xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 11-17 พ.ค.2551

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. “ในหลวง-พระเทพฯ”ส่งสาส์นแสดงความเสียใจถึงผู้นำ-ปชช.จีน หลังประสบภัยแผ่นดินไหวครั้งใหญ่!


เจ้าหน้าที่ของจีน ค้นหาผู้เสียชีวิตและผู้ที่อาจมีชีวิตรอดจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่
หลังพม่าประสบภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ถูกพายุไซโคลน“นาร์กีส”พัดถล่ม จนมีผู้เสียชีวิตและสูญหายเรือนแสนไม่กี่วัน พิบัติภัยครั้งใหญ่ก็ได้บังเกิดกับประเทศจีนเป็นลำดับต่อมา โดยเมื่อวันที่ 12 พ.ค.ได้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.8 ริกเตอร์ ที่มณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น แรงแผ่นดินไหวได้ส่งผลให้อาคารพังถล่มจำนวนมาก ทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้ที่ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังหลายหมื่นคน เป็นที่น่าสังเกตว่า แรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวดังกล่าวไม่เพียงรู้สึกได้หลายพื้นที่ของจีน แต่ยังรู้สึกได้ในกรุงเทพฯ ,ฮ่องกง ,กรุงไทเปของไต้หวัน และกรุงฮานอยของเวียดนามด้วย ขณะที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัยถึงประธานาธิบดีและประชาชนชาวจีน เช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงมีพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัยไปยังรัฐบาลและประชาชนชาวพม่าก่อนหน้านี้ โดยมีข้อความว่า “ข้าพเจ้าและสมเด็จพระราชินีรู้สึกเศร้าสลดใจยิ่งนักที่ได้ทราบข่าวแผ่นดินไหวในมณฑลเสฉวน ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งยังก่อให้เกิดความเสียหายในประเทศของท่าน ข้าพเจ้าและสมเด็จพระราชินีขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งมายังท่านและประชาชนชาวจีน ตลอดจนครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากการสูญเสียอันน่าเศร้าครั้งนี้ ข้าพเจ้าและสมเด็จพระราชินีขออำนวยพรให้ผู้บาดเจ็บมีอาการดีขึ้นในเร็ววัน” ทั้งนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชสาส์นแสดงความเสียพระทัยไปยังประธานาธิบดีและประชาชนชาวจีนเช่นกัน ขณะที่รัฐบาลไทยได้อนุมัติงบกลาง 15 ล้านบาทเพื่อช่วยเหลือชาวจีนที่ประสบภัยแผ่นดินไหว

2. “ชัย ชิดชอบ”ได้เป็น ปธ.สภาฯ สมใจ ขณะที่ “ชท.”ไม่พอใจ-งดออกเสียง!
ชัย ชิดชอบ เกิดอาการเซจนเกือบล้มหัวคะมำระหว่างเข้าพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เป็น ปธ.สภาฯ คนใหม่(15 พ.ค.)
ในที่สุด นายชัย ชิดชอบ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล) บิดานายเนวิน ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ก็ได้เป็นประธานสภาฯ คนใหม่แทนนายยงยุทธ ติยะไพรัช ที่ลาออกไป แม้หลายฝ่ายจะมองว่า นายชัยไม่เหมาะสมและไม่สง่างาม เพราะติดคดีรุกที่ดินการรถไฟฯ จ.บุรีรัมย์อยู่ก็ตาม โดยก่อนหน้าจะมีการประชุมสภาเพื่อเลือกประธานสภาฯ คนใหม่ 1 วัน(11 พ.ค.) พรรพลังประชาชนได้มีการประชุม ส.ส.พรรค เพื่อแจ้งให้ที่ประชุมรับทราบมติของกรรมการบริหารพรรคที่เสนอชื่อนายชัยให้เป็นประธานสภาฯ โดยการประชุมใช้เวลานานกว่า 4 ชั่วโมงถึงจะยุติ เนื่องจาก ส.ส.จำนวนมากไม่เห็นด้วยที่กรรมการบริหารพรรครีบลงมติเสนอชื่อนายชัยก่อน แทนที่จะมารอโหวตในที่ประชุมพรรค นอกจากนี้ยังมี ส.ส.ต้องการเสนอชื่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ รองประธานสภาฯ คนที่ 1 เพื่อเป็นตัวเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาฯ เพราะมีความสง่างามมากกว่านายชัย แต่แกนนำพรรคพลังประชาชนก็พยายามรวบรัดให้ที่ประชุม ส.ส.รับรองมติกรรมการบริหารพรรคที่เสนอชื่อนายชัยแล้ว โดยมีรายงานว่า นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน ได้ให้ที่ประชุมลงมติว่า เห็นด้วยกับมติกรรมการบริหารพรรคที่เลือกนายชัยหรือไม่ โดยให้ ส.ส.ลงคะแนนแบบเปิดเผยด้วยการยกมือ ผลปรากฏว่า ที่ประชุมเสียงข้างมากเห็นด้วย 92 : 24 ด้าน ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน แถลงผลการลงมติหลังประชุม พร้อมยืนยันว่า ไม่ได้มีการบังคับให้ ส.ส.โหวตตามมติกรรมการบริหารพรรคที่เสนอชื่อนายชัย พร้อมอ้างว่า การลงคะแนนก็เป็นการลงคะแนนลับ ดังนั้น ส.ส.จะลงคะแนนอย่างไรก็ได้ ด้านนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ พรรคพลังประชาชน ชี้เหตุที่เสียงสนับสนุนนายสมศักดิ์เปลี่ยนมาหนุนนายชัยว่า เป็นเพราะนายสมศักดิ์เคยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ รธน.ว่า ควรทอดเวลาออกไปสักระยะ นอกจากนี้นายสมศักดิ์ยังหนุนให้มีการตั้ง ส.ส.ร.3 ซึ่ง ส.ส.ของพรรคส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เพราะอยากให้มีการแก้ รธน.โดยเร็ว ทั้งนี้ วันเดียวกัน(11 พ.ค.) นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ได้เรียกประชุมพรรคเป็นการด่วน เพราะไม่พอใจที่เคยติงพรรคพลังประชาชนว่าไม่ควรเสนอชื่อนายชัยเป็นประธานสภาฯ แต่ไม่ฟัง แถมยังจะเร่งรัดให้มีการประชุมสภาเพื่อเลือกประธานสภาคนใหม่ในวันที่ 12 พ.ค.ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนขนาดนั้น ซึ่งในที่สุดที่ประชุมพรรคชาติไทยได้มีมติที่จะไม่สนับสนุนนายชัยเป็นประธานสภาฯ โดยจะใช้สิทธิงดออกเสียงแทน ขณะที่นายบรรหาร บอกด้วยว่า วันที่ 12 พ.ค.ตนจะไม่เข้าร่วมประชุมสภาฯ เพราะไม่ว่าง ส่วนบรรยากาศการประชุมสภาเพื่อเลือกประธานสภาคนใหม่นั้น นอกจากพรรคพลังประชาชนจะเสนอชื่อนายชัยแล้ว ทางพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้เสนอชื่อผู้ท้าชิง คือนายบัญญัติ บรรทัดฐาน อย่างไรก็ตาม ผลการลงคะแนนลับ ปรากฏว่า นายชัยได้รับเลือกด้วยคะแนน 283 เสียง ขณะที่นายบัญญัติได้ 158 เสียง และมีผู้งดออกเสียง 12 เสียง ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ในที่ประชุม มี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วม 156 คน แต่กลับมีผู้โหวตให้นายบัญญัติ 158 คน แสดงว่ามี ส.ส.ในพรรคร่วมรัฐบาลปันใจให้นายบัญญัติ 2 คน โดยแกนนำพรรคพลังประชาชนมองว่า 2 เสียงดังกล่าวน่าจะเป็นคนของพรรคชาติไทย ขณะที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชนบางคนได้แสดงความไม่พอใจที่เสียงของพรรคร่วมรัฐบาลแตกออกไปให้ฝ่ายค้าน 2 เสียง โดยนายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ ส.ส.ขอนแก่น ได้ออกมาชี้ว่า การที่พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคงดออกเสียงและไม่โหวตให้คนของพรรคพลังประชาชน แล้วอย่างนี้จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร นายประจักษ์ยังขู่จะเอาคืนพรรคชาติไทยที่งดออกเสียงด้วยว่า เมื่อมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคพลังประชาชนก็จะไม่โหวตให้บ้าง จะว่ากันไม่ได้ ส่วนทางฟากพรรคชาติไทย นายปณวัตร เลี้ยงผ่องพันธุ์ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคชาติไทย ได้ออกมาสวนกลับพรรคพลังประชาชนที่มองว่า 2 เสียงที่ปันใจให้ฝ่ายค้านเป็นคนของพรรคชาติไทยว่า เป็นเกมการเมืองที่ใส่ร้ายกันโดยนักการเมืองคนหนึ่งที่คุมเสียงพรรคพลังประชาชนในภาคอีสาน โดยโยนระเบิดใส่พรรคชาติไทย เพื่อเขี่ยพรรคพ้นจากการร่วมรัฐบาล จะได้แย่งชิงส่วนแบ่งทางการเมืองในส่วนของพรรคชาติไทยไปดูแลแทน ด้านนายชัย ชิดชอบ ได้เปิดแถลงหลังที่ประชุมสภาฯ เสียงข้างมากลงมติให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาฯ คนใหม่ โดยอ้างว่า ที่ตนได้รับเลือก เพราะผู้เลือกศรัทธาตน เพราะตนมีความซื่อสัตย์สุจริตและไม่มีประวัติด่างพร้อย ทั้งนี้ ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ นายชัยเป็นประธานสภาฯ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างทำพิธีรับพระบรมราชโองการฯ ที่อาคารรัฐสภา นายชัย ในวัย 79 ปี ได้มีอาการเซจนเกือบจะล้มหัวคะมำ ร้อนถึง ส.ส.พรรคพลังประชาชนต้องรีบเข้าช่วยพยุง สำหรับนายชัย นับเป็นประธานสภาฯ คนที่ 24 และเป็นประธานรัฐสภาคนที่ 28 ของไทย

3. “ปชป.”จี้นายกฯ จัดการ“จักรภพ”ฐานมีทัศนคติอันตรายต่อสถาบัน ขณะที่ “เจ้าตัว”ยัน ไม่ได้หมิ่น!
จักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกฯ ผู้ที่พรรค ปชป.ได้ทำหนังสือจี้ให้นายกฯ จัดการ ฐานเป็นผู้ที่มีทัศนคติอันตรายต่อสถาบัน พร้อมเตรียมยื่นถอดถอนเร็วๆ นี้
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดูเหมือนรัฐมนตรีที่เพิ่มความร้อนให้กับอุณหภูมิของบ้านเมืองมากที่สุด ก็คือ นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เพราะนอกจากจะถูกหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์กรณีที่มีแนวคิดออกกฎระเบียบห้ามสื่อของรัฐเสนอข่าวสนับสนุนการรัฐประหาร เพราะนอกจากจะเป็นการแทรกแซงสื่อแล้ว ยังละเมิดสิทธิเสรีภาพของสื่อตาม รธน.มาตรา 46 ด้วยนั้น ปรากฏว่า ผลงานอื้อฉาวที่นายจักรภพเคยสร้างไว้ขณะเป็นอดีตแกนนำ นปก.กำลังย้อนมาให้นายจักรภพต้องรับผิดชอบในขณะนี้ นั่นคือ กรณีที่นายจักรภพเคยไปบรรยายที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 29 ส.ค.2550 ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเนื้อหาของคำบรรยายในครั้งนั้น ล่อแหลมต่อการหมิ่นสถาบัน ซึ่งสื่อมวลชนหลายสำนักที่ได้พยายามถอดเทปและแปลคำบรรยายดังกล่าว ก็รู้สึกเช่นกันว่าคำพูดของนายจักรภพอาจเข้าข่ายหมิ่นสถาบัน ด้านพรรคประชาธิปัตย์ได้ทำการแปลคำบรรยายของนายจักรภพออกมาเช่นกัน ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชี้ว่า คำบรรยายของนายจักรภพดังกล่าวสะท้อนถึงการมีทัศนคติที่อันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้นพรรคฯ จะยื่นหนังสือพร้อมส่งหลักฐานคำบรรยายและคำแปลให้นายกรัฐมนตรี นายสมัคร สุนทรเวช พิจารณาว่า บุคคลที่มีทัศนคติเช่นนี้ สมควรได้รับความไว้วางใจให้ร่วมบริหารประเทศต่อไปหรือไม่ ขณะที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ ส่งสัญญาณว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องมายื่นหนังสือ เพราะตนเห็นจากหนังสือพิมพ์แล้ว และเห็นว่ามีบางคำก็แปลผิด อย่างไรก็ตาม นายสมัคร บอก เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของตำรวจที่ต้องดำเนินการตามที่มีผู้แจ้งความต่อไป ด้านพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินหน้าส่งหนังสือถึงนายสมัครแล้วเมื่อวันที่ 16 พ.ค.โดยยื่นที่กองรับหนังสือ สำนักเลขาธิการนายกฯ พร้อมมอบหลักฐาน ซึ่งนอกจากจะมีคลิปวีดีโอพร้อมเอกสารคำบรรยายของนายจักรภพที่พูดที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศฯ แล้ว ยังได้แนบคำแปลที่พรรคประชาธิปัตย์แปลเรียบร้อยแล้วให้ด้วย รวมถึงคำพูดของนายจักรภพในที่ต่างๆ อีก ซึ่งสะท้อนถึงทัศนคติในแนวเดียวกัน ทั้งนี้ นอกจากยื่นหนังสือถึงนายกฯ แล้ว พรรคประชาธิปัตย์ยังได้เตรียมยื่นถอดถอนนายจักรภพต่อประธานวุฒิสภาในวันที่ 21 พ.ค.นี้ เนื่องจากนายจักรภพมีพฤติกรรมใช้อำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินขัดต่อ รธน. ด้วยการแทรกแซงสื่อของรัฐ และดำเนินการเข้าข่ายมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือทุจริตเชิงนโยบาย ด้านนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ไม่หวั่นที่ฝ่ายค้านเตรียมยื่นถอดถอน โดยบอก ฝ่ายค้านมีหน้าที่ถอดก็ถอด ตนมีหน้าที่ใส่ก็ใส่ ถือว่าต่างคนต่างทำหน้าที่ตามระบบรัฐสภา นายจักรภพ ยังเชื่อด้วยว่า เรื่องที่ตนบรรยายที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศฯ จะไม่บานปลาย พร้อมอ้าง ที่มีการแปลคำบรรยายของตนออกมานั้น มีการแปลผิดอยู่มาก ดังนั้นตนจะแปลคำบรรยายของตนด้วยตัวเองเพื่อให้ถูกต้องตามเจตนาที่พูดจริงๆ คาดว่าจะแปลเสร็จในวันที่ 19 หรือ 20 พ.ค.นี้ และว่า เมื่อแปลเสร็จจะพิมพ์เป็นเล่มทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย เพื่อเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โดยท้ายเล่ม ตนจะวิเคราะห์เพิ่มเติมด้วยว่า มีการเอาคำพูดของตนมาปลุกปั่นอย่างไรให้คนรู้สึกว่ามีการหมิ่นสถาบันเกิดขึ้น นายจักรภพ ยังยืนยันด้วยว่า เรื่องที่ไปบรรยายนั้น ไม่ได้มีเจตนาให้มีความเกี่ยวข้องสถาบันระดับสูงเลย เป็นเพียงการวิเคราะห์ทางสังคม และสิ่งที่พูดก็พูดมาปีกว่าแล้ว เมื่อมาเป็นรัฐบาล การพูดจาย่อมจะต่างกันไป แม้แนวความคิดต่างๆ อาจจะไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ท่าทีจะต้องเป็นไปเพื่อความสมานฉันท์ เพื่อความราบรื่นในการทำงานของบ้านเมือง ส่วนความคืบหน้าการทำงานของตำรวจกองปราบฯ หลังมีผู้เข้าแจ้งให้ดำเนินคดีนายจักรภพฐานหมิ่นสถาบันจากกรณีที่ไปบรรยายที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศฯ นั้น ได้มีการตั้ง พล.ต.ต.สมเดช ขาวขำ รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีนี้ ซึ่งล่าสุด พนักงานสอบสวนได้ถอดคำบรรยายของนายจักรภพที่เป็นภาษาอังกฤษจากดีวีดีภาพและเสียงในงานดังกล่าวแล้ว มีความยาวประมาณ 30 หน้า และส่งให้กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อถอดความเป็นภาษาไทยแล้ว แต่ไม่ทราบว่าจะเสร็จเมื่อไหร่

4. “รบ.”จ้องร่นเวลาเปิดสภาฯ วิสามัญแก้ รธน.ให้เร็วขึ้น ขณะที่ “พันธมิตรฯ”ออกแถลงการณ์เตือน รบ.หยุดสร้างเงื่อนไขรัฐประหาร!
แกนนำพันธมิตรฯ เปิดแถลงพร้อมออกแถลงการณ์ เตือนให้ รบ.หยุดสร้างเงื่อนไขที่จะนำไปสู่การรัฐประหาร(14 พ.ค.)
เมื่อวันที่ 14 พ.ค. แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ประชุมและออกแถลงการณ์ฉบับที่ 8 เรื่อง “หยุดสร้างเงื่อนไขรัฐประหาร” โดยมีใจความว่า นอกจากรัฐบาลหุ่นเชิดจะพยายามฉีก รธน.2550 ที่มาจากการลงประชามติของประชาชนส่วนใหญ่กว่า 14 ล้านเสียง เพื่อตัดตอนให้ตัวเองและพวกพ้องพ้นผิดจากคดีทุจริตและคดียุบพรรคแล้ว ขณะนี้ยังเป็นที่ประจักษ์ว่า ได้เกิดขบวนการคุกคามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในหลายรูปแบบอย่างต่อเนื่องจนอยู่ในภาวะที่อันตรายอย่างยิ่ง อีกทั้งรัฐบาลชุดนี้กลับปล่อยให้มีรัฐมนตรีบางคนที่มีทัศนคติที่อันตรายต่อสถาบันมาเข้าร่วมบริหารงานในรัฐบาล โดยไม่ใส่ใจที่จะแก้ไขปัญหาแม้แต่น้อย นอกจากนี้ รัฐบาลหุ่นเชิดของระบอบทักษิณยังปล่อยให้รัฐบาลกัมพูชายื่นเรื่องให้เขาพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวโดยปราศจากการเข้าร่วมยื่นบริเวณรอบเขาพระวิหารจากฝ่ายไทย อันเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการเสียอธิปไตยของชาติ ซ้ำร้าย ได้ปรากฏหลักฐานในสื่อมวลชนกัมพูชาว่า นายจาม ประสิทธิ์ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของกัมพูชา ให้สัมภาษณ์ว่า “ฝ่ายไทยพยายามโยงกรณีพื้นที่ทับซ้อนบริเวณเขาพระวิหารเข้ากับผลประโยชน์ทางทะเลในอ่าวไทยระหว่างการเจรจากับฝ่ายกัมพูชา” ซึ่งหลักฐานดังกล่าวยิ่งประจักษ์ชัดว่า ขบวนการขายชาติขายแผ่นดินได้เกิดขึ้นจริงแล้ว โดยนักการเมืองใหญ่แห่งระบอบทักษิณอยู่เบื้องหลัง แถลงการณ์ของพันธมิตรฯ ยังระบุด้วยว่า สถานการณ์ขณะนี้ ไม่เพียงรัฐบาลจะไม่เร่งแก้วิกฤตที่เกิดกับอธิปไตยของชาติ และภัยคุกคามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ยังล้มเหลวในการบริหารด้านเศรษฐกิจ จนประชาชนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าจากปัญหาข้าวแพง น้ำตาลแพง น้ำมันแพง เท่ากับตอกย้ำว่า รัฐบาลหุ่นเชิดนี้ไม่ได้ทำงานเพื่อผลประโยชน์ของคนไทยทั้ง 63 ล้านคนแต่ประการใด แต่กลับหาผลประโยชน์ให้คนเพียงบางกลุ่ม โดยแลกกับความเดือดร้อนของคนไทยทั้งชาติอย่างโหดเหี้ยมและอำมหิต พันธมิตรฯ จึงขอแสดงจุดยืนต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ปัญหาต่างๆ ที่กล่าวมา ล้วนแล้วแต่เป็นเงื่อนไขที่จะก่อให้เกิดการรัฐประหารได้ทั้งสิ้น ดังนั้น หากมีการรัฐประหารเกิดขึ้น พันธมิตรฯ ถือว่าเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลหุ่นเชิดทั้งสิ้น และยังคงยืนยันว่า การกระทำของรัฐบาลหุ่นเชิดเพื่อประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวกพ้อง เท่ากับตอกย้ำว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงเป็นปัญหาหลักของแผ่นดินต่อไป พร้อมกันนี้ พันธมิตรฯ ขอสนับสนุนการเคลื่อนไหวของเกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน ผู้บริโภค ผู้ประกอบการรายย่อย ข้าราชการชั้นผู้น้อย และประชาชนผู้ยากไร้ ที่จะออกมาเคลื่อนไหวเพราะความล้มเหลวของรัฐบาลในการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้อย่างเต็มที่ ส่วนความเคลื่อนไหวเรื่องแก้ รธน.นั้น นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ พรรคพลังประชาชน และ 1 ในวิปรัฐบาล เผย(14 พ.ค.)ว่า ที่ประชุมวิปรัฐบาลประเมินว่า คงยื่นญัตติแก้ไข รธน.ไม่ทันปิดสมัยประชุมสภาในวันที่ 19 พ.ค. จึงต้องยื่นในสมัยประชุมวิสามัญแทน โดยจะรวบรายชื่อ ส.ส.(ที่ต้องการเข้าชื่อเพื่อยื่นญัตติแก้ไข รธน.)ใหม่หมด และไม่ให้รัฐมนตรีและกรรมการบริหารพรรคร่วมลงชื่อ และจะไม่แก้มาตรา 291 เพื่อตั้ง ส.ส.ร. นายวรวัจน์ ยังบอกด้วยว่า จะเสนอร่าง รธน.3 ฉบับไปพร้อมกับการยื่นญัตติแก้ไข รธน. คือ ร่าง รธน.ฉบับพรรคพลังประชาชน ,ร่าง รธน.ฉบับ คปพร.ที่ นพ.เหวง โตจิราการ เสนอมา และร่าง รธน.ฉบับของนายนิยม วรปัญญา ส.ส.ลพบุรี พรรคพลังประชาชน นายวรวัจน์ ยังชี้ด้วยว่า คงต้องขอร่นเวลาเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อแก้ รธน.ให้เร็วขึ้น เพราะกำหนดเดิมที่จะมีขึ้นประมาณกลางเดือน มิ.ย.นั้น ถือว่าช้าไป

5. “ศาลฎีกาฯ”ยังไม่สั่งจะรับฟ้องคดีหวยบนดินหรือไม่-ยื่นศาล รธน.ตีความสถานะ“คตส.”ก่อน!
แก้วสรร อติโพธิ กรรมการและเลขานุการ คตส.
เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดสั่งคดีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กับพวกรวม 47 คน เป็นจำเลยในคดีการออกสลากพิเศษ 2 ตัว และ 3 ตัว(หวยบนดิน) ในความผิดหลายกระทง เช่น เป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต และทุจริตเรียกเก็บหรือละเว้นไม่ไม่เรียกเก็บภาษีอากร โดยคดีนี้ มีรัฐมนตรีในรัฐบาลปัจจุบันตกเป็นจำเลยด้วย 3 คน คือ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง ,นางอุไรวรรณ เทียนทอง รัฐมนตรีแรงงาน และนายอนุรักษ์ จุรีมาศ รัฐมนตรีช่วยคมนาคม ซึ่งหากศาลฎีกาฯ สั่งรับฟ้อง 3 รัฐมนตรีดังกล่าวจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวจนกว่าศาลจะพิพากษา แต่ปรากฏว่า องค์คณะผู้พิพากษาในคดีนี้ยังไม่พิจารณาสั่งคดีว่าจะรับฟ้องหรือไม่ โดยให้เหตุผลว่า เพราะจำเลยที่ 31-47 ในคดีนี้ (ซึ่งเป็นผู้บริหารและบอร์ดสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล) ได้ร้องโต้แย้งว่า คตส.ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะ คตส.เป็นองค์กรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 ตั้ง คตส.ขึ้นเพื่อตรวจสอบการดำเนินงานของ ครม.ที่พ้นตำแหน่งจากการปฏิรูปการปกครอง(การรัฐประหาร 19 ก.ย.)เท่านั้น มิได้ใช้บังคับกับบุคคลเป็นการทั่วไป การตั้ง คตส.จึงขัดต่อ รธน.2550 มาตรา 29 จำเลยดังกล่าวยังร้องด้วยว่า การที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ออกกฎหมายแก้ไขประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 เพื่อต่ออายุการปฏิบัติหน้าที่ของ คตส. ก็ถือเป็นการจัดตั้งองค์กรใหม่ให้ทำหน้าที่ตรวจสอบ ซึ่งมิใช่องค์กรตรวจสอบตามที่กำหนดไว้ใน รธน.2550 จึงเป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ด้านองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า ถ้าการจัดตั้ง คตส.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 2550 คตส.ก็จะไม่มีอำนาจตรวจสอบและไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกาฯ จึงให้ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยสถานะ คตส.ก่อน เมื่อทราบผลจากศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ศาลฎีกาฯ จึงจะพิจารณาสั่งคดีนี้ต่อไป ด้านนายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการและเลขานุการ คตส. บอก ไม่ติดใจที่ศาลฎีกาฯ จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความสถานะ คตส.ว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่ประหลาดใจว่า เหตุใดศาลฎีกาฯ จึงไม่สั่งคดีก่อนว่าจะรับฟ้องหรือไม่ แล้วค่อยส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความสถานะ คตส. ซึ่งจะทำให้การพิจารณาคดีของศาลฎีกาฯ เดินควบคู่ไปกับศาลรัฐธรรมนูญได้ โดยไม่ต้องสะดุดหยุดลงแบบนี้ และว่า รธน.2550 มาตรา 211 ก็ระบุไว้ว่า การส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความกรณีใดใด จะไม่เป็นเหตุให้คดีนั้นต้องหยุด ส่วนตัวแล้วจึงไม่เข้าใจว่า ทำไมศาลฎีกาฯ ไม่เสียดายเวลาที่จะต้องเสียไปฟรีๆ ถ้าคดีต้องหยุด ขณะที่ อ.ปรีชา สุวรรณทัต อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็มองเช่นกันว่า การที่ศาลจะใช้อำนาจในการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความกรณีใดใดตามมาตรา 211 ได้ จะต้องสั่งรับฟ้องคดีก่อน เพราะเจตนารมณ์ของมาตรา 211 ของ รธน.2550 ต้องการแก้ปัญหาให้การพิจารณาคดีของศาลเดินไปพร้อมกับศาลรัฐธรรมนูญได้ ไม่หยุดชะงักหรือทำให้การพิจารณาคดีล่าช้าเหมือนการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความตาม รธน.2540 ส่วนประเด็นที่ว่า สถานะ คตส.ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น หลายฝ่ายก็มองตรงกันว่า การจัดตั้ง คตส.เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เช่น อ.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีตรองประธานสภาร่าง รธน.2550 ที่เห็นเหมือนกันว่า มาตรา 309 ของ รธน.2550 รับรองสถานะและอำนาจของ คตส.ไว้แล้ว คตส.จึงไม่ใช่องค์กรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด ด้านทีมทนายความจากสภาทนายความที่รับหน้าที่เป็นทนายความให้ คตส.ในการฟ้องร้องคดีหวยบนดิน ได้เตรียมยื่นคำแถลงคัดค้านคำร้องของผู้ถูกกล่าวหาในคดีหวยบนดินต่อศาลฎีกาฯ ในเร็วๆ นี้ โดยนายนคร ชมพูชาติ 1 ในทีมทนายความ เผย(17 พ.ค.)ว่า คำแถลงคัดค้านดังกล่าวแบ่งเป็น 2 ส่วน 1.จะหยิบยกข้อเท็จจริงทางกฎหมายมายืนยันให้ศาลเห็นว่า ประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 เกี่ยวกับการจัดตั้ง คตส.และ พ.ร.บ.แก้ไขประกาศ คปค.ที่ต่ออายุ คตส.เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย 2.จะเสนอให้ศาลฎีกาฯ พิจารณารับคดีหวยบนดิน เพื่อให้การพิจารณาคดีเป็นไปอย่างต่อเนื่องระหว่างที่รอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะตรงตามข้อกำหนดในมาตรา 211 ของ รธน.2550 ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา นำผู้พิพากษาประจำศาล สำนักงานศาลยุติธรรมจำนวน 118 คน เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ โอกาสนี้พระองค์ได้พระราชทานพระบรมราโชวาท เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานแก่บรรดาผู้พิพากษา สรุปความว่า บ้านเมืองต้องมีผู้พิพากษา ต้องมีศาลเพื่อรักษาความยุติธรรม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ เพราะบ้านเมืองถ้าไม่มีความยุติธรรม บ้านเมืองก็จะล่มจม คำว่ายุติธรรมหมายความว่า วางตัวให้ดี วางตัวให้ตรง ในโรงในศาลเองก็ต้องทำ นอกศาลก็ต้องทำ ทุกแห่งจะต้องทำตัวให้ดี ให้ยุติธรรม ทำเป็นตัวอย่างที่ดี แสดงให้เห็นว่าไม่มีอะไรที่อยู่เหนือความยุติธรรม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงย้ำด้วยว่า ที่พูดซ้ำซากเพราะเป็นสิ่งที่ยากที่จะวางตัวให้ยุติธรรม ถ้าทำได้ เชื่อว่าบ้านเมืองจะอยู่เย็นเป็นสุข ถ้าทำได้ผู้พิพากษาและศาลก็จะเป็นวีรบุรุษของบ้านเมือง ขอให้ผู้พิพากษารักษาความศักดิ์สิทธิ์ของศาลของระบบยุติธรรม...

6. “ศาลอุทธรณ์”ยืนตามศาลชั้นต้นอีกคดี จำคุก 3 อดีต กกต.คนละ 2 ปี!
พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธาน กกต.เดินทางมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์(14 พ.ค.
เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ศาลอาญาได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง 3 อดีต กกต.ประกอบด้วย พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ,นายปริญญา นาคฉัตรีย์ และนายวีระชัย แนวบุญเนียร ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ พ.ร.บ.คณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2541 มาตรา 24 และ 42 กรณีไม่เร่งสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงข้อร้องเรียนกรณีพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็กโดยพลันตามระเบียบว่าด้วยการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงและการวินิจฉัย พ.ศ.2542 มาตรา 37 และ 48 ซึ่งคดีนี้ ศาลชั้นต้น ได้พิพากษาจำคุกจำเลยทั้ง 3 คนละ 3 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งคนละ 10 ปี แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 2 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์เพื่อขอบรรเทาโทษ โดยอ้างว่า จำเลยได้ประกอบคุณงามความดีและมีโรคประจำตัวนั้น ศาลเห็นว่า การเข้ามาดำรงตำแหน่ง กกต.นั้น ต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ผ่านการคัดเลือกจากวุฒิสภา แต่แทนที่จำเลยจะใช้ประสบการณ์ที่มีอยู่ เข้ามาดำเนินการจัดการเลือกตั้งให้มีความเป็นกลาง โปร่งใสและบริสุทธิ์ยุติธรรม เพื่อให้เกิดความสันติสุขในบ้านเมืองตามเจตนารมณ์ของ รธน. แต่จำเลยหาได้สำนึกไม่ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุอันควรปรานีที่ศาลอุทธรณ์จะเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแต่อย่างใด ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า จำเลยทั้งสามฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ด้วยสีหน้านิ่งเฉย และไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใดใด จากนั้นญาติได้ยื่นขอประกันตัวระหว่างสู้คดีในชั้นฎีกาโดยใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสดคนละ 120,000 บาท ซึ่งศาลอนุญาต อนึ่ง เมื่อวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นไปแล้ว 1 คดี คือคดีที่ 3 อดีต กกต.ดังกล่าวจัดการเลือกตั้งเอื้อประโยชน์ให้พรรคไทยรักไทย โดยให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 4 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี.
กำลังโหลดความคิดเห็น