"วีระ"บุกร้องป.ป.ช.ไต่สวน"หมัก-ชูศักดิ์-ชัย" และพวก ทำผิดมาตรา 157 จากรณี ส.ส.-ส.ว.ลงชื่อยื่นญัตติแก้ไขรธน. 50 ส่วน"เหลิม" คิวต่อไป เผยมีหลักฐานเด็ดมัด"หมัก"และพรรคพวก ด้าน"หมัก"หมดปัญญาแก้ปัญหาที่ตัวเองก่อ โยน"พัชรวาท" เป็นหนังหน้าไฟ แก้ปัญหาการชุมนุม ด้าน "พันธมิตรฯ" ประกาศสู้ไม่ถอยจนกว่าจะได้รับชัยชนะ ยันมีความจำเป็นต้องปิดถนนอย่างถาวร เกรงผู้ชุมนุมจะไม่ปลอดภัย จวกรัฐบาลอย่านำมาเป็นข้ออ้าง เพราะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดการชุมนุม ด้านปชป.ค้านรัฐบาลใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อย่าเห็นประชาชนเป็นข้าศึกศัตรู
เมื่อเวลา 13.30 น. วานนี้ (3มิ.ย.) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) นายวีระ สมความคิด ประธานคณะกรรมการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น ได้เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อให้ไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา เนื่องจากมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โดยมีนายวิทยา อาคมพิทักษ์ เจ้าพนักงาน ป.ป.ช. 9 เป็นผู้รับเรื่องร้องเรียน
ภายหลังจากการรับเรื่องร้องเรียน นายวิทยา กล่าวว่า จะนำเรื่องนี้ เสนอให้ประธาน ป.ป.ช. ภายในอาทิตย์นี้ เพื่อให้พิจารณาต่อไป
ด้านนายวีระ กล่าวว่า การมายื่นเรื่องนี้ เนื่องจากมีคนร้องเรียนมายังตน และให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง และเอกสาร หลักฐาน ที่มีความชัดเจนว่า นายสมัคร และพวกพรรคพลังประชาชน มีความผิดตาม มาตรา 157 จริง ตนจึงมายื่นหนังสือให้ ป.ป.ช.ไต่สวนข้อเท็จจริง โดยตามขั้นตอนแล้วเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องถอดถอนนายกฯ และพวกได้ เนื่องจากว่าถ้าหาก คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวนแล้ว เห็นว่ามีความผิดจริง ก็สามารถส่งเรื่องไปยังศาลอาญา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ถ้าศาลพิจารณาว่าผิด ก็สามารถให้ออกจากตำแหน่งได้
นายวีระ กล่าวว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายชูศักดิ์ ศิรินิล นายชัย ชิดชอบ และพวก เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย มีหน้าที่ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภาจะต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม และมีหน้าที่ตาม มาตรา 122 ที่บัญญัติว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความชื่อสัตย์ สุจริต เพื่อประโยชน์ของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดแย้งแห่งประโยชน์ โดยได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย และมีการกระทำขัดแย้งกับบทบัญญัติดังกล่าว เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น และปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
"ซึ่งจะเห็นได้ว่านายสมัคร ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชาชน สมาชิกพรรคเพื่อแผ่นดิน สมาชิกพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา สมาชิกพรรคมัชฌิมาธิปไตย สมาชิกพรรคประชาราช และสมาชิกวุฒิสภา ได้สมคบคิดกับพวกอีกหลายคน ได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเจ้าพนักงาน ได้สมคมกันดำเนินการจัดให้ และร่วมลงชื่อเสนอร่างแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยเจตนาที่แท้จริงแล้ว นายสมัคร กับพวก ต้องการเพียงแก้รัฐธรรมนูญเพียง 2 มาตรา คือ มาตรา 237 และมาตรา 309 และเพิ่มเติมบทเฉพาะกาลใหม่โดยเร็วที่สุด เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กระบวนการยุติธรรม ประชาชน และคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ดังนั้นทั้งหมดยังเข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เพื่อประโยชน์แก่พวกตน และพรรคการเมืองที่สังกัด ซึ่งจะต้องตรวจสอบโดยกระบวนการยุติธรรม เพราะเหตุที่กรรมการบริหารพรรคการเมืองกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง อันอาจมีผลให้กรรมการพรรคการเมืองทุกคน จะต้องถูก กกต. ดำเนินการฟ้องร้อง ดำเนินคดี จนถึงขั้นต้องถูกตัดสิทธิทางการเมือง และถูกยุบพรรคพลังประชาชน"นายวีระ กล่าว
นายวีระ กล่าวอีกว่า ตนเชื่อมั่นในการทำงานของ ป.ป.ช. เพราะถือว่ากระบวนการต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญจะต้องทำตามหน้าที่ จะนำไปสู่การยุติความขัดแย้งได้ เพราะจะเห็นได้ว่า ขณะนี้มีความขัดแย้งกันอยู่ และเพื่อเป็นการไม่ให้เกิดวิกฤติความวุ่นวาย แตกแยกในสังคม ซึ่งอาจจะเกิดการจลาจลขึ้นในบ้านเมือง จึงอยากให้สังคมไทยมีบรรทัดฐานโดยคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ยื่นไต่สวน"เหลิม"คิวต่อไป
นายวีระ กล่าวว่า ภายในอาทิตย์นี้ ตนจะเดินทางมายื่นหนังสือให้ไต่สวน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ในฐานะอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ทำหน้าที่โดยมิชอบ โดยในปี 2535 ได้กระทำการต่อสัญญาให้ สถานีโทรทัศน์ ยูบีซี และสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3 ซึ่งจะหมดอายุความ 20 ปี ในเดือน ก.ค.นี้ นอกจากนี้ยังจะให้ไต่สวนกรณีที่ พล.ต.ต. อำนวย นิ่มมะโน ผบ.ก. น1 และผู้บัญชาการที่เกี่ยวข้องทุกคน ในฐานะเป็นผู้ควบคุมการดูแลความปลอดภัยของการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยปล่อยให้กลุ่มต่อต้านพันธมิตรฯ มาทำร้ายร่างกายผู้มาร่วมชุมนุม
"หมัก" พล่านแก้ปัญหาปากพาเจ๊ง
ด้านนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี หลังจากประกาศทางสถานีโทรทัศน์ NBT เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา ถึงการเตรียมใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมของ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และประชาชน ที่บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ถนนราชดำเนินนอก แต่ปรากฏว่าได้รับการต่อต้านอย่างหนักจากสังคม และประชาชนทุกหมู่เหล่า ไม่เว้นกระทั่งผบ.เหล่าทัพ และบรรดาพรรคร่วมรัฐบาล จึงทำให้นายสมัคร ต้องออกมาชี้แจงกลับลำในวันรุ่งขึ้นว่า ไม่ได้พูดว่าจะใช้กำลังสลายการชุมนุม แต่จะหาทางเจรจาให้กลุ่มพันธมิตรฯ ย้ายสถานที่การชุมนุมออกไปจากถนนราชดำเนิน เนื่องจากผิดกฎหมายจราจร
ต่อมาในวันจันทร์ที่ 2 มิ.ย. นายสมัคร ก็เรียกพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. และคุณพรทิพย์ จาละ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เข้าหารือที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งมารายงานข่าวว่า ได้มีการหยิบยกเรื่องการนำ พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อใช้ในการสลายการชุมนุม มาหารือกัน แต่ก็มีเสียงคัดค้าน เนื่องจากเห็นว่าสถานการณ์ยังไม่รุนแรงถึงขั้นต้องนำพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาใช้ ทำให้นายสมัคร มีอาการหงุดหงิด ที่ยังไม่สามารถหาทางแก้ "ปัญหาการเมือง" ที่ตนเองก่อขึ้นได้
โยน ผบ.ตร."หนังหน้าไฟ"
วันเดียวกัน (3 มิ.ย.) ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายสมัคร ก็ได้นำปัญหาการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และประชาชน มาหารืออีกครั้ง และในที่สุดก็ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. รับหน้าที่ไปเจรจากับแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อให้ยุติการชุมนุม หรือย้ายการชุมนุมจากถนนราชดำเนินไปอยู่ในที่ที่เหมาะสม
ด้าน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. เปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่า นายกรัฐมนตรี ได้กำชับว่าไม่ให้ใช้วิธีรุนแรงในการแก้ปัญหา และให้ดูแลความสงบเรียบร้อยในการชุมนุม ป้องกันการปะทะกันระหว่าง 2 ฝ่าย โดยตำรวจพยายามจะใช้การเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นหลัก โดยให้ ผบช.น. หรือรอง ผบช.น. เจรจา กับแกนนำ เพื่อให้ย้ายสถานที่การชุมนุม เนื่องจากผิดกฎหมายจราจร แม้ว่าการชุมนุมจะเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่ต้องคำนึงสิทธิ์ของผู้อื่นด้วย
ส่วนสถานการณ์การชุมนุม ขณะนี้ทางตำรวจก็ไม่ได้หนักใจ หรือวิตกกังวล เพราะยังไม่มีความรุนแรง สถานการณ์น่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดี
ปิดถนนถาวร หวั่นไม่ปลอดภัย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเช้าวานนี้ กลุ่มพันธมิตรฯได้เปิดช่องจราจร เพื่อให้รถผ่านได้ ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน ต่อมา พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พร้อมด้วยนายพิภพ ธงไชย แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ได้แถลงยืนยันความจำเป็นที่ต้องปิดถนนบริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์อย่างถาวร ตั้งแต่หลังเที่ยง (3มิ.ย.) เป็นต้นไป หลังจากได้ทดลองเปิดการจราจรบนถนนเลียบคลองผดุงกรุงเกษม เมื่อช่วงเช้าแล้ว แต่เกรงว่ากลุ่มผู้ชุมนุมจะไม่ได้รับความปลอดภัย เพราะอาจมีกลุ่มคนเข้ามาก่อกวนได้
พร้อมกันนี้ กลุ่มพันธมิตรฯ ขอให้รัฐบาลอย่านำประเด็นเรื่องการกีดขวางเส้นทางจราจร รวมถึงการบริจาคสิ่งของช่วยเหลือพม่า หรือความเดือดร้อนของนักเรียนมาใช้เป็นข้ออ้าง เพื่อโยนความผิดให้กลุ่มผู้ชุมนุม เพราะรัฐบาลเป็นต้นเหตุที่ทำให้ต้องมีการชุมนุมเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม พันธมิตรฯไม่ได้ต้องการปักหลักชุมนุมที่บริเวณนี้เป็นการถาวร แต่พร้อมจะเคลื่อนย้ายได้ตลอดเวลา ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และความจำเป็นด้วย
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวว่าเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้ทดลองเปิดเป็น 2 ช่วง ซึ่งในช่วงเย็นได้เกิดปัญหาขึ้น โดยมีผู้ไม่ประะสงค์ดีสอดแทรกเข้ามา ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวไว้ได้กว่า 20 คน พร้อมกับอาวุธ ดังนั้น ทางกลุ่มพันธมิตรฯ เกรงอาจจะเกิดอันตรายต่อแกนนำและผู้ร่วมชุมนุมได้ เพราะเรื่องความปลอดภัยนั้น เราจะต้องมั่นใจ ดังนั้น นายพิภพ ธงไชย แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ไปพบกับผู้อำนวยการโรงเรียน โดยมีการประสานเพื่อขอยืดหยุ่นให้เปิดการจราจรในช่วงเย็นจนถึง 5 โมงเย็น แล้วจากนั้นจะปิดการจราจร เพื่อเป็นการกันไว้ดีกว่าแก้
อย่างไรก็ตาม ตนจะประสานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอให้เปิดถนนบริเวณเลียบคลองผดุงกรุงเกษม ซึ่งจะสามารถช่วยเหลือปัญหาการจราจรติดขัดได้มาก และทางโรงเรียนก็เห็นด้วย เพราะเจ้าหน้าที่เพียงแค่ขยับรถและเต็นท์ของเจ้าหน้าที่เท่านั้น
พันธมิตรฯ หรือรัฐบาลทำ ศก.แย่
ส่วนกรณีที่มีการเสนอให้กลุ่มพันธมิตรฯ เจรจากับรัฐบาล เพื่อหาทางออกในการสลายการชุมนุมนายสุริยะใส กล่าวว่า จุดยืนของเรา คือ ไม่ไว้ใจรัฐบาลชุดนี้ เพราะรัฐบาลของ พปช.ไม่สามารถนำพาชาติพ้นวิกฤติได้ ร่วมทั้งไม่แน่ใจว่า หากไม่มีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯแล้ว เศรษฐกิจจะดีขึ้นจริงหรือไม่ สำหรับเรื่องแนวคิดรัฐบาลแห่งชาตินั้น ตนมองว่า เป็นเรื่องยาก และเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็คงจะไม่เห็นด้วย รัฐบาลภายใต้การนำของ พปช.ถือว่าหมดความชอบธรรมไปแล้ว
นายสุริยะใส กล่าวถึงการเจรจากับผบ.ตร.นั้น ถ้าหากเป็นการเจรจาเพื่อย้ายที่ชุมนุม เราจะไม่เจรจา จะปักหลักชุมนุมกันอย่างสันติที่นี่ เหมือนเป็นโรงเรียนการเมือง เป็นมหาวิทยาลัยราชดำเนิน ที่เปิดสอนวิชาการเมืองให้ประชาชน
ส่วนกรณีที นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้หารือกับทางสภา เพื่อตั้งกรรมาธิการร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น นายสุริยะใส กล่าวว่า ส่วนตัวแม้จะชื่นชม นายอภิสิทธิ์ แต่ก็รู้สึกอดห่วงไม่ได้ว่าจะเป็นแผน ลับ ลวง พราง ต่อพรรคพลังประชาชน ที่จะเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญต่อหรือไม่
สำหรับกรณีที่ นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไปยื่นต่ออัยการสูงสุด เพื่อให้ดำเนินการกับกลุ่มพันธมิตรฯตามมาตรา 68 นั้น นายสุริยะใส กล่าวว่า นายชูศักดิ์ ถือเป็นมือกฎหมายของรัฐบาล จะต้องระวังในการแสดงความไม่รู้ออกมา กลุ่มพันธมิตรฯเป็นฝ่ายพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ล้มล้างรัฐธรรมนูญ การแก้รัฐธรรมนูญของพปช.ต่างหากที่จะล้มล้างรัฐธรรมนูญ พร้อมยืนยันการชุมนุมของประชาชนเป็นสิทธิที่ทำได้ตามรัฐธรรมนูญ
นายสุริยะใส กล่าวด้วยว่า แนวทางการต่อสู้จากนี้ จะเพิ่มยุทธศษสตร์ดาวกระจาย ด้วยการใช้อาสาสมัคร ประมาณ 300-500 คน กระจายกันไปตามหน่วยงานต่างๆ เพื่อติดตามทวงถามความคืบหน้า คดีความต่างๆ และร้องเรียนถึงพฤติกรรมการทุจริต ฉ้อฉล ของคนในระบอบทักษิณ
ทนายหลักฐานเด็ดฟ้อง "นายกฯ-คณะ"
นายสุวัตร์ อภัยภักดิ์ ทนายความประจำตัวนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ได้ขึ้นเวทีชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยกล่าวถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ประกาศสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ แต่ทำไม่สำเร็จว่า ไหนๆก็ไม่สามารถที่จะอยู่เป็นนายกฯ เนื่องจากกกต.ก็ระบุชัดเจนว่าเป็นนอมินี จึงควรที่จะส่งตัวแทนมาเจรจากับฝ่ายกฎหมาย หรือมาตกลงกับแกนนำพันธมิตรฯ ตามข้อเรียกร้อง ซึ่งถ้ายอมรับไม่ได้ ถึงอย่างไรนายสมัคร ก็ต้องออกจากตำแหน่ง
“ท่าน(นายกรัฐมนตรี) จะต้องสำนึกไว้ว่า ลาภยศสรรเสริญนั้นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เพราะคดีที่นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ฟ้อง ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก และอีกไม่นานนี้ศาลอุทธรณ์ ก็จะพิพากษา และถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีนี้ต้องห้ามฎีกา และถ้านายสมัครติดคุก ก็ต้องออกจากตำแหน่งนายกฯ อยู่ดี นอกจากนี้ยังมีคดีทุจริตรถขยะ ซึ่งขณะนี้ คตส.ได้ชี้มูลมาแล้ว และเมื่อคดีดังกล่าวไปถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งไม่มีทางวิ่งเต้นได้เลย ดังนั้น เขาจึงต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะเขารู้ว่าถ้าไปศาลแล้วต้องติดคุก และถ้าประเด็นดังกล่าวไปไม่รอด นายสมัคร ก็จะต้องติดคุก และต้องออกอยู่ดี”นายสุวัตร์ กล่าว
นายสุวัตร์ กล่าวอีกว่า คดีที่ 3 คือ คดีที่นายสมัคร ฟ้องร้องนายสนธิ ซึ่งคดีดังกล่าวนายสนธิ กำลังจะฟ้องกลับในข้อหาฟ้องเท็จ ซึ่งนายสมัคร ก็จะต้องติดคุก ซึ่งตนได้ร่างหนังสือร้องเรียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว และจะให้นายวีระ สมความคิด ไปยื่นต่อ ป.ป.ช. โดยคดีนี้นายสมัคร ติดคุกแน่นอน ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีไปร่วมกันพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 237 และ 309 ซึ่งการกระทำของนายสมัคร นั้น เป็นการทำเพื่อประโยชน์ให้ตัวเอง และพวกพ้อง ซึ่งมีความผิดตามมาตรา 102 ตามรัฐธรรมนูญ
“คดีนี้มีหลักฐานคำรับสารภาพเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากนายสมัคร ได้ไปออกรายการสมัครพูดกับประชาชน โดยระบุว่า ที่จำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญเพราะ 2-3 พรรคจะต้องถูกยุบ แต่ถ้าไม่อยากติดคุก ก็ขอให้มาตกลงกัน เพราะอย่างไรก็ไปไม่รอด และสิ่งที่ท่านคิดว่าท่านฉลาด แต่ท่านไม่เฉลียวเลยว่า ส.ส.พรรคพลังประชาชน เขาคิดว่าท่านเป็นข้าวนอกนาเกือบทุกคน ขนาดท่านยังไม่ออก เขายังเอานายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มาตั้งแท่นรอ แล้วท่านจะอยู่ทำไม หรือจะอยู่ให้เสียชื่อเสียงเกียรติยศ”นายสุวัตร์ ระบุ
พันธมิตรฯ ลั่นสู้จนกว่าจะได้ชัยชนะ
สำหรับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ เป็นวันที่ 10 นั้น บรรยากาศยังคงเป็นไปด้วยความคึกคัก โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯประกาศยืนหยัดต่อสู้จนกว่าจะได้รับชัยชนะ เพราะเป็นสงครามครั้งสุดท้าย หากแพ้ก็ต้องยกแผ่นดินให้ระบอบทักษิณไปเลย
นายสนธิ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ ตำรวจได้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มอำนาจเก่าของระบอบทักษิณ อีกครั้ง เนื่องจากมีการโยกย้าย คนของตนเองเข้ามาเป็นใหญ่ มากุมอำนาจในตำแหน่งสำคัญ อีกแล้ว
นายสนธิ ยังแสดงความไม่เห็นด้วยกับ"กลุ่มสีขาว" ที่ออกมาเคลื่อนไหวให้มีการสมานฉันท์ ด้วยการถอยคนละก้าว เพราะไม่สามารถสมานฉันท์กับโจรได้ ขณะเดียวกัน พวกนักวิชาการกลุ่มนี้ก็แกล้งทำเป็นไม่เห็นพฤติกรรมฉ้อฉล โกงชาติ ของคนในระบอบทักษิณ
เครือข่ายฯ อีสานโดดร่วมพันธมิตรฯ
ขณะเดียวกันเครือข่ายพันธมิตรฯ ในส่วนภูมิภาคก็เริ่มมีการชุมนุม อยู่ในพื้นที่ และบางส่วนก็เดินทางเข้ามาชุมนุมที่กรุงเทพฯ โดยที่ศาลาประชาคม จ.ขอนแก่น เครือข่ายภาคประชาชนอีสานได้มีการนัดประชุมแกนนำเครือข่าย ซึ่งมาจากจังหวัดต่างๆ ในภาคอีสานประมาณ 100 คนโดยการนัดประชุมครั้งนี้ มีการเสวนาในประเด็นการเมืองภาคประชาชนกับวิกฤติข้าวยากหมากแพง
นายพิทยพันธ์ แวะสีภา เลขานุการสมัชชาองค์กรชุมชนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เครือข่ายประชาชนภาคอีสาน และองค์กรต่างๆ ได้ร่วมกันศึกษาข้อมูลและสถานการณ์ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ พร้อมกับการแสดงออกของรัฐบาล ซึ่งเห็นได้ว่า การออกมาเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯนั้น เป็นประโยชน์ต่อประชา-ชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง
อีกทั้งสิ่งที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี แสดง-ออกด้วยคำพูดที่ไม่เหมาะสม ว่าจะมีการสลายการชุมนุมขั้นแตกหัก แม้จะมากลับคำพูดภายหลังก็ตาม ถือเป็นการข่มขู่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ที่ออกมาสู้เพื่อชาติบ้านเมือง และปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นสิ่งที่คนอีสานและคนทั่วโลกยอมรับไม่ได้
"ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลมีความชัดเจนในการบริหารงานเพื่อตั้งใจล้างมลทินของนักการเมือง 111 คนของพรรคไทยรักไทย และฟอกความผิดให้พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อนำพ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาสู่การบริหารประเทศต่อไปให้ได้ เป็นผลงานชิ้นเดียวที่รัฐบาลชุดนี้ยึดถือปฏิบัติ ด้วยการวนเวียนอยู่กับเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญเท่านั้น ท่ามกลางความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน กับปัญหาน้ำมันแพง สินค้าขึ้นราคาทุกรายการ เป็นสถานการณ์ข้าวยากหมากแพงที่เดือดร้อนไปทั่ว "
ส่วนการที่มีกลุ่มคนออกมาเรียกร้องความสงบในบ้านเมืองด้วยการใช้สัญลักษณ์ริบบิ้นสีขาว หรือเปิดไฟใส่หมวกนั้น นายพิทยพันธ์ บอกว่า เครือข่ายประชาชนอีสานไม่สะทกสะท้านกับการออกโรงของผู้ที่เรียกร้องให้ใช้ริบบิ้นสีขาวหรือเปิดไฟ ใส่หมวก เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรงในสังคมนั้น ตนและพี่น้องประชาชนที่รักชาติบ้านเมือง เห็นว่านี่เป็นเพียงนวัตกรรมทางภาษา ที่นำออกมาใช้กันเพียงเพื่อหวังลดแรงเสียดทาน ลดความรุนแรง ส่วนผู้ที่บอกว่าควรถอยคนละก้าวนั้นต้องทบทวนใหม่ เพราะจะไม่มีการถอยคนละก้าวอย่างแน่นอน
"เมื่อผู้ชุมนุมเพื่อรักษาชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ที่สะพานมัฆวานฯ ยืนหยัดด้วยความดีและความจริงแล้ว จะให้ถอยออกมานั้น ก็คือการยอมก้าวเข้าสู่ความชั่ว เราจะไม่มีทางก้าวสู่ความชั่วอย่างแน่นอน" นายพิทยพันธ์ กล่าว
นายภุชงค์ กนิษฐชาติ ตัวแทนสมาคมองค์กรสาธารณประโยชน์เพื่อประชาคมที่เข้มแข็ง กล่าวเพิ่มเติมถึงการออกมาชุมนุมของพันธมิตรฯรอบ 2 ครั้งนี้มีความชอบธรรมเป็นอย่างมาก ที่ชูประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญต้านระบอบทักษิณ เพราะอยู่แล้วว่าหากแก้รัฐธรรมนูญสำเร็จ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจะหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาต่างๆทันที ขณะที่อดีตกรรมการบริหาร 111 คนของไทยรักไทยก็จะกลับสู่เวทีการเมืองได้เช่นเดิม
"3 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลนายสมัคร ไม่ได้บริหารแก้ไขปัญหาบ้านเมืองเลย มุ่งแต่จะปลดปล่อย พ.ต.ท.ทักษิณให้หลุดจากกระบวนการยุติธรรม"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมของเครือข่ายภาคประชาชนอีสานครั้งนี้ ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า 1.เครือข่ายประชาชนภาคอีสานเห็นว่า การที่ประชาชนเข้าร่วมชุมนุมกับเครือข่ายพันธมิตรฯในครั้งนี้ เป็นการใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 69 และปฏิบัติหน้าที่ในฐานะปวงชนชาวไทยตามมาตรา 70 ในการปกครองชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขและพร้อมจะดำเนินการไปด้วยความสงบ อหิงสาและปราศจากอาวุธ เป็นสิทธิและเสรีภาพอันชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 623 ที่บัญญัติไว้
2.การสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยไม่มีกฎหมายและสภาวการณ์รองรับ จึงไม่สามารถดำเนินการใดๆได้ ดังที่เคยมีตัวอย่างคำพิพากษาศาลปกครองสงขลา คดีหมายเลขแดง51/2549 ความตอน 1 ว่า " ถึงแม้เจ้าหน้าที่รัฐจะมีอำนาจกีดขวางการชุมนุมตามกฎหมาย แต่ต้องเป็นช่วงที่บ้านเมืองอยู่ในภาวะสงครามหรือมีประกาศกฎอัยการศึก แต่หากในช่วงที่มีการสลายการชุมนุมนั้น บ้านเมืองไม่ได้อยู่ในภาวะสงครามหรือไม่มีกฎอัยการศึก หรือแม้แต่ในช่วงที่มีการสลายการชุมนุมนั้น บ้านเมืองไม่ได้อยู่สภาวะดังกล่าว การสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่นั้น เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบของประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด"
3.ในภาวะที่ไม่มีกฎหมายรองรับในการสลายการชุมนุม เครือข่ายประชาชนภาคอีสานจะไม่ยินยอมให้มีการทำร้ายร่างกายแก่ผู้ชุมนุม ที่ไม่ยินยอมให้เคลื่อนย้ายหรือทำลายทรัพย์สินใดๆออกจากสถานที่การชุมนุม และพร้อมสนับสนุนให้ผู้ชุมนุมใช้สิทธิปกป้องรักษาชีวิตและทรัพย์สินตามสมควรแก่เหตุ
4.หากรัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินหรือประกาศกฎอัยการศึก เครือข่ายภาคประชาชนอีสานขอสนับสนุนพันธมิตรฯและประชาชนผู้ร่วมชุมนุมให้อยู่ในความสงบด้วยกระบวนการอหิงสา ที่ปราศจากอาวุธ อันเป็นสิทธิและเสรีภาพอันชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 และ 5.หากมีการสลายการชุมนุมที่มิชอบด้วยกฎหมาย เครือข่ายภาคประชาชนอีสาน จะยืนอยู่เคียงข้างกลุ่มพันธมิตรฯและพร้อมต่อสู้กับความไม่ถูกต้องอย่างถึงที่สุดต่อไป
สมัชชาฯ เลยย้ำร่วมไล่ทรราช
นายหินชนวน อโศกตระกูล เลขาธิการสมัชชาประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดเลย กล่าวภายหลังการประชุมว่า ได้ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืน สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และขับไล่รัฐบาลชุดนี้ต่อไปจนถึงที่สุด
นอกจากนี้ สมัชชาประชาชเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดเลย ได้เรียกให้นางนันทนา ทิมสุวรรณ, นางพัฒนา สังขทรัพย์ ส.ส.เลย และนายธนเทพ ทิมสุวรรณ ส.ส.แบบสัดส่วนพรรคพลังประชาชน กลับตัวกลับใจ ถอนตัวออกจากการเข้าชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ มิฉะนั้นจะรณรงค์ให้ชาวจังหวัดเลยเข้าชื่อถอดถอน ออกจาก ส.ส.ร่วมกับพันธมิตรฯต่อไป
อีกทั้ง ได้กำหนดแผนเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการชุมนุม โดยจัดหาทุนด้วยการทำผ้าป่าจานดาวเทียมเอเอสทีวี รวมถึงทางสมัชชาฯ มีจานดาวเทียมพร้อมที่จะออกติดตั้งไปตามหมู่บ้านต่างๆ ทั่วจังหวัดเลยแล้วกว่า 55 ชุด โดยพื้นที่จังหวัดเลยมีความต้องการติดตั้งจานดาวเทียมเพิ่มขึ้นตลอดเวลา จากในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาติดตั้งจานดาวเทียมเอเอสทีวีไปแล้ว 50 ชุด
เตือนใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต้องรอบคอบ
พล.ท. สุรพล เผื่อนอัยกา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวถึงการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เข้าควบคุม (สลาย) การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า ปัญหานี้เป็นปัญหาการเมือง สมช.ไม่ได้เกี่ยวโดยตรงในการแก้ปัญหาการเมือง นายกรัฐมนตรีมีทีมงานทั้งทีมที่ปรึกษากฎหมาย เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ คอยประเมินสถานการณ์อยู่ ซึ่งตนประเมินส่วนตัวคิดว่าสถานการณ์น่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดี
เมื่อถามว่า เพราะเหตุใดถึงมีกระแสข่าวว่า ทางสมช. เตรียมใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พล.ท. สุรพล กล่าวว่า คงไม่ใช่อย่างนั้น เป็นเพียงการหารือภายใน มีเงื่อนไข มีรายงานเพราะสมช. เป็นฝ่ายอำนวยการ ถ้าถูกถาม หรือถูกปรึกษาหารือจะได้ให้คำแนะนำในแง่ของหลักการ แต่ไม่ใช่คนที่จะไปแก้ปญหาทางการเมือง
เมื่อถามว่า ระหว่างพ.ร.ก.ฉุกเฉิน กับ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯในระดับไหนถึงจะดูมีน้ำหนักกว่ากัน พล.ท.สุรพล กล่าวว่า คนละเงื่อนไขกันซึ่งมันตอบยาก กฎหมายความมั่นคงเป็นเรื่องใหม่ที่ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก แต่การจะใช้ตนคิดว่าจะต้องมีการหารืออย่างรอบคอบ เพราะยังไม่เคยมีประสบการณ์ เป็นเรื่องใหม่มากๆ
จี้ พปช.ชัดเจนเรื่องแก้ รธน.
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ตนไม่เข้าใจว่า ถ้าเราอยากจะช่วยกันรักษาระบบรัฐสภา ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ทำไมถึงได้พยายามทะเลาะกัน แต่วันนี้ตนพยายามเสนอทางออกให้ และไม่มีความจำเป็นต้องไปตอบโต้รายวัน เพราะประชาชนเบื่อหน่ายแล้ว ทั้งนี้ เงื่อนไขความขัดแย้งคือ รัฐธรรมนูญ แต่คนที่ไม่ยอมแสดงท่าทีที่ชัดเจนที่จะปลดเงื่อนไขคือ พรรคพลังประชาชน
"อย่าอ้างว่ารักระบบรัฐสภาด้วยคำพูด ทำด้วยการกระทำ และวันนี้ทำได้เลย โดยยืนยันว่ารัฐบาลจะชะลอเรื่องรัฐธรรมนูญ และมาตั้งกรรมาธิการศึกษาร่วมกันทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายนักวิชาการ ทุกภาคส่วนในสังคม ส่วนรัฐบาลควรจะเอาเวลาไปแก้ไขเรื่องข้าว ความเดือดร้อนของประชาชน" นายอภิสิทธิ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มพันธมิตรฯ ก็ยังคลางแคลงใจและไม่ไว้ใจรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องทั้งหมดอยู่ที่รัฐบาล อีกทั้งประธานสภาฯ ซึ่งเป็นสมาชิกของพรรคพลังประชาชน ออกมาตอบรับแนวคิดนี้ ตนคิดว่าพันธมิตรฯ ก็ต้องใช้เหตุใช้ผลพิจารณาต่อไป
ปชป.ขวางรัฐบาลใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยหากรัฐบาลจะพิจารณานำ พ.ร.ก. ฉุกเฉินมาใช้สลายกลุ่มพันธมิตรฯ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ถือว่าใช้ผิดที่ เพราะกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นประชาชนไม่ใช่ศัตรูของรัฐบาล ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย แต่เป็นคนไทยด้วยกัน อยากจะชุมนุมนานแค่ไหน ก็เป็นเรื่องของพันธมิตรฯ รัฐบาลก็ทำงานไป หยุดทะเลาะกับประชาชน นั่นคือหน้าที่ของรัฐบาล
ทั้งนี้กลุ่มพันธมิตรฯ มีสิทธิ์ที่จะชุมนุมได้ภายใต้กรอบของกฎหมาย ส่วนการชุมนุมที่กีดขวางการจราจร อาจเป็นการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.จราจรนั้น ตนเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ใช่การฆ่าคนตาย รัฐบาลต้องมั่นคงในหลักการว่า ต้องให้สิทธิตามรัฐธรรมนูญกับประชาชน จะไปใช้ความรุนแรง ในการปราบปรามสลายกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้
เมื่อถามถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯ ยื่นเงื่อนไขให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว และให้พรรคพลังประชาชน ประกาศว่าจะไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ จนกว่าคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเข้ากระบวนการยุติธรรม จึงจะเลิกชุมนุม นายสุเทพ กล่าวว่า การยื่นเงื่อนไขเป็นเรื่องปกติของการชุมนุม รัฐบาลก็ต้องไปพิจารณาและความเข้าใจกับกลุ่มพันธมิตรฯ
ยันเป็นฝ่ายค้านตามกรอบกติกา
ส่วนที่ ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน ระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์ อยู่เบื้องหลังการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อหวังผลให้การเมืองวุ่นวาย เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อที่พรรคประชาธิปัตย์จะได้กลับมาเป็นรัฐบาลนั้น เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรื่องการกล่าวหากกันเป็นเรื่องปกติ ยิ่งรัฐบาลนี้ ตั้งแต่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย และ ส.ส.ลูกแถว มีความถนัดในการกล่าวหา ร.ต.อ.เฉลิม ยังกล่าวหาตนว่า บุกรุกพื้นที่ป่าสงวน และที่สาธารณะ นับประสาอะไร กับ ร.ท.กุเทพ แต่ตนไม่ใส่ใจ เรื่องการกล่าวหา พรรคหนักแน่นมั่นคงอยู่แล้ว
"พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้อยู่เบื้องหลังพันธมิตรฯ อย่างแน่นอน ผมกล้าประกาศในฐานะเลขาธิการพรรค แต่เมื่อประชาชนไปชุมนุมกับพันธมิตรฯ ส.ส.ในหลายจังหวัดของพรรค ก็ต้องตามไปดูประชาชนของตัวเอง และได้สั่งสมาชิกแล้วว่า อย่าขึ้นไปบนเวทีพันธมิตรฯ เพราะตอนแรกพันธมิตรฯ ต่อสู้เรื่องรัฐธรรมนูญ ก็สามารถขึ้นไปแสดงความคิดเห็นบนเวทีได้ แต่ตอนนี้ เมื่อมีการเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นขับไล่รัฐบาล พรรคก็ไม่ต้องไปร่วมไล่ข้างถนน แต่เราจะไปขับไ ล่ในสภาฯ ตามกรอบกติกาของเรา ซึ่งสมาชิกทุกคนก็เข้าใจ" นายสุเทพกล่าว
ต่อข้อถามว่า หากสมาชิกพรรคยังคงดื้อดึงที่จะขึ้นเวทีของกลุ่มพันธมิตรฯ ทางพรรคจะมีการคาดโทษหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ต้องไปดูในรายละเอียด และพิจารณาก่อน เพราะบางทีอาจจะขึ้นไปโชว์ตัว ไม่ได้ไฮปาร์ค
โต้ข่าวร่วมโต๊ะพันธมิตร-ราชนิกุล
นายนิพนธ์ บุญญามณี รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนางพจนารถ แก้วผลึก ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ หรือ"หมวย พัทยา" ร่วมแถลง กรณีมีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง เขียนบทความ "ปชป.+ยะใส คุยอะไรที่สามเสน?" โจมตีพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตรฯ และราชนิกุล ในการออกมาเคลื่อนไหว เพื่อล้มล้างระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข โดยอ้างหลักฐานภาพถ่ายจากโทรศัพท์มือถือ ว่ามี นายนิพนธ์ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และ นายสุริยะใส กตะศิลา เลขา ครป. และม.ร.ว.กิติวัฒนา ไชยยันต์ ปกมนตรี (หม่อมป้า) ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อแผ่นดิน นั่งร่วมโต๊ะหารือกันที่ร้านสามเสนวิลล่า เมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้นายนิพนธ์ ยืนยันว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง หากมีหลักฐานให้เอารูปถ่ายมาเปิดเผยได้ เพราะในวันที่ 2 เม.ย.51 หลังจากเกิดเหตุ นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. พรรคพลังประชาชน ทำร้ายร่างกาย นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จึงได้พานายสมเกียรติไปแจ้งความ และตรวจร่างกาย จากนั้น ในช่วง 22.00 น. ได้มารับประทานอาหารที่ ร้านสามเสนวิลลาจริง โดยมีตน นายสมเกียรติ และนางพจนารถ ร่วมรับประทานอาหารด้วย ไม่มี ม.ร.ว. กิติวัฒนา ร่วมด้วยแต่อย่างใด โดยยืนยันว่า ในโต๊ะอาหารวันนั้น มีผู้หญิงเพียงคนเดียวคือ นางพจนารถ
"เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา ขณะนี้ผ่านมา 2 เดือนกว่าแล้วนำเหตุการณ์มาปะติดปะต่อ เพื่อโจมตีพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งการกินข้าวครั้งนั้น ไม่มีนัยยะทางการเมือง หรือเป็นการวางแผนเคลื่อนไหวกับกลุ่มพันธมิตรฯ แต่อย่างใด ส่วนที่มีการอ้างว่ามีนายสุริยะใส มาร่วมรับประทานอาหารด้วยนั้น เพราะเป็นเพื่อนกับนายสมเกียรติ หลังจากทราบข่าวว่าถูกทำร้าย นายสุริยะใส จึงมาสอบถามในฐานะคนรู้จักกัน เรื่องนี้ทำให้พรรคประชาธิปัตย์เสียหาย เพราะไม่เป็นความจริง หากมีหลักฐานหรือรูปถ่าย ให้เอามาโชว์ได้เลย" นายนิพนธ์กล่าว
ด้าน นางพจนารถ กล่าวว่า คืนนั้นได้ไปร่วมรับประทานอาหารด้วยจริง แต่ไม่ได้มีนัยอะไร เป็นการหารือเพื่อการเคลื่อนไหวกับกลุ่มพันธมิตรฯ แต่เป็นการพูดคุยตามปกติของสมาชิกพรรคเดียวกัน ไม่เกี่ยวข้องกับข่าวเบื้องหลังการชุมนุม
"แปลกใจเหมือนกันว่า หน้าดิฉันไปคล้ายกับหม่อมป้าตรงไหน จะอ้างว่ามืดก็ไม่ใช่ เพราะที่ร้านก็มีคนเยอะ ไม่น่าจะจำผิด" นางพจนารถกล่าว
ส.ส.ร.50 ห้าม"หุ่นเชิด"แตะ รธน.
ชมรม ส.ส.ร.50 นำโดยนายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานชมรมฯ ได้ออกแถลงการณ์ ส.ส.ร. 50 ฉบับที่ 7 ระบุว่า ชมรมฯได้เล็งเห็นถึงปัญหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ได้ล่วงไกลไปถึงการขับไล่รัฐบาล เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาวิกฤติของชาติ ทางชมรมฯ ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่มีความประสงค์จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยุติการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นการแก้ไขเพื่อตนเองและพวกพ้อง เพราะถือเป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำ และไม่สมควรเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วงเวลานี้ เนื่องจากจะก่อให้เกิดความแตกแยกของคนในชาติมากขึ้น
ชมรมฯ ขอยืนยันว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ดีกว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 และหากจะมีการแก้ไขในอนาคต ขอให้มีการศึกษาถึงปัญหาในการใช้รัฐธรรมนูญให้มีความชัดเจนว่ามีปัญหาจริง และการศึกษาดังกล่าวต้องประกอบด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง ไม่ใช่ประกอบด้วยบุคคลที่มีเจตนาแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตัวเองเท่านั้น
ค้านใช้กำลังสลายการชุมนุม
นอกจากนี้ ชมรม ส.ส.ร.50 ขอให้รัฐบาล และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องระงับการใช้กำลังทุกรูปแบบ เพื่อสลายการชุมนุมที่ชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 และขอให้รัฐบาลควบคุมไม่ให้เกิดการปะทะกันของฝ่ายต่างๆ ที่สนับสนุนและคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยขอให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นธรรมและเป็นกลางอย่างเคร่งครัด โดยขอให้เร่งออกกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญโดยเร็ว
ทั้งนี้ ขอให้รัฐบาลทำหน้าที่แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะเรื่องปากท้อง ราคาน้ำมัน ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจ และสังคม โดยเลิกการยั่วยุหรือก่อให้เกิดความขัดแย้งทุกรูปแบบ
"หมัก"ลนลานแจงพรรคร่วมฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 16.00 น. วานนี้ นายสมัคร สุนทรเวช ได้เดินทาง ไปที่พรรคพลังประชาชน โดยไม่มีกำหนดการล่วงหน้า โดยนายสมัคร ได้หลบเข้าที่ทำการพรรคฯ เพื่อมาทำภารกิจส่วนตัว ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก่อนจะเดินทางกลับออกไป
พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการประชุมครม. เมื่อวานนี้ว่า นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่าท่านได้พูดอะไรไปบ้างเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เพื่อจะได้นำไปให้หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 5 พรรคทราบเท่านั้นเอง เพราะเหตุการณ์ดังกล่าว ทุกคนก็ทราบอยู่แล้วว่า ขณะนี้เป็นอย่างไรบ้าง
"นายกฯ บอกว่า ให้ฝากไปบอกท่านหัวหน้าพรรคทั้ง 5 พรรคด้วยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็เป็นอย่างที่ท่านได้พูดไปทางวิทยุในวันเสาร์ และวันอาทิตย์ ก็ยืนยันไปตามนั้น และขณะ นี้ก็ได้มอบหมายให้ทางผบ.ตร.แก้ไขปัญหาแล้ว ท่านพูดเรียบๆ ทุกคนฟังแล้วก็โอเค" พล.ต.ท.วิเชียรโชติ กล่าว
เมื่อถามว่านายกฯ ตัดพ้อกับการที่หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลไปนัดกินข้าวกันหรือไม่ โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า นายกฯ ไม่ได้พูดเลย ซึ่งหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล ที่เป็นรัฐมนตรี ก็ไม่ได้เล่าว่าได้ไปหารือกันอย่างไรบ้าง
เมื่อถามว่า มีการพูดถึงเรื่องพ.ร.บ. ความมั่นคง และพ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือไม่ พล.ต.ท.วิเชียรโชติ กล่าวว่า ไม่มีการพูดถึงเลย และก็จะไม่ใช้ ขอให้ลืมไปได้เลย จะใช้เพียงการเจรจา และกฎหมายอาญา และกฎหมาย จราจรทางบกเท่านั้น และแม้พันธมิตรฯ จะยืนยันว่าไม่เจรจาด้วยก็ต้องพยายาม ซึ่งมีการเจรจาทุกวันโดยมีตำรวจไปนั่งคุยทุกวัน
เมื่อถามว่า ทำไมรัฐบาลไม่ตั้งโต๊ะเจรจาเองให้เป็นกิจลักษณะเหมือนเมื่อครั้งที่เราเคยไปช่วยเขมร 3 ฝ่ายให้คุยกัน แต่นี่คนในประเทศแท้ๆทำไมไม่ทำ พล.ต.ท.วิเชียรโชติ กล่าวว่า เวลานี้พันธมิตรฯ มายึดพื้นที้สาธารณะที่ประชาชนต้องสัญจรไปมา ก็ถือว่าเป็นการทำผิดกฎหมาย ตำรวจที่รับผิดชอบต้องเป็นผู้ไปเจรจา อย่างไรก็ตาม ก็ต้องรอไปเรื่อยๆ ซึ่งตนเชื่อว่าจะต้องได้ผลสักวัน ส่วนผลจะเป็นอย่างไร ก็จะรู้กันอีกที หมายความว่าตำรวจจะต้องเจรจาให้สำเร็จ
เมื่อถามว่า ทำไมรัฐบาลไม่ประกาศให้ชัดเจนมาเลยว่าจะไม่ยุ่งกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และจะให้คดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม พล.ต.ท.วิเชียรโชติ กล่าวว่า วันหนึ่งก็บอกอย่างหนึ่ง แต่พอแก้แล้ว ก็มาบอกอีกอย่างหนึ่ง เงื่อนไขมีไม่จบ หมดเงื่อนไขวันนี้ พรุ่งนี้ก็มีเงื่อนไขอีก ซึ่งก็ต้องเจาจาไปเรื่อยๆ ก็ต่างจากสมัยก่อนที่ครั้งนี้ เป็นเวอร์ชั่นใหม่ คือจะเจรจาและอดทนให้ถึงที่สุด
"คนพันคน กำลังสร้างความเดือดร้อนให้กับคน กทม. 6 ล้านคน รถแท็กซี่กระทบไหม คนที่อยู่ภาษีเจริญ ซึ่งเคยไหว้พระบรมรูปทรงม้ากระทบไหม " พล.ต.ท.วิเชียรโชติกล่าว
เมื่อถามว่า คน กทม. 6 ล้านคนทั้งหมดเดือดร้อนหมดเลยหรือ พล.ต.ท.วิเชียรโชติ กล่าวว่า แน่นอน เมื่อถามว่าคนบางกะปิ จะไปกินก๋วยเตี๋ยวที่ลาดกระบัง เดือดร้อนด้วยหรือไม่ พล.ต.ท.วิเชียรโชติ ไม่ตอบคำถาม
ตะแบงคนตีความ"แตกหัก"ผิด
พล.ต.ท.วิเชียรโชติ กล่าวถึงการออกรายการพิเศษของนายกฯ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า นายสมัครไม่ได้พูดว่า ให้ใช้ความรุนแรง เมื่อถามย้ำว่าแต่นายสมัครกล่าวคำว่า “แตกหัก”และมีการเตรียมทหารและตำรวจไว้แล้ว พล.ต.ท.วิเชียรโชติ กล่าวชี้แจงทันทีว่า No no no นายกได้ข่าวมาว่าทางโน้นจะมาแตกหักเตรียมการยึดทำเนียบ เป็นการตีความหมายผิด นายสมัคร พูดสั้นไปนิดนึง ข้อมูลได้เตรียมไว้พูดวันอาทิตย์ที่ 1 มิ.ย. ขณะเดียวกันก็มีขั้นว่ากลุ่มพันธมิตรฯ ได้เตรียมขั้นแตกหักในวันเสาร์ นายสมัครก็เลยออกมาปรามไว้ก่อนว่าอย่าทำเลย
เมื่อถามว่า ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ออกมาเปิดเผยถึงการเตรียมการวางระเบิดที่กลุ่มพันธมิตรฯ ขณะนี้ได้มีรายงานหรือไม่ว่าเป็นใคร พล.ต.ท.วิเชียรโชติ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ยังไม่ได้รับรายงานไม่ได้พูดกันในครม. ตอนนี้สถานการณ์ปกติ ชุมนุมได้ก็ชุมนุมไป ทนได้ก็ทนไป
"หมัก"ไปเชียงใหม่ไม่ไปสงขลา
พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายสมัคร จะเดินทางไปลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 13-14 มิ.ย.นี้ ซึ่งเลื่อนไปจากกำหนดการเดิม และไม่ใช่การประชุมครม.สัญจร แต่จะไปดูแลปัญหาธุรกิจท่องเที่ยว เพราะช่วงนี้ จ.เชียงใหม่ เงียบเหงามาก จึงจะไปศึกษาข้อมูลเพื่อแก้ปัญหา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการแถลงข่าว ผู้สื่อข่าวต่างได้เข้าไปถามโฆษกและน.ส.ศุภรัตน์ นาคบุญนำ รองโฆษก อีกครั้งว่าทำไมต้องเป็นที่ จงเชียงใหม่ เพราะที่จังหวัดสงขลา การท่องเที่ยวซบเซา กว่า แต่โฆษกรัฐบาล พูดแค่เพียงว่า คนน้อยใช่หรือไม่ น่าเห็นใจนะ
เมื่อถามว่าไปเชียงใหม่เพราะเป็นฐานเสียงของพรรคใช่ไหม พล.ต.ท.วิเชียรโชติ กล่าวว่า ไม่ใช่หรอก แต่เป็นอย่างที่บอกว่าผู้ประกอบการ้องเรียนขึ้นมา ถ้าที่หาดใหญ่ร้องเรียนขึ้นมา ก็จะไป
รายงานข่าวแจ้งว่ามีคนแย้งในที่ประชุมว่าการเดินทางไปเชียงใหม่ครั้งนี้นายสมัครเป็นคนคิดและเตรียมโปรแกรมเดินทางไปเองโดยที่ไม่มีรัฐมนตรีคนไหนทราบมาก่อน และขอให้รัฐมนตรีไปแบบส่วนตัว สามารถพาลูกและภรรยา คนในครอบครัวไปได้ ไปแบบแยกย้ายกันเดินทาง ทั้งนี้มีการพูดคุยกันตั้งแต่การประชุมครั้งที่แล้วแต่นายสมัครห้ามให้สัมภาษณ์ แต่ปรากฏว่าข่าวก็ออกมาจากรัฐมนตรีคนอื่น
จับตา แต่จะทำเป็นไม่รู้ ไม่เห็น
เมื่อเวลา 13.30 น.ที่พรรคพลังประชาชน คณะทำงานศูนย์ติดตามและวิเคราะห์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ร่วมแถลง โดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน คณะทำงานศูนย์ติดตามฯ และวิเคราะห์ฯ กล่าวว่า เราเห็นด้วยที่ไม่ใช้กำลังปราบปรามการชุมนุมของพันธมิตรฯ เพราะการชุมนุมหลังจากนี้ไป พันธมิตรฯ จะกดดันตัวเอง จากการเรียกร้องไม่มีที่สิ้นสุด
"หน้าที่ของรัฐบาล คือทำงาน รัฐบาลต้องทำ ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเจ้าหน้าที่ตำรวจไปดำเนินการ หากรัฐบาลมาสนใจพันธมิตรฯ ก็จะไม่เป็นอันแก้ปัญหาปากท้อง จากนี้ไปถ้าหากพันธมิตรฯพูดพาดพิงใคร ก้าวล่วงถึงใครเสียหาย ก็ไปแจ้งความดำเนินคดี ยิ่งนานก็ยิ่งกดดันพันธมิตรฯ" นายจตุพร กล่าว
นายจตุพร กล่าวว่า แม้นายสมัคร จะลาออก เชื่อว่าพันธมิตรฯ ก็จะมีการเรียกร้องไม่สิ้นสุด เพราะต้องการสลับขั้ว ดึงพรรคร่วมไปรวมกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะจะมีเสียงเกินแค่ 7 เสียง หากมีอภิปราย รัฐมนตรีจะไม่มีสิทธิ์โหวต ก็จะทำให้เป็นรัฐบาลไม่ได้ ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์เลิกคิดเรื่องนี้ได้แล้ว
นายจตุพร กล่าวด้วยว่า การที่กลุ่มผู้ชุมนุม จะตั้งเป็นเมืองพันธมิตรฯ ไม่ขึ้นตรงกับรัฐบาล วิธีคิดอันนี้อันตรายมาก เหมือนเป็นเขตปลดปล่อย ซึ่งไทยควรมีหรือเปล่า ยิ่งนานวัน พันธมิตรฯ ต้องการคิดการใช้กำลังไปปราบ เพราะเป้าหมายต้องการให้มีการใช้ความรุนแรง ให้เกิดการปฎิวัติ แต่เมื่อแม่ทัพได้มีการ เจรจาคุยกันก็มีความเข้าใจการปฎิวัติจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
นายจตุพร กล่าวด้วยว่า อยากให้ย้อนไปดูรัฐบาลสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ถูกยึดอำนาจนั้น ไม่ใช่ชัยชนะของพันธมิตรฯ แต่เป็นการเปิดประตูให้มีการปฎิวัติ เมื่อเราปิดประตูไม่ให้มีการปฎิวัติ ยิ่งระยะยาวความกดดัน ความพ่ายแพ้อยู่พันธมิตรฯ รัฐบาลจึงยึดทฤษฎี "ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน" แล้วไปมุ่งแก้ปัญหาเรื่องปากท้องอย่างเดียว
เผยโฉมศูนย์ติดตามพันธมิตรฯ
สำหรับคณะทำงานศูนย์ติดตามและวิเคราะห์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ประกอบด้วย1. ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง 2.นายสุนัย จุลพงศธร 3.นายสามารถ แก้วมีชัย 4.นายศุภชัย โพธิ์สุ 5.นายไพจิต ศรีวรขาน 6.นายนิสิต สิธุไพร 7.นายสุทิน คลังแสง 8.นายสงวน พงษ์มณี 9.นายชวลิต วิชยสุทธิ์ 10.ร.ต.ท.เชาวรินทร์ ลัทธศักดิ์ศิริ 11.นายสุชาติ ลายน้ำเงิน 12.นายจตุพร พรหมพันธุ์ 13.นายชลน่าน ศรีแก้ว 14.นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล 15.นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ 16.นางฐิติมา ฉายแสง 17.นายดนุพร ปุณณกันต์ 18.นายศุภชัย ใจสมุทร 19.นายสมาน เลิศวงรัฐ 20.นายกมล บันไดเพชร 21.นายเรืองเดช เหลืองบริบูรณ์
แฉ"แม้ว"เห็นเงินเป็นพระเจ้า
นายเทิดภูมิ ใจดี อดีตผู้นำแรงงาน กล่าวบนเวทีพันธมิตรฯว่า มีคนพูดถึงพันธมิตรฯ พูดอะไรก็ไร้สาระ พวกเราคนมีสาระที่สุด เชื่อว่า ใครก็ตามที่ฟังพันธมิตรฯพูด นั่นล่ะสาระสูงสุดแล้ว เราจะได้รู้ปัญหาที่แท้จริงของชาติ การเมืองเปลี่ยนไปแล้ว ประชาชนทุกวันนี้ตื่นตัวขึ้นแล้ว ฟังข่าวสารข้อมูลก็เข้าใจ ยิ่งในช่วงบ้านเมืองกำลังจะเข้าสู่วิกฤต อย่างที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เคยพูดว่า ล้มทุน ล้มปืน ล้มเจ้า นั้นจริง เป็นแผนนายใหญ่หน้าเหลี่ยมที่วางอย่างเป็นขั้นตอน คือยึดทุน กุมปืน แล้วล้มเจ้า พี่น้องจะเห็นว่า เขายึดทุนยังไง ปตท.เขายึด รัฐวิสาหกิจก็เอามาแปรเข้าสู่ตลาดหุ้น
"ประเทศไทยมีปัญหาที่คน โดยเฉพาะประเทศไทยง่ายต่อคนที่คิดคดทรยศแผ่นดิน ขายอะไรรวยที่สุด คือ ค้าอำนาจ นี่ล่ะนายใหญ่หน้าเหลี่ยมที่พยายามจะเอาอำนาจอยู่ในมือตัวเอง กุมทุกอย่างเพื่อจะให้พรรคการเมืองพรรคหนึ่งขึ้นมาเป็นรัฐบาลมีอำนาจให้ได้ เขาจะได้ทำสิ่งที่ปรารถนา รัฐมนตรีตั้งมาก็มีเป้าหมายทุกคน ที่พูดว่าคนชั่วครองเมือง รมต.แต่ละคนลองไปดูประวัติความเป็นมาสิ อย่างรมว.มหาดไทย รมว.สาธารณสุข รมว.ต่างประเทศ เป็นใครมาจากไหนศึกษาให้ดี เขาถึงว่าค้าอำนาจรัฐ เอาอำนาจรัฐเขาทำได้ทุกอย่าง แปรทุกอย่างเข้าหุ้นแล้วหุ้นก็เป็นของพวกเขาทั้งนัน การเมืองภาคประชาชนพี่น้องต้องติดตาม"อดีตผู้นำแรงงานกล่าวและว่า
นอกจากนั้น เขายังคบกับต่างประเทศ โดยเฉพาะกับสิงคโปร์และฮ่องกง ทักษิณติดต่อคนในสองประเทศนี้ เพื่อจะมาทำทุนใหญ่ที่เกาะกง อยากให้พี่น้องรู้ เขามีอำนาจรัฐ ขายที่รวยสุด คือ ขายชาติ เขาพระวิหาร เขมรอยากได้สุด เพราะเขาไม่มีภูเขา พยายามมาตลอด แต่ว่ามันอยู่ในเขตไทย เขาจะเช่าเกาะกง 99 ปี เป็นแหล่งค้าขายมากมาย
“ผมเป็นรุ่นแรกที่อยู่กับไทยรักไทย(ทรท.) นายใหญ่เขาคิดว่าเงิน คือ แก้วสารพัดนึก ทุกสิ่งทุกอย่างคือ ความพยายาม มีอำนาจรัฐงัดวิชามาร บ้านเมืองวุ่นมาตลอดที่เขาเป็นนายกฯ เขาเอาอำนาจที่มีอยู่เพื่อประโยชน์ของเขา และครอบครัว ไม่ได้เพื่อประชาชน โดยเฉพาะคนอีสานหลงใหลในเงินที่เขาให้ไป เงินให้เพียงเล็กน้อย มันเป็นเงินภาษีอากรของประชาชน” นายเทิดภูมิ ระบุ และชี้ว่า
ขั้นตอนต่อไป คือ ล้มปืน ที่เกิดรัฐประหารขึ้นมา เพราะทักษิณเตรียมไว้หมด เอาเตรียม 10 เข้าไปยึดไว้หมด คนเป็น ผบ.ทบ.ก็รุ่นเดียวกับเขา ถ้ายึดปืนได้ประเทศไทยก็หมดแล้ว จะมีอะไร เสาคานอำนาจรัฐที่แข็งแกร่งที่สุด คือ กองทัพ ปืนนี่ล่ะ
"สาวกแม้ว" เตรียมตั้งเวทีต้าน
รายงานจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า สมาพันธ์ชาวเหนือเพื่อประชาธิปไตย สมาพันธ์คนรากหญ้า สภาประชาชนภาคเหนือ กลุ่มคนเดือนตุลาคมประชาธิปไตยภาคเหนือ และหมู่บ้านคนเมือง ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ในนามสภาประชาชนภาคเหนือ โดยเนื้อหาโจมตีการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่า เป็นการก่อกวนทางการเมือง
นายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล ประธานสภาประชาชนภาคเหนือ กล่าวว่า ในวันเสาร์ที่ 7 มิ.ย.51 นี้ ทั้ง 5 องค์กรจะร่วมกันจัดเวทีแสดงความคิดเห็นที่บริเวณลานเอนกประสงค์ประตูท่าแพ ในตัวเมืองเชียงใหม่ ระหว่างเวลา 15.00-24.00 น. โดยตั้งแต่วันนี้ (4 มิ.ย.) เป็นต้นไป จะเริ่มทำการรณรงค์ประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้คนเข้าร่วมเวทีด้วยวิธีการต่างๆ เช่น จัดขบวนรถแห่ เป็นต้น โดยหลังจากการจัดเวทีในครั้งนี้แล้ว หากทางกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังคงปักหลักชุมนุมอยู่ ทางกลุ่มก็มีแนวความคิดที่จะจัดเวทียืดเยื้อเช่นกัน
อนึ่ง สำหรับสมาพันธ์ชาวเหนือเพื่อประชาธิปไตย สมาพันธ์คนรากหญ้า สภาประชาชนภาคเหนือ กลุ่มคนเดือนตุลาคมประชาธิปไตยภาคเหนือ และหมู่บ้านคนเมือง ที่จะร่วมกันจัดเวทีต่อต้านการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น รายงานข่าวตั้งข้อสังเกตว่า กิจกรรมที่ผ่านมาของกลุ่มองค์กรดังกล่าวนี้ล้วนเป็นการเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งสิ้น
เมื่อเวลา 13.30 น. วานนี้ (3มิ.ย.) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) นายวีระ สมความคิด ประธานคณะกรรมการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น ได้เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อให้ไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา เนื่องจากมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โดยมีนายวิทยา อาคมพิทักษ์ เจ้าพนักงาน ป.ป.ช. 9 เป็นผู้รับเรื่องร้องเรียน
ภายหลังจากการรับเรื่องร้องเรียน นายวิทยา กล่าวว่า จะนำเรื่องนี้ เสนอให้ประธาน ป.ป.ช. ภายในอาทิตย์นี้ เพื่อให้พิจารณาต่อไป
ด้านนายวีระ กล่าวว่า การมายื่นเรื่องนี้ เนื่องจากมีคนร้องเรียนมายังตน และให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง และเอกสาร หลักฐาน ที่มีความชัดเจนว่า นายสมัคร และพวกพรรคพลังประชาชน มีความผิดตาม มาตรา 157 จริง ตนจึงมายื่นหนังสือให้ ป.ป.ช.ไต่สวนข้อเท็จจริง โดยตามขั้นตอนแล้วเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องถอดถอนนายกฯ และพวกได้ เนื่องจากว่าถ้าหาก คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวนแล้ว เห็นว่ามีความผิดจริง ก็สามารถส่งเรื่องไปยังศาลอาญา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ถ้าศาลพิจารณาว่าผิด ก็สามารถให้ออกจากตำแหน่งได้
นายวีระ กล่าวว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายชูศักดิ์ ศิรินิล นายชัย ชิดชอบ และพวก เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย มีหน้าที่ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภาจะต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม และมีหน้าที่ตาม มาตรา 122 ที่บัญญัติว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความชื่อสัตย์ สุจริต เพื่อประโยชน์ของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดแย้งแห่งประโยชน์ โดยได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย และมีการกระทำขัดแย้งกับบทบัญญัติดังกล่าว เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น และปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
"ซึ่งจะเห็นได้ว่านายสมัคร ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชาชน สมาชิกพรรคเพื่อแผ่นดิน สมาชิกพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา สมาชิกพรรคมัชฌิมาธิปไตย สมาชิกพรรคประชาราช และสมาชิกวุฒิสภา ได้สมคบคิดกับพวกอีกหลายคน ได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเจ้าพนักงาน ได้สมคมกันดำเนินการจัดให้ และร่วมลงชื่อเสนอร่างแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยเจตนาที่แท้จริงแล้ว นายสมัคร กับพวก ต้องการเพียงแก้รัฐธรรมนูญเพียง 2 มาตรา คือ มาตรา 237 และมาตรา 309 และเพิ่มเติมบทเฉพาะกาลใหม่โดยเร็วที่สุด เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กระบวนการยุติธรรม ประชาชน และคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ดังนั้นทั้งหมดยังเข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เพื่อประโยชน์แก่พวกตน และพรรคการเมืองที่สังกัด ซึ่งจะต้องตรวจสอบโดยกระบวนการยุติธรรม เพราะเหตุที่กรรมการบริหารพรรคการเมืองกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง อันอาจมีผลให้กรรมการพรรคการเมืองทุกคน จะต้องถูก กกต. ดำเนินการฟ้องร้อง ดำเนินคดี จนถึงขั้นต้องถูกตัดสิทธิทางการเมือง และถูกยุบพรรคพลังประชาชน"นายวีระ กล่าว
นายวีระ กล่าวอีกว่า ตนเชื่อมั่นในการทำงานของ ป.ป.ช. เพราะถือว่ากระบวนการต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญจะต้องทำตามหน้าที่ จะนำไปสู่การยุติความขัดแย้งได้ เพราะจะเห็นได้ว่า ขณะนี้มีความขัดแย้งกันอยู่ และเพื่อเป็นการไม่ให้เกิดวิกฤติความวุ่นวาย แตกแยกในสังคม ซึ่งอาจจะเกิดการจลาจลขึ้นในบ้านเมือง จึงอยากให้สังคมไทยมีบรรทัดฐานโดยคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ยื่นไต่สวน"เหลิม"คิวต่อไป
นายวีระ กล่าวว่า ภายในอาทิตย์นี้ ตนจะเดินทางมายื่นหนังสือให้ไต่สวน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ในฐานะอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ทำหน้าที่โดยมิชอบ โดยในปี 2535 ได้กระทำการต่อสัญญาให้ สถานีโทรทัศน์ ยูบีซี และสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3 ซึ่งจะหมดอายุความ 20 ปี ในเดือน ก.ค.นี้ นอกจากนี้ยังจะให้ไต่สวนกรณีที่ พล.ต.ต. อำนวย นิ่มมะโน ผบ.ก. น1 และผู้บัญชาการที่เกี่ยวข้องทุกคน ในฐานะเป็นผู้ควบคุมการดูแลความปลอดภัยของการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยปล่อยให้กลุ่มต่อต้านพันธมิตรฯ มาทำร้ายร่างกายผู้มาร่วมชุมนุม
"หมัก" พล่านแก้ปัญหาปากพาเจ๊ง
ด้านนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี หลังจากประกาศทางสถานีโทรทัศน์ NBT เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา ถึงการเตรียมใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมของ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และประชาชน ที่บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ถนนราชดำเนินนอก แต่ปรากฏว่าได้รับการต่อต้านอย่างหนักจากสังคม และประชาชนทุกหมู่เหล่า ไม่เว้นกระทั่งผบ.เหล่าทัพ และบรรดาพรรคร่วมรัฐบาล จึงทำให้นายสมัคร ต้องออกมาชี้แจงกลับลำในวันรุ่งขึ้นว่า ไม่ได้พูดว่าจะใช้กำลังสลายการชุมนุม แต่จะหาทางเจรจาให้กลุ่มพันธมิตรฯ ย้ายสถานที่การชุมนุมออกไปจากถนนราชดำเนิน เนื่องจากผิดกฎหมายจราจร
ต่อมาในวันจันทร์ที่ 2 มิ.ย. นายสมัคร ก็เรียกพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. และคุณพรทิพย์ จาละ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เข้าหารือที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งมารายงานข่าวว่า ได้มีการหยิบยกเรื่องการนำ พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อใช้ในการสลายการชุมนุม มาหารือกัน แต่ก็มีเสียงคัดค้าน เนื่องจากเห็นว่าสถานการณ์ยังไม่รุนแรงถึงขั้นต้องนำพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาใช้ ทำให้นายสมัคร มีอาการหงุดหงิด ที่ยังไม่สามารถหาทางแก้ "ปัญหาการเมือง" ที่ตนเองก่อขึ้นได้
โยน ผบ.ตร."หนังหน้าไฟ"
วันเดียวกัน (3 มิ.ย.) ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายสมัคร ก็ได้นำปัญหาการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และประชาชน มาหารืออีกครั้ง และในที่สุดก็ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. รับหน้าที่ไปเจรจากับแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อให้ยุติการชุมนุม หรือย้ายการชุมนุมจากถนนราชดำเนินไปอยู่ในที่ที่เหมาะสม
ด้าน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. เปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่า นายกรัฐมนตรี ได้กำชับว่าไม่ให้ใช้วิธีรุนแรงในการแก้ปัญหา และให้ดูแลความสงบเรียบร้อยในการชุมนุม ป้องกันการปะทะกันระหว่าง 2 ฝ่าย โดยตำรวจพยายามจะใช้การเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นหลัก โดยให้ ผบช.น. หรือรอง ผบช.น. เจรจา กับแกนนำ เพื่อให้ย้ายสถานที่การชุมนุม เนื่องจากผิดกฎหมายจราจร แม้ว่าการชุมนุมจะเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่ต้องคำนึงสิทธิ์ของผู้อื่นด้วย
ส่วนสถานการณ์การชุมนุม ขณะนี้ทางตำรวจก็ไม่ได้หนักใจ หรือวิตกกังวล เพราะยังไม่มีความรุนแรง สถานการณ์น่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดี
ปิดถนนถาวร หวั่นไม่ปลอดภัย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเช้าวานนี้ กลุ่มพันธมิตรฯได้เปิดช่องจราจร เพื่อให้รถผ่านได้ ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน ต่อมา พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พร้อมด้วยนายพิภพ ธงไชย แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ได้แถลงยืนยันความจำเป็นที่ต้องปิดถนนบริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์อย่างถาวร ตั้งแต่หลังเที่ยง (3มิ.ย.) เป็นต้นไป หลังจากได้ทดลองเปิดการจราจรบนถนนเลียบคลองผดุงกรุงเกษม เมื่อช่วงเช้าแล้ว แต่เกรงว่ากลุ่มผู้ชุมนุมจะไม่ได้รับความปลอดภัย เพราะอาจมีกลุ่มคนเข้ามาก่อกวนได้
พร้อมกันนี้ กลุ่มพันธมิตรฯ ขอให้รัฐบาลอย่านำประเด็นเรื่องการกีดขวางเส้นทางจราจร รวมถึงการบริจาคสิ่งของช่วยเหลือพม่า หรือความเดือดร้อนของนักเรียนมาใช้เป็นข้ออ้าง เพื่อโยนความผิดให้กลุ่มผู้ชุมนุม เพราะรัฐบาลเป็นต้นเหตุที่ทำให้ต้องมีการชุมนุมเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม พันธมิตรฯไม่ได้ต้องการปักหลักชุมนุมที่บริเวณนี้เป็นการถาวร แต่พร้อมจะเคลื่อนย้ายได้ตลอดเวลา ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และความจำเป็นด้วย
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวว่าเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้ทดลองเปิดเป็น 2 ช่วง ซึ่งในช่วงเย็นได้เกิดปัญหาขึ้น โดยมีผู้ไม่ประะสงค์ดีสอดแทรกเข้ามา ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวไว้ได้กว่า 20 คน พร้อมกับอาวุธ ดังนั้น ทางกลุ่มพันธมิตรฯ เกรงอาจจะเกิดอันตรายต่อแกนนำและผู้ร่วมชุมนุมได้ เพราะเรื่องความปลอดภัยนั้น เราจะต้องมั่นใจ ดังนั้น นายพิภพ ธงไชย แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ไปพบกับผู้อำนวยการโรงเรียน โดยมีการประสานเพื่อขอยืดหยุ่นให้เปิดการจราจรในช่วงเย็นจนถึง 5 โมงเย็น แล้วจากนั้นจะปิดการจราจร เพื่อเป็นการกันไว้ดีกว่าแก้
อย่างไรก็ตาม ตนจะประสานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอให้เปิดถนนบริเวณเลียบคลองผดุงกรุงเกษม ซึ่งจะสามารถช่วยเหลือปัญหาการจราจรติดขัดได้มาก และทางโรงเรียนก็เห็นด้วย เพราะเจ้าหน้าที่เพียงแค่ขยับรถและเต็นท์ของเจ้าหน้าที่เท่านั้น
พันธมิตรฯ หรือรัฐบาลทำ ศก.แย่
ส่วนกรณีที่มีการเสนอให้กลุ่มพันธมิตรฯ เจรจากับรัฐบาล เพื่อหาทางออกในการสลายการชุมนุมนายสุริยะใส กล่าวว่า จุดยืนของเรา คือ ไม่ไว้ใจรัฐบาลชุดนี้ เพราะรัฐบาลของ พปช.ไม่สามารถนำพาชาติพ้นวิกฤติได้ ร่วมทั้งไม่แน่ใจว่า หากไม่มีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯแล้ว เศรษฐกิจจะดีขึ้นจริงหรือไม่ สำหรับเรื่องแนวคิดรัฐบาลแห่งชาตินั้น ตนมองว่า เป็นเรื่องยาก และเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็คงจะไม่เห็นด้วย รัฐบาลภายใต้การนำของ พปช.ถือว่าหมดความชอบธรรมไปแล้ว
นายสุริยะใส กล่าวถึงการเจรจากับผบ.ตร.นั้น ถ้าหากเป็นการเจรจาเพื่อย้ายที่ชุมนุม เราจะไม่เจรจา จะปักหลักชุมนุมกันอย่างสันติที่นี่ เหมือนเป็นโรงเรียนการเมือง เป็นมหาวิทยาลัยราชดำเนิน ที่เปิดสอนวิชาการเมืองให้ประชาชน
ส่วนกรณีที นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้หารือกับทางสภา เพื่อตั้งกรรมาธิการร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น นายสุริยะใส กล่าวว่า ส่วนตัวแม้จะชื่นชม นายอภิสิทธิ์ แต่ก็รู้สึกอดห่วงไม่ได้ว่าจะเป็นแผน ลับ ลวง พราง ต่อพรรคพลังประชาชน ที่จะเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญต่อหรือไม่
สำหรับกรณีที่ นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไปยื่นต่ออัยการสูงสุด เพื่อให้ดำเนินการกับกลุ่มพันธมิตรฯตามมาตรา 68 นั้น นายสุริยะใส กล่าวว่า นายชูศักดิ์ ถือเป็นมือกฎหมายของรัฐบาล จะต้องระวังในการแสดงความไม่รู้ออกมา กลุ่มพันธมิตรฯเป็นฝ่ายพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ล้มล้างรัฐธรรมนูญ การแก้รัฐธรรมนูญของพปช.ต่างหากที่จะล้มล้างรัฐธรรมนูญ พร้อมยืนยันการชุมนุมของประชาชนเป็นสิทธิที่ทำได้ตามรัฐธรรมนูญ
นายสุริยะใส กล่าวด้วยว่า แนวทางการต่อสู้จากนี้ จะเพิ่มยุทธศษสตร์ดาวกระจาย ด้วยการใช้อาสาสมัคร ประมาณ 300-500 คน กระจายกันไปตามหน่วยงานต่างๆ เพื่อติดตามทวงถามความคืบหน้า คดีความต่างๆ และร้องเรียนถึงพฤติกรรมการทุจริต ฉ้อฉล ของคนในระบอบทักษิณ
ทนายหลักฐานเด็ดฟ้อง "นายกฯ-คณะ"
นายสุวัตร์ อภัยภักดิ์ ทนายความประจำตัวนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ได้ขึ้นเวทีชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยกล่าวถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ประกาศสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ แต่ทำไม่สำเร็จว่า ไหนๆก็ไม่สามารถที่จะอยู่เป็นนายกฯ เนื่องจากกกต.ก็ระบุชัดเจนว่าเป็นนอมินี จึงควรที่จะส่งตัวแทนมาเจรจากับฝ่ายกฎหมาย หรือมาตกลงกับแกนนำพันธมิตรฯ ตามข้อเรียกร้อง ซึ่งถ้ายอมรับไม่ได้ ถึงอย่างไรนายสมัคร ก็ต้องออกจากตำแหน่ง
“ท่าน(นายกรัฐมนตรี) จะต้องสำนึกไว้ว่า ลาภยศสรรเสริญนั้นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เพราะคดีที่นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ฟ้อง ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก และอีกไม่นานนี้ศาลอุทธรณ์ ก็จะพิพากษา และถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีนี้ต้องห้ามฎีกา และถ้านายสมัครติดคุก ก็ต้องออกจากตำแหน่งนายกฯ อยู่ดี นอกจากนี้ยังมีคดีทุจริตรถขยะ ซึ่งขณะนี้ คตส.ได้ชี้มูลมาแล้ว และเมื่อคดีดังกล่าวไปถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งไม่มีทางวิ่งเต้นได้เลย ดังนั้น เขาจึงต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะเขารู้ว่าถ้าไปศาลแล้วต้องติดคุก และถ้าประเด็นดังกล่าวไปไม่รอด นายสมัคร ก็จะต้องติดคุก และต้องออกอยู่ดี”นายสุวัตร์ กล่าว
นายสุวัตร์ กล่าวอีกว่า คดีที่ 3 คือ คดีที่นายสมัคร ฟ้องร้องนายสนธิ ซึ่งคดีดังกล่าวนายสนธิ กำลังจะฟ้องกลับในข้อหาฟ้องเท็จ ซึ่งนายสมัคร ก็จะต้องติดคุก ซึ่งตนได้ร่างหนังสือร้องเรียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว และจะให้นายวีระ สมความคิด ไปยื่นต่อ ป.ป.ช. โดยคดีนี้นายสมัคร ติดคุกแน่นอน ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีไปร่วมกันพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 237 และ 309 ซึ่งการกระทำของนายสมัคร นั้น เป็นการทำเพื่อประโยชน์ให้ตัวเอง และพวกพ้อง ซึ่งมีความผิดตามมาตรา 102 ตามรัฐธรรมนูญ
“คดีนี้มีหลักฐานคำรับสารภาพเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากนายสมัคร ได้ไปออกรายการสมัครพูดกับประชาชน โดยระบุว่า ที่จำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญเพราะ 2-3 พรรคจะต้องถูกยุบ แต่ถ้าไม่อยากติดคุก ก็ขอให้มาตกลงกัน เพราะอย่างไรก็ไปไม่รอด และสิ่งที่ท่านคิดว่าท่านฉลาด แต่ท่านไม่เฉลียวเลยว่า ส.ส.พรรคพลังประชาชน เขาคิดว่าท่านเป็นข้าวนอกนาเกือบทุกคน ขนาดท่านยังไม่ออก เขายังเอานายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มาตั้งแท่นรอ แล้วท่านจะอยู่ทำไม หรือจะอยู่ให้เสียชื่อเสียงเกียรติยศ”นายสุวัตร์ ระบุ
พันธมิตรฯ ลั่นสู้จนกว่าจะได้ชัยชนะ
สำหรับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ เป็นวันที่ 10 นั้น บรรยากาศยังคงเป็นไปด้วยความคึกคัก โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯประกาศยืนหยัดต่อสู้จนกว่าจะได้รับชัยชนะ เพราะเป็นสงครามครั้งสุดท้าย หากแพ้ก็ต้องยกแผ่นดินให้ระบอบทักษิณไปเลย
นายสนธิ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ ตำรวจได้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มอำนาจเก่าของระบอบทักษิณ อีกครั้ง เนื่องจากมีการโยกย้าย คนของตนเองเข้ามาเป็นใหญ่ มากุมอำนาจในตำแหน่งสำคัญ อีกแล้ว
นายสนธิ ยังแสดงความไม่เห็นด้วยกับ"กลุ่มสีขาว" ที่ออกมาเคลื่อนไหวให้มีการสมานฉันท์ ด้วยการถอยคนละก้าว เพราะไม่สามารถสมานฉันท์กับโจรได้ ขณะเดียวกัน พวกนักวิชาการกลุ่มนี้ก็แกล้งทำเป็นไม่เห็นพฤติกรรมฉ้อฉล โกงชาติ ของคนในระบอบทักษิณ
เครือข่ายฯ อีสานโดดร่วมพันธมิตรฯ
ขณะเดียวกันเครือข่ายพันธมิตรฯ ในส่วนภูมิภาคก็เริ่มมีการชุมนุม อยู่ในพื้นที่ และบางส่วนก็เดินทางเข้ามาชุมนุมที่กรุงเทพฯ โดยที่ศาลาประชาคม จ.ขอนแก่น เครือข่ายภาคประชาชนอีสานได้มีการนัดประชุมแกนนำเครือข่าย ซึ่งมาจากจังหวัดต่างๆ ในภาคอีสานประมาณ 100 คนโดยการนัดประชุมครั้งนี้ มีการเสวนาในประเด็นการเมืองภาคประชาชนกับวิกฤติข้าวยากหมากแพง
นายพิทยพันธ์ แวะสีภา เลขานุการสมัชชาองค์กรชุมชนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เครือข่ายประชาชนภาคอีสาน และองค์กรต่างๆ ได้ร่วมกันศึกษาข้อมูลและสถานการณ์ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ พร้อมกับการแสดงออกของรัฐบาล ซึ่งเห็นได้ว่า การออกมาเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯนั้น เป็นประโยชน์ต่อประชา-ชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง
อีกทั้งสิ่งที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี แสดง-ออกด้วยคำพูดที่ไม่เหมาะสม ว่าจะมีการสลายการชุมนุมขั้นแตกหัก แม้จะมากลับคำพูดภายหลังก็ตาม ถือเป็นการข่มขู่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ที่ออกมาสู้เพื่อชาติบ้านเมือง และปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นสิ่งที่คนอีสานและคนทั่วโลกยอมรับไม่ได้
"ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลมีความชัดเจนในการบริหารงานเพื่อตั้งใจล้างมลทินของนักการเมือง 111 คนของพรรคไทยรักไทย และฟอกความผิดให้พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อนำพ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาสู่การบริหารประเทศต่อไปให้ได้ เป็นผลงานชิ้นเดียวที่รัฐบาลชุดนี้ยึดถือปฏิบัติ ด้วยการวนเวียนอยู่กับเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญเท่านั้น ท่ามกลางความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน กับปัญหาน้ำมันแพง สินค้าขึ้นราคาทุกรายการ เป็นสถานการณ์ข้าวยากหมากแพงที่เดือดร้อนไปทั่ว "
ส่วนการที่มีกลุ่มคนออกมาเรียกร้องความสงบในบ้านเมืองด้วยการใช้สัญลักษณ์ริบบิ้นสีขาว หรือเปิดไฟใส่หมวกนั้น นายพิทยพันธ์ บอกว่า เครือข่ายประชาชนอีสานไม่สะทกสะท้านกับการออกโรงของผู้ที่เรียกร้องให้ใช้ริบบิ้นสีขาวหรือเปิดไฟ ใส่หมวก เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรงในสังคมนั้น ตนและพี่น้องประชาชนที่รักชาติบ้านเมือง เห็นว่านี่เป็นเพียงนวัตกรรมทางภาษา ที่นำออกมาใช้กันเพียงเพื่อหวังลดแรงเสียดทาน ลดความรุนแรง ส่วนผู้ที่บอกว่าควรถอยคนละก้าวนั้นต้องทบทวนใหม่ เพราะจะไม่มีการถอยคนละก้าวอย่างแน่นอน
"เมื่อผู้ชุมนุมเพื่อรักษาชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ที่สะพานมัฆวานฯ ยืนหยัดด้วยความดีและความจริงแล้ว จะให้ถอยออกมานั้น ก็คือการยอมก้าวเข้าสู่ความชั่ว เราจะไม่มีทางก้าวสู่ความชั่วอย่างแน่นอน" นายพิทยพันธ์ กล่าว
นายภุชงค์ กนิษฐชาติ ตัวแทนสมาคมองค์กรสาธารณประโยชน์เพื่อประชาคมที่เข้มแข็ง กล่าวเพิ่มเติมถึงการออกมาชุมนุมของพันธมิตรฯรอบ 2 ครั้งนี้มีความชอบธรรมเป็นอย่างมาก ที่ชูประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญต้านระบอบทักษิณ เพราะอยู่แล้วว่าหากแก้รัฐธรรมนูญสำเร็จ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจะหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาต่างๆทันที ขณะที่อดีตกรรมการบริหาร 111 คนของไทยรักไทยก็จะกลับสู่เวทีการเมืองได้เช่นเดิม
"3 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลนายสมัคร ไม่ได้บริหารแก้ไขปัญหาบ้านเมืองเลย มุ่งแต่จะปลดปล่อย พ.ต.ท.ทักษิณให้หลุดจากกระบวนการยุติธรรม"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมของเครือข่ายภาคประชาชนอีสานครั้งนี้ ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า 1.เครือข่ายประชาชนภาคอีสานเห็นว่า การที่ประชาชนเข้าร่วมชุมนุมกับเครือข่ายพันธมิตรฯในครั้งนี้ เป็นการใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 69 และปฏิบัติหน้าที่ในฐานะปวงชนชาวไทยตามมาตรา 70 ในการปกครองชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขและพร้อมจะดำเนินการไปด้วยความสงบ อหิงสาและปราศจากอาวุธ เป็นสิทธิและเสรีภาพอันชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 623 ที่บัญญัติไว้
2.การสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยไม่มีกฎหมายและสภาวการณ์รองรับ จึงไม่สามารถดำเนินการใดๆได้ ดังที่เคยมีตัวอย่างคำพิพากษาศาลปกครองสงขลา คดีหมายเลขแดง51/2549 ความตอน 1 ว่า " ถึงแม้เจ้าหน้าที่รัฐจะมีอำนาจกีดขวางการชุมนุมตามกฎหมาย แต่ต้องเป็นช่วงที่บ้านเมืองอยู่ในภาวะสงครามหรือมีประกาศกฎอัยการศึก แต่หากในช่วงที่มีการสลายการชุมนุมนั้น บ้านเมืองไม่ได้อยู่ในภาวะสงครามหรือไม่มีกฎอัยการศึก หรือแม้แต่ในช่วงที่มีการสลายการชุมนุมนั้น บ้านเมืองไม่ได้อยู่สภาวะดังกล่าว การสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่นั้น เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบของประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด"
3.ในภาวะที่ไม่มีกฎหมายรองรับในการสลายการชุมนุม เครือข่ายประชาชนภาคอีสานจะไม่ยินยอมให้มีการทำร้ายร่างกายแก่ผู้ชุมนุม ที่ไม่ยินยอมให้เคลื่อนย้ายหรือทำลายทรัพย์สินใดๆออกจากสถานที่การชุมนุม และพร้อมสนับสนุนให้ผู้ชุมนุมใช้สิทธิปกป้องรักษาชีวิตและทรัพย์สินตามสมควรแก่เหตุ
4.หากรัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินหรือประกาศกฎอัยการศึก เครือข่ายภาคประชาชนอีสานขอสนับสนุนพันธมิตรฯและประชาชนผู้ร่วมชุมนุมให้อยู่ในความสงบด้วยกระบวนการอหิงสา ที่ปราศจากอาวุธ อันเป็นสิทธิและเสรีภาพอันชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 และ 5.หากมีการสลายการชุมนุมที่มิชอบด้วยกฎหมาย เครือข่ายภาคประชาชนอีสาน จะยืนอยู่เคียงข้างกลุ่มพันธมิตรฯและพร้อมต่อสู้กับความไม่ถูกต้องอย่างถึงที่สุดต่อไป
สมัชชาฯ เลยย้ำร่วมไล่ทรราช
นายหินชนวน อโศกตระกูล เลขาธิการสมัชชาประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดเลย กล่าวภายหลังการประชุมว่า ได้ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืน สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และขับไล่รัฐบาลชุดนี้ต่อไปจนถึงที่สุด
นอกจากนี้ สมัชชาประชาชเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดเลย ได้เรียกให้นางนันทนา ทิมสุวรรณ, นางพัฒนา สังขทรัพย์ ส.ส.เลย และนายธนเทพ ทิมสุวรรณ ส.ส.แบบสัดส่วนพรรคพลังประชาชน กลับตัวกลับใจ ถอนตัวออกจากการเข้าชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ มิฉะนั้นจะรณรงค์ให้ชาวจังหวัดเลยเข้าชื่อถอดถอน ออกจาก ส.ส.ร่วมกับพันธมิตรฯต่อไป
อีกทั้ง ได้กำหนดแผนเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการชุมนุม โดยจัดหาทุนด้วยการทำผ้าป่าจานดาวเทียมเอเอสทีวี รวมถึงทางสมัชชาฯ มีจานดาวเทียมพร้อมที่จะออกติดตั้งไปตามหมู่บ้านต่างๆ ทั่วจังหวัดเลยแล้วกว่า 55 ชุด โดยพื้นที่จังหวัดเลยมีความต้องการติดตั้งจานดาวเทียมเพิ่มขึ้นตลอดเวลา จากในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาติดตั้งจานดาวเทียมเอเอสทีวีไปแล้ว 50 ชุด
เตือนใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต้องรอบคอบ
พล.ท. สุรพล เผื่อนอัยกา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวถึงการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เข้าควบคุม (สลาย) การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า ปัญหานี้เป็นปัญหาการเมือง สมช.ไม่ได้เกี่ยวโดยตรงในการแก้ปัญหาการเมือง นายกรัฐมนตรีมีทีมงานทั้งทีมที่ปรึกษากฎหมาย เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ คอยประเมินสถานการณ์อยู่ ซึ่งตนประเมินส่วนตัวคิดว่าสถานการณ์น่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดี
เมื่อถามว่า เพราะเหตุใดถึงมีกระแสข่าวว่า ทางสมช. เตรียมใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พล.ท. สุรพล กล่าวว่า คงไม่ใช่อย่างนั้น เป็นเพียงการหารือภายใน มีเงื่อนไข มีรายงานเพราะสมช. เป็นฝ่ายอำนวยการ ถ้าถูกถาม หรือถูกปรึกษาหารือจะได้ให้คำแนะนำในแง่ของหลักการ แต่ไม่ใช่คนที่จะไปแก้ปญหาทางการเมือง
เมื่อถามว่า ระหว่างพ.ร.ก.ฉุกเฉิน กับ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯในระดับไหนถึงจะดูมีน้ำหนักกว่ากัน พล.ท.สุรพล กล่าวว่า คนละเงื่อนไขกันซึ่งมันตอบยาก กฎหมายความมั่นคงเป็นเรื่องใหม่ที่ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก แต่การจะใช้ตนคิดว่าจะต้องมีการหารืออย่างรอบคอบ เพราะยังไม่เคยมีประสบการณ์ เป็นเรื่องใหม่มากๆ
จี้ พปช.ชัดเจนเรื่องแก้ รธน.
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ตนไม่เข้าใจว่า ถ้าเราอยากจะช่วยกันรักษาระบบรัฐสภา ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ทำไมถึงได้พยายามทะเลาะกัน แต่วันนี้ตนพยายามเสนอทางออกให้ และไม่มีความจำเป็นต้องไปตอบโต้รายวัน เพราะประชาชนเบื่อหน่ายแล้ว ทั้งนี้ เงื่อนไขความขัดแย้งคือ รัฐธรรมนูญ แต่คนที่ไม่ยอมแสดงท่าทีที่ชัดเจนที่จะปลดเงื่อนไขคือ พรรคพลังประชาชน
"อย่าอ้างว่ารักระบบรัฐสภาด้วยคำพูด ทำด้วยการกระทำ และวันนี้ทำได้เลย โดยยืนยันว่ารัฐบาลจะชะลอเรื่องรัฐธรรมนูญ และมาตั้งกรรมาธิการศึกษาร่วมกันทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายนักวิชาการ ทุกภาคส่วนในสังคม ส่วนรัฐบาลควรจะเอาเวลาไปแก้ไขเรื่องข้าว ความเดือดร้อนของประชาชน" นายอภิสิทธิ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มพันธมิตรฯ ก็ยังคลางแคลงใจและไม่ไว้ใจรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องทั้งหมดอยู่ที่รัฐบาล อีกทั้งประธานสภาฯ ซึ่งเป็นสมาชิกของพรรคพลังประชาชน ออกมาตอบรับแนวคิดนี้ ตนคิดว่าพันธมิตรฯ ก็ต้องใช้เหตุใช้ผลพิจารณาต่อไป
ปชป.ขวางรัฐบาลใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยหากรัฐบาลจะพิจารณานำ พ.ร.ก. ฉุกเฉินมาใช้สลายกลุ่มพันธมิตรฯ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ถือว่าใช้ผิดที่ เพราะกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นประชาชนไม่ใช่ศัตรูของรัฐบาล ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย แต่เป็นคนไทยด้วยกัน อยากจะชุมนุมนานแค่ไหน ก็เป็นเรื่องของพันธมิตรฯ รัฐบาลก็ทำงานไป หยุดทะเลาะกับประชาชน นั่นคือหน้าที่ของรัฐบาล
ทั้งนี้กลุ่มพันธมิตรฯ มีสิทธิ์ที่จะชุมนุมได้ภายใต้กรอบของกฎหมาย ส่วนการชุมนุมที่กีดขวางการจราจร อาจเป็นการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.จราจรนั้น ตนเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ใช่การฆ่าคนตาย รัฐบาลต้องมั่นคงในหลักการว่า ต้องให้สิทธิตามรัฐธรรมนูญกับประชาชน จะไปใช้ความรุนแรง ในการปราบปรามสลายกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้
เมื่อถามถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯ ยื่นเงื่อนไขให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว และให้พรรคพลังประชาชน ประกาศว่าจะไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ จนกว่าคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเข้ากระบวนการยุติธรรม จึงจะเลิกชุมนุม นายสุเทพ กล่าวว่า การยื่นเงื่อนไขเป็นเรื่องปกติของการชุมนุม รัฐบาลก็ต้องไปพิจารณาและความเข้าใจกับกลุ่มพันธมิตรฯ
ยันเป็นฝ่ายค้านตามกรอบกติกา
ส่วนที่ ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน ระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์ อยู่เบื้องหลังการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อหวังผลให้การเมืองวุ่นวาย เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อที่พรรคประชาธิปัตย์จะได้กลับมาเป็นรัฐบาลนั้น เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรื่องการกล่าวหากกันเป็นเรื่องปกติ ยิ่งรัฐบาลนี้ ตั้งแต่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย และ ส.ส.ลูกแถว มีความถนัดในการกล่าวหา ร.ต.อ.เฉลิม ยังกล่าวหาตนว่า บุกรุกพื้นที่ป่าสงวน และที่สาธารณะ นับประสาอะไร กับ ร.ท.กุเทพ แต่ตนไม่ใส่ใจ เรื่องการกล่าวหา พรรคหนักแน่นมั่นคงอยู่แล้ว
"พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้อยู่เบื้องหลังพันธมิตรฯ อย่างแน่นอน ผมกล้าประกาศในฐานะเลขาธิการพรรค แต่เมื่อประชาชนไปชุมนุมกับพันธมิตรฯ ส.ส.ในหลายจังหวัดของพรรค ก็ต้องตามไปดูประชาชนของตัวเอง และได้สั่งสมาชิกแล้วว่า อย่าขึ้นไปบนเวทีพันธมิตรฯ เพราะตอนแรกพันธมิตรฯ ต่อสู้เรื่องรัฐธรรมนูญ ก็สามารถขึ้นไปแสดงความคิดเห็นบนเวทีได้ แต่ตอนนี้ เมื่อมีการเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นขับไล่รัฐบาล พรรคก็ไม่ต้องไปร่วมไล่ข้างถนน แต่เราจะไปขับไ ล่ในสภาฯ ตามกรอบกติกาของเรา ซึ่งสมาชิกทุกคนก็เข้าใจ" นายสุเทพกล่าว
ต่อข้อถามว่า หากสมาชิกพรรคยังคงดื้อดึงที่จะขึ้นเวทีของกลุ่มพันธมิตรฯ ทางพรรคจะมีการคาดโทษหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ต้องไปดูในรายละเอียด และพิจารณาก่อน เพราะบางทีอาจจะขึ้นไปโชว์ตัว ไม่ได้ไฮปาร์ค
โต้ข่าวร่วมโต๊ะพันธมิตร-ราชนิกุล
นายนิพนธ์ บุญญามณี รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนางพจนารถ แก้วผลึก ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ หรือ"หมวย พัทยา" ร่วมแถลง กรณีมีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง เขียนบทความ "ปชป.+ยะใส คุยอะไรที่สามเสน?" โจมตีพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตรฯ และราชนิกุล ในการออกมาเคลื่อนไหว เพื่อล้มล้างระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข โดยอ้างหลักฐานภาพถ่ายจากโทรศัพท์มือถือ ว่ามี นายนิพนธ์ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และ นายสุริยะใส กตะศิลา เลขา ครป. และม.ร.ว.กิติวัฒนา ไชยยันต์ ปกมนตรี (หม่อมป้า) ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อแผ่นดิน นั่งร่วมโต๊ะหารือกันที่ร้านสามเสนวิลล่า เมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้นายนิพนธ์ ยืนยันว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง หากมีหลักฐานให้เอารูปถ่ายมาเปิดเผยได้ เพราะในวันที่ 2 เม.ย.51 หลังจากเกิดเหตุ นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. พรรคพลังประชาชน ทำร้ายร่างกาย นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จึงได้พานายสมเกียรติไปแจ้งความ และตรวจร่างกาย จากนั้น ในช่วง 22.00 น. ได้มารับประทานอาหารที่ ร้านสามเสนวิลลาจริง โดยมีตน นายสมเกียรติ และนางพจนารถ ร่วมรับประทานอาหารด้วย ไม่มี ม.ร.ว. กิติวัฒนา ร่วมด้วยแต่อย่างใด โดยยืนยันว่า ในโต๊ะอาหารวันนั้น มีผู้หญิงเพียงคนเดียวคือ นางพจนารถ
"เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา ขณะนี้ผ่านมา 2 เดือนกว่าแล้วนำเหตุการณ์มาปะติดปะต่อ เพื่อโจมตีพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งการกินข้าวครั้งนั้น ไม่มีนัยยะทางการเมือง หรือเป็นการวางแผนเคลื่อนไหวกับกลุ่มพันธมิตรฯ แต่อย่างใด ส่วนที่มีการอ้างว่ามีนายสุริยะใส มาร่วมรับประทานอาหารด้วยนั้น เพราะเป็นเพื่อนกับนายสมเกียรติ หลังจากทราบข่าวว่าถูกทำร้าย นายสุริยะใส จึงมาสอบถามในฐานะคนรู้จักกัน เรื่องนี้ทำให้พรรคประชาธิปัตย์เสียหาย เพราะไม่เป็นความจริง หากมีหลักฐานหรือรูปถ่าย ให้เอามาโชว์ได้เลย" นายนิพนธ์กล่าว
ด้าน นางพจนารถ กล่าวว่า คืนนั้นได้ไปร่วมรับประทานอาหารด้วยจริง แต่ไม่ได้มีนัยอะไร เป็นการหารือเพื่อการเคลื่อนไหวกับกลุ่มพันธมิตรฯ แต่เป็นการพูดคุยตามปกติของสมาชิกพรรคเดียวกัน ไม่เกี่ยวข้องกับข่าวเบื้องหลังการชุมนุม
"แปลกใจเหมือนกันว่า หน้าดิฉันไปคล้ายกับหม่อมป้าตรงไหน จะอ้างว่ามืดก็ไม่ใช่ เพราะที่ร้านก็มีคนเยอะ ไม่น่าจะจำผิด" นางพจนารถกล่าว
ส.ส.ร.50 ห้าม"หุ่นเชิด"แตะ รธน.
ชมรม ส.ส.ร.50 นำโดยนายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานชมรมฯ ได้ออกแถลงการณ์ ส.ส.ร. 50 ฉบับที่ 7 ระบุว่า ชมรมฯได้เล็งเห็นถึงปัญหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ได้ล่วงไกลไปถึงการขับไล่รัฐบาล เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาวิกฤติของชาติ ทางชมรมฯ ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่มีความประสงค์จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยุติการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นการแก้ไขเพื่อตนเองและพวกพ้อง เพราะถือเป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำ และไม่สมควรเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วงเวลานี้ เนื่องจากจะก่อให้เกิดความแตกแยกของคนในชาติมากขึ้น
ชมรมฯ ขอยืนยันว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ดีกว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 และหากจะมีการแก้ไขในอนาคต ขอให้มีการศึกษาถึงปัญหาในการใช้รัฐธรรมนูญให้มีความชัดเจนว่ามีปัญหาจริง และการศึกษาดังกล่าวต้องประกอบด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง ไม่ใช่ประกอบด้วยบุคคลที่มีเจตนาแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตัวเองเท่านั้น
ค้านใช้กำลังสลายการชุมนุม
นอกจากนี้ ชมรม ส.ส.ร.50 ขอให้รัฐบาล และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องระงับการใช้กำลังทุกรูปแบบ เพื่อสลายการชุมนุมที่ชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 และขอให้รัฐบาลควบคุมไม่ให้เกิดการปะทะกันของฝ่ายต่างๆ ที่สนับสนุนและคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยขอให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นธรรมและเป็นกลางอย่างเคร่งครัด โดยขอให้เร่งออกกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญโดยเร็ว
ทั้งนี้ ขอให้รัฐบาลทำหน้าที่แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะเรื่องปากท้อง ราคาน้ำมัน ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจ และสังคม โดยเลิกการยั่วยุหรือก่อให้เกิดความขัดแย้งทุกรูปแบบ
"หมัก"ลนลานแจงพรรคร่วมฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 16.00 น. วานนี้ นายสมัคร สุนทรเวช ได้เดินทาง ไปที่พรรคพลังประชาชน โดยไม่มีกำหนดการล่วงหน้า โดยนายสมัคร ได้หลบเข้าที่ทำการพรรคฯ เพื่อมาทำภารกิจส่วนตัว ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก่อนจะเดินทางกลับออกไป
พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการประชุมครม. เมื่อวานนี้ว่า นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่าท่านได้พูดอะไรไปบ้างเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เพื่อจะได้นำไปให้หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 5 พรรคทราบเท่านั้นเอง เพราะเหตุการณ์ดังกล่าว ทุกคนก็ทราบอยู่แล้วว่า ขณะนี้เป็นอย่างไรบ้าง
"นายกฯ บอกว่า ให้ฝากไปบอกท่านหัวหน้าพรรคทั้ง 5 พรรคด้วยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็เป็นอย่างที่ท่านได้พูดไปทางวิทยุในวันเสาร์ และวันอาทิตย์ ก็ยืนยันไปตามนั้น และขณะ นี้ก็ได้มอบหมายให้ทางผบ.ตร.แก้ไขปัญหาแล้ว ท่านพูดเรียบๆ ทุกคนฟังแล้วก็โอเค" พล.ต.ท.วิเชียรโชติ กล่าว
เมื่อถามว่านายกฯ ตัดพ้อกับการที่หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลไปนัดกินข้าวกันหรือไม่ โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า นายกฯ ไม่ได้พูดเลย ซึ่งหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล ที่เป็นรัฐมนตรี ก็ไม่ได้เล่าว่าได้ไปหารือกันอย่างไรบ้าง
เมื่อถามว่า มีการพูดถึงเรื่องพ.ร.บ. ความมั่นคง และพ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือไม่ พล.ต.ท.วิเชียรโชติ กล่าวว่า ไม่มีการพูดถึงเลย และก็จะไม่ใช้ ขอให้ลืมไปได้เลย จะใช้เพียงการเจรจา และกฎหมายอาญา และกฎหมาย จราจรทางบกเท่านั้น และแม้พันธมิตรฯ จะยืนยันว่าไม่เจรจาด้วยก็ต้องพยายาม ซึ่งมีการเจรจาทุกวันโดยมีตำรวจไปนั่งคุยทุกวัน
เมื่อถามว่า ทำไมรัฐบาลไม่ตั้งโต๊ะเจรจาเองให้เป็นกิจลักษณะเหมือนเมื่อครั้งที่เราเคยไปช่วยเขมร 3 ฝ่ายให้คุยกัน แต่นี่คนในประเทศแท้ๆทำไมไม่ทำ พล.ต.ท.วิเชียรโชติ กล่าวว่า เวลานี้พันธมิตรฯ มายึดพื้นที้สาธารณะที่ประชาชนต้องสัญจรไปมา ก็ถือว่าเป็นการทำผิดกฎหมาย ตำรวจที่รับผิดชอบต้องเป็นผู้ไปเจรจา อย่างไรก็ตาม ก็ต้องรอไปเรื่อยๆ ซึ่งตนเชื่อว่าจะต้องได้ผลสักวัน ส่วนผลจะเป็นอย่างไร ก็จะรู้กันอีกที หมายความว่าตำรวจจะต้องเจรจาให้สำเร็จ
เมื่อถามว่า ทำไมรัฐบาลไม่ประกาศให้ชัดเจนมาเลยว่าจะไม่ยุ่งกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และจะให้คดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม พล.ต.ท.วิเชียรโชติ กล่าวว่า วันหนึ่งก็บอกอย่างหนึ่ง แต่พอแก้แล้ว ก็มาบอกอีกอย่างหนึ่ง เงื่อนไขมีไม่จบ หมดเงื่อนไขวันนี้ พรุ่งนี้ก็มีเงื่อนไขอีก ซึ่งก็ต้องเจาจาไปเรื่อยๆ ก็ต่างจากสมัยก่อนที่ครั้งนี้ เป็นเวอร์ชั่นใหม่ คือจะเจรจาและอดทนให้ถึงที่สุด
"คนพันคน กำลังสร้างความเดือดร้อนให้กับคน กทม. 6 ล้านคน รถแท็กซี่กระทบไหม คนที่อยู่ภาษีเจริญ ซึ่งเคยไหว้พระบรมรูปทรงม้ากระทบไหม " พล.ต.ท.วิเชียรโชติกล่าว
เมื่อถามว่า คน กทม. 6 ล้านคนทั้งหมดเดือดร้อนหมดเลยหรือ พล.ต.ท.วิเชียรโชติ กล่าวว่า แน่นอน เมื่อถามว่าคนบางกะปิ จะไปกินก๋วยเตี๋ยวที่ลาดกระบัง เดือดร้อนด้วยหรือไม่ พล.ต.ท.วิเชียรโชติ ไม่ตอบคำถาม
ตะแบงคนตีความ"แตกหัก"ผิด
พล.ต.ท.วิเชียรโชติ กล่าวถึงการออกรายการพิเศษของนายกฯ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า นายสมัครไม่ได้พูดว่า ให้ใช้ความรุนแรง เมื่อถามย้ำว่าแต่นายสมัครกล่าวคำว่า “แตกหัก”และมีการเตรียมทหารและตำรวจไว้แล้ว พล.ต.ท.วิเชียรโชติ กล่าวชี้แจงทันทีว่า No no no นายกได้ข่าวมาว่าทางโน้นจะมาแตกหักเตรียมการยึดทำเนียบ เป็นการตีความหมายผิด นายสมัคร พูดสั้นไปนิดนึง ข้อมูลได้เตรียมไว้พูดวันอาทิตย์ที่ 1 มิ.ย. ขณะเดียวกันก็มีขั้นว่ากลุ่มพันธมิตรฯ ได้เตรียมขั้นแตกหักในวันเสาร์ นายสมัครก็เลยออกมาปรามไว้ก่อนว่าอย่าทำเลย
เมื่อถามว่า ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ออกมาเปิดเผยถึงการเตรียมการวางระเบิดที่กลุ่มพันธมิตรฯ ขณะนี้ได้มีรายงานหรือไม่ว่าเป็นใคร พล.ต.ท.วิเชียรโชติ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ยังไม่ได้รับรายงานไม่ได้พูดกันในครม. ตอนนี้สถานการณ์ปกติ ชุมนุมได้ก็ชุมนุมไป ทนได้ก็ทนไป
"หมัก"ไปเชียงใหม่ไม่ไปสงขลา
พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายสมัคร จะเดินทางไปลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 13-14 มิ.ย.นี้ ซึ่งเลื่อนไปจากกำหนดการเดิม และไม่ใช่การประชุมครม.สัญจร แต่จะไปดูแลปัญหาธุรกิจท่องเที่ยว เพราะช่วงนี้ จ.เชียงใหม่ เงียบเหงามาก จึงจะไปศึกษาข้อมูลเพื่อแก้ปัญหา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการแถลงข่าว ผู้สื่อข่าวต่างได้เข้าไปถามโฆษกและน.ส.ศุภรัตน์ นาคบุญนำ รองโฆษก อีกครั้งว่าทำไมต้องเป็นที่ จงเชียงใหม่ เพราะที่จังหวัดสงขลา การท่องเที่ยวซบเซา กว่า แต่โฆษกรัฐบาล พูดแค่เพียงว่า คนน้อยใช่หรือไม่ น่าเห็นใจนะ
เมื่อถามว่าไปเชียงใหม่เพราะเป็นฐานเสียงของพรรคใช่ไหม พล.ต.ท.วิเชียรโชติ กล่าวว่า ไม่ใช่หรอก แต่เป็นอย่างที่บอกว่าผู้ประกอบการ้องเรียนขึ้นมา ถ้าที่หาดใหญ่ร้องเรียนขึ้นมา ก็จะไป
รายงานข่าวแจ้งว่ามีคนแย้งในที่ประชุมว่าการเดินทางไปเชียงใหม่ครั้งนี้นายสมัครเป็นคนคิดและเตรียมโปรแกรมเดินทางไปเองโดยที่ไม่มีรัฐมนตรีคนไหนทราบมาก่อน และขอให้รัฐมนตรีไปแบบส่วนตัว สามารถพาลูกและภรรยา คนในครอบครัวไปได้ ไปแบบแยกย้ายกันเดินทาง ทั้งนี้มีการพูดคุยกันตั้งแต่การประชุมครั้งที่แล้วแต่นายสมัครห้ามให้สัมภาษณ์ แต่ปรากฏว่าข่าวก็ออกมาจากรัฐมนตรีคนอื่น
จับตา แต่จะทำเป็นไม่รู้ ไม่เห็น
เมื่อเวลา 13.30 น.ที่พรรคพลังประชาชน คณะทำงานศูนย์ติดตามและวิเคราะห์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ร่วมแถลง โดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน คณะทำงานศูนย์ติดตามฯ และวิเคราะห์ฯ กล่าวว่า เราเห็นด้วยที่ไม่ใช้กำลังปราบปรามการชุมนุมของพันธมิตรฯ เพราะการชุมนุมหลังจากนี้ไป พันธมิตรฯ จะกดดันตัวเอง จากการเรียกร้องไม่มีที่สิ้นสุด
"หน้าที่ของรัฐบาล คือทำงาน รัฐบาลต้องทำ ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเจ้าหน้าที่ตำรวจไปดำเนินการ หากรัฐบาลมาสนใจพันธมิตรฯ ก็จะไม่เป็นอันแก้ปัญหาปากท้อง จากนี้ไปถ้าหากพันธมิตรฯพูดพาดพิงใคร ก้าวล่วงถึงใครเสียหาย ก็ไปแจ้งความดำเนินคดี ยิ่งนานก็ยิ่งกดดันพันธมิตรฯ" นายจตุพร กล่าว
นายจตุพร กล่าวว่า แม้นายสมัคร จะลาออก เชื่อว่าพันธมิตรฯ ก็จะมีการเรียกร้องไม่สิ้นสุด เพราะต้องการสลับขั้ว ดึงพรรคร่วมไปรวมกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะจะมีเสียงเกินแค่ 7 เสียง หากมีอภิปราย รัฐมนตรีจะไม่มีสิทธิ์โหวต ก็จะทำให้เป็นรัฐบาลไม่ได้ ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์เลิกคิดเรื่องนี้ได้แล้ว
นายจตุพร กล่าวด้วยว่า การที่กลุ่มผู้ชุมนุม จะตั้งเป็นเมืองพันธมิตรฯ ไม่ขึ้นตรงกับรัฐบาล วิธีคิดอันนี้อันตรายมาก เหมือนเป็นเขตปลดปล่อย ซึ่งไทยควรมีหรือเปล่า ยิ่งนานวัน พันธมิตรฯ ต้องการคิดการใช้กำลังไปปราบ เพราะเป้าหมายต้องการให้มีการใช้ความรุนแรง ให้เกิดการปฎิวัติ แต่เมื่อแม่ทัพได้มีการ เจรจาคุยกันก็มีความเข้าใจการปฎิวัติจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
นายจตุพร กล่าวด้วยว่า อยากให้ย้อนไปดูรัฐบาลสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ถูกยึดอำนาจนั้น ไม่ใช่ชัยชนะของพันธมิตรฯ แต่เป็นการเปิดประตูให้มีการปฎิวัติ เมื่อเราปิดประตูไม่ให้มีการปฎิวัติ ยิ่งระยะยาวความกดดัน ความพ่ายแพ้อยู่พันธมิตรฯ รัฐบาลจึงยึดทฤษฎี "ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน" แล้วไปมุ่งแก้ปัญหาเรื่องปากท้องอย่างเดียว
เผยโฉมศูนย์ติดตามพันธมิตรฯ
สำหรับคณะทำงานศูนย์ติดตามและวิเคราะห์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ประกอบด้วย1. ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง 2.นายสุนัย จุลพงศธร 3.นายสามารถ แก้วมีชัย 4.นายศุภชัย โพธิ์สุ 5.นายไพจิต ศรีวรขาน 6.นายนิสิต สิธุไพร 7.นายสุทิน คลังแสง 8.นายสงวน พงษ์มณี 9.นายชวลิต วิชยสุทธิ์ 10.ร.ต.ท.เชาวรินทร์ ลัทธศักดิ์ศิริ 11.นายสุชาติ ลายน้ำเงิน 12.นายจตุพร พรหมพันธุ์ 13.นายชลน่าน ศรีแก้ว 14.นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล 15.นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ 16.นางฐิติมา ฉายแสง 17.นายดนุพร ปุณณกันต์ 18.นายศุภชัย ใจสมุทร 19.นายสมาน เลิศวงรัฐ 20.นายกมล บันไดเพชร 21.นายเรืองเดช เหลืองบริบูรณ์
แฉ"แม้ว"เห็นเงินเป็นพระเจ้า
นายเทิดภูมิ ใจดี อดีตผู้นำแรงงาน กล่าวบนเวทีพันธมิตรฯว่า มีคนพูดถึงพันธมิตรฯ พูดอะไรก็ไร้สาระ พวกเราคนมีสาระที่สุด เชื่อว่า ใครก็ตามที่ฟังพันธมิตรฯพูด นั่นล่ะสาระสูงสุดแล้ว เราจะได้รู้ปัญหาที่แท้จริงของชาติ การเมืองเปลี่ยนไปแล้ว ประชาชนทุกวันนี้ตื่นตัวขึ้นแล้ว ฟังข่าวสารข้อมูลก็เข้าใจ ยิ่งในช่วงบ้านเมืองกำลังจะเข้าสู่วิกฤต อย่างที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เคยพูดว่า ล้มทุน ล้มปืน ล้มเจ้า นั้นจริง เป็นแผนนายใหญ่หน้าเหลี่ยมที่วางอย่างเป็นขั้นตอน คือยึดทุน กุมปืน แล้วล้มเจ้า พี่น้องจะเห็นว่า เขายึดทุนยังไง ปตท.เขายึด รัฐวิสาหกิจก็เอามาแปรเข้าสู่ตลาดหุ้น
"ประเทศไทยมีปัญหาที่คน โดยเฉพาะประเทศไทยง่ายต่อคนที่คิดคดทรยศแผ่นดิน ขายอะไรรวยที่สุด คือ ค้าอำนาจ นี่ล่ะนายใหญ่หน้าเหลี่ยมที่พยายามจะเอาอำนาจอยู่ในมือตัวเอง กุมทุกอย่างเพื่อจะให้พรรคการเมืองพรรคหนึ่งขึ้นมาเป็นรัฐบาลมีอำนาจให้ได้ เขาจะได้ทำสิ่งที่ปรารถนา รัฐมนตรีตั้งมาก็มีเป้าหมายทุกคน ที่พูดว่าคนชั่วครองเมือง รมต.แต่ละคนลองไปดูประวัติความเป็นมาสิ อย่างรมว.มหาดไทย รมว.สาธารณสุข รมว.ต่างประเทศ เป็นใครมาจากไหนศึกษาให้ดี เขาถึงว่าค้าอำนาจรัฐ เอาอำนาจรัฐเขาทำได้ทุกอย่าง แปรทุกอย่างเข้าหุ้นแล้วหุ้นก็เป็นของพวกเขาทั้งนัน การเมืองภาคประชาชนพี่น้องต้องติดตาม"อดีตผู้นำแรงงานกล่าวและว่า
นอกจากนั้น เขายังคบกับต่างประเทศ โดยเฉพาะกับสิงคโปร์และฮ่องกง ทักษิณติดต่อคนในสองประเทศนี้ เพื่อจะมาทำทุนใหญ่ที่เกาะกง อยากให้พี่น้องรู้ เขามีอำนาจรัฐ ขายที่รวยสุด คือ ขายชาติ เขาพระวิหาร เขมรอยากได้สุด เพราะเขาไม่มีภูเขา พยายามมาตลอด แต่ว่ามันอยู่ในเขตไทย เขาจะเช่าเกาะกง 99 ปี เป็นแหล่งค้าขายมากมาย
“ผมเป็นรุ่นแรกที่อยู่กับไทยรักไทย(ทรท.) นายใหญ่เขาคิดว่าเงิน คือ แก้วสารพัดนึก ทุกสิ่งทุกอย่างคือ ความพยายาม มีอำนาจรัฐงัดวิชามาร บ้านเมืองวุ่นมาตลอดที่เขาเป็นนายกฯ เขาเอาอำนาจที่มีอยู่เพื่อประโยชน์ของเขา และครอบครัว ไม่ได้เพื่อประชาชน โดยเฉพาะคนอีสานหลงใหลในเงินที่เขาให้ไป เงินให้เพียงเล็กน้อย มันเป็นเงินภาษีอากรของประชาชน” นายเทิดภูมิ ระบุ และชี้ว่า
ขั้นตอนต่อไป คือ ล้มปืน ที่เกิดรัฐประหารขึ้นมา เพราะทักษิณเตรียมไว้หมด เอาเตรียม 10 เข้าไปยึดไว้หมด คนเป็น ผบ.ทบ.ก็รุ่นเดียวกับเขา ถ้ายึดปืนได้ประเทศไทยก็หมดแล้ว จะมีอะไร เสาคานอำนาจรัฐที่แข็งแกร่งที่สุด คือ กองทัพ ปืนนี่ล่ะ
"สาวกแม้ว" เตรียมตั้งเวทีต้าน
รายงานจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า สมาพันธ์ชาวเหนือเพื่อประชาธิปไตย สมาพันธ์คนรากหญ้า สภาประชาชนภาคเหนือ กลุ่มคนเดือนตุลาคมประชาธิปไตยภาคเหนือ และหมู่บ้านคนเมือง ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ในนามสภาประชาชนภาคเหนือ โดยเนื้อหาโจมตีการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่า เป็นการก่อกวนทางการเมือง
นายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล ประธานสภาประชาชนภาคเหนือ กล่าวว่า ในวันเสาร์ที่ 7 มิ.ย.51 นี้ ทั้ง 5 องค์กรจะร่วมกันจัดเวทีแสดงความคิดเห็นที่บริเวณลานเอนกประสงค์ประตูท่าแพ ในตัวเมืองเชียงใหม่ ระหว่างเวลา 15.00-24.00 น. โดยตั้งแต่วันนี้ (4 มิ.ย.) เป็นต้นไป จะเริ่มทำการรณรงค์ประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้คนเข้าร่วมเวทีด้วยวิธีการต่างๆ เช่น จัดขบวนรถแห่ เป็นต้น โดยหลังจากการจัดเวทีในครั้งนี้แล้ว หากทางกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังคงปักหลักชุมนุมอยู่ ทางกลุ่มก็มีแนวความคิดที่จะจัดเวทียืดเยื้อเช่นกัน
อนึ่ง สำหรับสมาพันธ์ชาวเหนือเพื่อประชาธิปไตย สมาพันธ์คนรากหญ้า สภาประชาชนภาคเหนือ กลุ่มคนเดือนตุลาคมประชาธิปไตยภาคเหนือ และหมู่บ้านคนเมือง ที่จะร่วมกันจัดเวทีต่อต้านการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น รายงานข่าวตั้งข้อสังเกตว่า กิจกรรมที่ผ่านมาของกลุ่มองค์กรดังกล่าวนี้ล้วนเป็นการเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งสิ้น