“ยามเฝ้าแผ่นดิน” ติง “หมัก” อุ้มคนผิด กางปีกปกป้อง “จักรภพ” เจ้าของ “สปีช” อันตราย แต่กลับด่า “ไอ้หัวเถิก” ที่พยายามปิดเว็บไซต์หมิ่นเบื้องสูง โต้นักวิชาการยัดข้อหา “ดาวสยามยุคใหม่” ให้ “ผู้จัดการ” อย่างไม่แฟร์ พร้อมเผย “หมอเหวง” ส่อแห้ว เข้าชื่อยื่นแก้ รธน.ต้องรอกฎหมายลูกออกมาก่อน
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 13 พฤษภาคม นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)ระบบสรรหา และนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกผู้ดำเนินรายการได้กล่าวถึงสิ่งที่สะท้อนผ่านการพูดจาของ นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ต่อที่ประชุมของสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย เมื่อเดือนสิงหาคม 2550
โดยผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า ไม่ใช่เอเอสทีวีแห่งเดียวที่เห็นว่า พฤติกรรมของนายจักรภพ เป็นปัญหาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่วันนี้สื่อมวลชนฉบับอื่นๆ ต่างมองว่า ทั้งการพูดจา และการแสดงออกของนายจักรภพ มันเข้าข่ายในลักษณะสะท้อนถึงความต้องการเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ควรตรวจสอบข้อเท็จจริง
แต่เท่าที่เห็นนายสมัคร กลับออกมาปกป้องนายจักรภพ แล้วพูดผ่านรายการ “สนทนาประสาสมัคร” อ้างว่าคนหัวเถิก เป็นคนสร้างเรื่องให้วุ่นวาย คนหัวเถิกในที่นี้นายสมัครน่าจะหมายถึงนายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา ซึ่งเป็นคหบดีที่มีความจองรักภักดีมากที่สุดคนหนึ่ง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้ออกมามีดำเนินการเพื่อให้มีการปิดเว็บไซต์แห่งหนึ่งที่มีชื่อในความหมายว่ารู้ทันราชวงศ์จักรี เผยแพร่ข้อเขียนที่ไม่บังควร ไปทั่วประเทศติดต่อกันเป็นเวลานานนับเดือนโดยที่รัฐบาลไม่ดำเนินการอะไร
นายคำนูณได้อ้างถึงบทความที่ถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์ ฉบับวันที่ 13 พฤษภาคม ที่เห็นว่า แท้จริงคนที่นายสมัคร เรียกว่า “ไอ้หัวเถิก” คือคนที่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อลบทิ้งข้อเขียนที่ไม่เหมาะสมออกจากสาระบบเว็บไซต์ในประเทศไทย
บทความดังกล่าวยังระบุอีกว่า คนที่ได้เห็นเนื้อหาของบทความชิ้นนั้น เหมือนกับผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้ ได้เห็นทั่วกัน แล้วเกิดความรู้สึกไม่สบายใจ และไม่คิดว่าเรื่องทุเรศๆ อย่างนี้ จะมีออกมาในประเทศ เมื่อพบเห็นก็ต้องเชิญผู้เกี่ยวข้องมาสอบถาม เพื่อให้มีการ ปิดแบบปัจจุบันทันด่วน กับเว็บไซต์ตัวนี้ ไม่เฉพาะ ผบ.ตร.คนที่นายสมัคร พูดถึงว่าไปพบคนหัวเถิก แม้แต่ นายมั่น พัธโนทัย รมว.ไอซีที และ นายสือ ล้ออุทัย ปลัดฯ ไอซีที ก็ถูกเชิญเข้าพบ เพราะทั้งหมดมีหน้าที่ด้านนี้โดยตรง
แต่ก็อย่างที่บางกอกทูเดย์รายงาน คนพวกนี้ไร้น้ำยาและมิอาจจะ สั่งปิดเว็บไซต์อุบาทว์ๆ อย่างนี้ได้ ก็ได้ “ไอ้หัวเถิก” นี่แหละ ที่ช่วยกันคิดหาหนทางเพื่อปิดเว็บไซต์เหล่านั้นออกไปโดยเร็ว หลังจากใช้ความพยายามประสานไปยังผู้บริหารระดับสูงของ JI-Net ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตัวเองตกเป็นเครื่องมือของ แก๊งอุบาทว์ สุดท้ายเว็บไซต์และข้อเขียนชิ้นนั้นก็ถูกลบทิ้งออกไปจากสารบบเว็บไซต์ของเมืองไทย ได้ เมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา
นายคำนูณ กล่าวต่อว่า เสียดายที่นายสมัครซึ่งได้รับข้อมูลนี้จากพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่รูปหนึ่ง แต่กลับไม่อ่านให้ชัดถ้อยกระทงความ และไม่ทำการตรวจสอบด้วยซ้ำ ทำให้คนหัวเถิกต้องเหนื่อย เชิญให้ใครต่อใครมาพบ ก็เพื่อให้ช่วยกันหาทาง ปิดเว็บไซต์ ที่มีบทความอุบาทว์ๆ นั่นเอง และถ้านายสมัครไม่ยอมทำอะไร คนหัวเถิกคนนี้ก็คงต้องเหนื่อยเพิ่มอีกเป็น 10 เท่า
ขณะเดียวกัน ผู้ดำเนินรายการยังเห็นด้วยกับกรณีที่บทความดังกล่าวเรียกร้องให้นายสมัคร นำต้นฉบับคำพูดภาษาอังกฤษพร้อมคำแปลภาษาไทยของนายจักรภพมาเผยแพร่ผ่านสถานีโทรทัศน์ NBT ให้คนส่วนใหญ่ของประเทศได้รับรู้รับฟัง อย่าปกป้องคนผิด อีกทั้งจะได้ชัดเจนเสียทีว่า ตรรกะที่กล่าวหา นายสนธิ ลิ้มทองกุล (ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ) และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยใช้สถาบันเป็นเครื่องมือมาเป็นข้ออ้างในการทำลายล้างทางการเมืองนั้น เป็นข้อกล่าวหาที่ผิด รัฐบาลจงใจโกหก นายสมัคร จะนิ่งเฉยกางปีกปกป้องนายจักรภพอยู่อีกหรือไม่
** ยัดข้อหา “ดาวสยามยุคใหม่” ไม่แฟร์
จากนั้น ผู้ดำเนินรายการ ได้กล่าวถึงกล่าวกรณีที่สื่อมวลชนเครือผู้จัดการ ถูกกล่าวจากนักวิชาการบางคน โดยเฉพาะนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่อ้างว่าเครือผู้จัดการกำลังจุดชนวนให้เกิดความรุนแรง เหมือนกรณีหนังสือพิมพ์ดาวสยามและสถานีวิทยุยานเกราะ ขยายความ"ละคอนแขวนคอ"จนนำไปสู่ความรุนแรงในช่วงวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ว่า เป็นการกล่าวหาอย่างชนิดที่เรียกว่าไม่เป็นธรรม เป็นการจับเอาความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากรายการวิทยุ Metro Life ซึ่งภายหลังก็มีการประกาศขอโทษแสดงความรับผิดชอบอย่างเป็นเรื่องเป็นราวไปแล้ว ไปขยายความต่อ
ดังนั้น การที่นายสมศักดิ์กล่าวหาว่าเครือผู้จัดการกุเรื่องขึ้น โดยที่ไม่ได้สืบค้นไปถึงต้นตอที่มาของข่าว จึงไม่ถูกต้อง เป็นการกล่าวหาสื่อมวลชนเครือผู้จัดการอย่างไม่แฟร์ เพราะทุกเรื่องที่นำเสนอเกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะหากจะดูบทความในเว็บไซต์ฟ้าเดียวกัน ที่นำบทความที่มีเนื้อหาหมิ่นแหม่ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจนไปเผยแพร่ และขณะนี้ก็ยังเผยแพร่อยู่ รวมทั้งตีพิมพ์ในนิตยสารฟ้าเดียวกัน โดยยังคงมีวางจำหน่ายตามแผง ก็จะเห็นว่า การกระทำในลักษณะหมิ่นเหม่มีอยู่จริง รัฐบาลต้องดำเนินการ อย่าปล่อยให้เสรีภาพเกินขอบเขต และนายสมัครต้องไม่รักสถาบันแต่ปากเท่านั้น
**ย้ำชัดฝ่ายไทยยกเขาพระวิหารต่อรองขุดก๊าซ
ต่อมา ผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงกระแสข่าวการนำอธิปไตยบนเขาพระวิหารไปแลกกับผลประโยชน์ด้านแหล่งพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชาว่า ประเด็นนี้ ก็ไม่ได้มีเฉพาะเครือผู้จัดการ หรือนายสนธิเท่านั้นที่พูด ล่าสุด หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ได้นำเสนอข่าวโดยอ้างจากหนังสือพิมพ์กัมพูชาเดลีย์ ซึ่งได้สัมภาษณ์นายจาม ประสิทธิ รัฐมนตรีพาณิชย์ของกัมพูชา ยืนยันว่า ฝ่ายไทยพยายามยกเอาเรื่องเขาพระวิหารไปเชื่อมโยงกับการเจรจาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชาจริง
นอกจากนี้ เรื่องดังกล่าว ยังถูกตั้งข้อสังเกตมาตั้งแต่เดือนเมษายน โดยบทความเรื่อง “นัยจากการดวล “วงสวิง” ที่กัมพูชา” เขียนโดยนายทรงฤทธิ์ โพนเงิน ในคอลัมน์ Mekong Corridor ของเนชั่นสุดสัปดาห์ ที่ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีน่าจะได้พูดคุยกับสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ระหว่างการตีกอล์ฟด้วยกัน ก่อนที่นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ที่เคยเป็นทนายให้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางไปเจรจากับนายซ็อกอัน รัฐมนตรีประคณะรัฐมนตรีของกัมพูชา
ทั้งนี้ บทความดังกล่าวระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้เจรจาเรื่องนี้ตั้งแต่ก่อนถูกยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 โดยครั้งนั้นสามารถ ทำบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) เรื่องการสำรวจและแบ่งปันเขตแดนด้วยกันเรียบร้อยแล้ว
นายคำนูณ กล่าวว่า ในช่วงนั้น พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ระหว่างดำเนินแผนการผ่องถ่ายธุรกิจจากโทรคมนาคมไปสู่พลังงาน สังเกตจากการเดินทางไปพบประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียก่อนหน้านี้ ความพยายามยึดทีพีไอ และจิ๊กซอว์ที่สำคัญคือ การแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) นำมาสู่การขายหุ้นชินคอร์ปฯ 73,000 ล้านบาท แต่เหมือนเหตุการณ์ไม่เป็นใจ เมื่อศาลปกครองตัดสินว่ากฎหมายที่เกี่ยวกับการแปรรูป กฟผ.เป็นโมฆะ
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวอีกว่า การเจรจาเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชานั้นมีปัญหาอยู่ 3 จุดหลักๆ คือ บริเวณเขาพระวิหาร ซึ่งกัมพูชาจะเสนอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ขณะที่ไทยก็ต้องการมีส่วนร่วม จุดต่อมาคือพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติ โดย พ.ต.ท.ทักษิณพยายามเข้ามาเกี่ยวข้องโดยดึงเอานายโมฮัมเหม็ด อัลฟาเยด มหาเศรษฐีเจ้าของห้างแฮร์รอด เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และอีกจุดคือ เกาะกูด ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการจะให้เป็นที่ตั้งคลังน้ำมัน และจุดเปลี่ยนถ่าย
อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องเขตแดนนี้ จะทำกันลับๆ ล่อๆ ไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับการย้ายอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายหรือไม่ แต่การที่ปลัดกระทรวงการต่างประเทศเขียนจดหมายเปิดผนึกยกย่องอธิบดีคนดังกล่าวและให้ข้าราชการยึดเป็นแบบอย่างก็น่าจะมีนัยอยู่พอสมควร
ผู้ดำเนินรายการ ย้ำว่า ประเด็นไม่ใช่เครือผู้จ่ายการเจ้าเดียวเท่านั้นที่เป็นห่วง แต่หนังสือพิมพ์อย่างโพสต์ทูเดย์ที่เคยวิพากษ์วิจารณ์นายสนธิมาก่อนก็ยังเกาะติดเรื่องนี้ รวมทั้งอีกหลายฝ่าย ซึ่งอาจคิดไม่เหมือนกับพันธมิตรฯ แต่มีความเป้นห่วงในเรื่องเดียวกัน
** “เหวง” แห้ว 1.5 ชื่อ ยื่นแก้ รธน.ไม่ได้
ในช่วงท้ายรายการ นายคำนูณได้เปิดเผยว่า กรณีที่คณะกรรมการประชาชนเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 (คปพร.) นำโดย น.พ.เหวง โตจิราการ ได้ล่ารายชื่อประชาชน 150,000 รายชื่อ เพื่อยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามแนวทางที่กำหนดในมาตรา 291 (1) นั้น ล่าสุด นางสาวรสนา โตสิตระกูล ส.ว.กรุงเทพฯ และ ส.ว.อีกจำนวนหนึ่งได้เข้าชื่อกันยื่นเรื่องต่อนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ให้เสนอต่อตุลาการรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่า การเข้าชื่อดังกล่าวจะเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญได้หรือไม่
เรื่องนี้ นายประสพสุขได้ทำเรื่องของคำแนะนำจากคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายประธานวุฒิสภา ซึ่งคณะกรรมการที่ปรึกษาฯ ได้สรุปผลออกมาแล้วว่า การเข้าชื่อประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญยังไม่สามารถทำได้ เนื่องจากมาตรา 291(1) นั้น ระบุว่า การเข้าชื่อเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญของประชาชนนั้น ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อของประชาชนเพื่อเสนอกฎหมาย ซึ่งกฎหมายดังกล่าวยังไม่มีการบัญญัติออมา แต่มีกฎหมายในลักษณะเดียวกันคือ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อประชาชนฯ พ.ศ.2542 ซึ่งออกมาตามรัฐธรรมนูญปี 2540 แต่กฎหมายฉบับนี้ก็ระบุเฉพาะการเข้าชื่อประชาชนเพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติเท่านั้น ไม่ใช่การเข้าชื่อเพื่อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 1
( 56 k ) | ( 256 K )
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 2
( 56 k ) | ( 256 K )