารายงานตัวด้วยตนเองจะต้องมีการออกหมายเรียกหรือไม่ พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า ในส่วนนี้เป็นส่วนของพนักงานสอบสวนที่จะดำเนินการ แต่อย่างไรก็ตาม นายจักรภพ ได้ส่งทนายมารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ก็ต้องให้ความเป็นธรรม และสิทธิตามกฎหมายที่จะเดินทางเข้ามาให้ปากคำ คงไม่มีการกำหนดระยะเวลา คาดว่าเมื่อพร้อมนายจักรภพต้องมาให้ปากคำด้วยตนเองแน่นอน คงไม่หลบหนีไปไหนเพราะเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ
ผบ.ทอ.ให้ประชาชนวิเคราะห์เอง
พล.อ.อ.ชลิต พุกพาสุข ผบ.ทอ.อดีตรักษาการประธาน คมช. กล่าวถึงกรณีที่ ตำรวจกองปราบปรามออกหมายเรียก คตส.ในข้อหาหมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าสภาวะของ คมช.หมดสิ้นไปแล้ว ผู้นำเหล่าทัพก็ปฎิบัติหน้าที่ตามปกติ แต่ในส่วนลึกๆคิดว่ามีความเป็นห่วงเพราะเขาได้เสียสละเวลา และความตั้งใจ การที่ คมช.ได้จัดตั้ง คตส.ขึ้นมาและเขาได้เริ่มปฎิบัติกันมาทุกคนก็ชื่นชมยินดีที่เข้ามาทำหน้าที่ เพื่อหาสิ่งปกติที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเมื่อมาถึงขณะนี้อายุของ คตส.ใกล้จะหมดลง ตนถือว่า คตส. เป็นกลุ่มคนผู้กล้าที่จะทำอะไรต่างๆ ซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไปถือเป็นเรื่อง ของกฎหมาย และสิ่งใดที่จะเกิดหลังจากนี้หรือมีกลุ่มคนที่จะทำให้เป็นสิ่งไม่ถูกกฎหมายก็เป็นเรื่องที่ต้องมาว่ากันต่อ เรื่องนี้ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินวิเคราะห์ ไม่ใช่มีแต่คนบางคนหรือกลุ่มคนเล็กๆ ที่ต้องการช่วย หากประชาชนได้รับรู้ข้อเท็จจริงก็จะช่วยเหลือ คตส.เพราะเขาตั้งใจทำในสิ่งที่ดีต่อประเทศ
ส่วนแนวทางที่จะดูแล คตส.นั้น พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า ถ้าจะมีก็ยังไม่บอก เพราะตนมีส่วนที่ได้เชิญบุคคลเหล่านั้นมาทำงาน เมื่อมีอะไรที่ช่วยได้ก็น่าจะช่วยเหลือ ต่อข้อถามที่ว่า คตส.สบายใจในการทำงานต่อไป พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า ทุกคนสบายใจ และกล้าที่จะทำงานในสิ่งที่ถูกต้อง
พูดเฉยตอนนี้คตส.ยังไม่เดือดร้อน
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ คนที่กล้าเข้ามาทำงานจะได้รับผลกระทบถือว่าไม่ยุติธรรม พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า เราอย่าไปมองเรื่องที่ยังยาวมาก แต่เป็นสิ่งที่น่ากลัวหากมองภาพไปไกล ๆ แต่ตนคิดว่าการแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เรื่องที่แก้กันง่ายดาย ถึงแม้กฎหมายจะกำหนดไว้ เพราะการแก้รัฐธรรมนูญ ต้องทำด้วยเหตุผลว่าเป็นประโยชน์ของชาติ ไม่ใช่ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
"อนุพงษ์" ไม่รับรู้ คตส.ถูกเช็คบิล
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. กล่าวว่า ตนยังไม่ทราบเรื่องนี้ และเข้าใจว่า คมช.น่าหมดบทบาทแล้ว เมื่อถามว่า กฎหมายที่ คมช.เคยทำไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว และรัฐมนตรีปัจจุบัน ไม่มีศักยภาพในการคุ้มครอง คตส. พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า หากมีกฎหมายผู้รักษากฎหมายต้องทำหน้าที่ ไม่ใช่หน้าที่ตน หากจะมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย ให้เป็นของฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่ใช่หน้าที่ของทหาร เมื่อถามว่า คตส.ทำหนังสือถึงทหารจะมีแนวทางอธิบายอย่างไร พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้รับจดหมายดังกล่าว
ซัดอำนาจรัฐทำลายการตรวจสอบ
นายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ และในฐานะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเงา กล่าวว่า ที่ประชุมครม.เงาได้แสดงความกังวลต่อการใช้เครื่องมือของรัฐในการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐที่ตรวจสอบการกระทำที่ส่อไปในทางทุจริตของรัฐบาลชุดที่แล้ว เช่น กรณี ดีเอสไอ กำลังสอบสวน กกต.กรณีพิมบัตรเลือกตั้งปลอม หรือกรณีที่มีการดำเนินคดีกับนายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีดีเอสไอ ในข้อหาหมิ่นประมาทจนกระทั่งมีการออกหมายจับ หรือกรณีที่กำลังจะขอหมายเรียก คตส. อยู่ในขณะนี้ ซึ่งส่อให้เห็นว่ากำลังมีความพยายามที่จะทำลายกระบวนการตรวจสอบที่กำลังดำเนินคดีกับรัฐบาลชุดที่แล้ว โดยทำลายความมั่นใจและความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อองค์กรตรวจสอบที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า การออกหมายจับนายสุนัย และออกหมายเรียก คตส. เป็นการกระทำโดยตำรวจทั้งสิ้น ตนเสียดาย ที่การเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญในวันที่ 9 มิ.ย.นี้ไม่สามารถยื่นกระทู้ถามสด ได้ไม่เช่นนั้นต้องมีการตั้งกระทู้ถามแน่นอน
"เพราะวันนี้การฟื้นระบบรัฐตำรวจผ่านดีเอสไอ กับผ่านสำนักงานตำรวจแห่งชาติเริ่มแล้ว พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ก็กลับมาเป็นใหญ่ ส่วนอีกฝั่ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีดีเอสไอ ก็กลับมาใหญ่ แบบนี้เป็นการจุดชนวน แล้วแบบนี้จะจบลงเมื่อไหร่ เราก็พยายามบอกว่า ให้หาทางทำเรื่องอื่นดีกว่า เรื่องอื่นมีเยอะแต่ไม่ทำ ซึ่งกว่าบ้านเมืองจะสงบก็ต้อง จนกว่าข้อเสนอทั้งหมดจะได้รับการปฏิบัติ"
วานนี้ (5 มิ.ย.) นายอุดม เฟื่องฟุ้ง คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กล่าวถึงกรณีกองปราบปรามออกหมายเรียก คตส.ในคดีหมิ่นประมาทพร้อมเตรียมออกหมายจับหากไม่ไปให้ปากคำในวันที่ 10 มิ.ย.นี้ว่า เป็นเรื่องของกองปราบปรามเพราะไม่รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไรอยู่ ซึ่งพฤติกรรมของ ฝ่ายตำรวจก็พอจะทำให้มองเห็นว่าฝ่ายบริหารต้องการทำอะไร แต่คตส.ไม่หวั่นไหว และจะทำงานจนถึงวันสุดท้าย ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามที่ได้รับแต่งตั้งเข้ามาตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ แต่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังทำอะไรอยู่ คตส.ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐฟ้องบริษัททนายความของผู้ถูกกล่าวหาในข้อหาหมิ่นประมาท จากนั้น คตส.ถูกบริษัทดังกล่าวฟ้องกลับ เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับพยายามเร่งดำเนินคดีกับ คตส.ส่วนคดี ที่ คตส.แจ้งความไปกลับไม่เห็นความคืบหน้าแม้แต่คดีเดียว ทั้งๆ ที่ คตส.เป็นองค์กรตรวจสอบตามกฎหมาย
"เราเป็นผู้ฟ้อง แต่ถูกฟ้องกลับ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาดำเนินคดีกับเรา ส่วนผู้ที่เราฟ้องกลับไม่ถูกดำเนินการใดๆ ตรงนี้สะท้อนให้เห็นพฤติกรรมการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานว่า สมควรที่จะได้รับความเชื่อถือหรือไม่ และเป็นการสะท้อนพฤติกรรมของฝ่ายบริหารด้วย คิดในทางกลับกันหากเป็นประชาชนธรรมดา แล้วถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐปฎิบัติเช่นนี้แล้วประชาชนจะพึ่งใครได้ สุดท้ายก็หาความยุติธรรมไม่ได้"
ไม่หวั่นลั่นเดินหน้าเช็คบิลพวกโกง
นายอุดม ยอมรับว่าการออกหมายจับ คตส.อาจมีปัญหาในทางปฎิบัติของ คตส.บ้างคือไม่ให้เกิดความสะดวกในการปฎิบัติหน้าที่แต่จะไม่ส่งกระทบต่อสำนวน อย่างไรก็ตามการออกหมายจับ คตส.ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ศาลจะต้องพิจารณาเหตุผลอย่างรอบด้าน เพราะ คตส.ตั้งขึ้นมามีกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน และเหตุผลการออกหมายจับคือเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ถูกกล่าวหาหลบหนี แต่ คตส. มีที่ทำงานอย่างชัดเจนไม่ได้หนีไปไหน ยังทำงานต่อจนถึงวันหมดวาระ ส่วนเป็นการเช็คบิล คตส.หรือไม่นั้น นายอุดม กล่าวว่า ไม่รู้ต้องไปถามตำรวจ และฝ่ายบริหารเพราะสิ่งที่ คตส.ได้แจ้งความไปนั้นเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คตส.ก็จะไม่ยุติการปฏิบัติหน้าที่
ถามหามาตรฐานการทำงานตำรวจ
ด้านนายนายสัก กอแสงเรือง โฆษก คตส.ยืนยันว่า ไม่รู้สึกหวั่นไหวหรือกดดัน ขณะเดียวก็เชื่อมั่นในชั้นศาลที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้อย่างเป็นธรรม จากกองบังคับการปราบปรามได้ออกหมายเรียกคดีแจ้งความเท็จ โดยจงใจกลั่นแกล้งเลือกปฏิบัติให้เกิดความเสียหาย กรณีอายัดทรัพย์สินของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว แต่ตั้งข้อสังเกตถึงมาตรฐานการทำงานของกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะต้นทางของการสอบสวนคดี
"เป็นเรื่องปกติที่ คตส.จะถูกฟ้องร้องในการปฏิบัติหน้าที่หรือการฟ้องกลับจากผู้ที่ถูกตรวจสอบ แต่การทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และอดีตคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.)รวมถึงอธิบดีผู้พิพากษาศาลต่างๆ เพราะอยากเห็นกระบวนการยุติธรรมที่โปร่งใส และมีบรรทัดฐาน
"
ป.ป.ช.ตั้งกก.ไต่สวนกรณี"สุนัย"
นายกล้านรงค์ จันทิก โฆษกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)แถลงภายหลังการประชุมถึง กรณีนายสุนัย มโนมัยอุดม เลขาธิการ ปปท. ได้ร้องเรียนเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.วังน้อย ถึงกรณีที่ ออกหมายจับนายสุนัย โดยพฤติการณ์ตามคำร้องได้ยืนยันว่า ตามคำร้องไม่สามารถ ขอออกหมายจับได้โดยนายสุนัย ได้อ้างข้อเท็จริงและข้อกฎหมายหลายประการ ซึ่ง คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าคำร้องดังกล่าวอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช.ที่จะต้องดำเนินการไต่สวนตามกฎหมาย ป.ป.ช. จึงมีมติให้ตั้งอนุกรรมการ ไต่สวน โดยมีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนในเรื่องนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า คตส.ได้ประสานมายัง ป.ป.ช.เหมือนที่ นายสุนัย ร้อง ป.ป.ช. มาแล้วหรือไม่ นายกล้านรงค์ กล่าวว่า คตส.ได้มีการประสานงานไปยังกองปราบ เช่นเดียวกัน และ คตส.ได้มอบอำนาจให้บุคคลไปแจ้งความดำเนินคดีกับสำนักงานทนายความแห่งหนึ่ง ซึ่งได้มีหนังสือการเพิกถอนการยึดอายัดทรัพย์ ซึ่งในหนังสือดังกล่าว คตส.เห็นว่ามีข้อความเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานที่ปฎิบัติหน้าที่ คตส. จึงได้มอบให้บุคคลไปแจ้งความ พร้อมแนบเอกสารทนายความแห่งนั้นไปด้วย เพื่อให้กองปราบได้พิจารณา ทราบว่าต่อมาสำนักงานแห่งนั้นได้แจ้งความกลับ คตส.ว่า หมิ่นประมาทและแจ้งข้อความเท็จ ซึ่งคตส.เห็นว่าในข้อเท็จจริงนั้นไม่ได้เป็นการ แจ้งความเท็จ เพราะเป็นการแจ้งข้อความตามที่ปรากฏอยู่ในหนังสือของบุคคลดังกล่าวนั้น ที่ คตส.แจ้งความ จึงไม่ได้เป็นการแจ้งเท็จแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ได้มีหนังสือแจ้งไปยังกองปราบแล้ว ทางกองปราบฯ จึงมีหมายเรียก ครั้งที่ 2 ให้ คตส.ไปรายงานตัวในวันอังคารที่ 10 มิ.ย.นี้ คตส.จึงมีมติแจ้งไปยังพนักงานสอบสวนกองปราบ ยืนยันความเห็นเดิมอีกครั้งหนึ่ง
ในกรณีที่มีการออกหมายจับซึ่งเราไม่ทราบ ว่าพนักงานจะขอหมายจับเมื่อไหร่ อย่างไร จึงได้มีมติให้แจ้งไปยังอธิบดีศาล หรือ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง ส่งเอกสารหลักฐาน ทั้งหมดไป โดยแจ้งว่าถ้ามีการขอออกหมายจับ คตส.ทั้ง 11 คนนั้น ทางกรรมการ คตส.ขอแต่งตั้งอัยการขึ้นทำการซักค้าน ฝ่ายพนักงานสอบสวน นี้คือกระบวนการขั้นตอนที่ คตส.ดำเนินงาน
“สุนัย”ขอตรวจหมายจับมิชอบ
นายสุนัย มโนมัยอุดม เลขาธิการ ป.ป.ท.กล่าวว่า ตนกำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องการถูกออกหมายจับในคดีหมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะการออกหมายจับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 66 วรรค 2 จะต้องมีหลักฐานตามสมควรว่าผู้นั้นกระทำผิดอาญา และมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน แต่ตนเป็นข้าราชการระดับสูง ไม่มีความคิดจะหลบหนี หรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
“ขณะนี้ตนยังไปทำงาน แต่ยังสอนหนังสือตามปกติส่วนเรื่องการเข้ามอบตัวยังไม่ทราบกำหนดแน่ชัด เพราะขอเวลารวบรวมหลักฐานและตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนตนจะแถลงชี้แจงทุกข้อสงสัยหลังการเข้ามอบตัว”
สร้างภาพรถติดโยนผิดพันธมิตรฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเช้า เวลา 06.45 น.พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รอง ผบช.น.รับผิดชอบงานด้านจราจร นำคณะสื่อมวลชนขึ้นเฮลิคอปเตอร์เพื่อตรวจสอบการจราจรในช่วงเช้า โดยบินขึ้นตรวจการณ์ตั้งแต่บริเวณถนนรัชดาภิเษก ถนนประชานุกูล ถนนจรัญสนิทวงศ์ ถนนบางพลัด สะพานกรุงธน ถนนสิรินทร ถนนตลิ่งชัน ถนนพระปิ่นเกล้า ถนนวงเวียนใหญ่ ถนนพระราม 8 ย่านสาทร สะพานกรุงเทพ ถนนพระราม 5 ย่านประตูน้ำ และถนนพระราม 9 โดยใช้เวลาประมาณ 50 นาที
พล.ต.ต.ภาณุ กล่าวว่า สาเหตุการบินสำรวจถนนหลายสายในกรุงเทพฯ เนื่องมาจากกลุ่มพันธมิตรฯปิดถนนราชดำเนินนอก จึงทำให้รถที่เกิดการจราจรติดขัดต่อเนื่องจากสะพานปิ่นเกล้า สะพานพระราม 8 ที่มุ่งหน้าเข้าเมืองและต้องใช้ถนนราชดำเนินนอก ต้องเลี่ยงไปใช้ถนนเส้นอื่นแทนจึงทำให้การจราจรติดขัดอย่างต่อเนื่องไปถึงถนนเส้นอื่นๆ
ตำรวจแก้ปัญหาไม่ได้กลับโทษม็อบ
อย่างไรก็ตาม จากการบินตรวจสภาพการจราจรของคณะ พล.ต.ต.ภาณุ ในครั้งนี้ กองบรรณาธิการข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการรายวันได้รับแจ้งจากประชาชนว่า เครื่องบินของตำรวจจำนวน 3 ลำ ได้บินตรวจตราบริเวณซอยจรัญสนิทวงศ์ 71 ในช่วงเวลา 07.10 น.ซึ่งเป็นย่านบ้านจันทร์ส่องหล้า บ้านพักของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นกรณีพิเศษ โดยบินต่ำประมาณ 50 เมตร ทำให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวต่างแตกตื่นและเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
นอกจากนั้น ผู้แจ้งให้กล่าวอีกว่า ในพื้นที่ดังกล่าวปกติในชั่วโมงเร่งด่วนสภาพการจราจรก็ติดขัดอยู่แล้ว โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และหากตำรวจอ้างว่าการชุมนุมของพันธมิตรทำให้รถติดก็เป็นการใส่ร้ายการชุมนุมของพันธมิตรฯ เหมือนกับตำรวจไม่รักชาติ รักแผ่นดิน
ขณะที่ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนอีกรายได้แจ้งเข้ามาอีกว่า ในช่วงเช้าตนจะเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่านเพื่อตรวจจับผู้ขับขี่รถที่ทำผิดกฎหมายจราจรอยู่เป็นจำนวนมาก โดยที่ไม่สนใจที่จะอำนวยการจราจร และพฤติกรรมดังกล่าวของตำรวจก็เกิดขึ้นมานานแล้ว ดังนั้น เมื่อมีการชุมนุมเกิดขึ้น ทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องโยนความผิดให้กับกลุ่มผู้ชุมนุม ทั้งๆ ที่ทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ อีกทั้งตนไม่เห็นด้วยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชอบรีดไถประชาชนแทนการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องดูแลความปลอดภัยให้แก่ประชาชน
ให้โอกาส"จักรภพ"ส่งทนายเจรจา
พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รอง ผบช.ก.ในฐานะรองโฆษก ตร.กล่าวถึงคืบหน้าในการดำเนินคดีนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ถูกคณะกรรมการพิจารณาคดีหมิ่นฯกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางระบุว่ามีความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า ขณะนี้นายจักรภพ ได้ส่งทนายเป็นตัวแทนมาเจรจาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นของพนักงานสอบสวนที่จะรวบรวมพยานหลักฐานส่งให้คณะกรรมการระดับ บช.ก.ลงความเห็นเสนอให้คณะกรรมการระดับ ตร. เพื่อส่งอัยการดำเนินคดีต่อ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในขั้นตอนของพนักงานสอบสวนจะต้องมีการเรียกตัวนายจักรภพ มาให้ปากคำ แต่นายจักรภพ ยังไม่เข้ามารายงานตัวด้วยตนเองจะต้องมีการออกหมายเรียกหรือไม่ พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า ในส่วนนี้เป็นส่วนของพนักงานสอบสวนที่จะดำเนินการ แต่อย่างไรก็ตาม นายจักรภพ ได้ส่งทนายมารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ก็ต้องให้ความเป็นธรรม และสิทธิตามกฎหมายที่จะเดินทางเข้ามาให้ปากคำ คงไม่มีการกำหนดระยะเวลา คาดว่าเมื่อพร้อมนายจักรภพต้องมาให้ปากคำด้วยตนเองแน่นอน คงไม่หลบหนีไปไหนเพราะเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ
ผบ.ทอ.ให้ประชาชนวิเคราะห์เอง
พล.อ.อ.ชลิต พุกพาสุข ผบ.ทอ.อดีตรักษาการประธาน คมช. กล่าวถึงกรณีที่ ตำรวจกองปราบปรามออกหมายเรียก คตส.ในข้อหาหมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าสภาวะของ คมช.หมดสิ้นไปแล้ว ผู้นำเหล่าทัพก็ปฎิบัติหน้าที่ตามปกติ แต่ในส่วนลึกๆคิดว่ามีความเป็นห่วงเพราะเขาได้เสียสละเวลา และความตั้งใจ การที่ คมช.ได้จัดตั้ง คตส.ขึ้นมาและเขาได้เริ่มปฎิบัติกันมาทุกคนก็ชื่นชมยินดีที่เข้ามาทำหน้าที่ เพื่อหาสิ่งปกติที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเมื่อมาถึงขณะนี้อายุของ คตส.ใกล้จะหมดลง ตนถือว่า คตส. เป็นกลุ่มคนผู้กล้าที่จะทำอะไรต่างๆ ซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไปถือเป็นเรื่อง ของกฎหมาย และสิ่งใดที่จะเกิดหลังจากนี้หรือมีกลุ่มคนที่จะทำให้เป็นสิ่งไม่ถูกกฎหมายก็เป็นเรื่องที่ต้องมาว่ากันต่อ เรื่องนี้ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินวิเคราะห์ ไม่ใช่มีแต่คนบางคนหรือกลุ่มคนเล็กๆ ที่ต้องการช่วย หากประชาชนได้รับรู้ข้อเท็จจริงก็จะช่วยเหลือ คตส.เพราะเขาตั้งใจทำในสิ่งที่ดีต่อประเทศ
ส่วนแนวทางที่จะดูแล คตส.นั้น พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า ถ้าจะมีก็ยังไม่บอก เพราะตนมีส่วนที่ได้เชิญบุคคลเหล่านั้นมาทำงาน เมื่อมีอะไรที่ช่วยได้ก็น่าจะช่วยเหลือ ต่อข้อถามที่ว่า คตส.สบายใจในการทำงานต่อไป พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า ทุกคนสบายใจ และกล้าที่จะทำงานในสิ่งที่ถูกต้อง
พูดเฉยตอนนี้คตส.ยังไม่เดือดร้อน
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ คนที่กล้าเข้ามาทำงานจะได้รับผลกระทบถือว่าไม่ยุติธรรม พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า เราอย่าไปมองเรื่องที่ยังยาวมาก แต่เป็นสิ่งที่น่ากลัวหากมองภาพไปไกล ๆ แต่ตนคิดว่าการแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เรื่องที่แก้กันง่ายดาย ถึงแม้กฎหมายจะกำหนดไว้ เพราะการแก้รัฐธรรมนูญ ต้องทำด้วยเหตุผลว่าเป็นประโยชน์ของชาติ ไม่ใช่ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
"อนุพงษ์" ไม่รับรู้ คตส.ถูกเช็คบิล
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. กล่าวว่า ตนยังไม่ทราบเรื่องนี้ และเข้าใจว่า คมช.น่าหมดบทบาทแล้ว เมื่อถามว่า กฎหมายที่ คมช.เคยทำไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว และรัฐมนตรีปัจจุบัน ไม่มีศักยภาพในการคุ้มครอง คตส. พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า หากมีกฎหมายผู้รักษากฎหมายต้องทำหน้าที่ ไม่ใช่หน้าที่ตน หากจะมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย ให้เป็นของฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่ใช่หน้าที่ของทหาร เมื่อถามว่า คตส.ทำหนังสือถึงทหารจะมีแนวทางอธิบายอย่างไร พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้รับจดหมายดังกล่าว
ซัดอำนาจรัฐทำลายการตรวจสอบ
นายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ และในฐานะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเงา กล่าวว่า ที่ประชุมครม.เงาได้แสดงความกังวลต่อการใช้เครื่องมือของรัฐในการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐที่ตรวจสอบการกระทำที่ส่อไปในทางทุจริตของรัฐบาลชุดที่แล้ว เช่น กรณี ดีเอสไอ กำลังสอบสวน กกต.กรณีพิมบัตรเลือกตั้งปลอม หรือกรณีที่มีการดำเนินคดีกับนายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีดีเอสไอ ในข้อหาหมิ่นประมาทจนกระทั่งมีการออกหมายจับ หรือกรณีที่กำลังจะขอหมายเรียก คตส. อยู่ในขณะนี้ ซึ่งส่อให้เห็นว่ากำลังมีความพยายามที่จะทำลายกระบวนการตรวจสอบที่กำลังดำเนินคดีกับรัฐบาลชุดที่แล้ว โดยทำลายความมั่นใจและความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อองค์กรตรวจสอบที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า การออกหมายจับนายสุนัย และออกหมายเรียก คตส. เป็นการกระทำโดยตำรวจทั้งสิ้น ตนเสียดาย ที่การเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญในวันที่ 9 มิ.ย.นี้ไม่สามารถยื่นกระทู้ถามสด ได้ไม่เช่นนั้นต้องมีการตั้งกระทู้ถามแน่นอน
"เพราะวันนี้การฟื้นระบบรัฐตำรวจผ่านดีเอสไอ กับผ่านสำนักงานตำรวจแห่งชาติเริ่มแล้ว พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ก็กลับมาเป็นใหญ่ ส่วนอีกฝั่ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีดีเอสไอ ก็กลับมาใหญ่ แบบนี้เป็นการจุดชนวน แล้วแบบนี้จะจบลงเมื่อไหร่ เราก็พยายามบอกว่า ให้หาทางทำเรื่องอื่นดีกว่า เรื่องอื่นมีเยอะแต่ไม่ทำ ซึ่งกว่าบ้านเมืองจะสงบก็ต้อง จนกว่าข้อเสนอทั้งหมดจะได้รับการปฏิบัติ"