PTTGC ลุ้นปีนี้ยอดขายโตกว่า 10% จากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น การปิดซ่อมบำรุงที่น้อยลง และราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ พร้อมเร่ง M&A โรงงานในต่างประเทศ คาดปีนี้ปิดดีลเพิ่ม ส่วนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่สหรัฐฯ ลั่นกลางปีนี้มีคำตอบ
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า ในปี 2564 ตั้งเป้ายอดขายโต 8-10% จากปริมาณการผลิตที่เพิ่ม 8-10% การปิดซ่อมบำรุงรักษาโรงงานน้อยกว่าปี 2563 แต่ขณะนี้ราคาผลิตภัณฑ์พลาสติกในสายโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าราคาเม็ดพลาสติกจะไม่สามารถปรับขึ้นได้เต็มที่เพราะถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้มีโอกาสที่ยอดขายปีนี้โตกว่า 10%
นอกจากนี้ บริษัทยังเร่งปิดดีลการเข้าซื้อหรือควบรวมกิจการ (M&A) ในต่างประเทศ โดยอาศัยช่วงจังหวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากผลกระทบโควิด-19 ทำให้การเจรจาซื้อกิจการได้ในราคาที่ไม่สูงจนเกินไป ล่าสุดบริษัทได้มีการเจรจาหลายโครงการ แม้ว่าจะมีความยากในการเดินทางเพื่อไปเจรจาและดูกิจการก็ตาม แต่เชื่อว่าจะสามารถปิดดีล M&A เพิ่มได้ในปี 2564
สำหรับความคืบหน้าการก่อสร้างโรงงานพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง (Food grade) ครบวงจรเป็นแห่งแรกในประเทศไทย คาดว่าจะเปิดเชิงพาณิชย์ในปลายปี 2564 นี้จะช่วยโครงการก่อสร้างโรงงานรีไซเคิลพลาสติกที่ใหญ่สุดในประเทศไทย รองรับพลาสติกใช้แล้วได้ประมาณ 6 หมื่นตันต่อปี และนำไปผลิตเม็ดพลาสติกเพื่อจำหน่ายอีกครั้งได้ประมาณ 4.5 หมื่นตันต่อปี ใช้เงินลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยมีบริษัท แอลพลา จำกัด (ALPLA) เป็นพันธมิตร ร่วมทุนจัดตั้ง บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด (ENVICCO Limited) เพื่อผลิตเม็ดพลาสติกหมุนเวียนคุณภาพสูง ชนิด rPET และ rHDPE ที่ จ.ระยอง
ส่วนแผนยกเลิกการผลิตเม็ดพลาสติก ชนิดเกรดที่ใช้สำหรับผลิตถุงพลาสติกหูหิ้ว จำนวน 1.5 แสนตันต่อปี ภายในระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ. 2562-2566) จากกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกทั้งหมดทุกชนิด 2 ล้านตันต่อปีนั้น ยืนยันว่าในอีก 2 ปีข้างหน้าบริษัทจะเลิกผลิตพลาสติกดังกล่าวได้หมดแน่นอน และจะหันไปผลิตพลาสติกที่หนาและทนทานขึ้น รวมถึงไบโอพลาสติกเพื่อช่วยลดปัญหาขยะพลาสติก
“บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นเพราะใช้ก๊าซเป็นหลัก รวมทั้งโรงงานของบริษัทยังมีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนวัตถุดิบให้มีความคล่องตัวได้ถึง 40% ทั้งอีเทน LPG และแนฟทา และหากเกิดปัญหาปริมาณก๊าซในอ่าวไทยลดลงก็สามารถนำเข้าได้ รวมทั้งบริษัทสามารถใช้ผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตในโรงกลั่น คือ แนฟทา และ LPG เป็นวัตถุดิบในการผลิตแทน”
ส่วนการลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่สหรัฐอเมริกานั้น ขณะนี้บริษัทได้เจรจากับผู้ที่สนใจเข้าร่วมทุนหลายรายแทนบริษัทแดลิม เกาหลีใต้ที่ถอนตัวไป แต่การตัดสินใจต้องรอบคอบ รวมทั้งบริษัทเตรียมเจรจากับผู้รับเหมาก่อสร้างเพื่อต่อรองลดค่าก่อสร้างลงหลังจากสถานการณ์การก่อสร้างในสหรัฐฯที่ลดความร้อนแรงลงจากการแพร่ระบาดโควิด-19 คาดว่ากลางปีนี้จะมีความชัดเจนขึ้นว่าจะดำเนินการต่อหรือไม่
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังยืนยันว่าโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่รัฐโอไฮโอ มีต้นทุนวัตถุดิบ คือ เอทิลีน เพื่อใช้ในการผลิตโอเลฟินส์ถูกที่สุดในโลก
นายคงกระพันกล่าวว่า บริษัทมีทิศทางการดำเนินงานในปี 2564 ด้วยนโยบาย “แข็งแกร่งจากภายใน สร้างโอกาสใหม่ยุค New Normal” พร้อมเร่งเดินหน้าและยกระดับกลยุทธ์ 3 Steps ประกอบด้วย
Step Change กลยุทธ์การยกระดับความสามารถในการแข่งขัน โดยสานต่อสร้างเสริมบริษัทให้เข้มแข็งทั้งด้านความปลอดภัยและเสถียรภาพการผลิต พร้อมยกระดับความสามารถในการแข่งขันโดยปรับปรุงหน่วยผลิตและโครงสร้างพื้นฐานให้มีความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบ สามารถต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มจากการบริหารจัดการแบบองค์รวมจากโครงการ Map Ta Phut Integration และขยายตลาดสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Step Out กลยุทธ์การแสวงหาโอกาสเพื่อสร้างการเติบโตในธุรกิจใหม่หรือในต่างประเทศ โดยแสวงหาโอกาสการเติบโตแบบก้าวกระโดดด้วยการลงทุนในธุรกิจใหม่ในกลุ่ม High Value Business (HVB) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการเติบโต และสามารถทำกำไรในระดับสูง โดยการ M&A รวมทั้งหาโอกาสทางธุรกิจใหม่โดยใช้ Corporate Venture Capital : CVC เพื่อขยายไปสู่ธุรกิจที่มีความโดดเด่นด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม
Step Up กลยุทธ์สร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ ด้วยการเป็นต้นแบบองค์กรเพื่อความยั่งยืนในระดับสากล มุ่งเน้นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) สร้างสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ( ESG) โดยใช้หลัก GC Circular Living เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการ
ผลการดำเนินงานปี 2563 บริษัทได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ด้วยโครงสร้างธุรกิจที่มีสายผลิตภัณฑ์ที่ครบวงจร และดำเนินการประหยัดค่าใช้จ่าย การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานทั่วทั้งองค์กรทำให้ประหยัดเงินได้รวม 7 พันล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ มี Adjusted EBITDA ในปี 2563 อยู่ที่ 28,579 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2562 ซึ่งเมื่อรวมถึงผลกระทบทางบัญชีจากสต๊อกน้ำมันและสินค้าคงเหลือ บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 199.60 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่กำไรสุทธิ 11,682.08 ล้านบาท