1. “พปช.”เร่งล้ม รธน.ปี’50 -ขีดเส้นได้ รธน.ใหม่ใน 5 เดือน ด้าน “ประเวศ”เตือน ระวังสังคมระเบิด!
ความเคลื่อนไหวกรณีพรรคพลังประชาชนจะเร่งแก้ รธน.2550 โดยยืนยัน จะแก้ทั้งฉบับ พร้อมยึด รธน.ปี 2540 เป็นหลัก ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากพรรคพลังประชาชนจะตอกย้ำการแก้ รธน.เพื่อประโยชน์ส่วนตนด้วยการยืนยันแก้มาตรา 237 และ 309 แล้ว ยังสะท้อนว่าพรรคพลังประชาชนต้องการแทรกแซงองค์กรอิสระเพื่อประโยชน์ของตน โดยจะใส่บทเฉพาะกาลลดอายุ กกต.และ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบันลงด้วย เพื่อให้มีการสรรหา กกต.และ ป.ป.ช.ใหม่ภายใน 180 วันหลัง รธน.ฉบับใหม่บังคับใช้ จึงยิ่งก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กว้างขวางมากขึ้น กระทั่งพรรคพลังประชาชนต้องออกมาเปลี่ยนเกมตั้งรับใหม่ โดยนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ พรรคพลังประชาชน 1 ในคณะอนุกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล) บอก(21 เม.ย.)ว่า ได้ยกเลิกพิมพ์เขียวรัฐธรรมนูญที่เคยพูดไปแล้ว เพราะที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ มีมติว่า ทุกอย่างจะไปเริ่มต้นใหม่หมดในชั้นกรรมาธิการในสภา พร้อมปฏิเสธข้อเสนอของหลายฝ่ายที่แนะว่า ถ้าจะแก้ รธน.ควรจะมีการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.)ที่มาจากทุกภาคส่วนในสังคมให้เป็นผู้ยกร่าง รธน. โดยนายวรวัจน์ ยืนยัน ไม่จำเป็นต้องมี ส.ส.ร. เพราะจะทำให้ต้องแก้ รธน.ถึง 2 ชั้น คือต้องขอแก้ไข รธน.มาตรา 291 ก่อน แล้วถึงจะแก้ไข รธน.จริงๆ ได้ ขณะที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะอนุกรรมการยกร่างแก้ไข รธน.ของพรรคพลังประชาชน ก็ไม่เห็นด้วยกับการตั้ง ส.ส.ร.มายกร่าง รธน.ใหม่เช่นกัน โดยชี้ว่า จะทำให้เสียเวลาช้าไปกันใหญ่ โดยเฉพาะที่มาของ ส.ส.ร. ด้านนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ก็ไม่เห็นด้วยเช่นกันกับการตั้ง ส.ส.ร.โดยบอก ในช่วงที่ตนเป็นนายกฯ กว่าจะตั้ง ส.ส.ร. กว่าจะร่าง รธน.เสร็จก็ใช้เวลา 3-4 ปี หากต้องใช้เวลานานขนาดนั้นก็จบกันพอดี ไม่ทันต่อเหตุการณ์ เพราะบางเหตุการณ์มีปัญหาที่ต้องแก้ รธน.ฉบับนี้เสียก่อน จะให้รอตรงนั้นคงไม่ได้ ขณะที่ 30 คณาจารย์จากหลายสถาบัน(เช่น อ.นฤมล ทับจุมพล แห่งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ) ได้ประชุม(22 เม.ย.)และมีมติว่า การจะแก้ รธน.ทั้งฉบับ ควรเปิดโอกาสให้สังคมได้มีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง ดังนั้น ต้องแก้มาตรา 291 ก่อน เพื่อให้ ส.ส.ร. มายกร่าง รธน.ใหม่ ทางด้านชมรม ส.ส.ร.50 นำโดยนายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีตรองประธานสภาร่าง รธน.2550 ได้ออกแถลงการณ์(22 เม.ย.)เรียกร้องให้ ส.ส.หยุดหรือชะลอการขอแก้ รธน.ที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ส่วนตนออกไปก่อน จนกว่าการพิจารณาคดี(เช่น ยุบพรรค)ที่กำลังดำเนินการอยู่จะแล้วเสร็จ ส่วนกรณีที่พรรคพลังประชาชนจะแก้ รธน.โดยดึงสำนักงานอัยการสูงสุดกลับมาอยู่ใต้สังกัดของฝ่ายบริหารอีกครั้ง ทั้งที่ รธน.2550 คุ้มครองให้สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นองค์กรอิสระในการพิจารณาคดีนั้น ปรากฏว่า เริ่มมีปฏิกิริยาจากทางอัยการ โดยนายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ชี้(22 เม.ย.)หากรัฐบาลแก้ รธน.โดยตัดองค์กรอัยการออกจาก รธน. อัยการทุกคนคงไม่เห็นด้วย และว่า นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด ก็เห็นว่า เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้วที่ รธน.2550 คุ้มครองให้องค์กรอัยการมีอิสระเหมือนศาล นายธนพิชญ์ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การจะให้อัยการกลับไปอยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงยุติธรรมซึ่งเป็นฝ่ายบริหารนั้น รัฐบาลกำลังขู่หรือต่อรองให้อัยการช่วยเหลือทางคดี เพื่อแลกกับการให้อัยการได้อยู่ใน รธน.ต่อไปเหมือนที่สื่อได้วิเคราะห์หรือไม่ ด้านนายสุขุมพงศ์ โง่นคำ รองประธานคณะอนุกรรมการยกร่างแก้ไข รธน.พรรคพลังประชาชน เผยความคืบหน้าการแก้ รธน.(23 เม.ย.)ว่า ขณะนี้ได้ยกร่าง รธน.ใหม่ทั้งฉบับและแก้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว โดยมีการแก้ไขเกือบทั้งฉบับ ยกเว้นหมวด 1 (บททั่วไป)และหมวด 2 (เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์) ส่วนหมวด 3-12 ให้ยก รธน.ปี 2540 มาใช้เลย ส่วนบทเฉพาะกาลคือ องค์กรอิสระทั้งหมดที่อยู่ในตำแหน่งตอนนี้ จะให้อยู่อีก 180 วัน แล้วมีการสรรหาใหม่ อย่างไรก็ตาม นายสุขุมพงศ์ อ้างว่า เรื่องนี้สามารถแก้ได้ในชั้นกรรมาธิการและสภา โดยอนุกรรมการได้ส่งต้นร่างให้พรรคร่วมรัฐบาลแล้ว และจะยื่นร่างให้ประธานรัฐสภาภายในเดือน เม.ย. และพิจารณาวาระ 1 ในสมัยประชุมนี้ ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า พรรคพลังประชาชนได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์การแก้ไข รธน.ด้วย(10 คน) โดยมีนายสุนัย จุลพงศธร เป็นประธาน โดยคณะกรรมการดังกล่าวได้เผยกรอบเวลาในการแก้ รธน.ว่า ไม่เกินวันที่ 10 พ.ค.จะเสนอเรื่องต่อสภา ,กลางเดือน พ.ค.นำเรื่องพิจารณาบรรจุวาระ ,กลางเดือน มิ.ย.พิจารณาวาระ 2 ,เดือน ก.ค.เข้าสู่วาระ 3 และให้เวลา 15 วันในการลงมติรับร่างครั้งสุดท้ายประมาณ 30 ก.ย. โดยพรรคพลังประชาชนประเมินว่า ประมาณวันที่ 10 ต.ค. จะสามารถทูลเกล้าฯ ร่าง รธน.ฉบับแก้ไข รธน.2550 เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยได้ ด้านนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ ได้ส่งสัญญาณว่า หลังแก้ รธน.เสร็จ จะมีการยุบสภาและมีการเลือกตั้งใหม่ โดยยืนยันว่า การแก้ รธน.เป็นการทำเพื่ออนาคต เพราะรัฐบาลนี้อาจไม่ได้ใช้ รธน. เมื่อแก้ รธน.เสร็จแล้วจะมีการเลือกตั้งใหม่ รัฐบาลต่อไปจึงจะเป็นผู้ใช้ รธน. พร้อมเชื่อ การแก้ รธน.จะไม่มีปัญหา เพราะรัฐบาลมีเสียงข้างมาก ทั้งนี้ นายสมัครได้นัดหารือเรื่องแก้ รธน.กับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลในวันที่ 28 เม.ย.นี้ ขณะที่พรรคเพื่อแผ่นดินได้แสดงความข้องใจว่า ร่างแก้ไข รธน.ของพรรคพลังประชาชนใช้มาตรฐานจากอะไร เช่น กำหนดให้ กกต.-ป.ป.ช.และคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน(คตง.)อยู่ในตำแหน่งได้อีก 180 วัน จากนั้นให้สรรหาใหม่ แต่กำหนดให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาชุดปัจจุบันทำหน้าที่ต่อไปได้ จึงเกิดคำถามว่า ใช้มาตรฐานอะไรในการกำหนดให้องค์กรใดอยู่ต่อ องค์กรใดยกเลิก และแม้ร่างแก้ไข รธน.ของพรรคพลังประชาชนจะเลียนแบบ รธน.ปี 2540 แต่บางอย่างกลับจะไม่ยึดของปี 2540 เช่น กำหนดให้นายกฯ และรัฐมนตรีไม่ต้องพ้นจากจากการเป็น ส.ส.ภายใน 30 วันนับจากได้รับแต่งตั้งเป็นฝ่ายบริหาร ทั้งที่ถ้าเลียนตาม รธน.ปี 2540 นายกฯ และรัฐมนตรีต้องพ้นจากการเป็น ส.ส.ภายใน 30 วัน เป็นต้น ด้าน นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ได้ออกมาเตือนถึงสถานการณ์การเมืองเรื่องแก้ รธน.ว่า เวลาที่เกิดความขัดแย้ง ให้นึกถึงลูกระเบิด สังคมใดที่ตึงเครียดมากๆ จะระเบิดออกไปเป็นรูปแบบต่างๆ เช่น สงคราม หรือการปฏิวัติ ถ้าสังคมมีคุณภาพ มีเครื่องมือในการขจัดความขัดแย้ง ก็จะหาทางออกได้ดี แต่วันนี้สังคมไทยไม่มีเครื่องมือเหล่านั้นเลย จึงหาทางออกยาก
“พลังแม้ว” ดิ้นพล่าน โหมแก้ รธน.จ่อโละทิ้ง “ป.ป.ช.-กกต.”
2. “พันธมิตรฯ”ชี้ ไม่เกิน พ.ค.นี้ ชุมนุมใหญ่ต้านแก้ รธน. ด้าน “ม็อบป่วน”ถ่อยไม่เลิก-ปาขวดใส่นักข่าว!
เมื่อวันที่ 25 เม.ย. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้จัดสัมมนาประชาชนติดอาวุธทางปัญญา “ยามเฝ้าแผ่นดินภาคพิเศษ ครั้งที่ 2” ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีประชาชนเข้าร่วมงานจนล้นหอประชุมใหญ่อีกครั้ง สำหรับกิจกรรมในงาน นอกจากจะมีปูชนียบุคคลมาอำนวยพรปีใหม่พร้อมเตือนสติสังคมไทย เช่น อ.ปราโมทย์ นาครทรรพ และ พล.อ.สายหยุด เกิดผล แล้ว ยังมีการอภิปรายเรื่อง “ทางออกประเทศไทย “วิกฤต”หรือ “โอกาส” และการอภิปรายเรื่อง แก้รัฐธรรมนูญ 50 เพื่อใคร? ประชาชนได้อะไร? ต่อด้วยลำตัดการเมือง ลำตัดวรรณศิลป์ธรรมศาสตร์ ที่เรียกเสียงฮาได้ไม่แพ้งิ้วธรรมศาสตร์ในงานสัมมนาครั้งก่อน ส่วนไฮไลต์ซึ่งอยู่ที่ 5 แกนนำพันธมิตรฯ ขึ้นพูดบนเวทีนั้น ที่น่าสนใจได้แก่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ออกมาแฉว่า การล้ม รธน.2550 ครั้งนี้ เกิดจากกระบวนการ 3 ประการ คือ กระบวนการทำลายสถาบันอย่างต่อเนื่องมากว่า 3 ปีจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการทำพิธีในวัดพระแก้ว กรณีเว็บไซต์มนุษยด็อทคอมโจมตีสถาบัน หรือกลุ่มนักการเมืองฝ่ายซ้ายที่อกหัก โดยนายสนธิ ตั้งข้อสังเกตกรณีที่สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที(ช่อง 11 เดิม)ทำสกู๊ปการโค่นล้มสถาบันกษัตริย์ในประเทศเนปาลด้วยว่า เจตนาต้องการอะไรกันแน่ รวมทั้งกรณีที่เว็บไซต์ไฮ-ทักษิณโจมตีสถาบัน และว่า นอกจากกระบวนการดังกล่าวแล้ว ยังมีนักการเมืองชั่วแถวบุรีรัมย์และเชียงรายเข้ามาผสมโรงด้วย เพียงเพราะต้องการอำนาจและความร่ำรวย นอกจากนี้ยังมีอีกกลุ่ม ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่รู้ประวัติศาสตร์และถูกล้างสมองเรื่องสถาบันกษัตริย์ จนนำไปสู่กรณีมีนักศึกษาคนหนึ่ง(แนวร่วม นปก.)ถึงกับไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงหนัง แล้วนำไปสู่การถูกจับกุมดำเนินคดี หรือแม้แต่กรณีที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกฯ ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นองคมนตรีอีกครั้ง แต่กลับมีกลุ่ม นปก.ไปยื่นถวายฎีกาคัดค้าน ซึ่งทำเสมือนเป็นการละเมิดพระราชอำนาจ นายสนธิ ยังชี้ด้วยว่า ไม่เคยมีครั้งไหนที่สถาบันสูงสุดถูกลบหลู่เท่ายุคพรรคไทยรักไทยต่อเนื่องมาจนถึงรัฐบาลพรรคพลังประชาชน และว่า หากรัฐบาลพรรคพลังประชาชนแก้ รธน.สำเร็จ จะมีการยุบสภา และจะได้รับเลือกตั้งกลับมาใหม่ด้วยเสียง 300-400 เสียง เมื่อถึงตอนนั้น รัฐบาลพรรคพลังประชาชนอาจจะมีการแก้ไข รธน.ในหมวดที่ 1 (บททั่วไป) และ 2(เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์) ก็เป็นได้ ดังนั้น การต่อสู้ของพันธมิตรฯ ครั้งนี้ เป็นศึกที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต เป็นความอยู่รอดของบ้านเมือง ถ้าต้องการรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราต้องสู้ จะถอยไม่ได้ ด้านนายสมศักดิ์ โกศัยสุข 1 ในแกนนำพันธมิตรฯ ประกาศบนเวทีว่า การสัมมนาครั้งนี้ จะเป็นการสัมมนาครั้งสุดท้าย ก่อนจะประกาศชุมนุมใหญ่ในวันที่รัฐบาลยื่นญัตติแก้ไข รธน.โดยเชื่อว่า ไม่เกินเดือน พ.ค.นี้ จะได้ชุมนุมกันบนท้องถนนแน่นอน นายสมศักดิ์ ยังเตือนสติพรรคร่วมรัฐบาลด้วยว่า ควรตรึกตรองให้ดีถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หากยอมร่วมหัวจมท้ายกับรัฐบาลในการแก้ รธน. ทั้งนี้ ขณะที่งานสัมมนาของพันธมิตรฯ ดำเนินไป ปรากฏว่า ที่สนามหลวง บริเวณป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มีม็อบต้านพันธมิตรฯ ประมาณ 400 คน ประกอบด้วย กลุ่ม นปก. ,กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ ,กลุ่มพลังประชาธิปไตยต่อต้านกลุ่มพันธมิตรฯ มาปักหลักโจมตีกลุ่มพันธมิตรฯ ด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ส่งผลให้จ้าหน้าที่ต้องยกเลิกป้ายดังกล่าว ห้ามรถเมล์จอดรับ-ส่งผู้โดยสาร พร้อมนำรถบรรทุกขนาดใหญ่มาจอดกั้น และนำแผงเหล็กมากั้น 2 ชั้น เพื่อไม่ให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่าง 2 ฝ่าย ทั้งนี้ ไม่เพียงม็อบต้านพันธมิตรฯ จะปักหลักโจมตีที่ฝั่งสนามหลวงตรงข้ามประตูทางเข้าธรรมศาสตร์ แต่ยังขยายแนวรุกไปปิดล้อมประตูทางเข้าธรรมศาสตร์ฝั่งท่าพระจันทร์ด้วย ไม่เท่านั้น ผู้ชุมนุมบางคนยังแสดงพฤติกรรมถ่อยลามกอนาจารใส่เจ้าหน้าที่ ด้วยการงัดอวัยวะเพศโชว์โดยไม่อายสายตาใคร ทั้งนี้ บรรยากาศการก่อกวนยั่วยุของกลุ่มต้านพันธมิตรฯ ได้ก่อให้เกิดความวุ่นวาย โดยมีการขว้างปาสิ่งของใส่กันระหว่าง 2 ฝ่ายในบางขณะ ด้านนายเสรี อูมา ช่างภาพสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ซึ่งกำลังหน้าที่ถ่ายภาพเหตุการณ์อยู่บริเวณป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ถูกม็อบต้านพันธมิตรฯ ปาขวดใส่ โดยถูกบริเวณเหนือคิ้วจนแตกเลือดไหล เจ้าหน้าที่ต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล และผลจากการที่ม็อบต้านพันธมิตรฯ พยายามปิดล้อมประตูเข้า-ออกธรรมศาสตร์ทั้งฝั่งสนามหลวงและท่าพระจันทร์ ส่งผลให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาส่วนใหญ่ต้องเปลี่ยนไปออกทางประตูฝั่งใกล้ถนนพระอาทิตย์แทน
ยามเฝ้าแผ่นดินภาคพิเศษ : แฉ 3 ประสานระบอบทักษิณเจตนาล้ม รธน.-สถาบัน
“สนธิ” แฉ 3 ประสานระบอบทักษิณเจตนาล้ม รธน.-สถาบัน
3. “ศาลอุทธรณ์”พิพากษายืนจำคุก “3 อดีต กกต.”4 ปี คดีจัดเลือกตั้งช่วย ทรท.!
เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ศาลอาญา ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีที่นายถาวร เสนเนียม รองเลขธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง 3 อดีต กกต. ประกอบด้วย พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ,นายปริญญา นาคฉัตรีย์ และนายวีระชัย แนวบุญเนียร ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2541 มาตรา 24 และ 42 สืบเนื่องจากอดีต กกต.ทั้งสาม ได้ร่วมกันจัดการเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตรอบใหม่โดยเปิดรับสมัครใหม่เมื่อวันที่ 23 เม.ย.2549 ทั้งที่ไม่มีอำนาจ นอกจากนี้ 3 อดีต กกต.ยังออกหนังสือเวียนถึงผู้อำนวยการการเลือกตั้ง(ผอ.กต.)เขต ให้รับผู้สมัครรายเดิมที่สอบตกในการเลือกตั้งวันที่ 2 เม.ย.สามารถลงสมัครใหม่ได้โดยย้ายเขตเลือกตั้งในการเลือกตั้งวันที่ 23 เม.ย. ทั้งที่กฎหมายไม่อนุญาตให้ผู้สมัครเวียนเทียนลงสมัครใหม่ได้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อพรรคไทยรักไทยให้มีคู่แข่งและได้รับเลือกตั้งโดยไม่ต้องได้รับคะแนนถึงเกณฑ์ 20% ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่า จำเลยทั้งสามกระทำผิดตามฟ้องจริง ให้จำคุกคนละ 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี ส่วนที่จำเลยทั้งสามอุทธรณ์เพื่อให้มีการปรานีลดหย่อนโทษและรอการลงโทษโดยอ้างว่า ทั้งสามได้ประกอบคุณงามความดี รับราชการด้วยความวิริยะอุตสาหะ อีกทั้งได้ดำรงตำแหน่งหน้าที่สำคัญมาก่อนนั้น ศาลเห็นว่า การที่จำเลยทั้งสามรับราชการจนได้รับตำแหน่งที่สำคัญมาก่อน เป็นคุณสมบัติข้อหนึ่งที่ทำให้จำเลยทั้งสามได้รับเลือกเป็น กกต. อย่างไรก็ตาม บุคคลที่จะมาเป็น กกต.ได้ตาม รธน.2540 มาตรา 136 บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภาที่พิจารณาเลือก กกต.จากผู้ที่มีความเป็นกลางทางการเมืองและมีความซื่อสัตย์สุจริตจนเป็นที่ประจักษ์ โดยหวังให้เป็นคณะกรรมการที่จะดำเนินการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์เที่ยงธรรมเป็นที่พึ่งของชาติบ้านเมือง และรักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข แต่การดำเนินการจัดการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย.2549 ของจำเลยทั้งสาม กลับดำเนินการเลือกตั้งที่สร้างความแตกแยกให้กับประเทศชาติบ้านเมืองอย่างที่สุด และเกิดปรากฏการณ์ต่อต้านการทำงานของจำเลยทั้งสามอย่างไม่เคยมีมาก่อน ด้วยเหตุนี้ ศาลจึงเห็นว่า การที่จำเลยทั้งสามมีประสบการณ์เคยดำรงตำแหน่งสำคัญมาก่อน จนมีคุณสมบัติตามวัตถุประสงค์ของรัฐธรรมนูญได้เป็น กกต. แต่กลับไม่ได้ใช้ประสบการณ์สร้างความสงบสุขหรือช่วยระงับวิกฤตที่เกิดขึ้นในชาติบ้านเมืองหรือดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ จนสร้างวิกฤตให้ใหญ่มากขึ้น ศาลจึงเห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสามไม่มีเหตุปรานีลดโทษตามที่ขอ การที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจกำหนดโทษให้จำคุกจำเลยทั้งสามเป็นเวลา 4 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปีจึงชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษายืน หลังฟังคำพิพากษา พล.ต.อ.วาสนา ,นายปริญญา และนายวีระชัย ได้ใช้หลักทรัพย์ขอประกันตัว ซึ่งศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวโดยตีราคาประกันคนละ 4 แสนบาท โดยจำเลยทั้งสามจะสู้ในชั้นฎีกาต่อไป ทั้งนี้ วันต่อมา(25 เม.ย.) ศาลอาญาได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีที่ 3 อดีต กกต.ดังกล่าวถูกฟ้องอีก 1 คดี คือคดีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ฟ้อง พล.ต.อ.วาสนา ,นายปริญญา และนายวีระชัย ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2541 มาตรา 24 และ 42 จากกรณีที่อดีต กกต.ทั้งสามไม่เร่งสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีมีการร้องเรียนว่าพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็ก ทั้งที่ระเบียบ กกต.ว่าด้วยการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงและการวินิจฉัย พ.ศ.2542 กำหนดให้ต้องมีการสืบสวนสอบสวนโดยพลันเมื่อได้รับเรื่องร้องเรียน โดยคดีนี้ ศาลชั้นต้นได้พิพากษาเมื่อวันที่ 15 ก.ย.2549 ว่า จำเลยทั้งสามกระทำผิดจริง ให้จำคุกคนละ 3 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี แต่เนื่องจากข้อเท็จจริงที่จำเลยได้นำสืบเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา จึงมีเหตุบรรเทาโทษ เห็นควรลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 2 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี อย่างไรก็ตามเมื่อถึงวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีนี้(25 เม.ย.) ปรากฏว่า มีจำเลยเดินทางมาศาลแค่ 2 คน คือ พล.ต.อ.วาสนา และนายปริญญา ส่วนนายวีระชัย ไม่ยอมมา โดยอ้างว่าป่วย พร้อมให้อัยการซึ่งเป็นทนายฝ่ายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนการฟังคำพิพากษา โดยยื่นใบรับรองแพทย์(รพ.บ้านแพ้ว สาขาพร้อมมิตร)เพื่อยืนยันว่า นายวีระชัยป่วยจริง โดยมีอาการท้องเสียอย่างรุนแรง และเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ใบรับรองแพทย์ดังกล่าวไม่ได้ระบุสาเหตุที่นายวีระชัยเดินทางมาศาลไม่ได้ แต่อัยการทนายฝ่ายจำเลย บอกว่า นายวีระชัยป่วยเป็นโรคไตด้วย แพทย์จึงให้นายวีระชัยพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ด้านศาลพิจารณาแล้ว เห็นสมควรให้เลื่อนนัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ออกไปเป็นวันที่ 14 พ.ค.(09.00น.)แทน
“3 หนา” ทำชาติแตกแยกใหญ่หลวง! พิพากษายืนจำคุก 4 ปี !!
“วีระชัย” ท้องเสีย! ขอเลื่อนอ่านอุทธรณ์คดีเอื้อไทยรักไทย
4. “ปชป.”จับโกหก “เฉลิม” ปั้นเหตุผลเท็จขอคืนยศให้ลูก!
เมื่อวันที่ 21 เม.ย. มีรายงานข่าวจากกระทรวงกลาโหม แจ้งว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ ได้ลงนามเห็นชอบให้นายดวง หรือดวงเฉลิม อยู่บำรุง บุตรชาย ร.ต.อ.เฉลิม กลับเข้ารับราชการอีกครั้งในยศเดิม คือ ว่าที่ ร.ต. ทั้งที่นายดวงเคยตกเป็นจำเลยคดีฆ่า ด.ต.สุวิชัย รอดวิมุต หรือดาบยิ้ม ตำรวจกองปราบปราม กระทั่งภายหลังนายดวงได้ถูกสั่งปลดออกจากราชการ พร้อมถอดยศ ทั้งนี้ หลังมีข่าวดังกล่าว ร.ต.อ.เฉลิม ได้ออกมาปฏิเสธ(22 เม.ย.)ว่า ไม่ทราบเรื่องที่บุตรชายขอกลับเข้ารับราชการ โดยบอก นายดวงอายุ 30 แล้ว ทำอะไรก็ไม่ได้ปรึกษาตน ตนจึงไม่ทราบเรื่อง ร.ต.อ.เฉลิม ยังพูดประชดประชันผู้สื่อข่าวที่ถามเรื่องนี้ด้วยว่า นายดวงมียศแค่ว่าที่ ร.ต. แต่นักข่าวกลับสนใจนึกว่าแต่งตั้งแม่ทัพใหม่ ผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่าการที่นายดวงกลับมารับราชการอีกครั้งเป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือไม่ แต่ ร.ต.อ.เฉลิม ตอบไม่ตรงคำถาม โดยบอก นายดวงชอบเป็นทหาร ตำรวจมาตั้งแต่เด็กๆ หากกลับมารับราชการได้จริงๆ จะให้ไปทำความสะอาดกระทรวงกลาโหม ไปขัดปืนใหญ่ทุกกระบอก และรดน้ำต้นไม้หน้ากระทรวงฯ ด้านนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ ได้ออกมายอมรับ(22 เม.ย.)ว่า ได้ลงนามอนุมัติให้นายดวงกลับเข้ารับราชการและมีผลบังคับใช้แล้ว แต่จะไปประจำอยู่ไหนยังไม่ทราบ และว่า นายดวงเป็นทหารคนหนึ่ง เมื่อคดีความต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ขอกลับเข้ารับราชการ ทั้งนี้ คดีที่นายดวงตกเป็นจำเลยฆ่าดาบยิ้มนั้น ศาลอาญาได้พิพากษายกฟ้อง ซึ่งทั้งภรรยาของดาบยิ้มและอัยการไม่ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาภายใน 30 วัน ทำให้คดีสิ้นสุดลง อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า นายดวงมีความผิดฐานหนีทหาร โดยหลังโดนคดีฆ่าดาบยิ้มแล้ว นายดวงได้หนีออกนอกประเทศ โดยไม่รายงานให้ราชการทราบ จึงมีการปลดนายดวงออกจากราชการพร้อมถอดยศในที่สุด ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม ได้ออกมาเผยอีกครั้ง(23 เม.ย.)หลังนายสมัครยอมรับว่า ได้ลงนามเห็นชอบให้นายดวงกลับเข้ารับราชการแล้ว โดยบอก ตนได้ติดยศให้นายดวงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่บ้านพักย่านบางบอน ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อคดีฆ่าดาบยิ้มสิ้นสุดนานแล้ว เหตุใดนายดวงจึงเพิ่งขอกลับเข้ารับราชการ ร.ต.อ.เฉลิม บอก อาจเป็นเพราะนายดวงเห็นพ่อเป็นรัฐมนตรี และเห็นพี่เป็นเลขานุการรัฐมนตรี ตัวเองเลยอยากทำงานบ้าง ทั้งนี้ นอกจาก ร.ต.อ.เฉลิม จะติดยศให้ลูกด้วยตัวเองแล้ว ยังได้จัดเลี้ยงฉลองให้นายดวงที่บ้านพักด้วย โดยจัดโต๊ะจีนกว่า 100 โต๊ะ ใช้ชื่องานว่า “รอคอยมากว่า 7 ปี วันนี้ที่รอคอย” แต่ปรากฏว่า ขณะจัดงาน ได้เกิดฝนฟ้าคะนอง ลมพัดป้ายเวทีพัง เก้าอี้ล้มระเนระนาด เจ้าภาพจึงต้องย้ายเข้าไปจัดภายในบ้านแทน ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาแนะให้ ร.ต.อ.เฉลิมย้อนกลับไปดูว่า นายดวงถูกปลดออกจากราชการเพราะสาเหตุใดแน่ เพราะคดีฆ่าดาบยิ้มหรือหนีทหารเกิน 15 วัน วันต่อมา(24 เม.ย.) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ได้ตั้งกระทู้ถามนายสมัคร กลางที่ประชุมสภาฯ เรื่องการรับนายดวงกลับเข้ารับราชการว่ามีเหตุผลอย่างไร แต่นายสมัครไปราชการที่ประเทศมาเลเซีย ร.ต.อ.เฉลิมจึงตอบแทน โดยชี้แจงว่า หลังนายดวงถูกกล่าวหาว่าร่วมกันฆ่าผู้อื่น พล.อ.สัมพันธ์ บุญญานันต์ ปลัดกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น ได้สั่งพักราชการนายดวงในวันที่ 2 พ.ย.2544 ต่อมา 15 พ.ย.ได้มีคำสั่งปลดนายดวงออกจากราชการ โดยไม่มีการตั้งคณะกรรมการสอบวินัย และหลังปลดออกจากราชการแล้ว ยังมีคำสั่งให้ถอดยศอีก ด้านนายนิพิฏฐ์ ได้จับโกหก ร.ต.อ.เฉลิม โดยบอกว่า พล.อ.ท.วีรวิท คงศักดิ์ เจ้ากรมกำลังพลทหารในขณะนั้น ซึ่งเป็นประธานการสอบสวน เคยให้สัมภาษณ์โดยระบุว่า ที่มีการเสนอถอดยศว่าที่ ร.ต.ดวงเฉลิมในขณะนั้น เพราะว่าที่ ร.ต.ดวงเฉลิมหนีราชการทหาร และทำความผิดวินัยไม่มารายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชา นายนิพิฏฐ์ ยังบอกด้วยว่า ขณะนี้มีการลือกันว่า หลักฐานในการถอดยศและการปลดว่าที่ ร.ต.ดวงเฉลิม ถูกเก็บ ถูกทำลายแล้วด้วยซ้ำ และว่า ก่อนที่จะมีการปลดว่าที่ ร.ต.ดวงเฉลิมนั้น ประธานการสอบสวนมีการประสานไปยัง สน.สุทธิสารว่า ว่าที่ ร.ต.ดวงเฉลิมขาดราชการ 15 วันเพราะอะไร เมื่อเงียบ จึงได้มีคำสั่งปลดว่าที่ ร.ต.ดวงเฉลิมในที่สุด ดังนั้นที่มีการอ้างว่า ให้ออกจากราชการเพราะถูกดำเนินคดีอาญานั้น ไม่จริง แต่เป็นการหนีทหาร หนีราชการ ออกนอกราชอาณาจักรโดยไม่รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม ฟังนายนิพิฏฐ์จับโกหกแล้วเดือด โดยยืนยันว่า ตนไม่รู้จัก พล.อ.ท.วีรวิท(ที่นายนิพิฏฐ์บอกว่าเป็นประธานการสอบสวนว่าที่ ร.ต.ดวงเฉลิม) และไม่ทราบว่ามีการตั้งกรรมการตรวจสอบเรื่องนี้ พร้อมย้ำว่า มีการสั่งพักราชการนายดวงจริง บุตรชายตนจึงไม่ได้ไปทำงาน และหนีไปเพราะกลัว ด้านนายนิพิฏฐ์ ได้ยกระเบียบข้อ 9 ของกระทรวงกลาโหมขึ้นมาพูดเพื่อเตือนสติผู้ที่ให้นายดวงกลับเข้ารับราชการว่า การจะให้คนกลับมารับราชการ ต้องไม่บกพร่องในศีลธรรม และไม่มีมลทินมัวหมอง กรณีนี้นายดวงโดนคดีอาญา ถูกพักราชการ หลบหนีคดี และโดนถอดยศ หากผู้แต่งตั้งกลับเข้ามาบอกว่า ไม่บกพร่องในศีลธรรม แสดงว่าผู้แต่งตั้งน่าจะเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมเอง
“เหลิม” ไม่แคร์อ้างชอบธรรม ใช้บ้านพักติดยศให้ “ลูกดวง” แล้ว
กลาโหมเปิดเอกสารแจงรับ"ลูกดวง"กลับเข้ากรม
5. “ผู้ถือหุ้น อสมท”ต้านรายชื่อบอร์ดชุดใหม่สาย “จักรภพ”-ขู่ฟ้องศาล หากดึงดันตั้งเป็นบอร์ด!1
เมื่อวันที่ 24 เม.ย. บริษัท อสมท จำกัด(มหาชน) ได้จัดประชุมผู้ถือหุ้น โดยมีนายวิทยาธร ท่อแก้ว โฆษกกรรมการบริหาร(บอร์ด)บริษัท เป็นประธานที่ประชุม โดยที่ประชุมได้มีมติแต่งตั้งบอร์ดใหม่แทนที่บอร์ดชุดเดิมที่ถูกจับสลากออกตามวาระจำนวน 4 คน ประกอบด้วย นางดนุชา ยินดีพิธ รอง ผอ.สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง ,นายพงษ์ชัย อมตานนท์ กรรมการบริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ,นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตผู้สมัคร ส.ว.กทม. และนายนัที เปรมรัศมี รองปลัดสำนักนายกฯ หลังที่ประชุมเห็นชอบรายชื่อบอร์ดชุดใหม่ดังกล่าว ปรากฏว่า กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ใน อสมท ได้เสนอวาระจรให้มีการแต่งตั้งบอร์ดชุดใหม่อีกจำนวน 5 คนในส่วนที่ลาออกไปก่อนจะหมดวาระ โดยได้มีการเสนอชื่อนายฤนารถ พระปัญญา สื่อมวลชนอาวุโส ,นายปราโมทย์ โชคศิริกุลชัย อดีตนายกสมาคมอุตสาหกรรมบันเทิงไทยและที่ปรึกษาด้านการตลาด สื่อ และธุรกิจบันเทิง ,นายธงทอง จันทรางศุ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ,นายประสาน หวังรัตนปราณี นักกฎหมาย อดีตผู้บริหารบริษัท ทีพีซี ,นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตปลัดกระทรวงแรงงาน บิดาของนายจารุวงศ์ เรืองสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ(จักรภพ เพ็ญแข) ที่มีข่าวว่าเป็นผู้กำหนดรายชื่อบอร์ดชุดใหม่ทั้ง 9 คนเอง ทั้งนี้ เมื่อกระทรวงการคลังเสนอให้ที่ประชุมเห็นชอบ 5 รายชื่อดังกล่าวโดยเป็นวาระจรที่ผู้ถือหุ้นไม่ทราบมาก่อน ทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยส่วนมากไม่เห็นด้วย และได้มีการลุกขึ้นอภิปรายอย่างรุนแรง พร้อมขอให้เลื่อนการพิจารณาวาระดังกล่าวออกไป ด้านนายวิทยาธร ท่อแก้ว โฆษกบอร์ด อสมท ชี้ว่า กระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ 1 ใน 3 มีสิทธิเสนอวาระอื่นๆ ได้ พร้อมยืนยันรายชื่อที่สรรหามาถูกต้องตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นรายย่อยไม่ยอมรับและขู่จะวอล์กเอ๊าต์ นายวิทยาธร จึงยอมวาระการพิจารณารายชื่อบอร์ดทั้ง 5 ออกไปก่อน ทั้งนี้ นายวิทยาธร ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า โดยอำนาจ บอร์ดสามารถตั้งรายชื่อดังกล่าวเป็นบอร์ดได้ในการประชุมวันที่ 30 เม.ย.นี้ โดยไม่ต้องเสนอรายชื่อเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นอีก ด้านนายพิเชียร อำนาจวรประเสริฐ 1 ในผู้ถือหุ้นรายย่อย อสมท เผย(25 เม.ย.)ว่า รายชื่อดังกล่าวล้วนเป็นฝ่ายการเมืองส่งมา เช่น นายจารุพงศ์ ก็เป็นคนใกล้ชิดนายจักรภพ ขณะที่นายปราโมทย์ ก็ไม่ใช่ผู้เหมาะสมที่จะเข้ามาบริหารงานสื่ออย่าง อสมท ส่วนนายประสาน ก็ไม่ได้อยู่ในแวดวงสื่อมาก่อน ส่วนรายชื่อที่เหลือไม่ได้ติดใจอะไร นายพิเชียร ยังชี้ด้วยว่า หากมีการตั้งทั้ง 5 คนเป็นบอร์ดในการประชุมบอร์ดวันที่ 30 เม.ย.อย่างที่นายวิทยาธรบอก แสดงว่าเป็นการไม่รักษาคำพูดที่ให้ไว้กับผู้ถือหุ้นรายย่อย ที่บอกว่าจะเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นได้พิจารณารายชื่อที่นำเสนอก่อน รวมทั้งจะให้ผู้ถือหุ้นร่วมเสนอรายชื่อผู้สมควรเป็นบอร์ดได้ด้วย นายพิเชียร ยังเตือนด้วยว่า อสมท ไม่ใช่สมบัติของนายจักรภพ ดังนั้นไม่ควรจะส่งใครเข้ามาแทรกแซงหรือครอบงำ อสมท ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่เท่ากับรัฐมนตรีจะสั่งอะไรก็ได้ แล้วก็คงจะปลดนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กก.ผอ.ใหญ่ อสมท อย่างที่เคยมีข่าวก่อนหน้านี้ เท่ากับเป็นการตอกย้ำภาพการแทรกแซงสื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนั้นหากยังมีการเดินหน้าตั้งรายชื่อดังกล่าวเป็นบอร์ด อสมท ผู้ถือหุ้นรายย่อยอาจฟ้องศาลว่าการสรรหาบอร์ดดังกล่าวไม่โปร่งใส.
“พิเชียร” จองกฐินอัด “เพ็ญ” ซัดทำหุ้นร่วง-เสียหายนับ 100 ล.