“นายอิศรา พุฒตาลศรี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วี จำกัด (บลจ.วี) เปิดเผยว่า สภาวะสิ่งแวดล้อมปัจจุบันกำลังเป็นเรื่องที่นานาประเทศทั่วโลกตระหนักมากขึ้น โดยเฉพาะภาวะโลกร้อน (Climate Change) ที่เกิดจากการปล่อยมลพิษจากหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการบริโภคของประชากรทั่วโลก กิจกรรมทางอุตสาหกรรมต่างๆ การใช้เชื้อเพลิงถ่านหินเพื่อผลิตพลังงาน เป็นต้น ล้วนแต่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศที่รุนแรงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เช่น พายุ, น้ำท่วม ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชากร ภาคธุรกิจ เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของโลกในวงกว้างและรุนแรงมากขึ้น จากสถิติการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะเห็นได้ว่า 70% ของการเพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกิดจากการใช้พลังงานเป็นหลัก โดยมีประเทศจีนเป็นอันดับ 1 ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุด คิดเป็น 27.2% รองลงมาคือ สหรัฐอเมริกา และอินเดีย ซึ่งทั้ง 3 ประเทศมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รวมกันเกือบครึ่งหนึ่งของโลก
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการใช้พลังงานและอุตสาหกรรมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ได้แก่ 1.) อัตราประชากรทั่วโลกที่กำลังเพิ่มขึ้นถึงระดับ 9 พันล้านคนในปี 2035 ซึ่งสาเหตุที่ตามมาคือ 2.) ความต้องการบริโภควัตถุดิบและพลังงานที่เพิ่มขึ้นมาก ซึ่งหากประเทศจีนและอินเดียเพิ่มอัตราการใช้พลังงานต่อหัวในระดับเดียวกับประเทศเยอรมนี จะส่งผลให้การใช้พลังงานทั่วโลกมีระดับเพิ่มมากกว่า 40% จะทำให้เกิดปัจจัยสุดท้ายคือ 3.) การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งในปี 2018 เป็นปีที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการใช้พลังงานในระดับที่สูงที่สุด เพิ่มขึ้นถึง 2% คิดเป็น 70% ของปริมาณการปล่อยก๊าซทั่วโลก
จากการประเมินแนวโน้มผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ซึ่งมีผลกระทบรุนแรงกว่าการระบาด COVID-19 ส่งผลให้ภาครัฐมีความจริงจังในการแก้ไขปัญหาและกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญ โดยการออกนโยบายสนับสนุนให้ภาคเอกชนมีการลงทุนและพัฒนาระบบพลังงานแบบใหม่ที่ลดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม เพื่อเปลี่ยนผ่านระบบโครงสร้างพลังงาน (Energy Transition) ภายใต้ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่ต้องดำเนินการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 70% ภายในปี 2050 ให้อยู่ที่ระดับ 9.8 กิกะตันต่อปีจากระดับ 33 กิกะตัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส
ในปี 2021 การลงทุนเพื่อเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างพลังงานจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุน จากมาตรการภาครัฐที่เพิ่มการลงทุนในกลุ่มพลังงานยุคใหม่ เพื่อให้สามารถเป็นไปตามเป้าหมายของ Paris Accord โดยคาดว่าจะมีเงินไหลเข้าลงทุนถึง 90 ล้านล้านเหรียญในช่วงระยะเวลา 30 ปีข้างหน้านี้ในบริษัทที่จัดการเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม
จากแนวโน้มดังกล่าว บลจ.วีจึงเปิดเสนอขาย IPO กองทุนเปิด วี นิว ทรานซิชั่น เอนเนอร์จี (WE-TENERGY) ระหว่างวันที่ 18-24 ก.พ. 2564 ลงทุนผ่านกองทุน BNP PARIBAS ENERGY TRANSITION (กองทุนหลัก) มีนโยบายลงทุนในบริษัทจดทะเบียนที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนผ่านโครงสร้างการใช้พลังงานแนวใหม่ทั่วโลก รวมถึงอุปกรณ์ที่เพิ่มประสิทธิภาพต่อการใช้พลังงาน (Energy Transition) ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ของ EU Taxonomy และ Sustainable Development Goals (SDGs) ของสหประชาชาติ
ทั้งนี้ กองทุนจะเน้นลงทุนใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.) Decarbonising กลุ่มการผลิตพลังงานที่ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น พลังงานทดแทนน้ำมันและถ่านหิน ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังงานลมหรือพลังงานแสงอาทิตย์ รวมไปถึงการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพและแบตเตอรี่พลังงานต่างๆ 2.) Digitalising คือกลุ่มเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานมากขึ้น, การใช้วัสดุอุปกรณ์ทดแทนและประหยัดพลังงาน รวมถึงใช้วัสดุในอาคารเพื่อประหยัดพลังงาน และ 3.) Decentralising คือการใช้ยานพาหนะขนส่งทางเลือกที่ประหยัดพลังงาน
โดยกองทุนหลักมีความแข็งแกร่งในด้านการคัดเลือกบริษัทที่ลงทุนด้วยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเชิงลึกในโครงสร้างของธุรกิจพลังงานควบคู่ไปกับด้านการใส่ใจสิ่งแวดล้อม, สังคม และหลักธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance : ESG) ของหุ้นที่ลงทุน และติดตามราคาและความเสี่ยงเพื่อประเมินโอกาส และปรับสัดส่วนการลงทุนที่รวดเร็ว (Dynamic Management) ทำให้กองทุนมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น
สำหรับตัวอย่างบริษัทที่กองทุนลงทุน เช่น 1.) บริษัท Sunnova Energy International (NOVA US) ผู้ให้บริการชั้นนำเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar rooftop system) เพื่อเก็บพลังงานสำหรับใช้ในที่อยู่อาศัยที่มีลูกค้าทั่วสหรัฐอเมริกา มีมูลค่าการตลาดอยู่ที่ 2.5 พันล้านเหรียญ ณ ไตรมาสที่ 2 ของปี 2020 ที่ผ่านมา
2.) บริษัท LG Chem, KRX (Chemical company) บริษัทเคมีภัณฑ์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 10 ของโลกจากเกาหลี เป็นซัปพลายเออร์ด้านปิโตรเคมีตั้งแต่การกลั่นขั้นพื้นฐานไปจนถึงการผลิตวัสดุพอลิเมอร์ชนิดพิเศษ และยังพัฒนาวัสดุขั้นสูงใหม่ๆ เช่น พลาสติกชีวภาพ ที่ได้รับการยอมรับในเรื่องการย่อยสลายทางชีวภาพรายแรกของโลก
3.) บริษัท Aptiv, APTV NYSE (Auto parts company) ผู้พัฒนาเทคโนโลยีความปลอดภัยในการขับขี่อัตโนมัติ, ระบบการเชื่อมต่อสัญญาณและพลังงานกับยานพาหนะ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเกาหลีใต้
ด้วยกลยุทธ์และการคัดเลือกบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโต ทำให้ผลการดำเนินงานของกองทุนหลัก BNP PARIBAS ENERGY TRANSITION สร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่โด่ดเด่น โดย ณ วันที่ 30 ธ.ค. 2020 ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 เดือนอยู่ที่ 15.41% ย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 57.15% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 114.36% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 167.30% และผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปีอยู่ที่ 171.62% ต่อปี * เทียบกับดัชนีมาตรฐาน MSCI AC World (EUR) NR อยู่ที่ 2.30%, 9.91%, 13.83%, 6.56% และ 31.33% ตามลำดับ
“ด้วยการพัฒนานวัตกรรมในการเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นด้านอุปกรณ์ แบตเตอรี่ พลังงานสะอาด เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่โครงสร้างพลังงานยุคใหม่ ทั้งในภาคอุตสาหกรรมการผลิตและบริการ ทำให้การเปลี่ยนผ่านโครงสร้างพลังงานทั่วโลกจึงเป็น เมกะเทรนด์ ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงในช่วง 30 ปีข้างหน้า และมีบริษัททั่วโลกที่กำลังเติบโตจากการลงทุนและพัฒนาระบบพลังงานยุคใหม่ ซึ่งสะท้อนจากผลตอบแทนที่เติบโตอย่างโดดเด่น “กองทุน WE-TENERGY” จึงเป็นกองทุนยุคใหม่ของปี 2021 ที่เพิ่มโอกาสการลงทุน เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาวจากการเปลี่ยนผ่านโครงสร้างพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” นายอิศรากล่าว