ในที่สุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็สามารถเดินทางกลับเข้าประเทศได้อย่างปลอดภัย ไม่มีใครลอบยิงให้ตายคาสนามบิน บรรยากาศต่างไปจากการให้ข่าวของนายตำรวจใหญ่ระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้ตกอกตกใจว่า ปืนยิงระยะไกลของกองทัพหายไป 3 กระบอก
สร้างความรู้สึกน่ากลัวระคนสงสาร หวั่นเกรงว่าอาจเกิดเหตุการณ์สลดซ้ำรอยการลอบสังหารผู้นำฝ่ายค้านที่ปากีสถาน หรือกรณี “อาควิโน” ที่ถูกเป่าดับคาสนามบินมนิลา เมื่อหลายปีก่อน
จนต้องมีการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบหลายพันคนอารักขาปานประดุจไข่ในหินทุกจุดที่ก้าวเดินไป
แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี ไม่มีอะไรให้ต้องระทึก
ในทางตรงข้ามกลับมีเรื่องปลาบปลื้มชวนให้น้ำตาไหล โดยเฉพาะบรรดา “แม่ยก” ทั้งไฮโซ-โลโซทั้งหลายที่ยกขบวนกันข้ามวันข้ามคืนไปเบียดเสียดชูป้ายต้อนอดีตนายกฯเศรษฐีแสนล้าน ที่ลับมาสู้คดีทุจริตในบ้านเกิด
ช็อตเด็ดคงอยู่ที่การก้มลงกราบธรณี ต่อหน้าฝูงชนนับล้านทั่วประเทศ ทั้งที่สนามบินหรือเฝ้าชมทางทีวีทั่วประเทศ
แม่ยกหลายคนคงสกัดกั้นอารมณ์ไม่อยู่ “น้ำหมาก-น้ำตา” กระเซ็นท่วมจอแน่
แต่ช่างเถอะ นั่นอาจเป็นแค่องค์ประกอบทางการตลาด การสร้างภาพแบบมืออาชีพก็ได้ ว่ากันไปแต่ละมุมมองของบรรดาชมรมคนรัก-คนเกลียดแม้ว มีอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง
เรื่องของคดีความกำลังเดินต่อไปเข้าสู่ช่วงสำคัญ แต่จะขบวนการทำให้กระบวนการยุติธรรมบิดเบี้ยว ผิดรูปผิดร่างในอนาคตหรือไม่ ก็ต้องจับตา ต้องโฟกัส อย่ากระพริบ เพราะล่าสุดมีสัญญาณชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ในเบื้องต้นว่ากันเฉพาะเรื่องการกลับประเทศของอดีตนายกฯ ที่มาสู้คดีทุจริตอย่างน้อย 2 คดี คือทุจริตการจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก และคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัทแอสซีเอสเสท หลังจากหลบหนีหมายจับนานกว่า 17 เดือน
โดยคดีแรกได้ตกเป็นจำเลยเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ใช้เวลาไม่นานก็ชี้ขาด ไม่มีอุทธรณ์ฎีกาใดๆทั้งสิ้น
ถ้าซวยก็ป๊อกเดียวจอด ที่สำคัญเข้าแทรกแซงลำบากเสียด้วยซี
ส่วนคดีหลังยังอยู่ในขั้นอัยการสูงสุด เป็นแค่ผู้ต้องหา ยังมีสิทธิ์พลิกได้
อย่างไรก็ดี ถ้าพิจารณาแบบรวดรัดตัดความจะเห็นได้ชัดว่า ภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่ลักษณะของจำเลยหรือผู้ต้องหาหนีหมายจับธรรมดาแน่นอน
แต่ตรงกันข้ามเป็นภาพของ “นายกฯตัวจริง” ชัดเจน
เพราะมีรองนายกฯ รัฐมนตรี ไล่เรียงไปตั้งแต่รองนายกฯ อันดับหนึ่ง อันดับสอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เสนอหน้ากันสลอน
ส่วน ส.ส.ก็ยกขบวนกับเกือบหมดทั้งพรรคพลังประชาชน เหลือไว้ประชุมสภาเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ไม่สนใจคำเตือนเรื่อง “ความเอิกเกริก สร้างความหมั่นไส้” จากปากของคนเป็นนายกฯ เป็นหัวหน้าพรรคแม้แต่น้อย
เหมือนเป็นหัวหลักหัวตอ
ภาพออกมายิ่งใหญ่-อลังการแค่ไหนไม่ต้องบรรยายรายละเอียดกันมาก พอเข้าใจได้อยู่แล้ว แถมยังยึดครองพื้นที่สื่อทุกประเภททั้ง ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ได้เรียบวุธ
ขณะเดียวกันอีกมุมหนึ่งเมื่อเหลียวไปมอง สมัคร สุนทรเวช แม้จะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่สถานะกลับมีภาพเบลอๆยังไงชอบกล
ยิ่งได้เห็นการเดินทางไปประชุมสภากลาโหมร่วมกับบรรดาผู้นำเหล่าทัพ และนายทหารระดับสูงในช่วงเวลาเดียวกันแล้ว ทุกอย่างมันช่างตัดกับแบบตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
ไม่ว่าใครถ้าพอเข้าใจการเมืองสักนิด ก็เข้าใจทันทีว่าใครคือ “ตัวจริง-ตัวปลอม”
ดังนั้นภาพที่ปรากฏออกมาให้สังคมได้เข้าใจตรงกันว่า “แม้ว” ยังมีอิทธิพลเหลือล้นต่อรัฐบาล มันก็ช่วยไม่ได้ สังคมจะคิดไปเลยเถิดอีกว่า การกลับเข้ามาเที่ยวนี้นอกจากมาสู้คดีแล้วยังต้องรีบมา “จัดการ” ปัญหาหลายอย่างในคราวเดียวกัน
เนื่องจากทุกเรื่องล้วนเชื่อมโยงเกี่ยวพันถึงอนาคตของตัวเอง และพรรค หากปล่อยทิ้งไว้อัตราเสี่ยงย่อมทวีคูณ
เริ่มจากปัญหาภายในพรรคพลังประชาชนก่อน หลังจากเริ่มรับรู้อาการของ สมัคร สุนทรเวช ที่แสดงท่าทางสลัด “หุ่นเชิด” พ้นไปจากตัวมากขึ้นทุกที แถมยังใช้อำนาจนายกฯ เข้ามายึดกุมงานสำคัญอีกเป็นกระบุง
ชนิดที่เรียกว่าหัวกะทิแทบทั้งสิ้น คุมทั้งความมั่นคง ด้วยการควบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หน่วยงานยุติธรรม กำกับดูแลเมกะโปรเจกต์มูลค่าเฉียดล้านล้านบาท
หวังวาดสร้างความฝันตามใจตัวเอง “เริ่มพูดฟังไม่รู้เรื่อง” ขณะเดียวกันสร้างบรรยากาศให้คุกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ หากไม่รีบตัดไฟแต่ต้นลมรับรอง “พลังแม้ว” เละเป็นเสี่ยงแน่
และนี่น่าจะเป็นอีกสาเหตุหลักสำหรับการร่นเวลาเดินทางกลับให้เร็วขึ้น จากเดิมที่เคยกำหนดเอาไว้ว่าจะเป็นราวเดือนเมษา-พฤษภาคม
ดังนั้นเมื่อกลับมาแล้วต้องมีการรายการ “เชือดโชว์” เขย่าขวัญตามมา อย่างน้อยมันยังมีผลพวงทางด้านจิตวิทยาตามมาเป็นลูกโซ่อีก
และถ้าสังเกตให้ลึกเข้าไปอีก ความเคลื่อนไหวทั้งหมดจะเข้าข่าย “กระชับอำนาจ” ให้กลับคืนมาให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดอีกครั้ง โดยเฉพาะการโยกย้ายข้าราชการประจำคนสำคัญ
ไล่เรียงไปตั้งแต่เด้ง สุนัย มโนมัยอุดม พ้นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ทำคดีปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัทในครอบครัวของตระกูลชินวัตร รวมทั้งกำลังทำคดีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการฟอกเงินที่โยงใยถึงใครหลายคน กำลังทยอยขุดออกมาเป็นพรวน
เป็นการประเดิมกรุยทางก่อนเหยียบแผ่นดิน
ถัดมาก็เชือดเลขาธิการ อย. อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ล่าสุด (วันที่ 29 ก.พ.) ก็ถึงคิว พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส พ้นจากเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)
และยังมี ผู้ว่าฯแบงก์ชาติ ประธานบอร์ดองค์การเภสัช ปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่เข้าคิวจ่อตามมาเป็นพรวน
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว รับรองว่าไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะมีการอธิบายให้ “เนียน” หรือยกแม่น้ำทั้งห้ามาแก้ต่างอย่างไรสังคมก็ย่อมมองออก
ว่านี่คือรายการ “เช็กบิล ล้างบาง” ดันพวกตัวเองกลับเข้ามาใหม่ และที่สำคัญต้องเร่งเข้าทำก่อน เร่งเกมเสี่ยงตั้งแต่ต้นมือ
เพราะถ้าปล่อยให้นานกว่านี้ ปัจจัยเสี่ยงสารพัดจะเริ่มทยอยเข้ามา หากไม่ชิงกุมสภาพให้เบ็ดเสร็จเสียก่อนเดี๋ยวจะยุ่งกันใหญ่
ขณะเดียวการเล่นนี้เกมแบบยังได้ผลพ่วงเข้ามาอีกหลายต่อ อย่างน้อยเป็นการ “ข่มขวัญ” บรรดาข้าราชการที่เหลือให้รีบ “เลือกข้าง” อย่ากั๊กเด็ดขาด
ไม่เว้นแม้กระทั่ง “บางคน” ในทำเนียบฯอย่าคิดฝันเลยเถิดเป็นอันขาด
พฤติกรรมที่กำลังเกิดขึ้น เข้าทำนอง “ใครตามเรายั้ง ใครขวาง-ตาย” อะไรประมาณนี้
เมื่อ “นายใหญ่” มาเองพร้อมเป่านกหวีดให้สัญญาณชัดแบบนี้ ลิ่วล้อก็ต้องวิ่งกันพล่าน เดินหน้าเชือดโชว์ไม่ยั้งมือ
ก็บอกแล้วไงว่านี่คือบทเหี้ยมข่มขวัญฝ่ายตรงข้าม แต่ขณะเดียวกัน ถ้าไม่ยั้งมือ ผ่อนแรง อาจสร้างกระแสให้ตีกลับก็มีสิทธิ์ป่วนอีกรอบ
และคราวนี้บอกได้คำเดียวว่า หวาดเสียวกว่าเก่า