xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 24ก.พ.-1 มี.ค.2551

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ


1. “ทักษิณ”ได้กลับไทยสมใจแล้ว ด้าน “ศาล”สั่งห้ามออกนอก ปท.!

เมื่อวันที่ 28 ก.พ. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งต้องคดีทุจริตอยู่หลายคดี และได้ใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศเป็นเวลา 1 ปี 5 เดือนหลังเกิดการรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย.2549 ได้ฤกษ์เดินทางจากฮ่องกงกลับมายังประเทศไทยแล้ว โดย พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิในเวลา 9.40น. ซึ่งทันทีที่เดินออกมาจากเครื่องบินพร้อมด้วยนายพานทองแท้ ชินวัตรที่เดินทางมาพร้อมกัน พ.ต.ท.ทักษิณก็ได้โผเข้ากอดคุณหญิงพจมานและลูกๆ ที่ไปรอรับ นอกจากนี้ยังมีรัฐมนตรีหลายคนในพรรคพลังประชาชนและอดีตแกนนำพรรคไทยรักไทยไปให้การต้อนรับเช่นกัน เช่น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ,นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกฯ และ รมว.ศึกษาธิการ น้องเขย พ.ต.ท.ทักษิณ และนายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกฯ เป็นต้น ทั้งนี้ หลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณเดินไปยังห้องรับรอง(วีไอพี)ของสนามบิน ได้ทำเซอร์ไพรส์ต่อหน้าสื่อมวลชนและประชาชนที่ไปรอรับ ด้วยการคุกเข่าก้มลงกราบแผ่นดิน ท่ามกลางเสียงเชียร์ของชมรมคนรักทักษิณ-มอเตอร์ไซค์รับจ้าง และกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการประมาณ 3,000 คนที่ไปให้กำลังใจ จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะจำเลยในคดีซื้อที่รัชดาฯ ที่ถูกศาลออกหมายจับ ได้เดินทางไปรายงานตัวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ท่ามกลางการอารักขาอย่างเข้มงวด โดย พ.ต.ท.ทักษิณนั่งรถกันกระสุน พร้อมทั้งมีรถนำ-รถตามเป็นขบวน หลังรายงานตัวต่อศาล ศาลได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยตีราคาประกัน 8 ล้านบาท แต่กำหนดเงื่อนไขห้าม พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางออกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล นอกจากนี้ยังห้าม พ.ต.ท.ทักษิณกระทำการใดอันเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อคดี มิฉะนั้นจะถอนประกัน ทั้งนี้ ศาลฎีกาฯ ได้นัดพิจารณาคดีซื้อที่รัชดาฯ ครั้งแรกเพื่อสอบคำให้การ พ.ต.ท.ทักษิณในวันที่ 12 มี.ค.นี้(เวลา 9.30น.) หลังได้รับการประกันตัวจากศาลฎีกาฯ แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินทางไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อรายงานตัวตามหมายจับและรับทราบข้อกล่าวหาในคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น โดย พ.ต.ท.ทักษิณให้การปฏิเสธและขอให้การในชั้นศาล ขณะที่อัยการอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว พ.ต.ท.ทักษิณ โดยตีราคาประกัน 1 ล้านบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขให้ พ.ต.ท.ทักษิณรายงานให้อัยการทราบทุกครั้งที่จะเดินทางออกนอกประเทศ โดยอัยการได้นัดให้ พ.ต.ท.ทักษิณพร้อมผู้ต้องหารายอื่นในคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซีฯ ซึ่งประกอบด้วย คุณหญิงพจมาน และบริษัท เอสซีฯ ที่มีนางเพ็ญโสม ดามาพงศ์ (ภรรยา พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจมาน)เป็นกรรมการบริษัท และนางบุษบา ดามาพงศ์ (ภรรยานายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรมคุณหญิงพจมาน)เป็นอดีตกรรมการบริษัท มาฟังคำสั่งคดีในวันที่ 3 เม.ย.นี้(เวลา 10.00น.) ทั้งนี้ หลังเสร็จสิ้นภารกิจที่ศาลแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินทางเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า ก่อนเปิดแถลงข่าวที่โรงแรมเพนนินซูล่า ซึ่งเป็นโรงแรมที่ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวจะพักระหว่างที่อยู่ในเมืองไทย โดยอ้างเหตุที่ไม่พักที่บ้านจันทร์ส่องหล้าว่า เนื่องจากอยู่ระหว่างซ่อมแซมปรับปรุง สำหรับประเด็นสำคัญที่ พ.ต.ท.ทักษิณแถลง คือการยืนยันว่า การกลับมาครั้งนี้เพื่อต่อสู้คดี เพื่อพิสูจน์และรักษาชื่อเสียงของตนที่ถูกทำลายอย่างไม่เป็นธรรม พร้อมย้ำว่า ตนไม่ได้คิดกลับมาเล่นการเมือง 

“ไม่ต้องการที่จะยุ่งเกี่ยวกับการเมือง วันนี้ผมขออาศัยเป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ต้องการจะใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย ผมไประเหเร่ร่อนมาทั่วโลก ขอยืนยันอีกครั้งว่า ไม่มีแผ่นดินไหนที่จะให้ความอบอุ่นกับผมและครอบครัวเท่ากับแผ่นดินไทย เพราะฉะนั้นผมจะขอกลับมาอาศัยอยู่อย่างมีความสุข มีความอบอุ่นและขอตายอยู่ในผืนแผ่นดินไทยนี้ เพราะฉะนั้นก็ขอให้ท่านทั้งหลายที่เป็นห่วงเป็นใยผมว่า จะมาแข่งขันกันทางการเมืองหรืออะไรนั้น ได้สบายใจได้ว่า ผมจะขอใช้ชีวิตอย่างสันติและสร้างสรรค์”

ทั้งนี้ มีรายงานว่า การเข้าพักที่โรงแรมเพนนินซูล่าของ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว รวมถึงผู้ติดตามนั้น พ.ต.ท.ทักษิณได้จองห้องพักแบบยกชั้นรวม 3 ชั้น คือ ชั้น 33-34-35 รวม 11 ห้อง โดยค่าห้องอยู่ที่คืนละ 1 แสนบาทเศษ สรุปแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณต้องจ่ายค่าห้องพักทั้งหมดคืนละประมาณ 1 ล้านบาทเศษ

“แม้ว” จ้ออ้างกลับมาปกป้องศักดิ์ศรี-ยันเลิกยุ่งการเมือง
อดีตนายกฯเหมาชั้น “เพนนินซูล่า” แถลงข่าวเปิดใจ หลังเดินทางกลับมาสู้คดี
ศาลฎีกาปล่อย “แม้ว” ให้ประกันด้วยวงเงิน 8 ล้าน
มุกเด็ด “แม้ว”เรียกน้ำตาแม่ยก-ก้มกราบแผ่นดินต่อหน้าฝูงชน
ตั้ง 2 ข้อแม้ให้ประกัน “จำเลยแม้ว” ห้ามไปนอก-ก่อความเสียหายทางคดี
 

 

2. “รบ.”ออกลายเหลิงอำนาจ เด้ง“ขรก.”เป็นว่าเล่น –ไม่เว้นแม้แต่ ผบ.ตร.!

หลังรัฐบาลส่อโยกย้ายไม่เป็นธรรมและแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ด้วยการโยกนายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ซึ่งดูแลคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ไปเป็นเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ(ปปท.)ซึ่งเป็นหน่วยงานใหม่ที่เตรียมจะจัดตั้งขึ้น ปรากฎว่า ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลยังคงปฏิบัติการเด้งข้าราชการแทบไม่เว้นแต่ละวัน เริ่มจากรัฐมนตรีสาธารณสุข นายไชยา สะสมทรัพย์ ได้สั่งเด้ง นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ซึ่งเป็น 1 ในผู้ที่มีบทบาทในการประกาศซีแอล ไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ แล้วให้ นพ.ชาตรี บานชื่น อธิบดีกรมการแพทย์ มาเป็นเลขาฯ อย.แทน ทั้งที่ นพ.ชาตรีอยู่ระหว่างถูกสอบวินัยร้ายแรงกรณีการจัดซื้อจัดจ้างคอมพิวเตอร์มูลค่า 900 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการ(ที่มี นพ.จักรธรรม ธรรมศักดิ์ รองปลัด สธ.เป็นประธาน)ยังไม่ได้สรุปผลสอบ พร้อมกันนี้ ยังได้แต่งตั้งให้ นพ.เรวัติ วิศรุตเวช ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ มาเป็นอธิบดีกรมการแพทย์แทน นพ.ชาตรีด้วย ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า การเสนอ ครม.(26 ก.พ.)ให้อนุมัติการโยกข้าราชการดังกล่าวของนายไชยา ไม่มีการให้เหตุผลประกอบการโยกย้ายแต่อย่างใด ซึ่งภายหลัง นายไชยาได้ยืนยันว่า การโยก นพ.ศิริวัฒน์ ไม่เกี่ยวกับเรื่องซีแอล และไม่ได้กลั่นแกล้งใคร แต่เพื่อให้การทำงานมีความคล่องตัวมากขึ้น ด้าน นพ.ศิริวัฒน์ เปิดแถลง(27 ก.พ.)ยืนยัน มั่นใจในการทำหน้าที่ของตน พร้อมขอคิดดูก่อนว่า จะร้องทุกข์หรืออุทธรณ์คำสั่งโยกย้ายดังกล่าวต่อสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.)หรือไม่ และจะฟ้องต่อศาลปกครองหรือไม่ ขณะที่หลายฝ่ายได้ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านการโยกย้าย นพ.ศิริวัฒน์พ้นเลขาฯ อย. ไม่ว่าจะเป็นองค์กรผู้บริโภค ,เครือข่ายผู้ป่วย และชมรมแพทย์ชนบท เนื่องจากเห็นว่าการโยกย้ายครั้งนี้นอกจากไม่เป็นธรรมแล้ว รัฐมนตรียังน่าจะหวังผลต้องการล้มเลิกการทำซีแอล ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงยาของผู้ป่วยและประชาชน ชมรมแพทย์ชนบทพร้อมเครือข่ายผู้ป่วยจึงได้เข้าชื่อกว่า 500 คนยื่นหนังสือถวายฎีกาไปยังสำนักพระราชวังเมื่อวันที่ 29 ก.พ. โดยให้เหตุผลว่า คำสั่งโยกย้ายของรัฐมนตรีไม่สมเหตุสมผล และยังเป็นคำสั่งที่บั่นทอนขวัญกำลังใจของข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข เครือข่ายผู้ป่วยโรคเอดส์ และเครือข่ายผู้ป่วยมะเร็งเป็นอย่างยิ่ง ด้านนายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข ไม่สน บอก ถ้าใครมองว่าตนกลั่นแกล้งหรือรังแก ก็มีสิทธิฟ้องหรือถวายฎีกาได้ และว่า ข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขมีล้านแปดคน ถ้าตนทำอะไรแล้วมีคนไม่ชอบ 200 คน แต่มีคนรักตน 2 ล้านคน ก็ต้องยอม นอกจาก รมว.สาธารณสุขจะสั่งเด้งเลขาฯ อย.แล้ว ทางด้าน รมต.ประจำสำนักนายกฯ นายจักรภพ เพ็ญแข ก็ไม่น้อยหน้า โดยได้สั่งเด้งนายปราโมช รัฐวินิจ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ไปช่วยราชการที่สำนักนายกฯ เมื่อวันที่ 28 ก.พ. ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางกลับประเทศ โดยนายจักรภพ ให้เหตุผลว่า เพื่อให้นายปราโมชไปช่วยดูงานสถานีโทรทัศน์อาเซียนที่จะเปิดขึ้นมาใหม่ พร้อมกันนี้ได้ให้นายเผชิญ ขำโพธิ์ รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ขึ้นมารักษาการแทน ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน นายจักรภพ ได้บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ยังไม่ได้คิดว่าจะย้ายอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์หรือไม่ โดยจะมีการประเมินก่อนประมาณ 1 เดือน แต่ในที่สุดก็ได้สั่งเด้งฟ้าผ่ารับการกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนผู้ที่ถูกเด้งรายล่าสุดเมื่อวันที่ 29 ก.พ. เป็นถึง ผบ.ตร. คือ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ที่ถูกนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และ รมว.กลาโหม สั่งให้ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกฯ และให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รอง ผบ.ตร.ขึ้นมารักษาการแทน พร้อมกันนี้ นายสมัครยังมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ โดยมีนายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุดเป็นประธาน โดยอ้างว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงใน 3 กรณี 1.โครงการเช่ารถ 5 ประเภทมูลค่าเกือบ 1 หมื่นล้านบาทที่ส่อทุจริต 2.ใช้ถ้อยคำที่ไม่บังควรและไม่เหมาะสมในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานในบันทึกของกองสวัสดิการที่เสนอขอให้งดการแข่งขันกีฬาภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 3.ออกคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับ พ.ต.อ.ตำแหน่งผู้กำกับการฝ่ายปฏิบัติการที่ 1-10 ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางไม่ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ ทำให้ข้าราชการตำรวจที่ได้รับการแต่งตั้งไม่มีกฎหมายรองรับการทำงาน ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนเดินทางไปเยือนประเทศลาว(เมื่อ 29 ก.พ.) นายสมัครไม่ยอมตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงการโยกย้าย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ รวมทั้งเมื่ออยู่ระหว่างเยือนลาว นายสมัครก็ยังไม่ยอมให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ โดยอ้างว่า จะไม่พูดเรื่องนี้ในต่างประเทศ จะกลับไปตอบที่ประเทศไทย ด้าน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ บอก หากคำสั่งดังกล่าวเป็นจริง ก็จะไปรายงานตัวต่อนายกฯ พร้อมถามเหตุผลในการย้าย ซึ่งหากมีเหตุผลยอมรับได้ ก็จะยอมรับ แต่ถ้าเหตุผลไม่เพียงพอ ก็จะฟ้องดำเนินคดีตามกฎหมายอาญา

สะพัด! เด้ง “เสรีพิศุทธ์” พ้น ผบ.ตร.เซ่น “นายใหญ่” อีกรายแล้ว
ด่วน! “เพ็ญ”เข้มรับ “นายใหญ่” เด้งอธิบดีกรมประชาฯโชว์
“หมอศิริวัฒน์” สู้ลั่นย้ายไม่เป็นธรรม เดินหน้าร้อง ก.พ.
“ไชยา” แผลงฤทธิ์เด้ง “หมอศิริวัฒน์” เข้ากรุคาดพิษซีแอลเล่นงาน
เผยเหตุเด้ง “เสรีพิศุทธ์” 3 ข้อฉกรรจ์!
พิษใบแดง “ประธานตู้เย็น” เด้ง ผู้การเชียงรายลงกรุ!
“เสรีพิศุทธ์”เดือด! ขู่ฟ้อง “สมัคร”
รายงานพิเศษ : “ขรก.” ต้อง “ไม่ก้มหัว” ให้ “รบ.อธรรม”!!

3. “พันธมิตรฯ”ประกาศฟื้นตัว หลัง “รบ.นอมินี”ส่อแทรกแซงคดี“ทักษิณ”!

ในที่สุด สถานการณ์บ้านเมือง ก็เริ่มบีบคั้นให้แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต้องประชุมหารือเพื่อกำหนดท่าที หลังมีการสั่งเด้งนายสุนัย มโนมัยอุดม พ้นอธิบดีดีเอสไอ ที่ดูแลคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร เป็นจำเลยอยู่ ซึ่งสะท้อนว่าการโยกย้ายดังกล่าวเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม โดยหลังประชุมหารือเมื่อวันที่ 25 ก.พ.ที่บ้านพระอาทิตย์ แกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 5 ได้ออกแถลงการณ์ 7 ข้อเพื่อประกาศจุดยืนต่อสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้น 1.มีมติฟื้นโครงสร้างการบริหารงานของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อพร้อมต่อสู้ทุกรูปแบบกับพฤติการณ์รัฐบาลสมัครที่จะทำงานรับใช้ระบอบทักษิณ 2.พันธมิตรฯ ขอเรียกร้องให้ กกต.แสดงความกล้าหาญ ยุติต้นเหตุของวิกฤตของชาติ ด้วยการสะสางลงโทษผู้กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งและเสนอศาลรัฐธรรมนูญเพื่อยุบพรรคที่เป็นนอมินีให้พรรคที่ถูกยุบโดยคำวินิจฉัยของตุลการรัฐธรรมนูญโดยเร็ว 3.พันธมิตรฯ ขอเรียกร้องให้นายสมัคร สุนทรเวช ยุติการเป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ และเป็นนายกฯ ที่เสียสละเพื่อคน 63 ล้านคนอย่างแท้จริง 4.พันธมิตรฯ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลนายสมัครหยุดการโยกย้ายข้าราชการที่เป็นไปเพื่อแก้มลทินให้ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว รวมทั้งยุติความพยายามแทรกแซงการทำงานของ คตส.หรือแม้แต่หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม เช่น สำนักงานอัยการสูงสุด 5.พันธมิตรฯ ไม่คัดค้านการกลับประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ หากไม่มีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม แต่กลับปรากฏว่า ขณะนี้ระบอบทักษิณได้ใช้กระบวนการแทรกแซงและตัดตอนกระบวนการยุติธรรม พ.ต.ท.ทักษิณจึงยังคงเป็นปัญหาของแผ่นดินต่อไป 6.พันธมิตรฯ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลนายสมัครยุติการลิดรอน ข่มขู่ และคุกคามสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน 7.พันธมิตรฯ ขอเรียกร้องให้พี่น้อง ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชนที่รักชาติบ้านเมืองรวมตัวกันเพื่อเฝ้าระวังพฤติการณ์ของนักการเมืองและข้าราชการในระบอบทักษิณอย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมต่อสู้กับความเลวร้ายของระบอบทักษิณในทุกรูปแบบ เพื่อสร้างสังคมธรรมาภิบาล โดยไม่หวั่นไหวว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตาม หลังออกแถลงการณ์ดังกล่าว แกนนำพรรคพลังประชาชนและสื่อมวลชนบางแขนง พยายามจุดประเด็นว่า พันธมิตรฯ ต่อต้านการกลับประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณทุกรูปแบบ ทั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณมีสิทธิที่จะกลับมาต่อสู้คดี พันธมิตรฯ เห็นว่าการจุดประเด็นดังกล่าวบิดเบือนจากข้อเท็จจริง จึงได้ออกแถลงการณ์อีกครั้ง( 27 ก.พ.)โดยยืนยันว่า พันธมิตรฯ ไม่ได้ขัดขวาง หาก พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศเพื่อพิสูจน์ความผิด พร้อมย้ำ พันธมิตรฯ จะไม่เคลื่อนไหวใดใดเพื่อคัดค้านการกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ทันทีที่ พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางถึงประเทศ แกนนำพันธมิตรฯ จะเฝ้าดูและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ หลัง พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางกลับประเทศเมื่อวันที่ 28 ก.พ.และมีการแถลงยืนยันว่าตนวางมือทางการเมืองแล้ว พร้อมอ้างว่า ตนถูกกล่าวหาและถูกรังแกนั้น ทางแกนนำพันธมิตรฯ จะได้มีการประชุมหารือและแสดงจุดยืนต่อสถานการณ์การเมืองอย่างเป็นทางการอีกครั้งในวันที่ 5 มี.ค.นี้

“พันธมิตรฯ” กวักมือเรียก “แม้ว” เตือนอย่าแทรกแซงศาล
พันธมิตรฯ ฮึ่มสู้ทุกรูปแบบขยายแนวร่วมต้าน “ระบอบแม้ว” คืนชีพ
พันธมิตรฯ ย้ำจุดยืนต้าน “ระบอบแม้ว” คืนชีพ-ปลุก ปชช.สู้อีกรอบ


4. ทุจริตเชียงรายไม่พลิก “กกต.ข้างมาก”เห็นควรแจกใบแดง“ยงยุทธ”!

เมื่อวันที่ 26 ก.พ.ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ได้มีมติ 3 :1 ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง(ใบแดง)แก่นายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วน กลุ่ม 1 พรรคพลังประชาชน และประธานสภาฯ หลังพิจารณาผลสอบกรณีทุจริตเชียงรายของอนุกรรมการสอบที่มีนายสุวิทย์ ธีรพงษ์ เป็นประธานแล้วเห็นว่า นายยงยุทธกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งด้วยการซื้อเสียงผ่านกำนันจริง โดย กกต.เสียงข้างมาก ประกอบด้วย นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ,นายประพันธ์ นัยโกวิท และนายสุเมธ อุปนิสากร ส่วน กกต.เสียงข้างน้อยคือ นายสมชัย จึงประเสริฐ ซึ่งนายสมชัยได้ออกมาปฏิเสธว่า ตนไม่ได้ให้ใบขาวนายยงยุทธ แต่เห็นว่า เมื่อกำนันรับเงินจากนายยงยุทธ ก็ถือเป็นการให้และรับสินบน ไม่ใช่การซื้อเสียง เพราะขณะนั้นยังไม่มีการลงสมัครรับเลือกตั้ง ยังไม่รู้ว่าได้หมายเลขอะไร และว่า ความผิดฐานให้และรับสินบน เป็นความผิดอาญาแผ่นดินอยู่แล้ว ซึ่งมีโทษมากกว่าการซื้อสิทธิขายเสียง ส่วน กกต.อีก 1 คนคือ นางสดศรี สัตยธรรม งดออกเสียงในการพิจารณาคดีนี้ โดยอ้างว่า กระบวนการสอบสวนยังไม่สิ้นกระแสความ เพราะนายยงยุทธขอให้สอบพยานเพิ่มอีก จึงควรมีการสอบเพิ่ม นอกจากนี้นางสดศรียังเห็นว่า กกต.ควรรวมสำนวนคดีทุจริตเชียงรายเข้ากับคดีที่ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีตหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการ คมช.ร้องว่า นายยงยุทธใส่ร้ายป้ายสีใช้ปืนขู่หัวคะแนนพรรคพลังประชาชนที่อยู่ระหว่างสอบสวน แล้วค่อยลงมติ แต่ กกต.ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย จึงลงมติเลย ทั้งนี้ นอกจาก กกต.จะมีมติเสนอศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเพื่อพิจารณาให้ใบแดงนายยงยุทธแล้ว ยังมีมติให้ดำเนินคดีอาญานายยงยุทธด้วย พร้อมทั้งมีมติให้จัดเลือกตั้งใหม่(ใบเหลือง)แก่ น.ส.ละออง ติยะไพรัช ส.ส.เชียงราย เขต 3 พรรคพลังประชาชน น้องสาวนายยงยุทธ เนื่องจากมีหลักฐานฟังได้ว่า เกิดความไม่สุจริตในการเลือกตั้งเขตดังกล่าว โดย น.ส.ละอองอาจไม่รู้เห็นการกระทำของนายยงยุทธ ทั้งนี้ กกต.จะเสนอสำนวนต่อศาลฎีกาฯ ภายใน 2 สัปดาห์ หากศาลมีคำสั่งรับคำร้องจาก กกต.เมื่อใด นายยงยุทธต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.และประธานสภาฯ ทันที และหากที่สุดแล้ว ศาลมีคำสั่งให้ใบแดง นายยงยุทธก็จะต้องถูกตัดสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น กกต.จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนว่า พรรคพลังประชาชนรู้เห็นกับการทุจริตเลือกตั้งของนายยงยุทธหรือไม่ สมควรเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคพลังประชาชนหรือไม่ ด้านนายยงยุทธ ไม่พอใจมติ กกต.รีบเปิดแถลงบ่ายวันเดียวกัน(26 ก.พ.)โดยยืนยันเหมือนเดิมว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการจัดฉากของทหารและตำรวจบางกลุ่มที่ต้องการให้ยุบพรรคพลังประชาชน นายยงยุทธ ยืนยันด้วยว่า จะขอต่อสู้ให้ถึงที่สุด เพราะตนไม่ใช่คนชั่วอย่างที่หลายฝ่ายกล่าวหา และว่า หลังจากนี้ตนจะยังไม่ลาออกจากประธานสภา แต่จะไม่ขึ้นบัลลังก์ โดยให้รองประธานสภาฯ ทำหน้าที่แทน เพราะตนจะไม่ยอมเป็นประธานสภาฯ ที่ถูกกล่าวหาเด็ดขาด ทั้งนี้ หลังนายยงยุทธแถลงได้ 2 วัน(29 ก.พ.)ได้มีชาวบ้านที่เชียงรายประมาณ 2,000 คนชุมนุมประท้วงมติของ กกต.ที่เสนอให้ใบแดงนายยงยุทธ ขณะที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ขู่ล่าชื่อ ส.ส.เพื่อถอดถอน กกต.ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ไม่ยอมสอบพยานนายยงยุทธเพิ่มเติม ด้านนายประพันธ์ นัยโกวิท 1 ใน กกต. ยืนยัน ได้ทำทุกอย่างตามกระบวนการแล้ว ไม่หวั่นไหวว่าจะถูกถอดถอน


มติ กกต.3 ต่อ 1 ชูใบแดงตะเพิด “ทั่นยุทธ” “สดศรี” งดออกเสียง
“อภิชาต”แนะ “ยุทธ”ขอตัว “สมชัย” เป็นพยานฐานค้านใบแดง
“สุเมธ” ชี้ยุบ-ไม่ยุบ พปช.ขึ้นกับความผิดโยง“ยุทธ”

“สดศรี” งดออกเสียง -“สมชัย” ค้านใบแดง “ทั่นยุทธ”ตามคาด
“ยุทธ”แหยงไม่กล้าขึ้นบัลลังก์ พร่ำถูกจัดฉาก ลั่นผมไม่ใช่คนชั่ว


5. “แบงก์ชาติ”ประกาศยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% แล้ว ด้าน“ธาริษา”ยัน รบ.ไม่ได้กดดัน!

หลังรัฐบาลได้ส่งสัญญาณมาเป็นระยะๆ ว่าจะมีการยกเลิกมาตรการการกันสำรอง 30% หรือมาตรการดำรงเงินสำรองเงินนำเข้าระยะสั้น แต่ทางธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้ส่งสัญญาณก่อนหน้านี้ว่า การยกเลิกเร็วไป อาจส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทนั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 29 ก.พ. ธปท.ก็ได้ประกาศยกเลิก มาตรการกันสำรอง 30% แล้ว โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค.นี้เป็นต้นไป(หลังประกาศใช้มาตั้งแต่วันที่ 18 ธ.ค.2549) ด้านนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าฯ ธปท.ซึ่งเป็นผู้แถลงเรื่องนี้ให้สาธารณชนทราบ บอกด้วยว่า หลังยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% แล้ว ธปท.จะออกมาตรการเสริม เพื่อรองรับการบริหารจัดการการไหลเข้า-ออกของเงินลงทุน และป้องกันการเก็งกำไร เช่น จะสนับสนุนให้มีการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศเพิ่มขึ้น ส่วนผลกระทบที่อาจจะเกิดกับค่าเงินบาทในวันที่ 3 มี.ค.นั้น นางธาริษา เชื่อว่า การยกเลิกมาตรการการกันสำรอง 30% คงไม่ทำให้ตลาดตกอกตกใจ เพราะเป็นที่คาดการณ์อยู่แล้วว่าจะมีการยกเลิกมาตรการดังกล่าว แต่ ธปท.ก็จะดูแลค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวนจนเกินไป ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไม ธปท.จึงตัดสินใจยกเลิกมาตรการการกันสำรอง 30% เพราะท่าที ธปท.ก่อนหน้านี้ไม่ใช่แบบนี้ นางธาริษา ตอบว่า เพราะมีข้อมูลตัวเลขที่เห็นได้ชัดว่าเศรษฐกิจเริ่มมีการฟื้นตัวและมีแนวโน้มที่จะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้นเมื่อปัจจัยแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป จึงได้ตัดสินใจดังกล่าว พร้อมยืนยันว่า การยกเลิกมาตรการการกันสำรอง 30% เป็นการตัดสินใจของ ธปท.เอง โดยพิจารณาจากข้อมูลและจังหวะเวลาที่เหมาะสม ไม่ใช่เพราะถูกดันแต่อย่างใด นางธาริษา ยังกล่าวถึงข่าวลือที่ว่าตนจะลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าฯ ธปท.ด้วยว่า วันนี้ ตนก็ยังทำหน้าที่อยู่ ไม่รู้ว่าทำไมถึงลือกัน ด้าน นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และ รมว.คลัง เปิดแถลงเช่นกันว่า กระทรวงการคลังได้ออกมาตรการรองรับการยกเลิกมาตรการการกันสำรอง 30% โดยมีทั้งมาตรการเร่งด่วนและมาตรการระยะยาว สำหรับมาตรการเร่งด่วน ได้แก่ การเร่งแปลงหนี้ของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศประมาณ 3 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 1 แสนล้านบาท ให้เป็นสกุลเงินบาททันทีในวันที่ 3 มี.ค. เพื่อช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาท นอกจากนี้ยังจะมีการออกพันธบัตรออมทรัพย์ 12,000 ล้านบาท เพื่อให้ประชาชนรายย่อยเข้าถึงแหล่งเงินออมและได้ผลตอบแทนที่เหมาะสม เป็นต้น นพ.สุรพงษ์ ยังตอบคำถามผู้สื่อข่าวโดยยืนยันว่า จะไม่มีการโยกย้ายนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าฯ ธปท.แต่อย่างใด ให้สบายใจได้

ผู้ว่าฯ ธปท.ประกาศยกเลิกมาตรการสำรอง 30% แล้ว มีผล 3 มี.ค.นี้
กำลังโหลดความคิดเห็น